Who am i? (ฉันเป็นใคร?) ภาค change myself (พล็อตเรื่องนี้ผ่านการประกวดบทละครของโครงการ BEC ของช่อง 3
7.3
เขียนโดย Gawee
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.23 น.
10 ตอน
9 วิจารณ์
6,701 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2567 12.51 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 8 การตัดสินใจของมินตราและต้นกล้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ .....ความเดิมตอนที่แล้ว....
หลังจากที่ฉันได้สูญเสียความทรงจำไป จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ (รวมที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วย) ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ฉันต้องผ่านเรื่องราวมากมาย แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ความทรงจำส่วนใหญ่กลับมาแล้ว
แต่ทว่า ยิ่งความทรงจำกลับมามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกกล้ว ฉันกลัวความจริงที่มันอาจโหดร้ายสำหรับฉัน และคนที่รักฉันทั้ง แม่ และ ต้นกล้า
และสิ่งที่ช่วยยืนยันความจริงอันโหดร้ายนั้น ก็คือ คำพูดของเขา อีวานเป็นนักเรียนใหม่ของห้องเรา ถึงเขาจะช่วยฉันไว้ถึง 2 หน แต่คำพูดของเขา ทำให้ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่า เขาเป็นมิตรหรือศัครูกันแน่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ เขาต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ตัวฉัน ที่ฉันเองก็ยังไม่รู้ ฉันไม่อาจเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ ได้ ฉันกลัวว่าหากความจริงปรากฏ ฉันจะไม่สามารถเป็นฉันคนเดิมได้อีกต่อไป
ดังนั้น ตอนนี้ฉันคงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน ตอนนี้ที่ต้องโฟกัส คือ เรื่องอุบัติเหตุนั้น เพราะหากยังไม่่รู้ตัวคนร้าย ฉันก็ยังคงไม่ปลอดภัย และเรื่องต้นกล้าด้วย เขาจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเรโกะจัง
ปัจจุบัน
ณ ห้องเรียน ม.5/1
"หึ! ก็ได้ยินแล้วนี่ จะถามกลับทำไมละ หือ!?" อีตานั้นพูด ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังที่นั่งด้านข้างฉัน
"นะ...นายรู้อะไรกันแน่ ห่ะ!!" ฉันหันกลับไปถามเขาแบบลืมตัวด้วยน้ำเสียงที่ดังและเริ่มหงุดหงิด
"หึหึ...ความลับจ้า" อีวานพูดแบบชัดๆ ทีละคำพลางยิ้มอย่างเป็นต่อ
"จะไม่บอกก็ตามใจเถอะ น่าหงุดหงิด" ฉันพูด ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางประตู
"อะ...อ้าว! จะไปไหนล่ะคับ?" อีวานถาม พลางลุกขึ้นจะเดินตามฉัน
"จะไปห้องน้ำมีไรไหม!? หรือจะไปเฝ้าฉัน?" ฉันกอดอกเอียงคอถาม
"ออ โอเค" เขาพูดก่อนจะนั่งที่ตามเดิม
ณ ห้องน้ำชั้นเรียน
โอ๊ยยยย >< ไอหมอนี้มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขารู้เรื่องอะไรกันแน่ แต่ก่อนอื่น ฉันมีเรื่องต้องสะสางให้เรียบร้อยภายในวันนี้ ฟูว์--- ฉันนึกในใจ ก่อนล้วงกระเป่าสะพายหยิบปากกาและกระดาษโน๊ตมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
เมื่อฉันจัดการธุระส่วนตัวและเขียนข้อความเสร็จก็ยืนรวบรวมสติกับตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำสักพัก ก่อนจะออกไปเผชิญกับเพื่อนที่คิดว่าสนิทด้วย
ณ ห้องเรียน ชั้น ม.5/1
"ครื้นนนน" เสียงฉันเปิดประตูห้อง ก็พบว่าครูได้เข้ามาสอนแล้ว
ฉันเดินตรงไปที่โต๊ะของมินตราและวางกระดาษโน๊ตที่มีข้อความว่า
"มาเจอฉันที่คาดฟ้าตอนพักเที่ยง เรามาสะสางเรื่องค้างตาเมื่อวันศุกร์กัน ฉันจะเตรียมการบ้านเลขไว้ให้"
"หึ...." มินตราหยิบขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหัวเราะหึ พลางขย่ำเศษกระดาษนั้นใส่กระเป่านักเรียน
มินตราหันมาลองฉันที่ตอนนี้นั่งถือสมุดเลขในมือพลางชี้ขึ้นบน เป็นการบอกว่า สิ่งที่เธอต้องการอยู่นี้ ถ้าอยากได้ก็ตามมาเอาที่ดาดฟ้าสิยะ
หลังจากนั้น ชั่วโมงเรียนของฉันก็เริ่มขึ้น ซึ่งขณะที่นั่งเรียนอยู่ ฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ ตลอด เมื่อมีสายตาจากข้างหลังค่อยจับตาดูฉันตลอดเวลา ใช่แล้ว เด็กใหม่อีวานนั้นเอง
ณ โรงอาหารฝั่งม้ธยมปลาย ช่วงพักเที่ยง
ตอนนี้ ฉันกำลังต่อคิวเข้าแถวซื้อข้าวกลางวัน โดยที่เลือกร้านที่คนน้อยสุด เพื่อประหยัดเวลา เพราะฉันมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะ
ฉันใช้เวลากินข้าวกลางวันเพียง 30 นาที เท่านั้น ซึ่งปกติฉันจะนั่งแช่จนหมดคาบพักไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อกินเสร็จก็รีบย้ายสังขารของฉันไปที่คาดฟ้าโดยด่วน และไม่ลืมที่จะพกของสำคัญที่จะใช้แก้เกมในครั้งนี้ด้วย
ณ คาดฟ้าอาคาร 7
ดูเหมือนว่าฉันจะมาถึงก่อนมินตรา เพราะฉันเดินดูรอบๆ เพื่อเช๊คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอยู่ แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของเธอ
ฉันยืนพิงอยู่ใต้ร่มเงาของกำแพงข้างๆ ประตูทางเข้าดาดฟ้า พลางเหม่อมองไปที่ริมคาดฟ้า บริเวณที่มีความทรงจำของฉันกับต้นกล้าอยู่
ต้นกล้าคงจะรักเรโกะจังมากเลยซินะ รักถึงขั้นจะฆ่าตัวตายตามไป เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เรโกะจังต้องจากไป แต่ฉันหวังว่าไดอารี่และจดหมายนั้นจะช่วยทำให้ต้นกล้ารู้สึกผิดน้อยลง เมื่อเขาจำทุกอย่างได้แล้ว แต่อีกใจหนึ่งฉันก็กลัว กลัวว่าเขาจะมูฟออนจากเรโกะจังไม่ได้ และจมปักอยู่กับอดีตอีกครั้ง ฉันนึกในใจพลางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาแบบไม่รู้ตัวออกไปซะ
"แกร๊ก! ปัง!" เสียงประตูดาดฟ้าอยู่เปิดออก พร้อมกับร่างของคนที่ฉันรอคอยได้ก้าวเข้ามาใกล้
"ไง ฟ้าใส ไหนล่ะ การบ้านเลข?" มินตราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนจะเอียงคอถามอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"นี่ไง ไม่ต้องห่วง ฉันทำตามสัญญาแน่ แต่ก่อนอื่น..." ฉันพูดขึ้นพร้อมกับชูสมุดการบ้านเลข ก่อนจะเดินเข้าไปยืนประจัญหน้ากับมินตรา
"อะไรอีกล่ะ? ...อ่อ นี่อย่าบอกนะว่า เธอรอฟังคำตอบของฉันเรื่องให้ปากคำแก่ตำรวจอยู่นะ ห่ะ!?" มินตราเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะผลักอกฉัน
"เพี๊ยะ! ใช่! ฉันรอและคิดเรื่องนี้มาตลอดเวลาเลย" ฉันปัดมือของเธอออก ก่อนจะกอดอกพูดขึ้น
"เอาจริงอ่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่ตั้งสติหน่อย ยัยขี้แพ้ ฉันเป็นใคร และ เธอเป็นใคร ห่ะ" มินตราพูด ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่สมองของฉัน ตอนนี้ฉันได้แต่กำหมัดแน่นๆ เท่านั้น
"สรุปคือ เธอจะไม่ไปให้ปากคำกับตำรวจใช่ไหม มินตรา!?" ฉันถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พลางจ้องไปที่ดวงตาของเธอ เพราะฉันหวังว่าอาจจะได้เห็นความบริสุทธิ์ใจในเเววตานั้นบ้าง
"ฟังให้ชัดนะ ฟ้าใส! ฉัน! ไม่! ไป! ทำไมฉันต้องลดตัวไปขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อเธอด้วยล่ะ ห่ะ!?" มินตราพูดเสียงดังฟังชัด เป็นการตอกย้ำว่ามันจบแล้ว ทั้งความหวังและความอดทนของฉัน
"งั้นหรอ? อันที่จริงฉันไม่อยากจะเอาสิ่งนี้มาใช้เลยนะ เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่ฉันเคยมีให้แก่เธอ" ฉันพูด ก่อนจะล้วงเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง
"หือออ! อะไรล่ะนั้น? เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือไง? ฮ่าฮ่าฮ่า โทษทีนะ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ฟังเสียงหรอกนะ ฟ้าใส" มินตราพูด พลางทำท่าแคะหู
"ฟังหน่อยเถอะ ฉันว่าเธอคงชอบเพลงนี้ แน่นอน!" ฉันพูด พลางกดเครื่องเล่น MP3
แล้วเสียงที่ปรากฏขึ้นก็ทำให้มินตราโกรธจนหน้าแดง และสั่นไปทั้งตัว
"มิ้นท์"
“ธะ...เธออยู่ในเหตุการณ์รถชนฉันใช่ไหม?"
"นะ....นี่! เธอพูดอะไรน่ะ!?"
"ฉันจำเรื่องเหตุการณ์นั้นทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่านะ….มิ้นท์ ฉันยังอยากได้ยินความจริงจากปากเธอ คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน
"...."
"ยัยเกศ เป็นคนบอกเธอใช่ไหม? ฟ้าใส”
"มันสำคัญด้วยหรอว่า ฉันจะรู้หรือจำได้อย่างไง?"
"และการที่เธอถามว่าเกศเป็นคนบอกใช่ไหม? นั้นมันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ทั้งเธอและเกศอยู่ที่เกิดเหตุด้วยกันทั้งคู่…หรือไม่จริง?"
"ชะ...ใช่! ฉันอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเธอถูกรถชนจริงๆ"
"นะ...นี่มัน!?" มินตราอุทานขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาแย่งเครื่องเล่น MP3 ไปจากฉัน
"ใช่ มันคือบทสนาของเราสองคนที่มีคำสารภาพว่า เธออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยไงล่ะ หืม!?" ฉันพูด พลางยืนกอดอกจ้องเขม็งไปที่มินตรา ที่ตอนนี้ได้เครื่องเล่น MP3 ไปแล้ว
"ยัยเจ้าเล่ห์ ยัยอสรพิษ นี่ๆๆ" มินตราตะโกนลั่น พลางกระทึบเครื่องเล่นเพลงนั้น อย่างไม่ยั้งเท้า
"ฮ่าฮ่าฮ่า ยัยโง่! เธอคิดว่าฉันจะเอามาโชว์โดยไม่ได้แบล็คอัพข้อมูลเก็บไว้หรือไง ห่ะ!?" ฉันพูด ก่อนจะเดินไปผลักอกของมินตรา ตอนนี้มันไม่เหลือแล้วคำว่า มิตรภาพของเราสองคน
"หน๊อยยย ยัยนี้ ก็ได้ อยากเอาไปใช้ทำอะไรก็เช็ญ แต่บอกก่อนเลยว่า ของแบบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะอะไรรู้ไหม!?" มินตราพูดพลางเตะซากเครื่องเล่น MP3 นั้น ปลิวหายไปไกลเลย ก่อนจะยืนกอดอกทำสีหน้าอย่างเป็นต่อ
"อะไร?" ฉันถามกลับ
"เคยได้ยินไหมว่า คนที่ลงมือก่อนยอมได้เปรียบนะ ห่ะ!?" มินตราพูด ก่อนจะเดินเข้ามาประจัญกับฉัน ด้วยรอยยิ้มแสยะ ตอนนี้มันหมดแล้วกับสภาพคุณหนูผู้ดี
"หมายความว่า...กริ้งๆๆๆๆ" ยังไม่ทันที่ฉันจะถามจบ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน
"หึ รับสายซะสิ ฉันว่าน่าจะเป็นข่าวดีนะ ว่าไหม!?" มินตราพูด พลางม้วนผมตัวเองด้วยสีหน้าอย่างเป็นต่อ
"อย่าคิดที่จะเล่นตุกติกอะไรละ!" ฉันพูด ก่อนจะยกมือถือขึ้นมา
"โอะ แน่นอน ฉันจะยืนนิ่งๆ เลย เพราะทุกอย่างมันจบแล้ว ฮิฮิ" มินตราพูดพลางยืนกอดอกหัวเราะคิก
ฉันว่ามันแปลกๆ ทำไมยัยนี้ถึงมั่นใจขนาดนั้น หรือว่าเธอลงมือทำอะไรก่อนกันแน่ ฉันนึกในใจ พลางกดรับสาย
'สวัสดีค่ะ' ฉันกรอกเสียงใส่มือถือ
'สวัสดีคับ คุณอิงฟ้าหรือป่าวคับ' เสียงผู้ชายปลายสายฟังดูคุ้นๆ ชอบกล
'ค่ะ คุณเป็นใครค่ะ' ฉันเอ่ยถาม
'ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีอุบัติเหตุของคุณ เราเคยพบกันที่โรงพยาบาลแล้วไงคับ' ตำรวจพูดอธิบายย้อนกลับไป
อ่อ ไอตำรวจปากมากคนนั้นนี้เอง ถึงว่าเสียงคุ้นๆ ระ...หรือว่าจับตัวคนขับได้แล้วนะ ถึงโทรมา ฉันนึกในใจ
'อ่อค่ะ ว่าไงค่ะ? หรือว่าจับตัวคนขับรถชนฉันได้แล้ว?' ฉันถามขึ้น
'อ่อเปล่าคับ ไม่ใช่คนขับแต่เป็นคนที่ผลักคุณให้โดนรถชนนะคับ' ตำรวจพูดขึ้นจากปลายสาย
'มะ...หมายความว่าไงค่ะ ที่ว่าจับคนผลักได้แล้ว!?' ฉันถามกลับ ขณะที่จ้องไปยังมินตราที่ตอนนี้ยืนแสยะยิ้มมาให้ฉันอย่างสะใจ
'พอดีเรื่องมันยาวนะคับ วันนี้สะดวกเข้ามาที่โรงพักไหมคับ' ตำรวจถามขึ้น
'อ่อได้ค่ะ ไว้เลิกเรียนแล้วฉันจะแวะไปนะค่ะ' ฉันตอบตกลง
'คับไว้ค่อยคุยกันที่โรงพักคับ ผมจะกักตัวผู้ต้องหาไว้ก่อน รอคุณมาชี้ตัวอีกทีนะคับ' ตำรวจบอก
'ค่ะ ขอบคุณค่ะไว้เจอกันนะค่ะ' ฉันบอกขอบคุณก่อนจะกดวางสายไป
"เป็นไงล่ะ ข่าวดีใช่ไหม ฮิฮิ?" มินตราเอียงคอพูด ขณะที่กำลังยืนพิงกำแพงข้างๆ ประตูทางเข้าดาดฟ้า
"ฝีมือเธอใช่ไหม ห่ะ?" ฉันตอบคำถามเธอด้วยการถามกลับในสิ่งที่รู้แก่ใจดี
"ถ้าใช่แล้วจะทำไม?" มินตราคอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
"เธอทำอะไรลงไป ห่ะ!? ดึงคนนอกเข้ามายุ่งด้วยทำไม!?" ฉันตะโกนถามออกไปอย่างเหลืออด
"..." มินตราเงียบ ก่อนจะค่อยๆ เดินมายืนตรงหน้าฉัน
"อยากรู้หรอ?" เธอเอียงคอถาม ด้วยสายตาแข็งกราว
