เมื่อคิมหันต์มาเยือน
เขียนโดย ตะวันอัศวิน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) รูมเมท
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่บ้านเณรก็บ่ายโมงพอดี เป็นเวลาเดียวกับที่ผมทราบว่าเตียงอีกหลังในห้องนอนของผมจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
“ตอนนี้เอ็งพักอยู่กับรันไปก่อนนะ อยู่ไปสักพักถ้าอยากย้ายก็ค่อยว่ากันอีกที” คุณพ่ออรรถพลบอกหลานชายขณะขับรถมาจอดที่ลานด้านหน้าหอพักนักบุญมัทธิว 2
“ครับลุง ผมยังไงก็ได้”
พูดจบคิมหันต์ก็มองออกนอกหน้าต่างเพื่อสำรวจดูสถาบันแห่งใหม่ ส่วนผมซึ่งนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังไม่สามารถอธิบายได้ว่ารู้สึกอย่างไรระหว่างยินดีกับเสียใจ
ไม่แปลกหรอกถ้าคุณพ่อจะเป็นห่วง บางทีการให้คิมหันต์อยู่กับผมคงช่วยให้รู้สึกสบายใจ อย่างน้อยท่านก็รู้ว่าผมจะไม่ปล่อยให้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวขณะปรับตัวเข้ากับที่นี่ เพราะการเป็นเด็กกำพร้าทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกเลวร้ายของการอยู่คนเดียวเป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมพร้อมจะรับความเปลี่ยนแปลงเสมอไป
เนื่องจากบ้านเณรกลางเป็นโรงเรียนประจำภาคบังคับ ฉะนั้นที่นี่จึงมีหอพักทั้งหมดสามอาคารเพื่อรองรับนักเรียนกว่าร้อยชีวิต พวกมันถูกสร้างด้วยปูนซีเมนต์ ทาสีฟ้าสดใสและมีสี่ชั้น โดยแต่ละตึกถูกกำหนดไว้เฉพาะนักเรียนแต่ละระดับการศึกษา
เริ่มตั้งแต่หอพักนักบุญมัทธิว 1 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่สี่
หอพักนักบุญมัทธิว 2 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ห้า
และหอพักนักบุญมัทธิว 3 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่หก
โดยชั้นล่างของทุกอาคารประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่นรวมที่มีโซฟากับโทรทัศน์ ห้องทำงานของบราเดอร์วินผู้ดูแล (เฉพาะหอพักนักบุญมัทธิว 1) และแมวอีกหลายชีวิตนอนเหยียดตัวเกลื่อนกลาด ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักของนักเรียนซึ่งได้รับอนุญาตให้พักได้ห้องละสองคนเท่านั้น
เมื่อลงจากรถผมก็เดินนำหน้าทุกคนเข้าไปข้างในหอพักนักบุญมัทธิว 2 ขึ้นบันไดมายังชั้นสี่และหยุดที่หน้าห้องหมายเลข 2410 ผมวางกระเป๋าผ้าของคิมหันต์ลงกับพื้นเพื่อควานหากุญแจในกระเป๋ากางเกง รู้สึกแปลกพิลึกที่ต้องแบ่งห้องนอนกับคนอื่นหลังจากอยู่คนเดียวมาปีกว่า
ภายในห้องนอนขนาดเล็กไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ประกอบไปด้วยเตียงนอนขนาดสามฟุต ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะกับเก้าอี้สำหรับเขียนหนังสือ ทุกสิ่งถูกจัดเตรียมไว้อย่างละสองเท่า ๆ กัน เหนือประตูทางเข้ามีนาฬิกาแขวนอยู่ ส่วนเหนือประตูทางออกสู่ระเบียงก็มีไม้กางเขนเก่า ๆ แขวนอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกัน
อย่างไรก็ตามผมรู้สึกขอบคุณตัวเองที่รักษาความสะอาด เพราะอย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตัวเองขายหน้าตอนเปิดประตูห้อง ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย คิมหันต์มองรอบ ๆ ห้องอย่างพิจารณาก่อนจะนำสัมภาระทั้งหมดไปวางบนเตียงอีกหลังซึ่งไร้ผ้าปู
“เป็นไงบ้าง พอจะอยู่ได้ไหม” คุณพ่ออรรถพลถามคิมหันต์
“ได้ครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ “ขอบคุณมากครับลุง”
แล้วท่านก็ยิ้มด้วยความโล่งใจ
“พ่อฝากดูแลคิมด้วย มีอะไรก็ช่วย ๆ กัน ตอนนี้พวกเอ็งเป็นรูมเมทกันแล้วนะ”
คุณพ่อหันมาบอกผมพร้อมกับตบไหล่เราสองคนเบา ๆ
ไม่นานคุณพ่ออรรถพลก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ฉะนั้นผมกับคิมหันต์จึงอยู่ด้วยกันสองต่อสองเป็นครั้งแรก เราส่งยิ้มให้กันอย่างเหนียมอาย ก่อนที่เขาจะเปิดกระเป๋าและเริ่มจัดเก็บข้าวของเข้าที่
“ให้เราช่วยไหม” ผมถามอย่างมีไมตรี
“ไม่เป็นไรครับ ของแค่นี้เองเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
คิมหันต์ปฏิเสธด้วยความเกรงใจและผมก็ไม่พยายามเซ้าซี้ หากแต่เดินไปยังเตียงนอนของตัวเองและนั่งลง มองดูเขาพับเสื้อผ้าและเดินไปโน่นมานี่ทั่วห้อง พร้อมกับพิจารณาความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว
รูมเมท ผมพยายามทำความเข้าใจคำนี้อย่างถ่องแท้เป็นครั้งแรกในชีวิต ขณะเดียวกันก็สั่งให้ตัวเองยอมรับว่าห้องนี้ไม่ได้มีแค่ผมอีกต่อไปแล้ว
รูมเมท เป็นคำที่เด็กหอได้ยินจนคุ้นหูและช่างไม่มีอะไรน่าพอใจเลย เราสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปก็เพราะเหตุนี้
รูมเมท สำหรับบางคนเป็นคำที่พิเศษ เพราะเพื่อนสนิทก็อาจมาจากเพื่อนร่วมห้อง
หรือบางทีรูมเมทอาจเป็นสิ่งที่เราเกลียดที่สุดเพราะคนคนนั้นสร้างเรื่องยุ่งยากลำบากใจจนมองหน้ากันไม่ติด
ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในรูปแบบรูมเมทระหว่างผมกับคิมหันต์ สงสัยว่าเราจะเข้ากันได้ไหม จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า เพราะฝันร้ายของผมก็คือการรับนิสัยของแต่ละฝ่ายไม่ได้
ผมมองไปที่ไม้กางเขนเหนือประตูระเบียง รู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากขอฝากทุกอย่างไว้กับพระองค์ จากนั้นก็ผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง
ช่วงบ่ายสามโมงผมพาคิมหันต์ลงไปเดินดูรอบ ๆ โรงเรียน จำได้ว่าอากาศร้อนมากและแดดก็แรงจนรู้สึกแสบผิว ถ้าเป็นปกติผมคงเก็บตัวอยู่แต่ในร่ม หากแต่วันนี้ต้องรับหน้าที่มัคคุเทศก์จำเป็นพาเด็กใหม่นำเที่ยว ซึ่งผมก็เต็มใจอย่างยิ่ง
