เมื่อคิมหันต์มาเยือน
9.0
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
25 ตอน
0 วิจารณ์
12.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เมื่อคิมหันต์มาเยือน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ ตอนนี้คุณไม่มีทางได้คำตอบชัดเจนจากผมหรอก หากถามว่าชอบอะไรระหว่างความมืดกับความสว่าง ความร้อนกับความเย็น หรือความเป็นกับความตาย
เช่นเดียวกับที่ผมไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไหน ระหว่างอยู่เพื่อคนอื่นหรือมีชีวิตเป็นอิสระของตัวเอง มันน่าเศร้าเมื่อคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับบางคน ดังเช่นพระเยซูเจ้าที่ทรงเลือกอุทิศตนโดยไม่ลังเล ทว่าโลกนี้จะมีมนุษย์สักกี่คนที่มีความกล้าเด็ดเดี่ยวแบบนั้น
เพราะกระทั่งอัครสาวกอย่างยูดาส อิสคาริโอทก็ยังทรยศพระองค์ในวินาทีสำคัญของชีวิต และนักบุญเปโตรก็เคยปฏิเสธท่านถึงสามครั้ง ฉะนั้นจึงมีเหตุผลมากมายทำให้ผมยังคงสับสนในตัวเอง ไม่รู้ว่าชอบอะไร รักอะไรหรือใฝ่ฝันถึงสิ่งใด
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมยังเด็กจึงไม่เข้าใจในหลาย ๆ สิ่ง แต่ผมก็โตมากพอจนอารมณ์แปรปรวนเป็นว่าเล่น ไร้เดียงสาน้อยลงทุกปี แสวงหามากขึ้นทุกนาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องรักใคร่ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในรั้วโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้
อย่างที่ผมบอก ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรกันแน่
แต่ถ้าเป็นเขาคนนั้น เด็กนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา
ใช่...ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่ทำไมมันกลับเป็นเรื่องง่ายที่จะอธิบายว่ารู้สึกต่อเขาอย่างไร
บางครั้งผมเคยอิจฉาบรรดาประกาศก พวกเขามักได้รับความช่วยเหลือและการชี้แนะจากพระเจ้าเสมอ แต่วันหนึ่งเมื่อผมปิดพระคัมภีร์และกลับมาทบทวนชีวิตให้ดี จึงตระหนักว่าผมเองก็ได้รับความเมตตาจากสวรรค์อย่างมากล้น จนทำให้นึกถึงระหว่างตัวผมกับโมเสส
เพราะอย่างแรกคือเรากำพร้าพ่อแม่ อย่างที่สองคือได้รับการอุปการะเลี้ยงดู และอย่างที่สามคือเราทั้งคู่ได้รับภารกิจยิ่งใหญ่
แม้ว่าผมจะไม่ได้นำชาวอิสราเอลไปสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แต่สิ่งที่ได้รับมอบหมายจากคุณพ่ออธิการบ้านเณรก็นับว่าหนักหนาไม่แพ้กัน
เพราะใครกันเล่าจะทนมองเขาโดยไม่เกิดราคะในยามที่ผิวคล้ำแดดชุ่มด้วยเหงื่อ ใครจะไม่อยากระเหยหายเหมือนไอน้ำเวลาที่ประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ถึงจะบอกว่าไม่รู้ใจตัวเอง แต่ผมกล้าเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาเดิมพันว่าคนอื่นก็คงแอบคิดแบบเดียวกัน
ทว่าหลังจากสวดภาวนานานนับชั่วโมงจึงตระหนักว่าอาจมีแค่ผมที่เกิดความรู้สึกแบบนั้น
คงมีแค่ผมที่อิจฉาอย่างไร้เหตุผลเมื่อเห็นเขายืนสนทนากับผู้อื่น รู้สึกว่างเปล่าพิกลเพียงเพราะไม่ได้รับคำชวนให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เพื่อนบางคนปฏิบัติต่อเขาประหนึ่งว่านั่นคือสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า แต่บางคนก็ไม่ได้มีแก่ใจจะมาแยแสเด็กใหม่คนนี้