"ใช่" ฉันตอบกลับอย่างกลั้นหายใจ
"ฉันก็แค่..." มินตราพูดขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูฉัน
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เพื่อรอคำตอบจากเธอ
"ทำในสิ่งที่คนมีเงินและอำนาจเขาทำกันไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า" มินตรากระซิบข้างหูฉัน ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ก่อนจะถอนหน้าออกมาแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
"ธะ...เธอนี่มัน..." ฉันได้แต่พืมพำด้วยเสียงอันแผ่วเบา
"จำไว้ให้ขึ้นสมองเลยนะ นี่ล่ะคือโลกแห่งความจริงไงล่ะ ยัยโง่!" มินตราพูดขึ้น พลางจิ้มมาที่สมองของฉัน
"นะ...หน่อยยยย" ฉันกัดฟันอย่างเหลืออด
"ไปล่ะ ยัยขี้แพ้!" มินตราพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย พลางเชิดหน้ามองต่ำลงมาที่ฉันไม่ต่างอะไรกับการมองแมลงตัวหนึ่ง
"ยัยเพื่อนสารเลว! ฉันจะไม่ให้อภัยแกแน่คอยดู!" ฉันตะโกนไล่หลังมินตราไป ด้วยความโกธรมาก ปกติฉันไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้ แต่ฉันเหลือจะทนจริงๆ
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของดาดฟ้าอาคารตรงข้างอาคาร 7
"หว้าาาา! ฟ้าใสแพ้หมดรูปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงคนๆ หนึ่งดังขึ้นจากบนดาดฟ้าตรงข้ามอาคาร 7
"ในโลกเก่าอันน่าสะอิดสะเอือนนี้ ไม่มีอะไรทรงอำนาจมากไปกว่าเงินตราอีกแล้ว" บุคคลในชุดดำพูดขึ้น ขณะที่สายตายังคงจับจองไปที่ดาบคู่ใจของตน
"ฉันก็ว่างั้นล่ะ" บุคคลที่แอบมองฟ้าใสอยู่พูดเห็นดีเห็นงามด้วย พลางกระโดดลงมาจากขอบริมดาดฟ้า
"ว่าแต่นายเถอะ จะเข้าอย่างไรต่อดีล่ะ?" บุคคลผู้ถือดาบพูดขึ้น พลางลุกเดินมาทางชายผู้นั้น
"เรื่องอะไรล่ะ? เรื่องภารกิจของฉัน หรือเรื่องการก่อกบฏล่่ะ" ชายคู่สนทนาตอบกลับด้วยคำถาม
"ทั้งสองเรือง" บุคคลผู้ถือดาบตอบ พลางโยนดาบขึ้นลอยกลางอากาศ และทันใดนั้น ดาบเล่มยักษ์ก็กลายเป็นเพียงต่างหูรูปดาบเท่านั้น
"ว้าวววว เวทมนต์ของนายนี่โครตสะดวกเลย เดินตัวเปล่า แต่จริงๆ พกอาวุธเต็มตัวไปหมด ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ไหมไคน์?" บุคคลที่ถูกถามร้องว้าวขึ้น
"ว่าแต่คนอื่น เวทย์ของนายไม่ขึ้โกงไปหน่อยหรอ? โกงแม้กระทั่งอายุตัวเอง ใช่ไหมละ่ อีวาน?" ไคน์พูดขึ้น
"ฮาฮาฮ่า จะให้ฉันทำไงได้ละ? ก็ต้องปลอมตัวมาทำภารกิจนี่น่า จะให้แบกสังขารอายุ 25+ มาเข้าเรียน ม.ปลายหรอไงล่ะ ไอหมอนี่" อีวานตอบกลับ ก่อนจะหันไปมาคู่สนทนา
"แล้วจะเอาไงดีล่ะ? เวทย์ของนายมีข้อจำกัดเรื่องเวลานะ" ไคน์พูด พลางเดินเข้ามายืนข้างๆ อีวาน
"ใช่ เวลาของเธอคนนั้นใกล้จะหมดแล้ว ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง" อีวานตอบกลับ พลางมองไปที่เธอคนนั้น
"เอาเถอะ ขอให้โชคดี" ไคน์พูด พลางตบไหล่อีวานผู้เป็นสหายศึกกันมานาน
"ขอบใจ" อีวานหันไปยิ้มให้
"แล้วเรื่องสงครามแห่งโลกใหม่ล่ะ" ไคน์ถามอีกประเด็นขึ้น
"แน่นอน ก็ต้องเข้าร่วมอยู่แล้วซิ อีเว้นท์ใหญ่ขนาดนี้ ขาดฉันได้ไงล่ะ ฮ่าฮ่า" อีวานตอบ ก่อนจะหันมายืนกอดอกหัวเราะชอบใจ
"จะอยู่ฝ่ายไหนล่ะ ฝ่ายองค์หญิงอาดิสหรือฝ่ายกษัตริย์อัลเดธ" ไคน์ถามอย่างลุ้นในคำตอบ เพราะอีวานถือเป็นจอมเวทย์ที่มีความสามารถชั้นแนวหน้าของโลกใหม่
"ไม่รู้สินะ ต้องรอดูข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายก่อน ฮาฮา" อีวานตอบ อย่างไม่สนใจอะไรมาก ขอแค่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการก็พอ
"ว่าแต่นายเถอะ จะช่วยองค์หญิงอาดิสใช่ไหมล่ะ?" อีวานหันมาถาม ด้วยน้ำเสียงเชิงล้อเลียน
"เออ ยังจะถามอีก" ไคน์ตอบกลับ
"เมื่อไรนายจะสารภาพรักกับพระนางสักที แอบรักข้างเดียวมาตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนมหาเวทย์ออสเตรียเลยนะ" อีวานถามเป็นเชิงแซว
"เรื่องของฉันน่า" ไคน์ตอบ พลางก้นหน้าอันแดงระเรื่อ
"โอ๊ะ หมดเวลาพักแล้ว ต้องไปเข้าเรียนแล้ว" อีวานพูดพลางดูนาฬิกาสร้อยคอของคน
"เดียวๆๆ นายสนด้วยหรือว่าจะสายไหมนะ นายย้อนเวลาได้นะ ไอบ้า" ไคน์พูด พลางผลักหัวอีวาน
"เออ จริงด้วย ลืมเลย ฮาฮ่า" อีวานตอบกลับ
"แต่แยกย้ายก็ดี ฉันมีเรื่องต้องไปตรวจสอบ" ไคน์พูดขึ้น
"โอเค ไว้จะโทรจิตไปหาละกัน" อีวานพูด พลางบอกลาเพื่อนรักของเขา
ณ ห้องเรียน ชั้น ม.5/1
โธ่เว้ย น่าหงิดหงุด ยัยบ้านั้นชะมัด เหอะ! อะไรนะ!? ทำในสิ่งที่คนมีเงินและอำนาจเขาทำกัน ยัยสารเลว ไปตายซะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าหากยัยนี้เป็นแค่คนธรรมดามันยังจะเชิดหน้าได้อยู่ไหม ฉันนึกในใจ พลางกำหมัดแน่นสายตาจ้องเขม็งไปยังมินตราที่นั่งเรียนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
"เธอ เป็นอะไรหรอป่าว? ฟ้าใส นั่งหน้าเครียดมาตลอดทั้งบ่ายเลย" เกศที่นั่งข้างฉัน กระซิบถาม
"ไม่มีอะไรหรอก พอดีฉันรู้สึกปวดท้องนะ" ฉันโกหก เพื่อจบบทสนา
"ไปห้องพยาบาลหน่อยไหม?" ยัยเกศยังเซ้าซี้ จนฉันเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น
"ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงล่ะ" ฉันเผลอตัวพูดเสียงดังออกไปอย่างหงุดหงิด
"ไม่มีอะไรแล้วจะเสียงดังทำไม อิงฟ้า!" ครูวิชาเลขพูดขึ้น
"ขอโทษด้วยค่ะ พอดีหนูรู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ขอตัวไปห้องพยาบาลนะค่ะ" ฉันโกหกอีกแล้ว จมูกฉันยังปกติดีใช่ไหมเนี้ยยยย
"งั้นก็ไปเถอะจ๊ะ มีใครจะอาสาไปส่งอิงฟ้าที่ห้องพยาบาลไหม?" ครูเอ่ยถามหาคนมีจิตอาสาช่วยฉัน แต่ก็อย่างที่รู้ๆ ทุกคนในห้องไม่ชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไร
"ผมไปเองคับ" ให้ท้ายว่าใครเสนอตัว ใช่แล้ว ตาบ้าเด็กใหม่อีวานนั้นเอง
"ไม่ต้องยะ ฉันไปเองได้" ฉันหันหลังไปพูดกับเขา ขณะที่เขาส่งยิ้มมาให้ฉัน ใบหน้าหล่่อขาวเนียนเปื้อนรอยยิ้มที่อาบยาพิษ ฉันไม่ต้องการค่ะ บอกเลย
"ทำไมล่ะจ๊ะ? อิงฟ้า ให้อีวานเขาไปส่งเถอะ เขาจะได้เดินดูโรงเรียนไปในตัวด้วยไง" ครูส่งยิ้มมาให้ฉัน
"ค่ะ" ฉันตอบรับไป
ช่วยไม่ได้ ขืนยังปฏิเสธอีกมีหวังจากรอยยิ้มของครูจะกลายเป็นเสียงด่าเอาไป แค่หลับหูหลับตาเดินๆ ให้ถึงห้องพยาบาลก็คงพอมั่ง ฉันนึกในใจ พลางเก็บสัมภาระของตัวเอง
ณ ห้องพยาบาลประจำอาคาร 7
"ขอบใจที่เดินมาส่ง" ฉันหันไปบอกขอบคุณตามมารยาท ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนเตียงผู้ป่วยห้องพยาบาล
"อ่าาาาา เมื่อยขาจังเลย โรงเรียนนี้กว้างจริงๆ ว่าไหมคุณฟ้าใส?" อีวานพูด ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ ฉัน
"ถ้าพักหายเหนื่อยแล้ว ก็กลับห้องเรียนไปซะ ยังเหลืออีกคาบเรียนนะ" ฉันเอ่ยปากไล่แบบอ้อมๆ
"ใจร้ายจังเลยนะ คุณฟ้าใส ผมรู้จะว่าคุณแกล้งป่วย ไอที่คนของโลกนี้ เรียกว่า ป่วยบ้านเมือง ใช่ไหมนะ?" อีวานพูดขึ้น พลางทำท่านึกคำพูด
"ไม่ใช่ย่ะ เขาเรียกว่า ป่วยการเมือง ต่างหากล่ะ" ฉันแก้คำให้
"ออหรอ? แสดงว่าจริงสินะ ผมรู้น่าาาา ว่าคุณกังวลเรื่องมินตรากับอุบัติเหตุนั้นนะ" อีวานพูดด้วยน้ำเสียงรู้ทัน พลางหรี่ตามองฉันแบบรู้ทัน
"นะ...นายแอบฟังเราคุยกันหรอเนี้ย!? ไร้มาทยาทจริงๆ นี่หรอ? ผู้ดีอังกฤษ เหอะ น่าขำ" ฉันโวยวาย
"ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน่าๆ แต่ผมมีข้อเสนอดีๆ นะ"
"ข้อเสนออะไรของนาย?" ฉันถาม พลางหรี่ตาจ้องมองหมอนี่อย่างไม่ไว้ใจ
"เรื่องอุบัติเหตุนั้น ผมจะช่วยคุณเอง ว่าไง สนใจไหมล่ะ?" อีวานพูดข้อเสนอ
"นายจะช่วยอะไรฉันได้ล่ะ?" ฉันถามกลับอย่างงงๆ
"คุณก็ได้เห็นไปแล้วนิ ความสามารถของผม" อีวานตอบ พลางยืดอกอย่างมั่นหน้ามั่นโหนก
"อ่อ! มายากลหลอกเด็กนะหรอ?" ฉันพูด หลังนึกขึ้นได้จากเหตุการณ์เมื่อเช้า
"แง้ววว! นั้นไม่ใช่มายากลหลอกเด็กสักหน่อย นั้นมันของจริงเลยนะ" อีวานตอบกลับ
"ขะ...ของจริงอะไรของนาย?" ฉันเริ่มจะรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
"ก็ไอนั้นไงๆ" อีวานพยายามบอกใบ้ แล้วชูนาฬิกาสร้อยคอขึ้นมา
"แล้วไอนั้นมันอะไรล่ะยะ?" ฉันถามอย่างเริ่มหงุดหงิดกับการอมพะนำของอีตานี่
"ผมบอกตรงๆ ไม่ได้ มันเป็นกฎ" อีวานตอบกลับ
อืมมมมม เดียวน่าาาา ใช้หัวแปป นาฬิกา...เวลา...เหตุการณ์เมื่อเช้า...ลูกบอกที่ควรจะพุุ่งใส่หน้าฉันกลับผ่านไปเฉยๆ ซะงั้น...แว่นตาที่ควรแตกยับกลับมาอยู่บนหน้าแบบปกติสุขทุกอย่าง...นะ...นี่หรือว่า? ฉันนึกในใจ ก่อนจะมองหน้าอีวานสลับกับนาฬิกาสร้อยคอนั้น
"ระ...หรือว่า นะ...นายจะ ปะ...เป็นผู้....?" ฉันถามอย่างยากลำบาก เพราะสิ่งที่จะถามมันดูจะห่างไกลจากสามัญสำนึกของฉัน
"เป็นผู้ๆๆๆ ผู้อะไร?" อีวานถามด้วยน้ำเสียงลุ้นในคำตอบของฉัน พลางทำท่าทางแกว่งนาฬิกาไปมา
"ผู้...ผู้ใช้พลังจิตใช่ไหม?" ฉันตอบแบบมั่นหน้ามากว่าต้องใช้
"เอิ่บ!! เฮ้ออออ" อีวานทำหน้านิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
"ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ ว่าในโลกนี้มีผู้ฝึกฝนตนเองจนสามารถใช้พลังจิตได้นะ นายคือหนึ่งในนั้นใช่ไหมล่ะ" ฉันพูด พลางนึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน
"โธ้เว้ย จะบ้าหรอไง!? พลังจิตมันทำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรอไง ยัยบื้อ เรียนเก่งซะป่าว ไม่มีจินตนาการเลย ให้ตายเถอะ" อีวานพูดขึ้น อย่างเหลืออด
"เดียวๆ ทำไมพูดจาหยาบคายแบบนี้?" ฉันพูดขึ้น
"เอ่อ โทษทีคับ ผมลืมตัว ฮ่าฮ่า" อีวานตอบ พลางกลับเข้าสู่โหมดผู้ดีต่อ
"ช่างเถอะ เอาเป็นว่าก็ประมาณนั้นล่ะ" อีวานตัดบท
"แล้วนายต้องการอะไรจากฉัน ถึงได้เสนอตัวมาช่วย" ฉันถามกลับ คงไม่มีคนบ้าที่ไหนมายุ่งเรื่องของคนที่พึ่งเจอกันวันแรกแบบฟรีๆ หรอกมั่ง
"อ่อ แน่นอนว่ามีข้อแลกเปลี่ยน" อีวานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบเจรจาธุรกิจก็ไม่ปาน
ข้อแลกเปลี่ยน งั้นหรอ? คำนี่มันช่างคุ้นหูจริงๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ฉันนึกในใจ พลางมองหน้าอีวานอย่างชั่งใจ
"นายต้องการอะไร ลองว่ามา" ฉันพูดก่อนจะ หันมาคุยซึ่งๆ หน้ากับอีวาน
"คุณต้องเข้าประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนและต้องชนะเลิศให้ได้" อีวานยื่นข้อเสนอ
"ห่ะ!? ตัวเเทนวันสถาปนาโรงเรียน?" ฉันทวนสิ่งที่หมอนี่ต้องการอีกครั้ง
"ใช่แล้ว ผมเชื่อว่ามันคงไม่ยากสำหรับคุณ เพราะดูเหมือนนักเรียนในโรงเรียนนี้ก็ชื่นชอบคุณนี่ อ่อ ยกเว้นเพื่อนๆ ในห้องคุณนะ" อีวานพูดขึ้น
ดะ...เดียวซิ อีตานี่รู้เรื่องเกี่ยวกับฉันเยอะกว่าที่คิดแหะ ทั้งๆ ที่พึ่งมาเรียนวันแรกแท้ๆ น่าแปลกซะมัด ฉันนึกในใจพลางครุ่นคิดข้อเสนอ
แต่มันไม่แปลกหรือไง? ข้อเสนอของเขามันดูแปลกมาก เขาให้ฉันลงประกวด แล้วเขาจะได้อะไรจากงานนี้ล่ะ ข้อเสนอที่ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์มันมีด้วยหรอเนี้ยยยย ฉันนึกในใจพลางมองหน้าที่ยิ้มแฉ่งของอีวานอย่างจับผิด
"ข้อเสนอของนายไม่ดูแปลกไปหน่อยหรอ?" ฉันตัดสินใจเอ่ยถามไป
"แปลกตรงไหนล่ะ?" อีวานตอบแบบทองไม่รู้ร้อน
"ปกติการจะช่วยคนอื่น คนที่ช่วยจะต้องยื่นข้อเสนอที่ตัวเองได้ผลประโยชน์นี่ แต่ข้อเสนอของนาย ฉันคิดอย่างไงๆ นายก็ไม่เห็นจะได้อะไรจากการที่ฉันลงประกวดบ้าบอนั้น" ฉันเอียงคอถามอย่างเค้นความจริง
"ทำไมผมจะไม่ได้อะไรล่ะ ผมก็ได้ดูคุณลงประกวดไง" อีวานตอบพลางส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจสาวมาให้
"อย่ามาตลก เอาดีๆ!" ฉันเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางกวนประสาของหมอนี่
"เฮ้ออออ คุณนี่น่าไม่หลงสเน่ห์ผมบ้างเลยหรอ?" อีวานถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปนอนบนเตียงผู้ป่วยข้างๆ ฉัน
"หลงสเน่ห์กับผีนะซิ จริงอยู่ที่นายจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี แต่ฉันรู้ว่านายมันมีอะไรแอบแฝง" ฉันตอบกลับ ก่อนจะหันไปนอนบนเตียงของตนเช่นกัน