คิมหันต์ยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิม และท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าเช่นนี้จึงทำให้เสื้อสีส้มดูร้อนแรงบาดตามากขึ้นไปอีก ตอนแรกผมเดินนำหน้าเขา สักพักเขาก็แซงหน้าผม มือไม่หยุดชี้นั่นชี้นี่และผมก็ไม่หยุดตอบคำถามทุกข้อของเขาด้วยความเต็มใจ
แต่แล้วชายหนุ่มก็หยุดอยู่กับที่และมองรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าสงสัย
“ที่นี่กว้างมากเลย แล้วเคยมีใครหลงทางบ้างไหม” เขาหันมาถาม
“ก็มีบ้าง แต่ถ้านายเดินตามเรารับรองไม่หลงแน่นอน”
เขาหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมันก็ทำให้ผมหลุดยิ้ม
ต่อมาผมพาคิมหันต์ไปดูห้องเรียน ไปดูสนามกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอลและบาสเกตบอล โรงอาหาร ห้องสมุด ก่อนจะพาไปดูว่าเราประกอบพิธีมิสซากันที่ไหน ซึ่งเขาก็เต็มใจฟังผมอธิบายเกี่ยวกับตารางเวลามิสซาอย่างละเอียด
ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะกับคนรู้จักหรือใครทั้งนั้น เพราะปกติแล้วเด็กใหม่มักจะเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
และใช่ ถึงแม้ว่างานนี้คุณพ่ออรรถพลจะไม่ได้เอ่ยปากขอร้อง ทว่าบางอย่างกระตุ้นให้ผมอาสาทำเช่นนั้น ผมอยากช่วยเขา ผมอยากบอกเขา หรือที่จริงแล้วผมอยากชวนเขาคุยมากกว่า
แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมแค่อยากให้คิมหันต์รู้ว่าที่นี่ยินดีต้อนรับเขา และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากที่ได้มีส่วนช่วย
ตอนนี้เรายืนอยู่ที่ลานหน้าวัดน้อย คิมหันต์มองโบสถ์สีขาวที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์อย่างสนใจ ผมจึงอธิบายว่าที่นี่เปิดทุกวันเพื่อให้ผู้คนเข้าไปสวดภาวนา แล้วจากนั้นก็ชวนเขาเข้าไปข้างใน
“เราไม่ค่อยได้เข้าวัดเลย” เขาบอก สายตามองไปยังรูปปั้นแม่พระข้างบนพระแท่น “จริง ๆ แล้วที่บ้านไม่ค่อยเคร่งศาสนาเท่าไหร่ พ่อกับแม่ก็เป็นหมอทั้งคู่ พวกเราก็แค่ถือคริสต์ตามทะเบียนบ้าน ไม่เหมือนลุงพลที่กระแสเรียกแรงสุด ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ” ผมถาม แสร้งทำเป็นสนใจรอยแผลที่ฝ่าพระหัตถ์ของรูปปั้นพระเยซูเจ้า
คิมหันต์ไม่ตอบในทันที ผ่านไปครู่หนึ่งจนกระทั่งเสียงนกร้องบนต้นไม้เบาลงเขาจึงเอ่ยขึ้น
“เพราะว่าพ่อกับแม่ย้ายไปอิตาลีน่ะ ทั้งเรียนต่อและก็ทำงานด้วย คงวุ่นวายน่าดู”
“แล้วนายไม่อยากไปด้วยเหรอ” ผมหันมาถามอย่างสงสัย แต่เขากลับส่ายหัว
“ไม่อยากไปหรอก อยู่เมืองไทยน่ะดีแล้ว ที่โน้นมีแต่อาหารเลี่ยน ๆ” เขาบอกด้วยท่าทางเหมือนว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี “มีหวังกลับมาอีกทีตัวกลมเป็นลูกบอลแน่นอน”
ผมนึกภาพตามและยิ้มออกมา คิมหันต์ตัวอ้วนก็ไม่ได้ดูแย่เลยสักนิด แต่ผมก็ยังคิดว่ารูปร่างปัจจุบันของเขานั้นดูดีที่สุด