แต่สำหรับผมแล้วเขาถูกจัดอยู่ในเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ เป็นโจทย์ที่ต้องพยายามวิเคราะห์หาคำตอบต่อไป อาจใช้เวลาเพียงข้ามคืนหรือชั่วกัลปาวสาน ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากพระบิดา
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2002 ในเช้าวันหนึ่งที่แสงแดดสว่างจ้าตั้งแต่หัวรุ่ง ปลุกเหล่านกกาบนต้นไม้รอบวัดน้อยในบ้านเณรให้ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ ผมซึมซับบรรยากาศเหล่านั้นจนกระทั่งแล้วเสร็จพิธีมิสซา ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เด็ก ๆ ที่นี่ล้วนเบื่อหน่ายแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อออกมาข้างนอกก็พบว่าคุณพ่ออรรถพลยืนดักรอผมอยู่ที่ลานหน้าวัด ท่านเป็นคนตัวสูง มีพุงแต่ไม่อ้วน ใบหน้าสดใสมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเสมอ ตั้งแต่จำความได้คุณพ่อก็ทำงานหนักเพื่อเด็กกำพร้ามาโดยตลอด และเพราะท่านผมจึงยังคงมีความศรัทธาในมนุษยชาติที่เสื่อมทรามลงทุกวัน
แต่หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบ้านเณรเมื่อสองปีก่อน คุณพ่อก็แทบไม่มีเวลาว่างเลย ผมคิดถึงตอนที่ท่านพาเราติดรถไปในตัวเมืองเมื่อเข้าไปทำธุระ จากนั้นก็พาแวะห้างสรรพสินค้าบ้าง เดินตลาดบ้างและซื้อขนมให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขมากแล้ว มันคือช่วงเวลาระยิบระยับแห่งความทรงจำอันเลือนรางในวัยเด็ก
ดังนั้นการที่เห็นคุณพ่ออรรถพลกวักมือเรียกจึงได้จุดประกายความหวังเล็ก ๆ ที่เคยดับมอดให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ปีนี้ผมอายุครบสิบหก ไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เสียทีเดียว แต่คำว่าเสียทีเดียวนั้นแปลว่ายังมีเศษเสี้ยวของความเยาว์วัยหลงเหลืออยู่ ผมจึงอนุญาตให้หัวใจปรารถนาอย่างเต็มที่ในสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าไร้สาระ
บางทีผมอาจได้รับคำชวนให้เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นตลาดสดหรือบ้านพักคนชรา ผมไม่เกี่ยงว่าจะเป็นที่ใด ขอแค่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็พอ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเลย จึงไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้นั่งเบียดเสียดกับเพื่อน ๆ ในท้ายรถกระบะสีแดงคันนั้น แล้วพาเราขับแล่นฉะลิ่วไปตามท้องถนนในชนบท ไปให้ไกลจากที่นี่ จากรั้วแห่งนี้
“ว่างไหม” คุณพ่อถาม
“ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่า” ผมรีบตอบ
“ถ้างั้นไปรับหลานชายของพ่อที่สถานีรถไฟด้วยกันนะ”
“เขามาทำธุระเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอก” คุณพ่อเอามือไพล่หลัง “เขาจะย้ายมาเรียนต่อที่นี่ต่างหาก พ่อเห็นว่าเอ็งเป็นหัวหน้าห้องก็เลยอยากแนะนำให้รู้จักกันไว้ เผื่อจะได้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำเพื่อนใหม่”
ผมพยักหน้าขณะทำความเข้าใจ
อันที่จริงผมไม่สนเลยว่าเราไปทำอะไรที่นั่น เพราะทั้งหมดที่ผมรับรู้คือไปเที่ยว ได้นั่งรถเล่น และไปจากที่นี่ ถ้าเพียงแต่จะรู้สักนิดว่าเหตุการณ์นั้นจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล หากเป็นเช่นนั้นผมยังจะอยากตอบรับคำชวนอยู่อีกไหม และถ้าหากผมได้รับคำเตือนล่วงหน้าแล้วจะยังปล่อยให้เกิดขึ้นหรือไม่
แต่ผมเป็นใครกันเล่า...
ทูตสวรรค์หรือ? นักบุญหรือ?