"แหม คุณนี่แสนรู้จริงๆ เลยนะ ฮ่าฮ่า" อีวานพูด ก่อนจะหัวเราะร่า
"ฟริ้ววววว ตุบ / อ้ากกก เจ็บนะคับ" เสียงหมอนถูกปาเข้าไปที่หน้าหล่อๆ ของหมอนั้น ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่ดูอย่างไงก็แกล้งทำเป็นสำออย
"ถ้ายังไม่ตอบมาตรงๆ อันต่อไปจะเป็นนี่แน่ๆ อยากลองไหมล่ะ?" ฉันพูด ก่อนจะหยิบแก้วน้ำชูขึ้นเตรียงขว้าง
"โอเคๆ วางอาวุธก่อนเถอะ" อีวานพูด พลางส่งหมอนคืนมาให้ฉัน
"ผมได้รับภารกิจระดับ S เอ่อ...พูดไงให้คนอย่างคุณเข้าใจดีล่ะ ภารกิจระดับชาติอะคับ" อีวานพูด
"ห่ะ?" ฉันร้องออกมาอย่างงงๆ
ภารกิจระดับชาติเนี้ยนะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กสาว ม.ปลาย สุดธรรมชาติแบบฉันละค่ะ? เดียวดูคราวนี้จะเป็นเรื่องจริงแหะ แววตาหมอนั้นมุ่งมั่นสุดๆ เลย ฟังต่ออีกหน่อยล่ะกัน ฉันนึกในใจ พลางจ้องไปที่ดวงตาเรียวคมของอีวานอันเป็นประกายสีฟ้าดุจแร่อะความาริน
"แล้วอย่างไง? ภารกิจระดับชาติของนายมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ" ฉันเอียงคอถาม
"เพื่อที่จะบรรลุภารกิจ ผมเฝ้ามองผู้คนต่างๆ มากมาย จนเจอกับคุณ ผู้ที่ผมคิดว่า คนนี้ล่ะที่เป็นกุญเจสู่ความสำเร็จของภารกิจ" อีวานพูด พลางกระชับหมัดแน่นเป็นเชิงมั่นใจ
"แล้วภารกิจของนายคืออะไร?" ฉันถามขึ้นอย่างสงสัย
"บอกไม่ได้เป็นภารกิจลับ หากบอกไปอาจมีคนอื่นรู้ อย่างที่คนบนโลกนี้ชอบพูดว่า กำแพงมีหู ประตูมีปาก ไงล่ะ" อีวานกอดอกพูด
"ปากนายนะซิ ไม่ใช่ย่ะ เขาต้องพูดว่า กำแพงมีหู ประดูมีตา" ฉันแก้ให้
"เออ นั้นล่ะๆ" อีวานตอบ
"ถ้างั้นนายให้ฉันลงประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนเพื่ออะไร?" ฉันถามในประเด็นที่สงสัย
"เป็นความลับจ้า" อีวานตอบ พลางลุกขึ้นยืน
"แต่ว่านะ..." อีวานพูด ก่อนจะเงียบไป
"..." ฉันนิ่งเงียบรอฟัง
"ไม่แน่ว่า หากคุณชนะการประกวดนั้น คุณอาจจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวคุณก็ได้นะ" อีวานพูด ก่อนจะหันหลังให้ฉัน
"เดียวสิ ความจริงอะไร?" ฉันถามกลับ
"ความจริงเรื่องชายผู้เป็นคนรักที่นอนป่วยอยุ่ไงล่ะ" อีวานพูด ก่อนจะเดินจากไป
มะ...หมายความว่าไง? หมอนี่รู้อะไรกันแน่ แล้วเขาเป็นใครกันแน่? ผู้ชายคนนั้น! ฉันนึกในใจ พลางยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น
ณ บริเวณหน้าโรงเรียน ประตูทางทิศเหนือ เวลาหลังเลิกเรียน
"เฮ้ออออ ฉันมาเร็วเกินไปหรือป่าวน่ะ?" เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้น พลางโบกพัดสมุดในมือไปด้วย
"อ้าว ต้นกล้า!" เสียงเพื่อนสนิทของผมเอ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นผมยืนพิงกำแพงข้างประตูโรงเรียน
"ไง?" ผมตอบกลับไป
"ยังจะมางงมาไงอีก ทำไมไม่มาเรียนห่ะ? วันนี้มีสอบย่อยวิชาเลขด้วยนะโว้ย!" ไอเหน่งพูดขึ้น พลางเดินมากอดคอผม
"อ้าวหรอ? ลืมเลยวะ ฮ่าฮ่า" ผมตอบกลับไป
"ไหวไหมเนี้ย มึง!? ทำไมโทรมขนาดนั้น? แล้วตาเป็นอะไรบวมเชียว? โดนต่อยมาหรอ ฮ่าฮ่า?" เหน่งพูด ก่อนจะชี้มาที่หน้าผม
"ออ พอดีไม่ค่อยได้นอนนะ ว่าแต่เห็นฟ้าใสไหม?" ผมถามหาแฟนสาวของตัวเอง
"แหม เจอหน้ากูแต่ถามว่าสาวเนี้ยนะ กูเห็นรีบวิ่งออกไปทางประตูทิศใต้อ่ะ ไม่รู้ไปไหน?" ไอเหน่งตอบ
"อ้าว! ประตูใต้หรอ? บ้านฟ้าใสอยู่ต้องออกทางประตูเหนือนี้หว่า" ผมพูดขึ้นอย่างงงๆ
"ก็เออนะสิ...อ้าวๆ" ไอเหน่งพูดยังไม่จบประโยคดี ผมก็ชิงวิ่งไปทางประตูใต้ก่อนแล้ว
มีเรื่องอะไรหรือป่าวนะ? ไปทางประตูใต้ทำไม? ผมนึกในใจ พลางหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาฟ้าใส ขณะที่กำลังวิ่งไปยังประตูใต้
"ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด" เสียงโทรศัพท์บ่งบอกว่าคนทางปลายสายยังไม่รับโทรศัพท์จากผม
"โธ่เว้ย มีมือถือไว้ขวางหัวหมาหรอ รับช้าจริง" ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ข้างๆ ประตูใต้ของโรงเรียน
"ฮัลโหล ว่าไงต้น.../ ทำไมรับสายช้าจังห่ะ?" เสียงเด็กสาวจากปลายสายรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถูกแทรกด้วยน้ำเสียงร้อนรนของผม
"ออ โทษที พอดีกำลังจ่ายเงินค่าแท็กซี่นะ" ฟ้าใสพูดขึ้น
"แท็กซี่หรอ? เธออยู่ไหน?" ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
"เอ่อออ โรงพักนะ ทำไมหรอ?" เสียงฟ้าใสเงียบไปสักครู่ ก่อนจะบอกที่อยู่ของเธอในตอนนี้
"มีเรื่องอะไรหรือป่าว?" ผมถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง และอยากรู้
"เ่อ่อ คือแบบนี้นะ...นะ นี่นาย!? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ละ? เอ่อ ต้นกล้าแค่นี้ก่อนนะ ไว้เดียวหัวค่ำฉันจะโทรไปเล่าให้ฟัง บาย!...ตู๊ดๆๆ" เธอเหมือนกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับผม แต่ก็เจอกับใครบางคนเข้า เลยวางสายใส่ผมไปซะงั้น
ว่าแต่ฟ้าใสไปเจอใครที่โรงพักล่ะ? แล้วเรื่องที่จะเล่านี้มันคืออะไร ค้างใจชะมัดเลย ผมนึกในใจ ก่อนจะโบกแทกซี่ที่ป้ายรถเมล์
"ไปโรงพักคับ ด่วนเลย!!" ผมตะโกนบอกคนขับอย่างเร่งรีบ
ขณะเดียวกัน ณ หน้าสถานีตำรวจ
"นะ...นาย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!?" ฉันเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนดักรอฉันอยู่หน้าทางเข้าโรงพัก
"ถ้าบอกว่าบังเอิญก็คงฟังไม่ขึ้นสินะ งั้นเอาตรงๆ เลยละกันนะคับ ผมมาดักรอเจอคุณฟ้าใสไงคับ" ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเคาได้ว่าคิดอะไรอยู่
"นายจะมาดักรอฉันทำไม? แล้วรู้ได้ไงว่าฉันจะมาโรงพัก? ตอบดีนะ อีวาน!" ฉันถามรัวเป็นชุด ก่อนจะเดินไปประจัญหน้ากับเด็กใหม่นั้น
"ผมรู้ได้ไงมันไม่สำคัญหรอกคับ และที่ผมมาที่นี่ เพราะผมต้องการช่วยคุณ เชื่อเถอะว่าผมอยากช่วยคุณจริงๆ และลางสังหรณ์ผมบอกว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน" อีวานพูดขึ้น
"อยากจะทำอะไรก็ตามใจ แต่อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนแล้วกัน!" ฉันพูดขึ้น ก่อนจะเดินผ่านอีวานไปเข้าโรงพัก
"นี่มันอะไรกัน ฟ้าใส!? หมอนี้เป็นใครห่ะ!?" เสียงชายอีกคนที่ฉันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากริมฟุตบาท
"ตะ...ต้นกล้า! คือว่า.../ แบบนี้หรือว่านะ ที่คนโลกเก่าเรียกว่า รถเมล์ชนกัน นะ" ฉันกำลังจะอธิบายให้ต้นกล้าฟัง แต่อยู่ๆ อีตาบ้าหัวขาวก็พูดแทรกขึ้นมา
"เขาเรียกว่า รถไฟชนกันย่ะ โอ๊ยยย จะบ้าตาย!" ฉันร้องโวยวายออกมาอย่างหงิดหงุด ก่อนจะหันกลับไปเดินเข้าโรงพักต่อ
"เดียวก่อนสินี่! เธอจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรอ ห่ะ!?" ต้นกล้าวิ่งเข้ามาขวางทางฉัน ก่อนจะตะคอกถามฉันอย่างความโมโห
"โอเคๆ ฟังนะ ผู้ชายคนนี้ชื่อ อีวาน เป็นเด็กนักเรียนใหม่ของห้องฉัน" ฉันพูดพลางชี้ไปที่เขา
"แล้วเธอมาที่นี้กับมันทำไม?" ต้นกล้าถาม พลางมองไปที่อีวานที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ (มันใช่เวลามายืนยิ้มหรอ คนบ้าอะไรเนี้ย)
"เขาตามฉันมาเอง จบนะ!?" ฉันตอบพลางหันหลังเดินเข้าโรงพัก วันนี้จะได้เรื่องไหมเนี้ย โอ๊ยยยย หัวจะปวด ฉันนึกในใจ ก่อนจะกุมขมับ
"เดียว!" ต้นกล้ายังไม่จบ ตะโกนห้ามฉัน พลางดึงแขนฉันไว้
"อะไรอีกล่ะ?" ฉันถามขึ้นอย่างเริ่มอารมณ์เสียในความงี่เง่าของแฟนตัวเอง
"แล้วมันตามเธอมาทำไม?" ต้นกล้าถามฉัน
"แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะ? อยากรู้ก็คุยกันไปล่ะกันนะ! ฉันไปล่ะ รีบ" ฉันพูด ก่อนจะสะบัดมือออก แล้วเร่งเดินเข้าโรงพักไปอย่างหัวเสีย
ในมุมของต้นกล้า
"อะไรวะเนี้ย!? เดินหนีเฉยเลย" ผมพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปมองไอหัวขาวที่ยืนยิ้มแบบไม่รู้เวล่ำเวลา
"นายชื่ออีวานสินะ?" ผมเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
"ใช่คับ คุณคือต้นกล้า อัศวินของคุณฟ้าใสสินะเนี้ย" อีวานพูด พลางกอดอก
"ว่าแต่ลักษณะของนายดูคุ้นๆ นะ" ผมพูด พลางนึกย้อนไป
อ่อ ใช่ ตอนนั้นที่ฟ้าใสถามถึงนักเรียนชายผมสีขาวนี่หว่า หรือว่าจะเป็นหมอนี้ งั้นแสดงว่ารู้จักกันมานานพอดู ไหนว่าเป็นเด็กใหม่ไงวะ? ผมนึกในใจ พลางจ้องไปที่อีวาน
"นายตามฟ้าใสมาทำไม?" ผมถามในสิ่งที่คาใจ
"แล้วอยากรู้ไปทำไมคับ?" อีวานเอียงคอุถามกลับ
"หน่อย ไอเวรนี่! ถามดีๆ แล้วนะ หรืออยากเจ๊บตัว ห่ะ!?" ผมตะโกนขึ้นอยางอารมณ์เสียในท่าทางกวนตีนของมัน
"ถ้าทำได้ก็ลองดูสิคับ พวกใช้แต่กำลังอย่างคุณจะทำอะไรผมได้ ฮ่าฮ่า" อีวานพูดขึ้น ก่อนจะหัวเราะเยาะผม
"ได้ เดียวกูจัดให้ไอหัวขาวกวนบาทา" ผมพูดก่อนจะเงื้อหมัดขึ้น
"หยุดเดียวนี้เลยนะ! บ้าหรือป่าวเนี้ย!? นี้มันโรงพักนะ" เสียงฟ้าใสห้ามดังขึ้นจากบนบันไดทางขึ้น
"แต่ว่ามัน.../เงียบไปเลย! แล้วจะยืนกัดกันอีกนานไป อยากตามมาก็เข้ามาเร็ว เสียเวลา!" ผมยังไม่ทันพูดจบ ก็โดนฟ้าใสเบรคอย่างจัง ท่าทางจะโมโหด้วย
"อึ๋ยยย ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอเวรหัวขาว" ผมกัดฟันพูด พลางชี้ไปที่หมอนั้น
"แหม น่าเสียดายจัง อดสนุกเลย ฮิฮิ" อีวานพูดก่อนจะเก๊บนาฬิกาสร้อยคอใส่กระเป๋ากางเกง (เอานาฬิกาออกมาทำพระแสงไรวะ หมอนี้ท่าจะเพี้ยน)
ณ ข้างในสถานีตำรวจ
ตอนนี้ เราสามคนกำลังนั่งรอคุณตำรวจเจ้าของคดีฉันที่กำลังเคลียร์งานอยู่
"แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?" ต้นกล้าหันมาถามฉัน
"มีผู้ต้องสงสัยมารับสารภาพว่าเป็นคนผลักฉันในรถชนในวันเกิดเหตุนะ ฉันเลยอยากคุยด้วยหน่อย" ฉันอธิบายสั้นๆ
"มารับสารภาพด้วยตัวเองกับตำรวจเนี้ยนะ?" ต้นกล้าถามซ้ำ
"ใช่ แปลกไหมละ? แต่ฉันพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่อยากถามหาเหตุผลที่เขาทำแบบนี้" ฉันตอบกลับ พลางมองไปที่ห้องสอบสวนของสถานีตำรวจ
"ออ ว่าแต่ไอหมอนี่ตามมาทำไม? หรือหมอนี่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว?" ต้นกล้าถามพลางชี้ไปที่อีวาน ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ต้นกล้า
"ใช่ เขาบังเอิญได้ยินที่ฉันคุยกับมินตราเมื่อตอนกลางวัน และเขาก็อาสามาช่วยฉันก็เท่านั้น" ฉันอธิบายแบบสั้นๆ โดยไม่ได้บอกถึงความสามารถของเขา
"บังเอิญได้ยินหรือแอบฟังคนอื่นคุยกัน?" ต้นกล้าพูด ก่อนจะหันไปแยกเคี้ยวใส่อีวาน
"อันนี้ฉันก็ไม่รู้ เขาบอกว่าบังเอิญ" ฉันตอบปัดๆ ไป
"ว่าแต่คุยกับมินตราเป็นไงบ้าง ยัยนั้นรับสารภาพไหม?" ต้นกล้าถาม ด้วยความอยากรู้
"เดียวฉันเล่าไปฟังตอนกลับบ้านล่ะกันนะ คุณตำรวจมาแล้ว" ฉันพูดพลางลุกขึ้นยืน
"ขอโทษที่ให้รอนานนะคับ คุณฟ้าใส" คุณตำรวจพูดขึ้น
"ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ผู้ต้องสงสัยคนนั้นอยู่ไหนค่ะ?" ฉันถาม ก่อนจะหันไปมองรอบๆ สถานีตำรวจ
"เชิญทางนี้คับ" คุณตำรวจพูด พลางเดินนำทางไปยังห้องสอบสวน
"แล้วสองคนนั้นใครคับ ตอนผมไปสอบปากคำเพื่อนๆ ในโรงเรียนคุณไม่เห็นเจอเลย" คุณตำรวจถามขึ้น
อ่อ จริงสิ ตอนนั้นต้นกล้าคงเข้าโรงพยาบาลมาเวลาใกล้ๆ กับฉันเลยนี้หน่า ฉันนึกขึ้นได้
"อ่า คือ คนหัวดำชื่อต้นกล้าค่ะ เป็นนักเรียนของชั้น ม.5/7 ตอนนั้นเขาเข้าโรงพยาบาลอยู่ค่ะ" ฉันอธิบายสั้นๆ พลางชี้ไปที่ต้นกล้า
"ส่วนคนหัวขาวชื่ออีวานค่ะ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่พึ่งย้ายมาใหม่วันนี้" ฉันอธิบายพลางชี้ไปที่อีวาน
"ออ คับ" ตำรวจพูดพลางมองไปที่สองคนนั้น ขณธที่เรายืนอยู่หน้าห้องสอบสวน
"เชิญเลยคับ" ตำรวจพูดก่อนจะเปิดประตูห้องสอบสวน
ภายในห้องสอบสวนถูกแบ่งออกเป็นอีกสองห้อง โดยมีกระจกกั้นไว้ ข้างในห้องกระจกมีผู้ชายคนนึงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย
"คุ้นหน้าเขาไหมคับ คุณฟ้าใส?" ตำรวจถามขึ้น หลังจากยืนเงียบอยู่นาน
"ไม่เลยค่ะ" ฉันตอบพร้อมกับส่ายหน้า
"แล้วเขาเป็นใคร?"