อย่างไรก็ตามผมกลับคิดในใจว่าดีแล้วที่เขาไม่ไปอิตาลีกับพ่อแม่ ดีแล้วที่คิมหันต์เลือกอยู่ที่เมืองไทย เพราะบางทีนี่อาจเป็นชะตาลิขิตให้เราสองคนมาเจอกัน แต่ผมก็พยายามไม่คิดเป็นตุเป็นตะ
ก่อนออกจากวัดน้อยผมชวนเขาสวดภาวนาด้วยกัน ซึ่งนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคิมหันต์ไม่ได้พูดเกินจริง เขารู้เรื่องจารีตและพิธีกรรมน้อยมาก สิ่งที่ทำได้คือสำคัญมหากางเขน สวดบทข้าแต่พระบิดา วันทามารีอาและสิริพึงมี นอกนั้นต้องอาศัยการอ่านคู่มือพิธีกรรมเป็นตัวช่วย แต่เขาก็ดูกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม
สองวันผ่านไป เมื่อเสร็จสิ้นพิธีมิสซาตอนเจ็ดโมงเช้าทุกคนก็แยกย้ายไปทำธุระของตน ตอนแรกผมว่าจะพาคิมหันต์ไปเบิกหนังสือเรียน ทว่าก็เปลี่ยนใจเพราะมีคนเข้ามาชวนเขาไปเตะฟุตบอลเสียก่อน คิมหันต์ดูท่าทางตื่นเต้นมากจนผมไม่กล้าใจร้ายบีบบังคับ
“ไปเตะบอลด้วยกันไหม” เขาถามหลังจากคนพวกนั้นเดินจากไป
“เราเล่นไม่เก่งเลย”
“ถ้างั้นไปนั่งดูก็ได้”
ผมพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล
จากนั้นคิมหันต์ก็ขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่ห้อง ส่วนผมรออยู่ในห้องนั่งเล่นรวม ไม่นานเราก็ออกเดินไปพร้อมกับกลุ่มนักเรียนคละชั้นปี พูดคุยกันและส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวขณะเดินไปตามถนน
อย่างไรก็ตามมีบางอย่างรบกวนจิตใจตลอดทางมาสนามฟุตบอล ผมมองคิมหันต์ซึ่งเดินนำหน้าห่างออกไปประมาณสามก้าวก่อนจะมองไปยังต้นไม้รอบ ๆ ซึ่งน่าสนใจน้อยกว่า
ทำไมต้องตามเขามาด้วยนะ? ผมคิด
ที่จริงผมให้เขาไปกับคนพวกนี้ก็ได้ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่อาจยกเว้นเรื่องเดียวคือสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่คุณพ่ออรรถพลตั้งชื่อให้ว่ามะขาม มันหลงมาที่นี่ได้เกือบปีแล้ว มะขามดุร้ายมากและเคยกัดนักเรียนไปแล้วหลายหน แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อสนับสนุนที่หนักแน่นพอสำหรับการพาตัวเองมายังสนามฟุตบอล ทั้ง ๆ ที่ผมควรเอาเวลาไปฝึกซ้อมดนตรีเพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีเปิดเทอมที่จะถึงในอีกสามวันข้างหน้า
หากแต่เพื่อความกระจ่าง ผมจึงอนุญาตให้ตัวเองใช้สายตามองไปที่เด็กหนุ่มตัวสูงอีกครั้ง คราวนี้ไม่ละสายตาไปไหน ผมปล่อยให้วิธีการเคลื่อนไหวของหัวไหล่และลักษณะการย่างก้าวของคิมหันต์เฉลยสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ จนกระทั่งเมื่อนั่งลงข้างสนามฟุตบอลผมจึงรู้ว่าอะไรคือแรงกระตุ้นที่แท้จริง
มันไม่ใช่เพราะผมตอบรับคำชวนเพื่อรักษามารยาท ไม่ใช่เพราะต้องการหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองหันมาเล่นกีฬา และไม่ใช่เพราะผมอยากเห็นลีลาการเตะฟุตบอลของคิมหันต์ว่าจะเก่งสักแค่ไหน