เพราะขนาดพระบุตรก็ยังจำนนต่อแผนการพระบิดา แล้วมนุษย์ธรรมดาอย่างผมน่ะหรือที่คิดจะต่อรอง ฉะนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกปล่อยให้เป็นไป ขอเพียงได้โปรดอย่าทำให้ผมใจสลายเท่านั้นพอ
ระยะทางจากบ้านเณรไปตัวเมืองห่างกันประมาณสามสิบกิโลเมตร ดังนั้นจึงใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร มันเลยทำให้ผมมีโอกาสชื่นชมวิวทิวทัศน์ข้างทางจนสำราญใจ แต่ก็ต้องแลกกับการนั่งอย่างผวาและเกร็งท้องไปตลอดทาง
เพราะเมื่อคุณพ่อเร่งเครื่องขึ้นแซงรถบรรทุกมันสำปะหลังสามคันในรวดเดียว ผมจึงเริ่มสวดภาวนาในใจขออย่าให้เราต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล หรือแย่ไปกว่านั้นคือต้องขุดหลุมเพิ่มสองหลุมในป่าศักดิ์สิทธิ์ ผมเหงื่อแตกพลั่กทั้ง ๆ ที่ลมโกกหน้า ในขณะที่คุณพ่อดูท่าทางสบาย ๆ แถมยังผิวปากเป็นเพลงอีกด้วย
ขณะรถติดไฟแดงคุณพ่อก็ปรับคลื่นวิทยุขึ้น ๆ ลง ๆ จนได้ฟังเพลง “พูดไม่ค่อยเก่ง” ของ เอ.บี. นอร์มอล กระทั่งเพลงจบไปแล้วผมก็ยังคงร้องออกมาบางท่อนซ้ำไปซ้ำมา คุณพ่อชมว่าผมเสียงดีสมกับเป็นนักร้องในวงประสานเสียง ก่อนที่ผมจะหัวเราะลั่นเพราะมองดูท่านเลียนแบบท่าทางตอนร้องเพลงของผมซึ่งเหมือนกำลังถ่ายทำมิวสิควิดีโอ
พอได้เห็นบาทหลวงที่ควรจะมีภาพลักษณ์สุขุมทำเรื่องไร้สาระทั่วไป ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของผมก็ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ใครจะสนว่าเราจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่หากตอนยังอยู่บนโลกไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของชีวิตเลย ผมไม่ได้กำลังบอกว่าจะทิ้งพระเจ้าแล้วไปเป็นนักร้อง แต่ผมกำลังบอกว่าเราทุกคนสมควรจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข
หลังจากที่คุณพ่อตัดสินใจแซงซาเล้งคันหนึ่งด้วยท่าทางเหมือนนักแข่งมืออาชีพ ผมก็มองเห็นป้ายบอกทางนำไปสู่สถานีรถไฟประจำจังหวัด อ. คุณพ่อเปิดไฟเลี้ยวพร้อมกับแล่นเข้าไปในเส้นทางนั้น และไม่นานก็เข้าไปเทียบจอดยังบริเวณด้านในสถานี
ผมลงจากรถและตามท่านเข้าไปในชานชาลาที่ดูวังเวงแทบร้างผู้คน ทันเห็นรถไฟขบวนหนึ่งแล่นออกไปพร้อมกับเสียงโลหะลั่นอึกทึก ผมเอาแต่มองตามจนไม่ได้ใส่ใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งบนนั่งเก่า ๆ ข้างเสา จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาหาพวกเรา
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะหาข้ออ้างสารพัดหรือกระทั่งยอมโกหกเพื่อจะได้ไม่ต้องมาที่นี่ ผมไม่อายด้วยถ้าต้องไปแก้บาปในเช้าวันถัดมา ผมรับได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้มันจะทำให้พลาดการได้นั่งรถเล่นก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมาน
ถ้าหยุดเวลาได้ผมจะยืนมองเขาจากตรงนั้นสักครู่เสมือนว่าเราไม่รีบร้อน เพื่อที่ผมจะได้มีเวลามากพอในการสำรวจและจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่ทรงผมสกินเฮดสั้นเกรียน เสื้อเชิ้ตสีส้มแสบตาตัดกับผิวสีเข้ม ทว่าเข้ากันดีกับกางเกงยีนสีฟ้าหลวม ๆ ไปจนถึงรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดเอี่ยม ทุกอย่างบนตัวเขาช่างเหมาะเจาะกับขนาดตัวและส่วนสูงแบบนักกีฬา
ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจ้องมองแขนที่มีเส้นเลือดปูดโปนคู่นั้น จนกระทั่งเขายกมือประณมไหว้สวัสดี เมื่อมีโอกาสได้มองใกล้ ๆ จึงสังเกตว่าคุณพ่ออรรถพลกับหลานชายมีความละม้ายคล้ายกันอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มมีใบหน้าคมเข้มและเต่งตึงกว่าตามสภาพวัย