"คับ ชื่อนายสันติ ชื่อเล่น สัน อายุ 55 ปี ในครอบครัวมีภรรยา และลูกชาย 1 คน อาชีพพนักงานขับรถส่วนบุคคลคับ" คุณตำรวจตอบพร้อมกับกางสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ
"พนักงานขับรถส่วนบุคคล? ได้ถามไหมค่ะว่านายจ้างเป็นใคร?" ฉันหันไปถามคุณตำรวจด้วยความสงสัย
"ไม่ได้ถามคับ ทำไมหรอคับ?" คุณตำรวจตอบ ก่อนจะถามฉันกลับ
"อ่อ ป่าวค่ะ" ฉันตอบปัดๆ ไป ฉันยังพูดอะไรไม่ได้ หากยังไม่แน่ใจ
ถ้าให้ฉันเคาเขาน่าจะเป็นคนขับรถของตระกูลยัยนั้นแน่นอน คงจะถูกส่งมาเป็นแพะซินะ ฉันนึกในใจพลางจ้องมองไปยังลุงคนนั้นที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในห้องกระจก
"แล้วเขาให้การกับคุณตำรวจว่าไงค่ะ" ฉันถามคุณตำรวจ หลังจากยืนมองผู้ต้องสงสัยสักพัก
"จากคำให้การของผู้ต้องสงสัย เขาบอกว่า ในวันและเวลาที่เกิดเหตุเขากำลังรีบกลับบ้าน เพราะลูกชายของเขาป่วยหนัก ในขณะที่เดินอยู่บนทางเท้าที่เกิดเหตุ เขาเห็นคุณเดินช้าๆ เรื่อยๆ อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาบอกขอทางหน่อย แต่เมื่อคุณจะไม่ได้ยิน เขาก็เลยผลักคุณให้พ้นทางเดินของเขา แต่เขาไม่คิดว่าคุณจะถลาไปกลางถนนแบบนั้น และเมื่อเขาเห็นว่าเกิดอุบัติเหตุจึงตกใจวิ่งหนีไป" คุณตำรวจอ่านคำให้การของคุณลุงคนนั้นให้ฟัง
"สรุปคือ เขายอมรับการผลักฉันจริงๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุสินะคะ" ฉันสรุปคำให้การ
"ก็ประมาณนั้นคับ" คุณตำรวจตอบกลับ
"มันไม่แปลกหรอไง? มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกลับมารับสารภาพด้วยล่ะ?" ต้นกล้าเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ
"ครับ ผมก็รู้สึกว่ามันแปลก แต่จากที่ถาม เขาบอกว่ารู้สึกผิดเลยอยากจะมารับสารภาพ" คุณตำรวจตอบ
เหอะ! ตลกล่ะ รู้สึกผิดเลยจะมารับสารภาพเอาตอนนี้เนี้ยนะ มันผ่านมาเกือบเดือนแล้วนะ ยิ่งน่าสงสัยไปอีก ฉันนึกในใจ พลางหันไปจ้องมองผู้ต้องสงสัย
"ฉันจะขอเข้าไปคุยกับผู้ต้องสงสัยได้ไหมค่ะ" ฉันหันไปถามคุณตำรวจ
"ได้สิคับ เดียวผมจะบอกเขาให้ว่าผู้เสียหายจะคุยด้วย" คุณตำรวจตอบรับ ก่อนจะจับลูกบิดประตู
"เดียวค่ะ! ไม่ต้องบอกอะไรหรอกค่ะ พอดีฉันอยากทดสอบอะไรหน่อย" ฉันห้ามคุณตำรวจไว้
"ทดสอบ?" คุณตำรวจถามกลับอย่างงงๆ
"เอาเถอะค่ะ คุณตำรวจช่วยรออยู่ข้างนอกสักครู่นะคะ พวกนายก็ด้วยรอนี้ล่ะ" ฉันพูดกับคุณตำรวจ ก่อนจะหันไปบอกกับต้นกล้าและอีวาน
"โอเคตามใจเธอ" ต้นกล้าตอบกลับมา
"ได้คับ แต่ระวังตัวด้วยนะ" อีวานตอบกลับ
"เฮ้ออออ งั้นก็ได้คับ แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นผมจะเข้าไปทันที" คุณตำรวจตอบกลับ
"แล้วช่วยปิดไมโครโฟน มอนิเตอร์ด้วยค่ะ" ฉันหันไปขอร้องคุณตำรวจ
"ตะ...แต่ว่ามันจะใช้เป็นหลักฐานได้นะคับ" คูณตำรวจค้านขึ้น
"มันไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอกค่ะ เชื่อฉันเถอะค่ะคุณตำรวจ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เอางั้นก็ได้คับ เฮ้ย! ปิดไมโครโฟนให้หมด" คุณตำรวจตอบตกลง ก่อนจะหันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญญาของตน
ณ ห้องสืบสวน ในห้องกระจก
"แกร๊ก" เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับชายวัยกลางคนที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
"สวัสดีค่ะ" ฉันเอ่ยทักทายผู้ต้องสงสัยด้วยรอยยิ้ม
"สะ...สวัสดีคับ" คุณลุงผู้ต้องสงสัยทักทายกลับด้วยท่าทางลนลาน
"คุณรู้ไหมค่ะ ว่าฉันเป็นใคร!?" ฉันเอียงคอถามหลังจากเดินที่ยืนใกล้ๆ ผู้ต้องสงสัย ก่อนจะเดินกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
"ผะ...ผมไม่รุ้!!" คุณลุงตอบเสียงดังเหมือนคนที่เริ่มจะควบคุมสติไม่ได้
นั้นไงล่ะ! เดินสวนทางกัน ผลักฉันจนถลาไปโดนรถชน ซึ่งเจ้าตัวก็บอกเองว่าเห็นอุบัติเหตุนั้นเต็มสองตา แต่กลับไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร เหอะ! โกหกคำโตเชียวนะ ยัยมินตราเธอพลาดแล้วล่ะ ที่ไม่ทำการบ้านมาให้ดีก่อนส่งแพะมารับบาปแบบนี้!? ฉันนึกในใจ พลางมองคุณลุง
"ถ้าฉันจะบอกให้นะค่ะ ว่าฉันเป็นใคร!" ฉันพูดพลางนั่งกอดอกหลังพิงเก้าอี้
"แต่ก่อนอื่น...ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณลุงถึงมารับสารภาพด้วยตัวเองค่ะ?" ฉันเอียงคอถามออกไป
"ผะ...ผมรู้สึกผิดที่ผลักเด็กคนนั้น จนโดนรถชน" คุณลุงตอบพลางก้มหน้าก้มตา บีบมือแน่น
"แล้วทำไมคุณลุงไม่รีบมาสารภาพตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะค่ะ นี่มันก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วนะค่ะ" ฉันถาม
"คะ...คือ...ผะ...ผมพยายามตามหาแล้ว แต่ไม่เจอเด็กคนนั้นเลย" คุณลุงตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักสุดๆ
"งั้นแสดงว่า คุณจำหน้าเด็กคนนั้นได้หรอค่ะ?" ฉันแกล้งถามออกไป
"กะ...ก็ใช่นะสิคับ! ผมก็บอกแล้วไงว่า ผมเป็นคนผลัก แล้วก็เห็นอุบัติเหตุนั้นนะ!" คุณลุงเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน
"อ่อหรอค่ะ!? นี่คุณลุงค่ะ! เคยได้ยินคำนี้ไหมค่ะ?" ฉันลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"อะ...อะไร?" คุณลุงถามเสียงสั่น
"หากเราโกหกครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปเราก็จะต้องโกหกอีก แล้วมันก็จะไม่จบไม่สิ้น" ฉันกระซิบเสียงเย็น
"มะ...หมายความว่าไง?" ลุงผู้ต้องสงสัยถามขึ้น ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอือก
"ฟังให้ดีนะค่ะ!" ฉันพูดก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังของเขา
"..." คุณลุงได้แต่เงียบ และหันมองตามฉัน
"ฉันนี้ล่ะค่ะ! คือ เด็กสาวที่คุณผลักจนโดนรถชน!" ฉันก้มลงกระซิบข้างหูเขา ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกหนักกว่าเดิม
"วะ...ว่าไงนะ!?" ลุงผู้ต้องสงสัยร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกโต
"ปัง!!! คุณโกหกทำไมค่ะ ห่ะ?" ฉันทุบลงที่โต๊ะ ก่อนจะตะโกนถามเขา
"อะ...เอ่อ คือ" คุณลุงอ้ำอึ้ง
"คุณไม่รู้หรือว่าโทษมันหนักแค่ไหนนะ?" ฉันนั่งลงก่อนจะถามเขา
"ผะ...ผมรู้คับ รู้ดี" คุณลุงก้มหน้าก้มตาตอบเสียงอ่อน
"แล้วทำไมค่ะ? ทำไมถึงยังทำแบบนี้อีก?" ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ
สิ่งที่ทำให้คุณลุงยอมรับผิดแทนคนอื่นแบบนี้ มันคืออะไรกันแน่? ความภักดี ความซื่อสัตย์ หรือเงินทอง? ฉันนึกในใจ พลางมองหาคำตอบในแววตาของเขา
"ผะ...ผมบอกไม่ได้จริงๆ คับ!" ลุงตะโกน พลางกุมขวับส่ายหัวไปมา
"คุณลุงค่ะ เชื่อใจฉันเถอะค่ะ ฉันรู้ดีว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำ แต่มีใครบางคนส่งคุณมาเป็นแพะ" ฉันเอื้อมมือไปกุมมืออันสั่นเทาของเขาไว้ ให้ใจเย็นๆ
"..." แพะรับบาปผู้นี้ยังคงเงียบ
"ครอบครัวของมินตราใช่ไหมค่ะที่ส่งคุณมา?" ฉันเอ่ยถาม
"นะ...หนูรู้ได้อย่างไง?" คุณลุงทำหน้าตกใจมาก
"เอาเป็นว่าหนูพอจะเดาได้ค่ะ่ แต่หนูไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลุงถึงยอมมาแต่โดยดี" ฉันบีบมือเขาแน่นขึ้น
"...." ความเงียบเข้าครอบงำเราสองคน
"คุณลุงบอกหนูมาเถอะค่ะ หนูไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตคนบริสุทธิ์ต้องพังลง ถือว่าหนูขอร้อง!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่น เมื่อนึกว่าเขาจะต้องโทษเพียงเพราะฉัน
"...." คุณลุงยังคงปิดปากเงียบ
"โทษทางคดีอาจทำให้คุณลุงติดคุกได้เลยนะค่ะ แล้วครอบครัวของลุงล่ะค่ะ! พวกเขาจะทำอย่างไง พวกเขาจะอยู่ต่อไปอย่างไงค่ะ!" ฉันพูดเชิงเตือนสติเขาให้ฉุดคิด
"ก็เพราะครอบครัวนี่ล่ะคับ ทำให้ผมมาอยู่ตรงจุดนี้ ฮื้ออออ อึ๊กกก" คุณลุงพูดก่อนจะปล่อยร้องไห้ออกมา
อีกด้านหนึ่งของห้องกระจก ในห้องสอบสวน
"โธ่เว้ย! ทำไมคุยกันนานขนาดนี้วะ!?" ผมถามลอยๆ ด้วยความหงุดหงิด อยากรู้เรื่องราว
"คุณต้นกล้า ใจเย็นๆ สิคับ ผมว่าใกล้จบแล้วล่ะคับ อิอิ" ไอหัวขาวหน้ากวนบาทาพูดขึ้น ก่อนจะหัวเราะคิก
"นั้นสิคับ คุณนั่งลงเถอะคับ เดินวนจนผมตาลายหมดแล้วเนี้ย" คุณตำรวจเจ้าของคดีพูดขึ้น
"โธ่เว้ย แมร่ง!!" ผมนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้ พลางจ้องมองภายในห้องกระจกอีกด้านหนึ่ง
"อะ...นั้น ตาลุงนั้น ร้องไห้ทำไมอ่ะ?" ผมถาม เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ เขาก็ร้องไห้ใหญ่มาก แล้วฟ้าใสก็เข้าไปปลอบผู้ต้องสงสัยนั้น
"ผมว่ามันชักแปลกๆ แล้วนะเนี้ย" คุณตำรวจพูดขึ้น
"ใช่ไหมล่ะคับ ต้องมีอะไรแน่เลย!? อีแบบนี้" ผมพูดพลางชี้ไปที่ตาลุงนั้น
แล้วฟ้าใสกับผู้ต้องสงสัยก็คุยกันต่อ ตาลุงนั้นพูดไปก็สะอื้นไป
"เอ่ะ...ผมว่าคุณฟ้าใสเธอเริ่มดูแปลกๆ แล้วนะคับ" อีวานพูดว่าลุกขึ้นมายืนหน้ากระจกข้างๆ ผม
"เออวะ ดูโกรธมากเลยนะนั้น กำหมัดแน่นเลย" ผมพูด พลางมองดูฟ้าใส แฟนผมในเวอร์ชั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอดูโกรธมากเลย
"อ่ะ เหมือนจะเสร็จแล้ว!" คุณตำรวจพูดก่อนจะลุกขึ้นไปยืนรอหน้าประตูห้องกระจก
อีกด้านหนึ่งของห้องกระจก ในห้องสอบสวนผู้ต้องสงสัย
"ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่ยอมเล่าความจริงให้หนูฟัง" ฉันพูดก่อนจะโค้งขอบคุณผู้ต้องสงสัย
"ไม่เป็นไรคับ แต่หนูจะไม่เป็นไรหรอ? ที่ตัดสินใจแบบนี้" คุณลุงถามด้วยความเป็นห่วง
"แน่นอนค่ะ หนูจะช่วยลุงเอง เพราะจริงๆ ต้นเหตุมันก็มาจากหนูค่ะ แล้วจะให้หนูอยู่เฉยได้ไงล่ะ?" ฉันพูดพลางส่งยิ้มให้เขา
"ขอบคุณมากจริงๆ นะ ฝากที่เหลือด้วย ลุงจะรออยู่ที่นี่ตามที่หนูแนะนำ" คุณลุงพูดก่อนจะบีบมือฉันแน่น
"งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ ไว้เจอกันไหม ดูแลตัวเองด้วยค่ะ" ฉันเอ่ยคำลา พร้อมกับก้นโค้ง
ยัยสารเลวนั้น! ใช้เงินและอำนาจยังไม่พอ นี่ถึงขนาดใช้วิธีสกปรกแบบนี้เลยหรอ!? ฉันนึกในใจพลางเดินมาที่ประตูทางออก
ณ ด้านนอกห้องสอบสวนในสถานีตำรวจ
ตอนนี้พวกเราสามคนออกมานั่งรอคุณตำรวจตรงที่นั่งเดิมก่อนหน้านี้
"เป็นไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม?" ต้นกล้าเอ่ยถามฉัน หลังจากเห็นฉันเงียบไปสักพัก
"ได้สิ เรื่องเด็ดเลยล่ะ!" ฉันตอบกลับ พลางกำหมัดแน่น ถ้ายัยนั้นอยู่ตรงนี้ ฉันรับรองเลยว่า ฉันจะเข้าไปไฟท์แบบไม่รีรอเลย สาบาน!!