ความจริงคือผมปรารถนาที่จะเห็นเสื้อกีฬาสีส้มแนบติดกายยามที่เขาเหงื่อออก ปรารถนาที่จะเห็นกล้ามเนื้อต้นขาเคลื่อนไหวเป็นลอน ๆ ขณะออกวิ่ง และอย่างสุดท้ายคือความปรารถนาอันหน้าไม่อาย ผมต้องการเห็นเขาถอดเสื้อที่เปียกชุ่มหลังจากทำแต้มได้อย่างงดงาม
โดยความคิดที่ว่านี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ผมมีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่งอย่าง เป็นสิ่งที่เมื่อตอนสมัยเด็กผมภูมิใจมาก แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิดหลังจากที่คุณพ่อท่านหนึ่งพาไปเล่นน้ำในคลองหลังโรงเรียนเมื่อปีกลาย
ถ้าผมบอกคุณว่าตัวเองมีความจำอย่างละเอียดคุณจะเชื่อไหม? ผมเป็นผู้จำที่ดีมากเชียวนะ ไม่เคยทำให้ตัวเองเดือดร้อนในวิชาเรียนเลย ผมสามารถจดจำได้แม้กระทั่งข้อความต่าง ๆ ว่ามาจากตอนไหนในพระคัมภีร์ หรือบอกได้ว่าอีกสองปีข้างหน้าจะมีวันฉลองนักบุญอะไรบ้าง
พวกเพื่อน ๆ บอกว่าผมเป็นคนฉลาด แต่ผมกลับคิดว่านี่อาจเป็นคำสาป เพราะมันทำให้ผมลืมเรื่องราวต่าง ๆ ได้ยากลำบาก ทำให้ผมเรียนรู้ได้ไวเกินไป โตเร็วเกินไปและโหยหามากเกินไป ผมยังไม่ลืมตอนที่เล่นน้ำในคลองกับเพื่อน ๆ ในวันนั้น ภาพเหตุการณ์ยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ขณะนั้นเย็นมากแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมส้ม พระอาทิตย์คล้อยต่ำกำลังจะจากลา แต่เรายังคงสนุกสนานกันอยู่
ในที่สุดเมื่อคุณพ่อตะโกนเรียกให้เรากลับ ผมกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อปราการก็ว่ายน้ำขึ้นฝั่งเพื่อเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่นำมาด้วย
แต่ใครจะไปคิดว่าปราการจะกล้าเปลื้องผ้าต่อหน้าผม ใครจะรู้ว่าเขาโตเป็นหนุ่มทั้งแท่งจนกระทั่งได้เห็นไรขนสีดำบริเวณใต้สะดือ แล้วผมจะทราบได้อย่างไรว่าทำไมส่วนนั้นของปราการจึงแข็งตัว เขาอายุมากกว่าผมแค่เจ็ดเดือนเองนะ! ขนาดมันไม่น่าจะต่างกันถึงเพียงนี้ ในขณะที่ผมยังมีร่างกายเหมือนกับเด็กเจ็ดขวบ
ผมอยากรู้มากกว่านี้ อยากเห็นมากกว่านี้และอยากเข้าใจมากกว่านี้
แต่ผมคงจ้องมองอย่างโจ่งแจ้งจนปราการเริ่มรู้สึกตัวและหันหลังให้
แล้วทันใดนั้นจิตใต้สำนึกของผมก็กรีดร้องอย่างรู้สึกผิด ความละอายถาโถมใส่จนรู้สึกคลื้นไส้จนต้องกัดฟันเอาไว้ ผมไม่ควรคิดถึงเรื่องนั้นอีก สำหรับนักเรียนศาสนาแล้วก็ยิ่งไม่สมควร
ผมหลับตาลงและระลึกถึงพระวาจาที่ว่า
“แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว”
ผมสงสัยเหลือเกินว่ามันรวมถึงบริบทของผมด้วยหรือไม่ กับการคิดอย่างนั้นต่อผู้ชายด้วยกัน แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองโสโดมผมก็มั่นใจว่าพระองค์ทรงรวมไว้อย่างแน่นอน
เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงห้อง ผมนอนแผ่หลาบนเตียง ร่างกายมีพลัง แต่จิตใจเหนื่อยล้าจากการวิ่งไปมาระหว่างนรกกับสวรรค์ ผมจ้องมองเพดานสีขาวนานหลายนาที พยายามหาความคิดต่าง ๆ มาลบล้างอีกความคิดแต่ก็ไม่สำเร็จ และก่อนที่จะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ผมก็หันไปมองเตียงอีกฝั่งซึ่งตอนนี้ปูด้วยผ้าปูสีฟ้าอ่อนสบายตา
คิมหันต์กำลังอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมข้างล่าง อีกหลายนาทีกว่าจะกลับขึ้นมา ฉะนั้นผมจึงมีเวลาส่วนตัวครู่หนึ่งที่จะสนทนากับพระองค์
“พระเจ้าข้า ตอนนี้ลูกเปราะบางเหลือเกินและเร่าร้อนที่จะแสวงหาในสิ่งที่ไม่ควร โปรดช่วยให้ลูกมั่นใจด้วยเถิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของลูก เพราะพระองค์สร้างให้ลูกเป็นแบบนี้ มอบดวงตาให้ลูกมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและเลว และถ้าไม่ใช่เพราะพระองค์อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แสดงว่าทั้งหมดเป็นการผจญที่แสนทารุณจากซาตานใช่ไหม?”
“ลูกรู้ว่าไม่อาจเปรียบเทียบตัวเองกับพระบุตรสุดที่รัก แต่ผมเองก็เป็นลูกบุญธรรมของพระองค์นะ เป็นน้องชายของพระเยซูหลังได้รับศีลล้างบาป พระองค์เป็นพ่อของผม แล้วทำไมถึงปล่อยให้ลูกต้องเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย!”
ผมกำลังโกรธและเสียใจ จึงกล่าวตัดพ้อเพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เพียงแค่ผ่านไปไม่กี่วินาทีผมก็เรียนรู้อย่างรวดเร็วที่จะโทษตัวเอง
พระเจ้าทรงมอบอิสรภาพอันไร้ขอบเขตให้แก่มนุษย์ และผมก็เลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองกล้าปรารถนาในสิ่งที่ไม่คู่ไม่ควร เหมือนดังที่เอวาเกิดความเย้ายวนเมื่อมองไปที่ผลไม้ต้องห้ามในใจกลางสวนเอเดน
เพราะเหตุนี้ผมจึงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองได้ไหมที่จะคิดกับคิมหันต์เพียงแค่รูมเมท ผมจะหักห้ามใจตัวเองได้นานแค่ไหนไม่ให้คิดถึงรอยยิ้มของเขา และผมจะทำอย่างไรหากวันหนึ่งคิมหันต์ไม่อยากอยู่ห้องนี้อีกต่อไปแล้ว
ผมควรขอร้องให้เขาอยู่ต่อหรือแสร้งทำเป็นว่านี่คือส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กหอ ผมคงยอมรับได้ถ้าหากเขาจะมานอนด้วยบ้างสักคืนสองคืน แต่คงจะเสียใจมากหากคิมหันต์ปล่อยให้ผมต้องอยู่อย่างเหงา ๆ ซึ่งผมตระหนักรู้อย่างทรมานว่าไม่สามารถทำอะไรเพื่อเหนี่ยวรั้งเขาได้เลย
น่าแปลกที่เมื่อก่อนผมเคยรู้สึกโอเคกับการอยู่คนเดียว ทว่าวันนั้นผมไม่เพียงไขกุญแจเปิดประตูห้อง 2410 เท่านั้น แต่ยังเปิดประตูหัวใจทุกห้องต้อนรับเขาอีกด้วย ซึ่งจะไม่มีวันปิดหรือใส่กลอนเด็ดขาด
ขอเพียงแค่อย่ามองว่าผมเป็นคนแปลก ๆ หรือทำให้รู้สึกอับอายด้วยเรื่องพวกนี้ เพราะนอกจากอะไรก็แล้วแต่ที่คิมหันต์จะได้รับเมื่อเข้าแผ่นดินสวรรค์ เขายังจะได้รับหัวใจของผมเป็นรางวัลอีกด้วย