แล้วคุณพ่อก็แนะนำให้เราสองคนรู้จักกัน ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของเขา ความสุภาพอ่อนโยนในรอยยิ้มนั้นเปรียบดังลูกศรพุ่งปักที่กลางใจ แล้วผมก็ดำดิ่งสู่ทะเลแห่งความคิด
มันเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกปลื้มปีติเพราะได้พบคนแปลกหน้า เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์สักคนอาจถึงแก่ความตายเพียงแค่ได้ยินเสียงของใครบางคน พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้ชื่นชมแค่พระองค์เท่านั้นหรอกหรือ แล้วทำไมจึงทรงอนุญาตให้ผมรู้สึกเช่นนั้นกับสิ่งสร้างของพระองค์กันเล่า
ผมหวังว่านี่คงไม่ใช่การทดลองที่ส่งตรงจากสวรรค์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าพระเจ้าทรงโหดร้ายต่อดวงวิญญาณของผมมากทีเดียว
ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรก
ผมคิดขณะมองปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวตรงหน้า ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
บางทีผมอาจกำลังอิจฉาในความดูดีของหมอนั่น เพราะเขาดูดีมากจริง ๆ หรือบางทีผมแค่ฉุกคิดได้ว่าควรหันมาเล่นกีฬาเสียบ้างจะได้ไม่หุ่นบางแบบนี้
เมื่อรวบรวมความกล้าที่จะเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรง ๆ เป็นครั้งแรก ในที่สุดจึงรู้ตัวว่าผมไม่ได้กำลังอิจฉาหรืออยากมีผิวสีแทนสมบูรณ์แบบเช่นนั้น อันที่จริงผมกำลังต่อสู้ระหว่างอาการต่อต้านในจิตใจกับความรู้สึกถวิลหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ไม่แม้แต่ตอนที่นั่งใกล้หญิงสาวที่ชื่อธิดาซึ่งเป็นลูกของครูคำสอน หรือแม้แต่ตอนที่เธอสารภาพความในใจระหว่างงานเลี้ยงวันเกิดครบสิบสองปีของเธอ
มันไม่เหมือนกับอะไรที่ผมเคยประสบมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่พิเศษแตกต่าง ทั้งให้ความรู้สึกดีและน่ากลัว แต่โดยรวมแล้วมันคือความต้องการอันลึกซึ้งที่มนุษย์จะสามารถมีให้แก่กัน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ปกติเอามาก ๆ เลยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในสังคมโรงเรียนชายล้วนคาทอลิก
พอ ๆ กับความคิดทั้งหลายที่ถาโถมโดยฉับพลัน ผมก็ได้รับความบรรเทาใจในเวลาอันสั้นหลังจากคิดได้ว่าไม่จำเป็นต้องบอกใครเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมมีสิทธิ์ที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ ไม่จำเป็นต้องเล่าตอนสารภาพบาป จะไม่มีใครรู้ว่าผมคิดอะไร รู้สึกอย่างไรและจะเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้เป็นเช่นนั้น
จนกระทั่งเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เรียกสติกลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เราชื่อคิมหันต์นะ” เขาแนะนำตัว
“เราชื่อนิรันดร์” ผมบอก ไม่ละสายตาไปจากริมฝีปากหยักได้รูป แล้วเขาก็ยิ้มกว้างให้ผม
จากนั้นผมก็ช่วยเขาถือกระเป๋าผ้าใบใหญ่ไปใส่ที่ท้ายรถกระบะและเสียสละให้เขานั่งด้านหน้าเพราะเห็นแก่ขาที่ยาวเก้งก้าง ส่วนผมไปนั่งที่แค็ปด้านหลังซึ่งแคบกว่าแต่ก็ไม่มีปัญหา เมื่อเรียบร้อยดีแล้วคุณพ่ออรรถพลก็ติดเครื่องยนต์พาเราแล่นออกไปสู่ถนนด้านนอก ทิ้งสถานีรถไฟประจำหวังหวัด อ. อันวังเวงไว้เบื้องหลัง