"เล่าให้พวกเราฟังได้ไหมคับ คุณฟ้าใส?" อีวานถามขึ้นบ้าง
"ได้แน่นอน เพราะเรื่องนี้ต้องให้พวกนายช่วยด้วย แต่ก่อนอื่นฉันอยากคุยกับคุณตำรวจก่อน" ฉันพูดพลางหันไปมองต้นกล้าและอีวาน
"ขอโทษที่ให้รอคับ สรุปว่าคุณคุยอะไรกับผู้ต้องสงสัยสามารถบอกได้ไหมคับ?" คุณตำรวจเริ่มชักฉัน ก่อนที่ฉันจะนั่งซะอีก
"ตดนนึัยังบอกไม่ได้ค่ะ" ฉันตอบ
"งึีนคุณจะทำให้ต่อไปคับ จะชี้ตัวว่าเขาเป็นคนร้ายเลยไหม?" คุณตำรวจถาม
"ฉันยังไม่แน่ใจ ขอเวลาพิสูจน์ความจริงประมาณ 3 วันค่ะ" ฉันโกหก (แกพึ่งสั่งสอนคุณลุงไปว่าอย่าโกหกนะ 5555+)
"งั้นก็ได้คับ แล้วมีอะไรอีกไหมคับ?" คุณตำรวจตอบตกลงและถามกลับ
"ช่วยปิดเรื่องที่ฉันมาคุยกับผู้ต้องสงสัยทีค่ะ หากที่คนถามให้บอกไปว่าคดีใกล้เสร็จแล้ว เอาตามนี้นะค่ะ" ฉันขอร้องคุณตำรวจ
"ก็ได้คับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร" คุณตำรวจตอบ
"ขอบคุณนะค่ะ งั้นพวกเราขอตัวก่อนค่ะ" ฉันเอ่ยคำลา เพราะต้องมาคุยกับสองหน่อนี้อีก
"อ้าว! จะกลับเลยหรอ?" ต้นกล้าถาม
"ใช่!" แล้วฉันก็เดินนำไป
ณ ด้านหน้าสถานีตำรวจ
"งั้นพรุ่งนี้เจอกัน อีวานพรุ่งนี้ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยมาเช้าๆ หน่อยนะ" ฉันหันไปบอกอีวาน
"อิอิ คับบบบ คุณฟ้าใส" อีวานหัวเราะคิกก่อนจะลากเสียงยาวให้ดูน่ารัก
"หน่อย ไอเวรนี้!!" ต้นกล้าจะเริ่มมวยอีกแล้ว
"หยุดเลยนะ นายนะ มานี่เลย ฉันมีเรื่องจะคุยตอนขากลับ" ฉันลากแขนต้นกล้าไป
"อิอิ โอเคจ้า ฟ้าใสจ้า" ต้นกล้าพูดเสียงดัง เหมือนจงใจให้อีวานได้ยิน
ณ สวนสาธารณะ ในหมู่บ้านของฉัน
หลังจากที่เราสามคนแยกย้ายกันหน้าสถานีตำรวจ ฉันกับต้นกล้าก็ตัดสินใจมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะประจำหมู่บ้าน เรานั่งอยู่ที่ประจำริมสระน้ำ สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเรือนร่างของเราสองคน แต่ทว่า ฉันไม่รู้สึกหนวาเลยสักนิด เพราะมีผู้ชายคนนี้ค่อยอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
"ขอบคุณนะ" ฉันเอ่ยขอบคุณหลังจากนั่งมองสระน้ำกันพักใหญ่
"หือ เรื่องอะไร?" ต้นกล้าเอ่ยถามงงๆ
"ทุกอย่างทั้งการที่นายมาช่วยฉันในเรื่องนี้ ทั้งการที่นายออกมาเผชิญหน้ากับฉันทั้งๆ ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรโกะจัง" ฉันพูดก่อนจะหันไปสบตากับต้นกล้า
"คะ...คือว่า เรื่องนั้น..." ต้นกล้าพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก ฉันเข้าใจดีว่ามันพูดยากขนาดไหน
"พูดมาเถอะ ไม่ว่าคำตอบของนายจะเป็นอย่างไง ฉันก็ยอมรับได้ ขอแค่นายมีความสุขก็พอ" ฉันพูดก่อนจะกุมมือเขาไว้
"ฉันตัดสินใจแล้ว...." ต้นกล้าพูด ก่อนจะเงียบไปสักพัก
"...." ฉันได้แต่เงียบรอฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก หากเขาเลือกที่จะอยู่กับอดีด แล้วฉันที่เป็นปัจจุบันจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉันก็รู้สึกจุกที่หน้าอกทุกครั้งไป
"ฉันจะไปหาเรโกะจัง พร้อมกับเธอ!" เขาพูดออกมาแล้ว เขาเลือกแล้ว
"โอเคได้สิ ฉันเคารพการตัดสินใจของนายเสมอ พรุ่งนี้เจอกันตอนเย็นที่หน้าโรงเรียนประตูทิศเหนือ ขอบคุณสำหรับวันนี้ ฉันไปล่ะ!" ฉันพูดรัวๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบอกลา และวิ่งออกมาจากจุดนั้น ก่อนที่น้ำตามันจะไหลให้เขาได้เห็นความอ่อนแอของฉัน
ฮื้อออ เขาเลือกแล้ว เขาเลือกอดีต! มะ...ไม่ได้ ฉันจะเสียใจไม่ได้!! เขาเลือกเรโกะจังก็ดีแล้วนี่ เขาเลือกเพื่อนสนิทของฉัน! ฉันได้แต่คิดในใจ พลางวิ่งปาดน้ำตาของตีวเอง
ในมุมของต้นกล้า
"อะไรวะเนี้ย!?" ผมพูดออกมาแบบงงๆ
"อยู่ๆ จะรีบไปซะงั้น ยังพูดไม่จบเลย เฮ้อออ เอาเถอะไว้พรุ่งนี้ก็ได้วะ" ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะเดินกลับบ้านไปแบบงงๆ
ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
"โธ่ๆ งี่เง่าพอๆ กันเลยนะ เมี๊ยว พวกคนโลกเก่าเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรอเนี้ย เมี๊ยว!?" เสียงผู้ชายคนหนึ่งในเงามืดดังขึ้น
"อิอิ แต่ก็สนุกดีนะ ว่าไหม?" ผู้ชายคนนั้น ถามคนที่อยู่บนต้นไม้
"ฉันอยากให้เขาลืมเรื่องราวเหล่านั้น แล้วเริ่มต้นใหม่ซะ ต้นกล้า" เสียงผู้หญิงบนต้นไม้ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงชายที่เดินจากไป
"ไปกันเถอะ หมดเวลาแล้ว เมี๊ยว!" เสียงผู้ชายในเงามืดบอกก่อนจะหายวาบไปพร้อมกับเด็กสาวบนต้นไม้
จบ ตอนที่ 8
เตรียมพบกับ ตอนพิเศษ ฉลองวิวเกิน 1K
ตอน "รายการโหมกระพือลม"
กับการสัมภาษณ์นักเขียนและนักแสดง แต่จะมีใครบ้างขออุ๊ปไว้ก่อนน๊าาาาา
หลังจากที่ฉันได้สูญเสียความทรงจำไป จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ (รวมที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วย) ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ฉันต้องผ่านเรื่องราวมากมาย แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ความทรงจำส่วนใหญ่กลับมาแล้ว
แต่ทว่า ยิ่งความทรงจำกลับมามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกกล้ว ฉันกลัวความจริงที่มันอาจโหดร้ายสำหรับฉัน และคนที่รักฉันทั้ง แม่ และ ต้นกล้า
และสิ่งที่ช่วยยืนยันความจริงอันโหดร้ายนั้น ก็คือ คำพูดของเขา อีวานเป็นนักเรียนใหม่ของห้องเรา ถึงเขาจะช่วยฉันไว้ถึง 2 หน แต่คำพูดของเขา ทำให้ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่า เขาเป็นมิตรหรือศัครูกันแน่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ เขาต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ตัวฉัน ที่ฉันเองก็ยังไม่รู้ ฉันไม่อาจเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ ได้ ฉันกลัวว่าหากความจริงปรากฏ ฉันจะไม่สามารถเป็นฉันคนเดิมได้อีกต่อไป
ดังนั้น ตอนนี้ฉันคงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน ตอนนี้ที่ต้องโฟกัส คือ เรื่องอุบัติเหตุนั้น เพราะหากยังไม่่รู้ตัวคนร้าย ฉันก็ยังคงไม่ปลอดภัย และเรื่องต้นกล้าด้วย เขาจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเรโกะจัง
ปัจจุบัน
ณ ห้องเรียน ม.5/1
"หึ! ก็ได้ยินแล้วนี่ จะถามกลับทำไมละ หือ!?" อีตานั้นพูด ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังที่นั่งด้านข้างฉัน
"นะ...นายรู้อะไรกันแน่ ห่ะ!!" ฉันหันกลับไปถามเขาแบบลืมตัวด้วยน้ำเสียงที่ดังและเริ่มหงุดหงิด
"หึหึ...ความลับจ้า" อีวานพูดแบบชัดๆ ทีละคำพลางยิ้มอย่างเป็นต่อ
"จะไม่บอกก็ตามใจเถอะ น่าหงุดหงิด" ฉันพูด ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางประตู
"อะ...อ้าว! จะไปไหนล่ะคับ?" อีวานถาม พลางลุกขึ้นจะเดินตามฉัน
"จะไปห้องน้ำมีไรไหม!? หรือจะไปเฝ้าฉัน?" ฉันกอดอกเอียงคอถาม
"ออ โอเค" เขาพูดก่อนจะนั่งที่ตามเดิม
ณ ห้องน้ำชั้นเรียน
โอ๊ยยยย >< ไอหมอนี้มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขารู้เรื่องอะไรกันแน่ แต่ก่อนอื่น ฉันมีเรื่องต้องสะสางให้เรียบร้อยภายในวันนี้ ฟูว์--- ฉันนึกในใจ ก่อนล้วงกระเป่าสะพายหยิบปากกาและกระดาษโน๊ตมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
เมื่อฉันจัดการธุระส่วนตัวและเขียนข้อความเสร็จก็ยืนรวบรวมสติกับตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำสักพัก ก่อนจะออกไปเผชิญกับเพื่อนที่คิดว่าสนิทด้วย
ณ ห้องเรียน ชั้น ม.5/1
"ครื้นนนน" เสียงฉันเปิดประตูห้อง ก็พบว่าครูได้เข้ามาสอนแล้ว
ฉันเดินตรงไปที่โต๊ะของมินตราและวางกระดาษโน๊ตที่มีข้อความว่า
"มาเจอฉันที่คาดฟ้าตอนพักเที่ยง เรามาสะสางเรื่องค้างตาเมื่อวันศุกร์กัน ฉันจะเตรียมการบ้านเลขไว้ให้"
"หึ...." มินตราหยิบขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหัวเราะหึ พลางขย่ำเศษกระดาษนั้นใส่กระเป่านักเรียน
มินตราหันมาลองฉันที่ตอนนี้นั่งถือสมุดเลขในมือพลางชี้ขึ้นบน เป็นการบอกว่า สิ่งที่เธอต้องการอยู่นี้ ถ้าอยากได้ก็ตามมาเอาที่ดาดฟ้าสิยะ
หลังจากนั้น ชั่วโมงเรียนของฉันก็เริ่มขึ้น ซึ่งขณะที่นั่งเรียนอยู่ ฉันก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ ตลอด เมื่อมีสายตาจากข้างหลังค่อยจับตาดูฉันตลอดเวลา ใช่แล้ว เด็กใหม่อีวานนั้นเอง
ณ โรงอาหารฝั่งม้ธยมปลาย ช่วงพักเที่ยง
ตอนนี้ ฉันกำลังต่อคิวเข้าแถวซื้อข้าวกลางวัน โดยที่เลือกร้านที่คนน้อยสุด เพื่อประหยัดเวลา เพราะฉันมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะ
ฉันใช้เวลากินข้าวกลางวันเพียง 30 นาที เท่านั้น ซึ่งปกติฉันจะนั่งแช่จนหมดคาบพักไปเลยด้วยซ้ำ เมื่อกินเสร็จก็รีบย้ายสังขารของฉันไปที่คาดฟ้าโดยด่วน และไม่ลืมที่จะพกของสำคัญที่จะใช้แก้เกมในครั้งนี้ด้วย
ณ คาดฟ้าอาคาร 7
ดูเหมือนว่าฉันจะมาถึงก่อนมินตรา เพราะฉันเดินดูรอบๆ เพื่อเช๊คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอยู่ แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของเธอ
ฉันยืนพิงอยู่ใต้ร่มเงาของกำแพงข้างๆ ประตูทางเข้าดาดฟ้า พลางเหม่อมองไปที่ริมคาดฟ้า บริเวณที่มีความทรงจำของฉันกับต้นกล้าอยู่
ต้นกล้าคงจะรักเรโกะจังมากเลยซินะ รักถึงขั้นจะฆ่าตัวตายตามไป เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เรโกะจังต้องจากไป แต่ฉันหวังว่าไดอารี่และจดหมายนั้นจะช่วยทำให้ต้นกล้ารู้สึกผิดน้อยลง เมื่อเขาจำทุกอย่างได้แล้ว แต่อีกใจหนึ่งฉันก็กลัว กลัวว่าเขาจะมูฟออนจากเรโกะจังไม่ได้ และจมปักอยู่กับอดีตอีกครั้ง ฉันนึกในใจพลางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาแบบไม่รู้ตัวออกไปซะ
"แกร๊ก! ปัง!" เสียงประตูดาดฟ้าอยู่เปิดออก พร้อมกับร่างของคนที่ฉันรอคอยได้ก้าวเข้ามาใกล้
"ไง ฟ้าใส ไหนล่ะ การบ้านเลข?" มินตราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนจะเอียงคอถามอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"นี่ไง ไม่ต้องห่วง ฉันทำตามสัญญาแน่ แต่ก่อนอื่น..." ฉันพูดขึ้นพร้อมกับชูสมุดการบ้านเลข ก่อนจะเดินเข้าไปยืนประจัญหน้ากับมินตรา
"อะไรอีกล่ะ? ...อ่อ นี่อย่าบอกนะว่า เธอรอฟังคำตอบของฉันเรื่องให้ปากคำแก่ตำรวจอยู่นะ ห่ะ!?" มินตราเอียงคอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะผลักอกฉัน
"เพี๊ยะ! ใช่! ฉันรอและคิดเรื่องนี้มาตลอดเวลาเลย" ฉันปัดมือของเธอออก ก่อนจะกอดอกพูดขึ้น
"เอาจริงอ่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่ตั้งสติหน่อย ยัยขี้แพ้ ฉันเป็นใคร และ เธอเป็นใคร ห่ะ" มินตราพูด ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่สมองของฉัน ตอนนี้ฉันได้แต่กำหมัดแน่นๆ เท่านั้น
"สรุปคือ เธอจะไม่ไปให้ปากคำกับตำรวจใช่ไหม มินตรา!?" ฉันถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พลางจ้องไปที่ดวงตาของเธอ เพราะฉันหวังว่าอาจจะได้เห็นความบริสุทธิ์ใจในเเววตานั้นบ้าง
"ฟังให้ชัดนะ ฟ้าใส! ฉัน! ไม่! ไป! ทำไมฉันต้องลดตัวไปขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อเธอด้วยล่ะ ห่ะ!?" มินตราพูดเสียงดังฟังชัด เป็นการตอกย้ำว่ามันจบแล้ว ทั้งความหวังและความอดทนของฉัน
"งั้นหรอ? อันที่จริงฉันไม่อยากจะเอาสิ่งนี้มาใช้เลยนะ เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่ฉันเคยมีให้แก่เธอ" ฉันพูด ก่อนจะล้วงเอาสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง
"หือออ! อะไรล่ะนั้น? เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือไง? ฮ่าฮ่าฮ่า โทษทีนะ ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ฟังเสียงหรอกนะ ฟ้าใส" มินตราพูด พลางทำท่าแคะหู
"ฟังหน่อยเถอะ ฉันว่าเธอคงชอบเพลงนี้ แน่นอน!" ฉันพูด พลางกดเครื่องเล่น MP3
แล้วเสียงที่ปรากฏขึ้นก็ทำให้มินตราโกรธจนหน้าแดง และสั่นไปทั้งตัว
"มิ้นท์"
“ธะ...เธออยู่ในเหตุการณ์รถชนฉันใช่ไหม?"
"นะ....นี่! เธอพูดอะไรน่ะ!?"
"ฉันจำเรื่องเหตุการณ์นั้นทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่านะ….มิ้นท์ ฉันยังอยากได้ยินความจริงจากปากเธอ คนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน
"...."