จนกระทั่งเปิดเทอมไปแล้วเกือบเดือน ผมจึงได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับคิมหันต์ในแง่ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
อย่างแรกคือเขาเป็นนักดนตรีและเคยเล่นในวงโยทวาธิตที่โรงเรียนเก่า คิมหันต์แสดงเทคนิคให้ดูในวิชาดนตรีว่าการเป่าทรัมเป็ตให้เสียงออกมาดีควรทำอย่างไร และยังแสดงให้เห็นว่าการวางนิ้วจับคอร์ดไวโอลินไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แถมเขายังกระตือรือร้นที่จะสอนคนอื่น ๆ จนคุณพ่อกำนันซึ่งเป็นอาจารย์ประจำวิชาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชวนเข้าชมรม
อย่างที่สองคือคิมหันต์มีสมองเป็นเครื่องคิดเลข เขาสามารถคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำอย่างน่าเหลือเชื่อจนเพื่อน ๆ ไว้ใจมาขออาศัยลอกการบ้าน แต่คิมหันต์ก็นับว่าเป็นเด็กใหม่ใจกล้า แทนที่เขาจะปฏิเสธและอยู่เฉย ๆ ทว่ากลับเลือกที่จะสอนการบ้านให้คนอื่น ๆ ไม่ใช่แค่พอเป็นพิธี แต่คิมหันต์ยังนั่งกำกับและตรวจทานจนแน่ใจว่าทำถูกต้อง
อย่างที่สามคือด้านกีฬา เรื่องนี้ไม่ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ แต่การที่คิมหันต์สามารถเล่นบาสเกตบอล วอลเลย์บอล แบตมินตัน วิ่งแข่งและอื่น ๆ อีกมากมายอย่างชำนาญคล่องแคล่วก็ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต
คนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างได้หรือ? ดีพร้อมทุกอย่างโดยไม่มีข้อบกพร่องเลยหรือ?
ผมเชื่อมาตลอดว่าพระเจ้าคือความสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อได้เห็นคิมหันต์ทำแต้มโดยไม่พลาดเป้าเลยสักครั้ง หรือวิ่งถึงเส้นชัยเป็นคนแรกเสมอในทุกการแข่งขัน ผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงโด่งดังในระยะเวลาอันสั้นและใคร ๆ ก็ต้องการตัว
มีอยู่วันหนึ่งตอนที่ยืนข้างสนามบาสเกตบอล เฝ้ามองคิมหันต์ผ่านแว่นตาทรงกลมขณะที่เขาถูกกลืนหายไปในกลุ่มคนที่เข้ามาร่วมโห่ร้องยินดีหลังได้รับชัยชนะ ตอนนั้นเองที่ผมอยากจะอันตรธานหายไปทันที จะอยู่ต่อไปทำไมในเมื่อแผ่นดินมีคนที่เพียบพร้อมกว่า เก่งกว่าและดูดีกว่าเป็นของขวัญให้คนทั้งโลกได้ชื่นชม
คิมหันต์อาจช่วยให้มวลมนุษย์รอดพ้นจากการถูกพิพากษาในวันสุดท้ายเพียงแค่คุกเข่าสวดภาวนา หรืออาจยับยั้งสงครามที่ไหนสักแห่งได้สำเร็จเพราะชายคนนี้ไม่เคยทำสิ่งใดล้มเหลวเลย พระเจ้าจะทรงสดับฟังเสียงของเขาและประทานตามที่วอนขอ ในขณะที่ผมถูกเพิกเฉยและปล่อยให้เดินไปในเส้นทางรกร้างด้วยหูตาที่มืดบอด