ปกติแล้วผมจะนึกถึงสถานที่ที่เพิ่งไปเยือนตลอดการเดินทางกลับ ทว่าคราวนี้ผมไม่นึกอาลัยอาวรณ์กับมันเลยในเมื่อมีเรื่องอื่นให้น่าคิด เพราะต่อไปนี้ผมคงต้องระวังตัวให้มาก เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้เป็นปกติและอย่าทำเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน ผมวางแผนสารพัดสำหรับอนาคตที่ปลอดภัยไว้ในหัว มั่นใจมากว่าถ้าไม่ออกนอกลู่นอกทางทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี
ทว่าวินาทีที่เขาเหลียวมามองผมที่ด้านหลัง ความคิดเข้าท่าทุกอย่างก็แตกกระเจิงราวกับฝูงผึ้งในฤดูร้อน เมื่อในที่สุดสายตาของเราประสานกัน จิตวิญญาณของผมจึงตระหนักชัดแจ้งแล้วว่าไม่มีทางเลยที่จะรับมือได้ ผมแพ้แล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น เพราะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งหรือต้านทานอานุภาพนี้ได้เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เช่นเดียวกับที่ผมไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไหน ระหว่างอยู่เพื่อคนอื่นหรือมีชีวิตเป็นอิสระของตัวเอง มันน่าเศร้าเมื่อคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับบางคน ดังเช่นพระเยซูเจ้าที่ทรงเลือกอุทิศตนโดยไม่ลังเล ทว่าโลกนี้จะมีมนุษย์สักกี่คนที่มีความกล้าเด็ดเดี่ยวแบบนั้น
เพราะกระทั่งอัครสาวกอย่างยูดาส อิสคาริโอทก็ยังทรยศพระองค์ในวินาทีสำคัญของชีวิต และนักบุญเปโตรก็เคยปฏิเสธท่านถึงสามครั้ง ฉะนั้นจึงมีเหตุผลมากมายทำให้ผมยังคงสับสนในตัวเอง ไม่รู้ว่าชอบอะไร รักอะไรหรือใฝ่ฝันถึงสิ่งใด
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมยังเด็กจึงไม่เข้าใจในหลาย ๆ สิ่ง แต่ผมก็โตมากพอจนอารมณ์แปรปรวนเป็นว่าเล่น ไร้เดียงสาน้อยลงทุกปี แสวงหามากขึ้นทุกนาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องรักใคร่ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในรั้วโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้
อย่างที่ผมบอก ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรกันแน่
แต่ถ้าเป็นเขาคนนั้น เด็กนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา
ใช่...ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่ทำไมมันกลับเป็นเรื่องง่ายที่จะอธิบายว่ารู้สึกต่อเขาอย่างไร
บางครั้งผมเคยอิจฉาบรรดาประกาศก พวกเขามักได้รับความช่วยเหลือและการชี้แนะจากพระเจ้าเสมอ แต่วันหนึ่งเมื่อผมปิดพระคัมภีร์และกลับมาทบทวนชีวิตให้ดี จึงตระหนักว่าผมเองก็ได้รับความเมตตาจากสวรรค์อย่างมากล้น จนทำให้นึกถึงระหว่างตัวผมกับโมเสส
เพราะอย่างแรกคือเรากำพร้าพ่อแม่ อย่างที่สองคือได้รับการอุปการะเลี้ยงดู และอย่างที่สามคือเราทั้งคู่ได้รับภารกิจยิ่งใหญ่
แม้ว่าผมจะไม่ได้นำชาวอิสราเอลไปสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แต่สิ่งที่ได้รับมอบหมายจากคุณพ่ออธิการบ้านเณรก็นับว่าหนักหนาไม่แพ้กัน
เพราะใครกันเล่าจะทนมองเขาโดยไม่เกิดราคะในยามที่ผิวคล้ำแดดชุ่มด้วยเหงื่อ ใครจะไม่อยากระเหยหายเหมือนไอน้ำเวลาที่ประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ถึงจะบอกว่าไม่รู้ใจตัวเอง แต่ผมกล้าเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาเดิมพันว่าคนอื่นก็คงแอบคิดแบบเดียวกัน
ทว่าหลังจากสวดภาวนานานนับชั่วโมงจึงตระหนักว่าอาจมีแค่ผมที่เกิดความรู้สึกแบบนั้น
คงมีแค่ผมที่อิจฉาอย่างไร้เหตุผลเมื่อเห็นเขายืนสนทนากับผู้อื่น รู้สึกว่างเปล่าพิกลเพียงเพราะไม่ได้รับคำชวนให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เพื่อนบางคนปฏิบัติต่อเขาประหนึ่งว่านั่นคือสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้า แต่บางคนก็ไม่ได้มีแก่ใจจะมาแยแสเด็กใหม่คนนี้