"ยัยเกศ เป็นคนบอกเธอใช่ไหม? ฟ้าใส”
"มันสำคัญด้วยหรอว่า ฉันจะรู้หรือจำได้อย่างไง?"
"และการที่เธอถามว่าเกศเป็นคนบอกใช่ไหม? นั้นมันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ทั้งเธอและเกศอยู่ที่เกิดเหตุด้วยกันทั้งคู่…หรือไม่จริง?"
"ชะ...ใช่! ฉันอยู่ในที่เกิดเหตุตอนเธอถูกรถชนจริงๆ"
"นะ...นี่มัน!?" มินตราอุทานขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาแย่งเครื่องเล่น MP3 ไปจากฉัน
"ใช่ มันคือบทสนาของเราสองคนที่มีคำสารภาพว่า เธออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยไงล่ะ หืม!?" ฉันพูด พลางยืนกอดอกจ้องเขม็งไปที่มินตรา ที่ตอนนี้ได้เครื่องเล่น MP3 ไปแล้ว
"ยัยเจ้าเล่ห์ ยัยอสรพิษ นี่ๆๆ" มินตราตะโกนลั่น พลางกระทึบเครื่องเล่นเพลงนั้น อย่างไม่ยั้งเท้า
"ฮ่าฮ่าฮ่า ยัยโง่! เธอคิดว่าฉันจะเอามาโชว์โดยไม่ได้แบล็คอัพข้อมูลเก็บไว้หรือไง ห่ะ!?" ฉันพูด ก่อนจะเดินไปผลักอกของมินตรา ตอนนี้มันไม่เหลือแล้วคำว่า มิตรภาพของเราสองคน
"หน๊อยยย ยัยนี้ ก็ได้ อยากเอาไปใช้ทำอะไรก็เช็ญ แต่บอกก่อนเลยว่า ของแบบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะอะไรรู้ไหม!?" มินตราพูดพลางเตะซากเครื่องเล่น MP3 นั้น ปลิวหายไปไกลเลย ก่อนจะยืนกอดอกทำสีหน้าอย่างเป็นต่อ
"อะไร?" ฉันถามกลับ
"เคยได้ยินไหมว่า คนที่ลงมือก่อนยอมได้เปรียบนะ ห่ะ!?" มินตราพูด ก่อนจะเดินเข้ามาประจัญกับฉัน ด้วยรอยยิ้มแสยะ ตอนนี้มันหมดแล้วกับสภาพคุณหนูผู้ดี
"หมายความว่า...กริ้งๆๆๆๆ" ยังไม่ทันที่ฉันจะถามจบ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน
"หึ รับสายซะสิ ฉันว่าน่าจะเป็นข่าวดีนะ ว่าไหม!?" มินตราพูด พลางม้วนผมตัวเองด้วยสีหน้าอย่างเป็นต่อ
"อย่าคิดที่จะเล่นตุกติกอะไรละ!" ฉันพูด ก่อนจะยกมือถือขึ้นมา
"โอะ แน่นอน ฉันจะยืนนิ่งๆ เลย เพราะทุกอย่างมันจบแล้ว ฮิฮิ" มินตราพูดพลางยืนกอดอกหัวเราะคิก
ฉันว่ามันแปลกๆ ทำไมยัยนี้ถึงมั่นใจขนาดนั้น หรือว่าเธอลงมือทำอะไรก่อนกันแน่ ฉันนึกในใจ พลางกดรับสาย
'สวัสดีค่ะ' ฉันกรอกเสียงใส่มือถือ
'สวัสดีคับ คุณอิงฟ้าหรือป่าวคับ' เสียงผู้ชายปลายสายฟังดูคุ้นๆ ชอบกล
'ค่ะ คุณเป็นใครค่ะ' ฉันเอ่ยถาม
'ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีอุบัติเหตุของคุณ เราเคยพบกันที่โรงพยาบาลแล้วไงคับ' ตำรวจพูดอธิบายย้อนกลับไป
อ่อ ไอตำรวจปากมากคนนั้นนี้เอง ถึงว่าเสียงคุ้นๆ ระ...หรือว่าจับตัวคนขับได้แล้วนะ ถึงโทรมา ฉันนึกในใจ
'อ่อค่ะ ว่าไงค่ะ? หรือว่าจับตัวคนขับรถชนฉันได้แล้ว?' ฉันถามขึ้น
'อ่อเปล่าคับ ไม่ใช่คนขับแต่เป็นคนที่ผลักคุณให้โดนรถชนนะคับ' ตำรวจพูดขึ้นจากปลายสาย
'มะ...หมายความว่าไงค่ะ ที่ว่าจับคนผลักได้แล้ว!?' ฉันถามกลับ ขณะที่จ้องไปยังมินตราที่ตอนนี้ยืนแสยะยิ้มมาให้ฉันอย่างสะใจ
'พอดีเรื่องมันยาวนะคับ วันนี้สะดวกเข้ามาที่โรงพักไหมคับ' ตำรวจถามขึ้น
'อ่อได้ค่ะ ไว้เลิกเรียนแล้วฉันจะแวะไปนะค่ะ' ฉันตอบตกลง
'คับไว้ค่อยคุยกันที่โรงพักคับ ผมจะกักตัวผู้ต้องหาไว้ก่อน รอคุณมาชี้ตัวอีกทีนะคับ' ตำรวจบอก
'ค่ะ ขอบคุณค่ะไว้เจอกันนะค่ะ' ฉันบอกขอบคุณก่อนจะกดวางสายไป
"เป็นไงล่ะ ข่าวดีใช่ไหม ฮิฮิ?" มินตราเอียงคอพูด ขณะที่กำลังยืนพิงกำแพงข้างๆ ประตูทางเข้าดาดฟ้า
"ฝีมือเธอใช่ไหม ห่ะ?" ฉันตอบคำถามเธอด้วยการถามกลับในสิ่งที่รู้แก่ใจดี
"ถ้าใช่แล้วจะทำไม?" มินตราคอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
"เธอทำอะไรลงไป ห่ะ!? ดึงคนนอกเข้ามายุ่งด้วยทำไม!?" ฉันตะโกนถามออกไปอย่างเหลืออด
"..." มินตราเงียบ ก่อนจะค่อยๆ เดินมายืนตรงหน้าฉัน
"อยากรู้หรอ?" เธอเอียงคอถาม ด้วยสายตาแข็งกราว
"ใช่" ฉันตอบกลับอย่างกลั้นหายใจ
"ฉันก็แค่..." มินตราพูดขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูฉัน
"...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เพื่อรอคำตอบจากเธอ
"ทำในสิ่งที่คนมีเงินและอำนาจเขาทำกันไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า" มินตรากระซิบข้างหูฉัน ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ก่อนจะถอนหน้าออกมาแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
"ธะ...เธอนี่มัน..." ฉันได้แต่พืมพำด้วยเสียงอันแผ่วเบา
"จำไว้ให้ขึ้นสมองเลยนะ นี่ล่ะคือโลกแห่งความจริงไงล่ะ ยัยโง่!" มินตราพูดขึ้น พลางจิ้มมาที่สมองของฉัน
"นะ...หน่อยยยย" ฉันกัดฟันอย่างเหลืออด
"ไปล่ะ ยัยขี้แพ้!" มินตราพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย พลางเชิดหน้ามองต่ำลงมาที่ฉันไม่ต่างอะไรกับการมองแมลงตัวหนึ่ง
"ยัยเพื่อนสารเลว! ฉันจะไม่ให้อภัยแกแน่คอยดู!" ฉันตะโกนไล่หลังมินตราไป ด้วยความโกธรมาก ปกติฉันไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้ แต่ฉันเหลือจะทนจริงๆ
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของดาดฟ้าอาคารตรงข้างอาคาร 7
"หว้าาาา! ฟ้าใสแพ้หมดรูปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงคนๆ หนึ่งดังขึ้นจากบนดาดฟ้าตรงข้ามอาคาร 7
"ในโลกเก่าอันน่าสะอิดสะเอือนนี้ ไม่มีอะไรทรงอำนาจมากไปกว่าเงินตราอีกแล้ว" บุคคลในชุดดำพูดขึ้น ขณะที่สายตายังคงจับจองไปที่ดาบคู่ใจของตน
"ฉันก็ว่างั้นล่ะ" บุคคลที่แอบมองฟ้าใสอยู่พูดเห็นดีเห็นงามด้วย พลางกระโดดลงมาจากขอบริมดาดฟ้า
"ว่าแต่นายเถอะ จะเข้าอย่างไรต่อดีล่ะ?" บุคคลผู้ถือดาบพูดขึ้น พลางลุกเดินมาทางชายผู้นั้น
"เรื่องอะไรล่ะ? เรื่องภารกิจของฉัน หรือเรื่องการก่อกบฏล่่ะ" ชายคู่สนทนาตอบกลับด้วยคำถาม
"ทั้งสองเรือง" บุคคลผู้ถือดาบตอบ พลางโยนดาบขึ้นลอยกลางอากาศ และทันใดนั้น ดาบเล่มยักษ์ก็กลายเป็นเพียงต่างหูรูปดาบเท่านั้น
"ว้าวววว เวทมนต์ของนายนี่โครตสะดวกเลย เดินตัวเปล่า แต่จริงๆ พกอาวุธเต็มตัวไปหมด ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ไหมไคน์?" บุคคลที่ถูกถามร้องว้าวขึ้น
"ว่าแต่คนอื่น เวทย์ของนายไม่ขึ้โกงไปหน่อยหรอ? โกงแม้กระทั่งอายุตัวเอง ใช่ไหมละ่ อีวาน?" ไคน์พูดขึ้น
"ฮาฮาฮ่า จะให้ฉันทำไงได้ละ? ก็ต้องปลอมตัวมาทำภารกิจนี่น่า จะให้แบกสังขารอายุ 25+ มาเข้าเรียน ม.ปลายหรอไงล่ะ ไอหมอนี่" อีวานตอบกลับ ก่อนจะหันไปมาคู่สนทนา
"แล้วจะเอาไงดีล่ะ? เวทย์ของนายมีข้อจำกัดเรื่องเวลานะ" ไคน์พูด พลางเดินเข้ามายืนข้างๆ อีวาน
"ใช่ เวลาของเธอคนนั้นใกล้จะหมดแล้ว ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง" อีวานตอบกลับ พลางมองไปที่เธอคนนั้น
"เอาเถอะ ขอให้โชคดี" ไคน์พูด พลางตบไหล่อีวานผู้เป็นสหายศึกกันมานาน
"ขอบใจ" อีวานหันไปยิ้มให้
"แล้วเรื่องสงครามแห่งโลกใหม่ล่ะ" ไคน์ถามอีกประเด็นขึ้น
"แน่นอน ก็ต้องเข้าร่วมอยู่แล้วซิ อีเว้นท์ใหญ่ขนาดนี้ ขาดฉันได้ไงล่ะ ฮ่าฮ่า" อีวานตอบ ก่อนจะหันมายืนกอดอกหัวเราะชอบใจ
"จะอยู่ฝ่ายไหนล่ะ ฝ่ายองค์หญิงอาดิสหรือฝ่ายกษัตริย์อัลเดธ" ไคน์ถามอย่างลุ้นในคำตอบ เพราะอีวานถือเป็นจอมเวทย์ที่มีความสามารถชั้นแนวหน้าของโลกใหม่
"ไม่รู้สินะ ต้องรอดูข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายก่อน ฮาฮา" อีวานตอบ อย่างไม่สนใจอะไรมาก ขอแค่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการก็พอ
"ว่าแต่นายเถอะ จะช่วยองค์หญิงอาดิสใช่ไหมล่ะ?" อีวานหันมาถาม ด้วยน้ำเสียงเชิงล้อเลียน
"เออ ยังจะถามอีก" ไคน์ตอบกลับ
"เมื่อไรนายจะสารภาพรักกับพระนางสักที แอบรักข้างเดียวมาตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนมหาเวทย์ออสเตรียเลยนะ" อีวานถามเป็นเชิงแซว
"เรื่องของฉันน่า" ไคน์ตอบ พลางก้นหน้าอันแดงระเรื่อ
"โอ๊ะ หมดเวลาพักแล้ว ต้องไปเข้าเรียนแล้ว" อีวานพูดพลางดูนาฬิกาสร้อยคอของคน
"เดียวๆๆ นายสนด้วยหรือว่าจะสายไหมนะ นายย้อนเวลาได้นะ ไอบ้า" ไคน์พูด พลางผลักหัวอีวาน
"เออ จริงด้วย ลืมเลย ฮาฮ่า" อีวานตอบกลับ
"แต่แยกย้ายก็ดี ฉันมีเรื่องต้องไปตรวจสอบ" ไคน์พูดขึ้น
"โอเค ไว้จะโทรจิตไปหาละกัน" อีวานพูด พลางบอกลาเพื่อนรักของเขา
ณ ห้องเรียน ชั้น ม.5/1
โธ่เว้ย น่าหงิดหงุด ยัยบ้านั้นชะมัด เหอะ! อะไรนะ!? ทำในสิ่งที่คนมีเงินและอำนาจเขาทำกัน ยัยสารเลว ไปตายซะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าหากยัยนี้เป็นแค่คนธรรมดามันยังจะเชิดหน้าได้อยู่ไหม ฉันนึกในใจ พลางกำหมัดแน่นสายตาจ้องเขม็งไปยังมินตราที่นั่งเรียนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
"เธอ เป็นอะไรหรอป่าว? ฟ้าใส นั่งหน้าเครียดมาตลอดทั้งบ่ายเลย" เกศที่นั่งข้างฉัน กระซิบถาม
"ไม่มีอะไรหรอก พอดีฉันรู้สึกปวดท้องนะ" ฉันโกหก เพื่อจบบทสนา
"ไปห้องพยาบาลหน่อยไหม?" ยัยเกศยังเซ้าซี้ จนฉันเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น
"ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงล่ะ" ฉันเผลอตัวพูดเสียงดังออกไปอย่างหงุดหงิด
"ไม่มีอะไรแล้วจะเสียงดังทำไม อิงฟ้า!" ครูวิชาเลขพูดขึ้น
"ขอโทษด้วยค่ะ พอดีหนูรู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ขอตัวไปห้องพยาบาลนะค่ะ" ฉันโกหกอีกแล้ว จมูกฉันยังปกติดีใช่ไหมเนี้ยยยย
"งั้นก็ไปเถอะจ๊ะ มีใครจะอาสาไปส่งอิงฟ้าที่ห้องพยาบาลไหม?" ครูเอ่ยถามหาคนมีจิตอาสาช่วยฉัน แต่ก็อย่างที่รู้ๆ ทุกคนในห้องไม่ชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไร
"ผมไปเองคับ" ให้ท้ายว่าใครเสนอตัว ใช่แล้ว ตาบ้าเด็กใหม่อีวานนั้นเอง
"ไม่ต้องยะ ฉันไปเองได้" ฉันหันหลังไปพูดกับเขา ขณะที่เขาส่งยิ้มมาให้ฉัน ใบหน้าหล่่อขาวเนียนเปื้อนรอยยิ้มที่อาบยาพิษ ฉันไม่ต้องการค่ะ บอกเลย
"ทำไมล่ะจ๊ะ? อิงฟ้า ให้อีวานเขาไปส่งเถอะ เขาจะได้เดินดูโรงเรียนไปในตัวด้วยไง" ครูส่งยิ้มมาให้ฉัน
"ค่ะ" ฉันตอบรับไป
ช่วยไม่ได้ ขืนยังปฏิเสธอีกมีหวังจากรอยยิ้มของครูจะกลายเป็นเสียงด่าเอาไป แค่หลับหูหลับตาเดินๆ ให้ถึงห้องพยาบาลก็คงพอมั่ง ฉันนึกในใจ พลางเก็บสัมภาระของตัวเอง
ณ ห้องพยาบาลประจำอาคาร 7
"ขอบใจที่เดินมาส่ง" ฉันหันไปบอกขอบคุณตามมารยาท ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนเตียงผู้ป่วยห้องพยาบาล
"อ่าาาาา เมื่อยขาจังเลย โรงเรียนนี้กว้างจริงๆ ว่าไหมคุณฟ้าใส?" อีวานพูด ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ ฉัน
"ถ้าพักหายเหนื่อยแล้ว ก็กลับห้องเรียนไปซะ ยังเหลืออีกคาบเรียนนะ" ฉันเอ่ยปากไล่แบบอ้อมๆ
"ใจร้ายจังเลยนะ คุณฟ้าใส ผมรู้จะว่าคุณแกล้งป่วย ไอที่คนของโลกนี้ เรียกว่า ป่วยบ้านเมือง ใช่ไหมนะ?" อีวานพูดขึ้น พลางทำท่านึกคำพูด
"ไม่ใช่ย่ะ เขาเรียกว่า ป่วยการเมือง ต่างหากล่ะ" ฉันแก้คำให้
"ออหรอ? แสดงว่าจริงสินะ ผมรู้น่าาาา ว่าคุณกังวลเรื่องมินตรากับอุบัติเหตุนั้นนะ" อีวานพูดด้วยน้ำเสียงรู้ทัน พลางหรี่ตามองฉันแบบรู้ทัน
"นะ...นายแอบฟังเราคุยกันหรอเนี้ย!? ไร้มาทยาทจริงๆ นี่หรอ? ผู้ดีอังกฤษ เหอะ น่าขำ" ฉันโวยวาย
"ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน่าๆ แต่ผมมีข้อเสนอดีๆ นะ"