เพื่อน ๆ ชอบเขา บรรดาคุณพ่อต่างก็ชื่นชม แม้กระทั่งลุงกิตผู้เป็นภารโรงและไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักเรียนเท่าไหร่ยังนำส้มมาแบ่งให้คิมหันต์ บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และผมก็สัมผัสได้ว่าบ้านเณรที่ห่อเหี่ยวกำลังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เข้าสู่เดือนสิงหาคม แม้บางวันฝนจะตกสลับกับฟ้าโปร่ง แต่ผมก็ยังสามารถมองเห็นดาวมากมายตั้งแต่หัวค่ำ วันไหนว่าง ๆ ผมจะรีบอาบน้ำและขึ้นไปนั่งรับลมบนดาดฟ้า หรือไม่ก็ลงไปนั่งเล่นที่สวนหย่อมข้างโรงอาหาร นอนเกลือกกลิ้งบนหญ้าสีเขียวและคอยลุ้นว่าจะบังเอิญเห็นดาวตกสักดวงไหม
เมื่อก่อนผมเคยชวนปราการมาด้วยกันบ่อย ๆ แต่เดียวนี้เราไม่ได้คุยกันแล้ว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่บราเดอร์วินเข้ามาคุยเรื่องย้ายห้องซึ่งก็ผ่านมาเป็นแรมปี
อย่างไรก็ตามเย็นวันหนึ่งหลังทำการบ้านเสร็จ ผมกะว่าจะชวนคิมหันต์ไปนั่งเล่นข้างนอกโดยนำเกมบอยของเขาไปด้วย มันคงเป็นการหย่อนใจที่เข้าท่า ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน
“คืนนี้เราไปนอนห้องไอ้การนะ รันล็อกห้องได้เลยไม่ต้องรอ” คิมหันต์ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงบอลขาสั้นสีน้ำเงินลุกขึ้นจากเตียงเมื่อพูดจบ
ตอนนี้คิมหันต์มีเพื่อนใหม่มากมายทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ ใคร ๆ ต่างยินดีให้เขาไปเล่นหรือนอนค้างที่ห้องด้วยทั้งนั้น ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งเขาอยากจะย้ายออกขึ้นมาจริง ๆ
“อ่าว สนิทกับไอ้การด้วยเหรอ” ผมปากคอแห้ง ราวกับจู่ ๆ ความชื้นในอากาศก็หายไปฉับพลัน
“ก็ยังไม่สนิทหรอก” เขาบอกขณะเดินไปที่ประตู “แต่คืนนี้มีถ่ายทอดสดฟุตบอลน่ะ มันดึกมาก เราไม่อยากรบกวน”
รบกวน?
ผมไม่เคยมองสิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องรบกวนเลยเมื่อมันมาจากคิมหันต์ เขาสามารถเข้าออกห้องนี้เมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ จะเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืนเพื่ออ่านหนังสือหรือร้องเพลงเสียงดังเมื่อไหร่ก็ได้ที่รู้สึกอารมณ์ดี เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่นี่ ในห้องนี้ เพราะมันเป็นห้องของเรา และผมจะไม่บ่นว่าอะไรสักคำเลย
แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของคิมหันต์ที่จะนอนที่ไหนก็ได้ ผมคงลืมไปแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา คิมหันต์ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมและไม่ได้เป็นอะไรนอกจากรูมเมท ฉะนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งวุ่นวายถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
เขาก็แค่ไปนอนห้องคนอื่น ไปนอนห้องของปราการแค่นั้นเอง
เมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรอีกคิมหันต์ก็เปิดประตูและออกไป ปล่อยให้คืนนี้ผมนอนหลับคนเดียวในห้อง 2410
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