แต่สำหรับผมแล้วเขาถูกจัดอยู่ในเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ เป็นโจทย์ที่ต้องพยายามวิเคราะห์หาคำตอบต่อไป อาจใช้เวลาเพียงข้ามคืนหรือชั่วกัลปาวสาน ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากพระบิดา
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2002 ในเช้าวันหนึ่งที่แสงแดดสว่างจ้าตั้งแต่หัวรุ่ง ปลุกเหล่านกกาบนต้นไม้รอบวัดน้อยในบ้านเณรให้ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ ผมซึมซับบรรยากาศเหล่านั้นจนกระทั่งแล้วเสร็จพิธีมิสซา ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เด็ก ๆ ที่นี่ล้วนเบื่อหน่ายแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อออกมาข้างนอกก็พบว่าคุณพ่ออรรถพลยืนดักรอผมอยู่ที่ลานหน้าวัด ท่านเป็นคนตัวสูง มีพุงแต่ไม่อ้วน ใบหน้าสดใสมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากเสมอ ตั้งแต่จำความได้คุณพ่อก็ทำงานหนักเพื่อเด็กกำพร้ามาโดยตลอด และเพราะท่านผมจึงยังคงมีความศรัทธาในมนุษยชาติที่เสื่อมทรามลงทุกวัน
แต่หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบ้านเณรเมื่อสองปีก่อน คุณพ่อก็แทบไม่มีเวลาว่างเลย ผมคิดถึงตอนที่ท่านพาเราติดรถไปในตัวเมืองเมื่อเข้าไปทำธุระ จากนั้นก็พาแวะห้างสรรพสินค้าบ้าง เดินตลาดบ้างและซื้อขนมให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขมากแล้ว มันคือช่วงเวลาระยิบระยับแห่งความทรงจำอันเลือนรางในวัยเด็ก
ดังนั้นการที่เห็นคุณพ่ออรรถพลกวักมือเรียกจึงได้จุดประกายความหวังเล็ก ๆ ที่เคยดับมอดให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ปีนี้ผมอายุครบสิบหก ไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เสียทีเดียว แต่คำว่าเสียทีเดียวนั้นแปลว่ายังมีเศษเสี้ยวของความเยาว์วัยหลงเหลืออยู่ ผมจึงอนุญาตให้หัวใจปรารถนาอย่างเต็มที่ในสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าไร้สาระ
บางทีผมอาจได้รับคำชวนให้เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นตลาดสดหรือบ้านพักคนชรา ผมไม่เกี่ยงว่าจะเป็นที่ใด ขอแค่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็พอ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเลย จึงไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้นั่งเบียดเสียดกับเพื่อน ๆ ในท้ายรถกระบะสีแดงคันนั้น แล้วพาเราขับแล่นฉะลิ่วไปตามท้องถนนในชนบท ไปให้ไกลจากที่นี่ จากรั้วแห่งนี้
“ว่างไหม” คุณพ่อถาม
“ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่า” ผมรีบตอบ
“ถ้างั้นไปรับหลานชายของพ่อที่สถานีรถไฟด้วยกันนะ”
“เขามาทำธุระเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอก” คุณพ่อเอามือไพล่หลัง “เขาจะย้ายมาเรียนต่อที่นี่ต่างหาก พ่อเห็นว่าเอ็งเป็นหัวหน้าห้องก็เลยอยากแนะนำให้รู้จักกันไว้ เผื่อจะได้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำเพื่อนใหม่”
ผมพยักหน้าขณะทำความเข้าใจ
อันที่จริงผมไม่สนเลยว่าเราไปทำอะไรที่นั่น เพราะทั้งหมดที่ผมรับรู้คือไปเที่ยว ได้นั่งรถเล่น และไปจากที่นี่ ถ้าเพียงแต่จะรู้สักนิดว่าเหตุการณ์นั้นจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล หากเป็นเช่นนั้นผมยังจะอยากตอบรับคำชวนอยู่อีกไหม และถ้าหากผมได้รับคำเตือนล่วงหน้าแล้วจะยังปล่อยให้เกิดขึ้นหรือไม่
แต่ผมเป็นใครกันเล่า...
ทูตสวรรค์หรือ? นักบุญหรือ?