"ข้อเสนออะไรของนาย?" ฉันถาม พลางหรี่ตาจ้องมองหมอนี่อย่างไม่ไว้ใจ
"เรื่องอุบัติเหตุนั้น ผมจะช่วยคุณเอง ว่าไง สนใจไหมล่ะ?" อีวานพูดข้อเสนอ
"นายจะช่วยอะไรฉันได้ล่ะ?" ฉันถามกลับอย่างงงๆ
"คุณก็ได้เห็นไปแล้วนิ ความสามารถของผม" อีวานตอบ พลางยืดอกอย่างมั่นหน้ามั่นโหนก
"อ่อ! มายากลหลอกเด็กนะหรอ?" ฉันพูด หลังนึกขึ้นได้จากเหตุการณ์เมื่อเช้า
"แง้ววว! นั้นไม่ใช่มายากลหลอกเด็กสักหน่อย นั้นมันของจริงเลยนะ" อีวานตอบกลับ
"ขะ...ของจริงอะไรของนาย?" ฉันเริ่มจะรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
"ก็ไอนั้นไงๆ" อีวานพยายามบอกใบ้ แล้วชูนาฬิกาสร้อยคอขึ้นมา
"แล้วไอนั้นมันอะไรล่ะยะ?" ฉันถามอย่างเริ่มหงุดหงิดกับการอมพะนำของอีตานี่
"ผมบอกตรงๆ ไม่ได้ มันเป็นกฎ" อีวานตอบกลับ
อืมมมมม เดียวน่าาาา ใช้หัวแปป นาฬิกา...เวลา...เหตุการณ์เมื่อเช้า...ลูกบอกที่ควรจะพุุ่งใส่หน้าฉันกลับผ่านไปเฉยๆ ซะงั้น...แว่นตาที่ควรแตกยับกลับมาอยู่บนหน้าแบบปกติสุขทุกอย่าง...นะ...นี่หรือว่า? ฉันนึกในใจ ก่อนจะมองหน้าอีวานสลับกับนาฬิกาสร้อยคอนั้น
"ระ...หรือว่า นะ...นายจะ ปะ...เป็นผู้....?" ฉันถามอย่างยากลำบาก เพราะสิ่งที่จะถามมันดูจะห่างไกลจากสามัญสำนึกของฉัน
"เป็นผู้ๆๆๆ ผู้อะไร?" อีวานถามด้วยน้ำเสียงลุ้นในคำตอบของฉัน พลางทำท่าทางแกว่งนาฬิกาไปมา
"ผู้...ผู้ใช้พลังจิตใช่ไหม?" ฉันตอบแบบมั่นหน้ามากว่าต้องใช้
"เอิ่บ!! เฮ้ออออ" อีวานทำหน้านิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
"ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ ว่าในโลกนี้มีผู้ฝึกฝนตนเองจนสามารถใช้พลังจิตได้นะ นายคือหนึ่งในนั้นใช่ไหมล่ะ" ฉันพูด พลางนึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน
"โธ้เว้ย จะบ้าหรอไง!? พลังจิตมันทำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรอไง ยัยบื้อ เรียนเก่งซะป่าว ไม่มีจินตนาการเลย ให้ตายเถอะ" อีวานพูดขึ้น อย่างเหลืออด
"เดียวๆ ทำไมพูดจาหยาบคายแบบนี้?" ฉันพูดขึ้น
"เอ่อ โทษทีคับ ผมลืมตัว ฮ่าฮ่า" อีวานตอบ พลางกลับเข้าสู่โหมดผู้ดีต่อ
"ช่างเถอะ เอาเป็นว่าก็ประมาณนั้นล่ะ" อีวานตัดบท
"แล้วนายต้องการอะไรจากฉัน ถึงได้เสนอตัวมาช่วย" ฉันถามกลับ คงไม่มีคนบ้าที่ไหนมายุ่งเรื่องของคนที่พึ่งเจอกันวันแรกแบบฟรีๆ หรอกมั่ง
"อ่อ แน่นอนว่ามีข้อแลกเปลี่ยน" อีวานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบเจรจาธุรกิจก็ไม่ปาน
ข้อแลกเปลี่ยน งั้นหรอ? คำนี่มันช่างคุ้นหูจริงๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ฉันนึกในใจ พลางมองหน้าอีวานอย่างชั่งใจ
"นายต้องการอะไร ลองว่ามา" ฉันพูดก่อนจะ หันมาคุยซึ่งๆ หน้ากับอีวาน
"คุณต้องเข้าประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนและต้องชนะเลิศให้ได้" อีวานยื่นข้อเสนอ
"ห่ะ!? ตัวเเทนวันสถาปนาโรงเรียน?" ฉันทวนสิ่งที่หมอนี่ต้องการอีกครั้ง
"ใช่แล้ว ผมเชื่อว่ามันคงไม่ยากสำหรับคุณ เพราะดูเหมือนนักเรียนในโรงเรียนนี้ก็ชื่นชอบคุณนี่ อ่อ ยกเว้นเพื่อนๆ ในห้องคุณนะ" อีวานพูดขึ้น
ดะ...เดียวซิ อีตานี่รู้เรื่องเกี่ยวกับฉันเยอะกว่าที่คิดแหะ ทั้งๆ ที่พึ่งมาเรียนวันแรกแท้ๆ น่าแปลกซะมัด ฉันนึกในใจพลางครุ่นคิดข้อเสนอ
แต่มันไม่แปลกหรือไง? ข้อเสนอของเขามันดูแปลกมาก เขาให้ฉันลงประกวด แล้วเขาจะได้อะไรจากงานนี้ล่ะ ข้อเสนอที่ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์มันมีด้วยหรอเนี้ยยยย ฉันนึกในใจพลางมองหน้าที่ยิ้มแฉ่งของอีวานอย่างจับผิด
"ข้อเสนอของนายไม่ดูแปลกไปหน่อยหรอ?" ฉันตัดสินใจเอ่ยถามไป
"แปลกตรงไหนล่ะ?" อีวานตอบแบบทองไม่รู้ร้อน
"ปกติการจะช่วยคนอื่น คนที่ช่วยจะต้องยื่นข้อเสนอที่ตัวเองได้ผลประโยชน์นี่ แต่ข้อเสนอของนาย ฉันคิดอย่างไงๆ นายก็ไม่เห็นจะได้อะไรจากการที่ฉันลงประกวดบ้าบอนั้น" ฉันเอียงคอถามอย่างเค้นความจริง
"ทำไมผมจะไม่ได้อะไรล่ะ ผมก็ได้ดูคุณลงประกวดไง" อีวานตอบพลางส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจสาวมาให้
"อย่ามาตลก เอาดีๆ!" ฉันเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางกวนประสาของหมอนี่
"เฮ้ออออ คุณนี่น่าไม่หลงสเน่ห์ผมบ้างเลยหรอ?" อีวานถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับไปนอนบนเตียงผู้ป่วยข้างๆ ฉัน
"หลงสเน่ห์กับผีนะซิ จริงอยู่ที่นายจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี แต่ฉันรู้ว่านายมันมีอะไรแอบแฝง" ฉันตอบกลับ ก่อนจะหันไปนอนบนเตียงของตนเช่นกัน
"แหม คุณนี่แสนรู้จริงๆ เลยนะ ฮ่าฮ่า" อีวานพูด ก่อนจะหัวเราะร่า
"ฟริ้ววววว ตุบ / อ้ากกก เจ็บนะคับ" เสียงหมอนถูกปาเข้าไปที่หน้าหล่อๆ ของหมอนั้น ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่ดูอย่างไงก็แกล้งทำเป็นสำออย
"ถ้ายังไม่ตอบมาตรงๆ อันต่อไปจะเป็นนี่แน่ๆ อยากลองไหมล่ะ?" ฉันพูด ก่อนจะหยิบแก้วน้ำชูขึ้นเตรียงขว้าง
"โอเคๆ วางอาวุธก่อนเถอะ" อีวานพูด พลางส่งหมอนคืนมาให้ฉัน
"ผมได้รับภารกิจระดับ S เอ่อ...พูดไงให้คนอย่างคุณเข้าใจดีล่ะ ภารกิจระดับชาติอะคับ" อีวานพูด
"ห่ะ?" ฉันร้องออกมาอย่างงงๆ
ภารกิจระดับชาติเนี้ยนะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กสาว ม.ปลาย สุดธรรมชาติแบบฉันละค่ะ? เดียวดูคราวนี้จะเป็นเรื่องจริงแหะ แววตาหมอนั้นมุ่งมั่นสุดๆ เลย ฟังต่ออีกหน่อยล่ะกัน ฉันนึกในใจ พลางจ้องไปที่ดวงตาเรียวคมของอีวานอันเป็นประกายสีฟ้าดุจแร่อะความาริน
"แล้วอย่างไง? ภารกิจระดับชาติของนายมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ" ฉันเอียงคอถาม
"เพื่อที่จะบรรลุภารกิจ ผมเฝ้ามองผู้คนต่างๆ มากมาย จนเจอกับคุณ ผู้ที่ผมคิดว่า คนนี้ล่ะที่เป็นกุญเจสู่ความสำเร็จของภารกิจ" อีวานพูด พลางกระชับหมัดแน่นเป็นเชิงมั่นใจ
"แล้วภารกิจของนายคืออะไร?" ฉันถามขึ้นอย่างสงสัย
"บอกไม่ได้เป็นภารกิจลับ หากบอกไปอาจมีคนอื่นรู้ อย่างที่คนบนโลกนี้ชอบพูดว่า กำแพงมีหู ประตูมีปาก ไงล่ะ" อีวานกอดอกพูด
"ปากนายนะซิ ไม่ใช่ย่ะ เขาต้องพูดว่า กำแพงมีหู ประดูมีตา" ฉันแก้ให้
"เออ นั้นล่ะๆ" อีวานตอบ
"ถ้างั้นนายให้ฉันลงประกวดตัวแทนวันสถาปนาโรงเรียนเพื่ออะไร?" ฉันถามในประเด็นที่สงสัย
"เป็นความลับจ้า" อีวานตอบ พลางลุกขึ้นยืน
"แต่ว่านะ..." อีวานพูด ก่อนจะเงียบไป
"..." ฉันนิ่งเงียบรอฟัง
"ไม่แน่ว่า หากคุณชนะการประกวดนั้น คุณอาจจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวคุณก็ได้นะ" อีวานพูด ก่อนจะหันหลังให้ฉัน
"เดียวสิ ความจริงอะไร?" ฉันถามกลับ
"ความจริงเรื่องชายผู้เป็นคนรักที่นอนป่วยอยุ่ไงล่ะ" อีวานพูด ก่อนจะเดินจากไป
มะ...หมายความว่าไง? หมอนี่รู้อะไรกันแน่ แล้วเขาเป็นใครกันแน่? ผู้ชายคนนั้น! ฉันนึกในใจ พลางยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น
ณ บริเวณหน้าโรงเรียน ประตูทางทิศเหนือ เวลาหลังเลิกเรียน
"เฮ้ออออ ฉันมาเร็วเกินไปหรือป่าวน่ะ?" เสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้น พลางโบกพัดสมุดในมือไปด้วย
"อ้าว ต้นกล้า!" เสียงเพื่อนสนิทของผมเอ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นผมยืนพิงกำแพงข้างประตูโรงเรียน
"ไง?" ผมตอบกลับไป
"ยังจะมางงมาไงอีก ทำไมไม่มาเรียนห่ะ? วันนี้มีสอบย่อยวิชาเลขด้วยนะโว้ย!" ไอเหน่งพูดขึ้น พลางเดินมากอดคอผม
"อ้าวหรอ? ลืมเลยวะ ฮ่าฮ่า" ผมตอบกลับไป
"ไหวไหมเนี้ย มึง!? ทำไมโทรมขนาดนั้น? แล้วตาเป็นอะไรบวมเชียว? โดนต่อยมาหรอ ฮ่าฮ่า?" เหน่งพูด ก่อนจะชี้มาที่หน้าผม
"ออ พอดีไม่ค่อยได้นอนนะ ว่าแต่เห็นฟ้าใสไหม?" ผมถามหาแฟนสาวของตัวเอง
"แหม เจอหน้ากูแต่ถามว่าสาวเนี้ยนะ กูเห็นรีบวิ่งออกไปทางประตูทิศใต้อ่ะ ไม่รู้ไปไหน?" ไอเหน่งตอบ
"อ้าว! ประตูใต้หรอ? บ้านฟ้าใสอยู่ต้องออกทางประตูเหนือนี้หว่า" ผมพูดขึ้นอย่างงงๆ
"ก็เออนะสิ...อ้าวๆ" ไอเหน่งพูดยังไม่จบประโยคดี ผมก็ชิงวิ่งไปทางประตูใต้ก่อนแล้ว
มีเรื่องอะไรหรือป่าวนะ? ไปทางประตูใต้ทำไม? ผมนึกในใจ พลางหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาฟ้าใส ขณะที่กำลังวิ่งไปยังประตูใต้
"ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด" เสียงโทรศัพท์บ่งบอกว่าคนทางปลายสายยังไม่รับโทรศัพท์จากผม
"โธ่เว้ย มีมือถือไว้ขวางหัวหมาหรอ รับช้าจริง" ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ตอนนี้ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ข้างๆ ประตูใต้ของโรงเรียน
"ฮัลโหล ว่าไงต้น.../ ทำไมรับสายช้าจังห่ะ?" เสียงเด็กสาวจากปลายสายรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถูกแทรกด้วยน้ำเสียงร้อนรนของผม
"ออ โทษที พอดีกำลังจ่ายเงินค่าแท็กซี่นะ" ฟ้าใสพูดขึ้น
"แท็กซี่หรอ? เธออยู่ไหน?" ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
"เอ่อออ โรงพักนะ ทำไมหรอ?" เสียงฟ้าใสเงียบไปสักครู่ ก่อนจะบอกที่อยู่ของเธอในตอนนี้
"มีเรื่องอะไรหรือป่าว?" ผมถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง และอยากรู้
"เ่อ่อ คือแบบนี้นะ...นะ นี่นาย!? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ละ? เอ่อ ต้นกล้าแค่นี้ก่อนนะ ไว้เดียวหัวค่ำฉันจะโทรไปเล่าให้ฟัง บาย!...ตู๊ดๆๆ" เธอเหมือนกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับผม แต่ก็เจอกับใครบางคนเข้า เลยวางสายใส่ผมไปซะงั้น
ว่าแต่ฟ้าใสไปเจอใครที่โรงพักล่ะ? แล้วเรื่องที่จะเล่านี้มันคืออะไร ค้างใจชะมัดเลย ผมนึกในใจ ก่อนจะโบกแทกซี่ที่ป้ายรถเมล์
"ไปโรงพักคับ ด่วนเลย!!" ผมตะโกนบอกคนขับอย่างเร่งรีบ
ขณะเดียวกัน ณ หน้าสถานีตำรวจ
"นะ...นาย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!?" ฉันเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนดักรอฉันอยู่หน้าทางเข้าโรงพัก
"ถ้าบอกว่าบังเอิญก็คงฟังไม่ขึ้นสินะ งั้นเอาตรงๆ เลยละกันนะคับ ผมมาดักรอเจอคุณฟ้าใสไงคับ" ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเคาได้ว่าคิดอะไรอยู่
"นายจะมาดักรอฉันทำไม? แล้วรู้ได้ไงว่าฉันจะมาโรงพัก? ตอบดีนะ อีวาน!" ฉันถามรัวเป็นชุด ก่อนจะเดินไปประจัญหน้ากับเด็กใหม่นั้น
"ผมรู้ได้ไงมันไม่สำคัญหรอกคับ และที่ผมมาที่นี่ เพราะผมต้องการช่วยคุณ เชื่อเถอะว่าผมอยากช่วยคุณจริงๆ และลางสังหรณ์ผมบอกว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน" อีวานพูดขึ้น
"อยากจะทำอะไรก็ตามใจ แต่อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนแล้วกัน!" ฉันพูดขึ้น ก่อนจะเดินผ่านอีวานไปเข้าโรงพัก
"นี่มันอะไรกัน ฟ้าใส!? หมอนี้เป็นใครห่ะ!?" เสียงชายอีกคนที่ฉันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากริมฟุตบาท
"ตะ...ต้นกล้า! คือว่า.../ แบบนี้หรือว่านะ ที่คนโลกเก่าเรียกว่า รถเมล์ชนกัน นะ" ฉันกำลังจะอธิบายให้ต้นกล้าฟัง แต่อยู่ๆ อีตาบ้าหัวขาวก็พูดแทรกขึ้นมา