เพราะขนาดพระบุตรก็ยังจำนนต่อแผนการพระบิดา แล้วมนุษย์ธรรมดาอย่างผมน่ะหรือที่คิดจะต่อรอง ฉะนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกปล่อยให้เป็นไป ขอเพียงได้โปรดอย่าทำให้ผมใจสลายเท่านั้นพอ
ระยะทางจากบ้านเณรไปตัวเมืองห่างกันประมาณสามสิบกิโลเมตร ดังนั้นจึงใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร มันเลยทำให้ผมมีโอกาสชื่นชมวิวทิวทัศน์ข้างทางจนสำราญใจ แต่ก็ต้องแลกกับการนั่งอย่างผวาและเกร็งท้องไปตลอดทาง
เพราะเมื่อคุณพ่อเร่งเครื่องขึ้นแซงรถบรรทุกมันสำปะหลังสามคันในรวดเดียว ผมจึงเริ่มสวดภาวนาในใจขออย่าให้เราต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาล หรือแย่ไปกว่านั้นคือต้องขุดหลุมเพิ่มสองหลุมในป่าศักดิ์สิทธิ์ ผมเหงื่อแตกพลั่กทั้ง ๆ ที่ลมโกกหน้า ในขณะที่คุณพ่อดูท่าทางสบาย ๆ แถมยังผิวปากเป็นเพลงอีกด้วย
ขณะรถติดไฟแดงคุณพ่อก็ปรับคลื่นวิทยุขึ้น ๆ ลง ๆ จนได้ฟังเพลง “พูดไม่ค่อยเก่ง” ของ เอ.บี. นอร์มอล กระทั่งเพลงจบไปแล้วผมก็ยังคงร้องออกมาบางท่อนซ้ำไปซ้ำมา คุณพ่อชมว่าผมเสียงดีสมกับเป็นนักร้องในวงประสานเสียง ก่อนที่ผมจะหัวเราะลั่นเพราะมองดูท่านเลียนแบบท่าทางตอนร้องเพลงของผมซึ่งเหมือนกำลังถ่ายทำมิวสิควิดีโอ
พอได้เห็นบาทหลวงที่ควรจะมีภาพลักษณ์สุขุมทำเรื่องไร้สาระทั่วไป ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของผมก็ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ใครจะสนว่าเราจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์หรือไม่หากตอนยังอยู่บนโลกไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของชีวิตเลย ผมไม่ได้กำลังบอกว่าจะทิ้งพระเจ้าแล้วไปเป็นนักร้อง แต่ผมกำลังบอกว่าเราทุกคนสมควรจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข
หลังจากที่คุณพ่อตัดสินใจแซงซาเล้งคันหนึ่งด้วยท่าทางเหมือนนักแข่งมืออาชีพ ผมก็มองเห็นป้ายบอกทางนำไปสู่สถานีรถไฟประจำจังหวัด อ. คุณพ่อเปิดไฟเลี้ยวพร้อมกับแล่นเข้าไปในเส้นทางนั้น และไม่นานก็เข้าไปเทียบจอดยังบริเวณด้านในสถานี
ผมลงจากรถและตามท่านเข้าไปในชานชาลาที่ดูวังเวงแทบร้างผู้คน ทันเห็นรถไฟขบวนหนึ่งแล่นออกไปพร้อมกับเสียงโลหะลั่นอึกทึก ผมเอาแต่มองตามจนไม่ได้ใส่ใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งบนนั่งเก่า ๆ ข้างเสา จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาหาพวกเรา
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะหาข้ออ้างสารพัดหรือกระทั่งยอมโกหกเพื่อจะได้ไม่ต้องมาที่นี่ ผมไม่อายด้วยถ้าต้องไปแก้บาปในเช้าวันถัดมา ผมรับได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้มันจะทำให้พลาดการได้นั่งรถเล่นก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมาน
ถ้าหยุดเวลาได้ผมจะยืนมองเขาจากตรงนั้นสักครู่เสมือนว่าเราไม่รีบร้อน เพื่อที่ผมจะได้มีเวลามากพอในการสำรวจและจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่ทรงผมสกินเฮดสั้นเกรียน เสื้อเชิ้ตสีส้มแสบตาตัดกับผิวสีเข้ม ทว่าเข้ากันดีกับกางเกงยีนสีฟ้าหลวม ๆ ไปจนถึงรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดเอี่ยม ทุกอย่างบนตัวเขาช่างเหมาะเจาะกับขนาดตัวและส่วนสูงแบบนักกีฬา
ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจ้องมองแขนที่มีเส้นเลือดปูดโปนคู่นั้น จนกระทั่งเขายกมือประณมไหว้สวัสดี เมื่อมีโอกาสได้มองใกล้ ๆ จึงสังเกตว่าคุณพ่ออรรถพลกับหลานชายมีความละม้ายคล้ายกันอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มมีใบหน้าคมเข้มและเต่งตึงกว่าตามสภาพวัย
แล้วคุณพ่อก็แนะนำให้เราสองคนรู้จักกัน ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของเขา ความสุภาพอ่อนโยนในรอยยิ้มนั้นเปรียบดังลูกศรพุ่งปักที่กลางใจ แล้วผมก็ดำดิ่งสู่ทะเลแห่งความคิด
มันเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกปลื้มปีติเพราะได้พบคนแปลกหน้า เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์สักคนอาจถึงแก่ความตายเพียงแค่ได้ยินเสียงของใครบางคน พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้ชื่นชมแค่พระองค์เท่านั้นหรอกหรือ แล้วทำไมจึงทรงอนุญาตให้ผมรู้สึกเช่นนั้นกับสิ่งสร้างของพระองค์กันเล่า
ผมหวังว่านี่คงไม่ใช่การทดลองที่ส่งตรงจากสวรรค์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าพระเจ้าทรงโหดร้ายต่อดวงวิญญาณของผมมากทีเดียว
ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรก
ผมคิดขณะมองปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวตรงหน้า ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
บางทีผมอาจกำลังอิจฉาในความดูดีของหมอนั่น เพราะเขาดูดีมากจริง ๆ หรือบางทีผมแค่ฉุกคิดได้ว่าควรหันมาเล่นกีฬาเสียบ้างจะได้ไม่หุ่นบางแบบนี้
เมื่อรวบรวมความกล้าที่จะเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรง ๆ เป็นครั้งแรก ในที่สุดจึงรู้ตัวว่าผมไม่ได้กำลังอิจฉาหรืออยากมีผิวสีแทนสมบูรณ์แบบเช่นนั้น อันที่จริงผมกำลังต่อสู้ระหว่างอาการต่อต้านในจิตใจกับความรู้สึกถวิลหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ไม่แม้แต่ตอนที่นั่งใกล้หญิงสาวที่ชื่อธิดาซึ่งเป็นลูกของครูคำสอน หรือแม้แต่ตอนที่เธอสารภาพความในใจระหว่างงานเลี้ยงวันเกิดครบสิบสองปีของเธอ
มันไม่เหมือนกับอะไรที่ผมเคยประสบมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่พิเศษแตกต่าง ทั้งให้ความรู้สึกดีและน่ากลัว แต่โดยรวมแล้วมันคือความต้องการอันลึกซึ้งที่มนุษย์จะสามารถมีให้แก่กัน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ปกติเอามาก ๆ เลยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในสังคมโรงเรียนชายล้วนคาทอลิก
พอ ๆ กับความคิดทั้งหลายที่ถาโถมโดยฉับพลัน ผมก็ได้รับความบรรเทาใจในเวลาอันสั้นหลังจากคิดได้ว่าไม่จำเป็นต้องบอกใครเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมมีสิทธิ์ที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ ไม่จำเป็นต้องเล่าตอนสารภาพบาป จะไม่มีใครรู้ว่าผมคิดอะไร รู้สึกอย่างไรและจะเป็นคนอย่างไร ซึ่งผมปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้เป็นเช่นนั้น
จนกระทั่งเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เรียกสติกลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เราชื่อคิมหันต์นะ” เขาแนะนำตัว
“เราชื่อนิรันดร์” ผมบอก ไม่ละสายตาไปจากริมฝีปากหยักได้รูป แล้วเขาก็ยิ้มกว้างให้ผม
จากนั้นผมก็ช่วยเขาถือกระเป๋าผ้าใบใหญ่ไปใส่ที่ท้ายรถกระบะและเสียสละให้เขานั่งด้านหน้าเพราะเห็นแก่ขาที่ยาวเก้งก้าง ส่วนผมไปนั่งที่แค็ปด้านหลังซึ่งแคบกว่าแต่ก็ไม่มีปัญหา เมื่อเรียบร้อยดีแล้วคุณพ่ออรรถพลก็ติดเครื่องยนต์พาเราแล่นออกไปสู่ถนนด้านนอก ทิ้งสถานีรถไฟประจำหวังหวัด อ. อันวังเวงไว้เบื้องหลัง
ปกติแล้วผมจะนึกถึงสถานที่ที่เพิ่งไปเยือนตลอดการเดินทางกลับ ทว่าคราวนี้ผมไม่นึกอาลัยอาวรณ์กับมันเลยในเมื่อมีเรื่องอื่นให้น่าคิด เพราะต่อไปนี้ผมคงต้องระวังตัวให้มาก เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้เป็นปกติและอย่าทำเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน ผมวางแผนสารพัดสำหรับอนาคตที่ปลอดภัยไว้ในหัว มั่นใจมากว่าถ้าไม่ออกนอกลู่นอกทางทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี
ทว่าวินาทีที่เขาเหลียวมามองผมที่ด้านหลัง ความคิดเข้าท่าทุกอย่างก็แตกกระเจิงราวกับฝูงผึ้งในฤดูร้อน เมื่อในที่สุดสายตาของเราประสานกัน จิตวิญญาณของผมจึงตระหนักชัดแจ้งแล้วว่าไม่มีทางเลยที่จะรับมือได้ ผมแพ้แล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น เพราะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งหรือต้านทานอานุภาพนี้ได้เมื่อคิมหันต์มาเยือน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