"เขาเรียกว่า รถไฟชนกันย่ะ โอ๊ยยย จะบ้าตาย!" ฉันร้องโวยวายออกมาอย่างหงิดหงุด ก่อนจะหันกลับไปเดินเข้าโรงพักต่อ
"เดียวก่อนสินี่! เธอจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรอ ห่ะ!?" ต้นกล้าวิ่งเข้ามาขวางทางฉัน ก่อนจะตะคอกถามฉันอย่างความโมโห
"โอเคๆ ฟังนะ ผู้ชายคนนี้ชื่อ อีวาน เป็นเด็กนักเรียนใหม่ของห้องฉัน" ฉันพูดพลางชี้ไปที่เขา
"แล้วเธอมาที่นี้กับมันทำไม?" ต้นกล้าถาม พลางมองไปที่อีวานที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ (มันใช่เวลามายืนยิ้มหรอ คนบ้าอะไรเนี้ย)
"เขาตามฉันมาเอง จบนะ!?" ฉันตอบพลางหันหลังเดินเข้าโรงพัก วันนี้จะได้เรื่องไหมเนี้ย โอ๊ยยยย หัวจะปวด ฉันนึกในใจ ก่อนจะกุมขมับ
"เดียว!" ต้นกล้ายังไม่จบ ตะโกนห้ามฉัน พลางดึงแขนฉันไว้
"อะไรอีกล่ะ?" ฉันถามขึ้นอย่างเริ่มอารมณ์เสียในความงี่เง่าของแฟนตัวเอง
"แล้วมันตามเธอมาทำไม?" ต้นกล้าถามฉัน
"แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะ? อยากรู้ก็คุยกันไปล่ะกันนะ! ฉันไปล่ะ รีบ" ฉันพูด ก่อนจะสะบัดมือออก แล้วเร่งเดินเข้าโรงพักไปอย่างหัวเสีย
ในมุมของต้นกล้า
"อะไรวะเนี้ย!? เดินหนีเฉยเลย" ผมพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปมองไอหัวขาวที่ยืนยิ้มแบบไม่รู้เวล่ำเวลา
"นายชื่ออีวานสินะ?" ผมเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
"ใช่คับ คุณคือต้นกล้า อัศวินของคุณฟ้าใสสินะเนี้ย" อีวานพูด พลางกอดอก
"ว่าแต่ลักษณะของนายดูคุ้นๆ นะ" ผมพูด พลางนึกย้อนไป
อ่อ ใช่ ตอนนั้นที่ฟ้าใสถามถึงนักเรียนชายผมสีขาวนี่หว่า หรือว่าจะเป็นหมอนี้ งั้นแสดงว่ารู้จักกันมานานพอดู ไหนว่าเป็นเด็กใหม่ไงวะ? ผมนึกในใจ พลางจ้องไปที่อีวาน
"นายตามฟ้าใสมาทำไม?" ผมถามในสิ่งที่คาใจ
"แล้วอยากรู้ไปทำไมคับ?" อีวานเอียงคอุถามกลับ
"หน่อย ไอเวรนี่! ถามดีๆ แล้วนะ หรืออยากเจ๊บตัว ห่ะ!?" ผมตะโกนขึ้นอยางอารมณ์เสียในท่าทางกวนตีนของมัน
"ถ้าทำได้ก็ลองดูสิคับ พวกใช้แต่กำลังอย่างคุณจะทำอะไรผมได้ ฮ่าฮ่า" อีวานพูดขึ้น ก่อนจะหัวเราะเยาะผม
"ได้ เดียวกูจัดให้ไอหัวขาวกวนบาทา" ผมพูดก่อนจะเงื้อหมัดขึ้น
"หยุดเดียวนี้เลยนะ! บ้าหรือป่าวเนี้ย!? นี้มันโรงพักนะ" เสียงฟ้าใสห้ามดังขึ้นจากบนบันไดทางขึ้น
"แต่ว่ามัน.../เงียบไปเลย! แล้วจะยืนกัดกันอีกนานไป อยากตามมาก็เข้ามาเร็ว เสียเวลา!" ผมยังไม่ทันพูดจบ ก็โดนฟ้าใสเบรคอย่างจัง ท่าทางจะโมโหด้วย
"อึ๋ยยย ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอเวรหัวขาว" ผมกัดฟันพูด พลางชี้ไปที่หมอนั้น
"แหม น่าเสียดายจัง อดสนุกเลย ฮิฮิ" อีวานพูดก่อนจะเก๊บนาฬิกาสร้อยคอใส่กระเป๋ากางเกง (เอานาฬิกาออกมาทำพระแสงไรวะ หมอนี้ท่าจะเพี้ยน)
ณ ข้างในสถานีตำรวจ
ตอนนี้ เราสามคนกำลังนั่งรอคุณตำรวจเจ้าของคดีฉันที่กำลังเคลียร์งานอยู่
"แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?" ต้นกล้าหันมาถามฉัน
"มีผู้ต้องสงสัยมารับสารภาพว่าเป็นคนผลักฉันในรถชนในวันเกิดเหตุนะ ฉันเลยอยากคุยด้วยหน่อย" ฉันอธิบายสั้นๆ
"มารับสารภาพด้วยตัวเองกับตำรวจเนี้ยนะ?" ต้นกล้าถามซ้ำ
"ใช่ แปลกไหมละ? แต่ฉันพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่อยากถามหาเหตุผลที่เขาทำแบบนี้" ฉันตอบกลับ พลางมองไปที่ห้องสอบสวนของสถานีตำรวจ
"ออ ว่าแต่ไอหมอนี่ตามมาทำไม? หรือหมอนี่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว?" ต้นกล้าถามพลางชี้ไปที่อีวาน ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ต้นกล้า
"ใช่ เขาบังเอิญได้ยินที่ฉันคุยกับมินตราเมื่อตอนกลางวัน และเขาก็อาสามาช่วยฉันก็เท่านั้น" ฉันอธิบายแบบสั้นๆ โดยไม่ได้บอกถึงความสามารถของเขา
"บังเอิญได้ยินหรือแอบฟังคนอื่นคุยกัน?" ต้นกล้าพูด ก่อนจะหันไปแยกเคี้ยวใส่อีวาน
"อันนี้ฉันก็ไม่รู้ เขาบอกว่าบังเอิญ" ฉันตอบปัดๆ ไป
"ว่าแต่คุยกับมินตราเป็นไงบ้าง ยัยนั้นรับสารภาพไหม?" ต้นกล้าถาม ด้วยความอยากรู้
"เดียวฉันเล่าไปฟังตอนกลับบ้านล่ะกันนะ คุณตำรวจมาแล้ว" ฉันพูดพลางลุกขึ้นยืน
"ขอโทษที่ให้รอนานนะคับ คุณฟ้าใส" คุณตำรวจพูดขึ้น
"ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ผู้ต้องสงสัยคนนั้นอยู่ไหนค่ะ?" ฉันถาม ก่อนจะหันไปมองรอบๆ สถานีตำรวจ
"เชิญทางนี้คับ" คุณตำรวจพูด พลางเดินนำทางไปยังห้องสอบสวน
"แล้วสองคนนั้นใครคับ ตอนผมไปสอบปากคำเพื่อนๆ ในโรงเรียนคุณไม่เห็นเจอเลย" คุณตำรวจถามขึ้น
อ่อ จริงสิ ตอนนั้นต้นกล้าคงเข้าโรงพยาบาลมาเวลาใกล้ๆ กับฉันเลยนี้หน่า ฉันนึกขึ้นได้
"อ่า คือ คนหัวดำชื่อต้นกล้าค่ะ เป็นนักเรียนของชั้น ม.5/7 ตอนนั้นเขาเข้าโรงพยาบาลอยู่ค่ะ" ฉันอธิบายสั้นๆ พลางชี้ไปที่ต้นกล้า
"ส่วนคนหัวขาวชื่ออีวานค่ะ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่พึ่งย้ายมาใหม่วันนี้" ฉันอธิบายพลางชี้ไปที่อีวาน
"ออ คับ" ตำรวจพูดพลางมองไปที่สองคนนั้น ขณธที่เรายืนอยู่หน้าห้องสอบสวน
"เชิญเลยคับ" ตำรวจพูดก่อนจะเปิดประตูห้องสอบสวน
ภายในห้องสอบสวนถูกแบ่งออกเป็นอีกสองห้อง โดยมีกระจกกั้นไว้ ข้างในห้องกระจกมีผู้ชายคนนึงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย
"คุ้นหน้าเขาไหมคับ คุณฟ้าใส?" ตำรวจถามขึ้น หลังจากยืนเงียบอยู่นาน
"ไม่เลยค่ะ" ฉันตอบพร้อมกับส่ายหน้า
"แล้วเขาเป็นใคร?"
"คับ ชื่อนายสันติ ชื่อเล่น สัน อายุ 55 ปี ในครอบครัวมีภรรยา และลูกชาย 1 คน อาชีพพนักงานขับรถส่วนบุคคลคับ" คุณตำรวจตอบพร้อมกับกางสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ
"พนักงานขับรถส่วนบุคคล? ได้ถามไหมค่ะว่านายจ้างเป็นใคร?" ฉันหันไปถามคุณตำรวจด้วยความสงสัย
"ไม่ได้ถามคับ ทำไมหรอคับ?" คุณตำรวจตอบ ก่อนจะถามฉันกลับ
"อ่อ ป่าวค่ะ" ฉันตอบปัดๆ ไป ฉันยังพูดอะไรไม่ได้ หากยังไม่แน่ใจ
ถ้าให้ฉันเคาเขาน่าจะเป็นคนขับรถของตระกูลยัยนั้นแน่นอน คงจะถูกส่งมาเป็นแพะซินะ ฉันนึกในใจพลางจ้องมองไปยังลุงคนนั้นที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในห้องกระจก
"แล้วเขาให้การกับคุณตำรวจว่าไงค่ะ" ฉันถามคุณตำรวจ หลังจากยืนมองผู้ต้องสงสัยสักพัก
"จากคำให้การของผู้ต้องสงสัย เขาบอกว่า ในวันและเวลาที่เกิดเหตุเขากำลังรีบกลับบ้าน เพราะลูกชายของเขาป่วยหนัก ในขณะที่เดินอยู่บนทางเท้าที่เกิดเหตุ เขาเห็นคุณเดินช้าๆ เรื่อยๆ อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาบอกขอทางหน่อย แต่เมื่อคุณจะไม่ได้ยิน เขาก็เลยผลักคุณให้พ้นทางเดินของเขา แต่เขาไม่คิดว่าคุณจะถลาไปกลางถนนแบบนั้น และเมื่อเขาเห็นว่าเกิดอุบัติเหตุจึงตกใจวิ่งหนีไป" คุณตำรวจอ่านคำให้การของคุณลุงคนนั้นให้ฟัง
"สรุปคือ เขายอมรับการผลักฉันจริงๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุสินะคะ" ฉันสรุปคำให้การ
"ก็ประมาณนั้นคับ" คุณตำรวจตอบกลับ
"มันไม่แปลกหรอไง? มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกลับมารับสารภาพด้วยล่ะ?" ต้นกล้าเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ
"ครับ ผมก็รู้สึกว่ามันแปลก แต่จากที่ถาม เขาบอกว่ารู้สึกผิดเลยอยากจะมารับสารภาพ" คุณตำรวจตอบ
เหอะ! ตลกล่ะ รู้สึกผิดเลยจะมารับสารภาพเอาตอนนี้เนี้ยนะ มันผ่านมาเกือบเดือนแล้วนะ ยิ่งน่าสงสัยไปอีก ฉันนึกในใจ พลางหันไปจ้องมองผู้ต้องสงสัย
"ฉันจะขอเข้าไปคุยกับผู้ต้องสงสัยได้ไหมค่ะ" ฉันหันไปถามคุณตำรวจ
"ได้สิคับ เดียวผมจะบอกเขาให้ว่าผู้เสียหายจะคุยด้วย" คุณตำรวจตอบรับ ก่อนจะจับลูกบิดประตู
"เดียวค่ะ! ไม่ต้องบอกอะไรหรอกค่ะ พอดีฉันอยากทดสอบอะไรหน่อย" ฉันห้ามคุณตำรวจไว้
"ทดสอบ?" คุณตำรวจถามกลับอย่างงงๆ
"เอาเถอะค่ะ คุณตำรวจช่วยรออยู่ข้างนอกสักครู่นะคะ พวกนายก็ด้วยรอนี้ล่ะ" ฉันพูดกับคุณตำรวจ ก่อนจะหันไปบอกกับต้นกล้าและอีวาน
"โอเคตามใจเธอ" ต้นกล้าตอบกลับมา
"ได้คับ แต่ระวังตัวด้วยนะ" อีวานตอบกลับ
"เฮ้ออออ งั้นก็ได้คับ แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นผมจะเข้าไปทันที" คุณตำรวจตอบกลับ
"แล้วช่วยปิดไมโครโฟน มอนิเตอร์ด้วยค่ะ" ฉันหันไปขอร้องคุณตำรวจ
"ตะ...แต่ว่ามันจะใช้เป็นหลักฐานได้นะคับ" คูณตำรวจค้านขึ้น
"มันไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอกค่ะ เชื่อฉันเถอะค่ะคุณตำรวจ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เอางั้นก็ได้คับ เฮ้ย! ปิดไมโครโฟนให้หมด" คุณตำรวจตอบตกลง ก่อนจะหันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญญาของตน
ณ ห้องสืบสวน ในห้องกระจก
"แกร๊ก" เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับชายวัยกลางคนที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
"สวัสดีค่ะ" ฉันเอ่ยทักทายผู้ต้องสงสัยด้วยรอยยิ้ม
"สะ...สวัสดีคับ" คุณลุงผู้ต้องสงสัยทักทายกลับด้วยท่าทางลนลาน
"คุณรู้ไหมค่ะ ว่าฉันเป็นใคร!?" ฉันเอียงคอถามหลังจากเดินที่ยืนใกล้ๆ ผู้ต้องสงสัย ก่อนจะเดินกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
"ผะ...ผมไม่รุ้!!" คุณลุงตอบเสียงดังเหมือนคนที่เริ่มจะควบคุมสติไม่ได้
นั้นไงล่ะ! เดินสวนทางกัน ผลักฉันจนถลาไปโดนรถชน ซึ่งเจ้าตัวก็บอกเองว่าเห็นอุบัติเหตุนั้นเต็มสองตา แต่กลับไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร เหอะ! โกหกคำโตเชียวนะ ยัยมินตราเธอพลาดแล้วล่ะ ที่ไม่ทำการบ้านมาให้ดีก่อนส่งแพะมารับบาปแบบนี้!? ฉันนึกในใจ พลางมองคุณลุง
"ถ้าฉันจะบอกให้นะค่ะ ว่าฉันเป็นใคร!" ฉันพูดพลางนั่งกอดอกหลังพิงเก้าอี้
"แต่ก่อนอื่น...ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณลุงถึงมารับสารภาพด้วยตัวเองค่ะ?" ฉันเอียงคอถามออกไป
"ผะ...ผมรู้สึกผิดที่ผลักเด็กคนนั้น จนโดนรถชน" คุณลุงตอบพลางก้มหน้าก้มตา บีบมือแน่น
"แล้วทำไมคุณลุงไม่รีบมาสารภาพตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะค่ะ นี่มันก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วนะค่ะ" ฉันถาม
"คะ...คือ...ผะ...ผมพยายามตามหาแล้ว แต่ไม่เจอเด็กคนนั้นเลย" คุณลุงตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักสุดๆ
"งั้นแสดงว่า คุณจำหน้าเด็กคนนั้นได้หรอค่ะ?" ฉันแกล้งถามออกไป
"กะ...ก็ใช่นะสิคับ! ผมก็บอกแล้วไงว่า ผมเป็นคนผลัก แล้วก็เห็นอุบัติเหตุนั้นนะ!" คุณลุงเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน
"อ่อหรอค่ะ!? นี่คุณลุงค่ะ! เคยได้ยินคำนี้ไหมค่ะ?" ฉันลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
"อะ...อะไร?" คุณลุงถามเสียงสั่น
"หากเราโกหกครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปเราก็จะต้องโกหกอีก แล้วมันก็จะไม่จบไม่สิ้น" ฉันกระซิบเสียงเย็น
"มะ...หมายความว่าไง?" ลุงผู้ต้องสงสัยถามขึ้น ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอือก
"ฟังให้ดีนะค่ะ!" ฉันพูดก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังของเขา
"..." คุณลุงได้แต่เงียบ และหันมองตามฉัน
"ฉันนี้ล่ะค่ะ! คือ เด็กสาวที่คุณผลักจนโดนรถชน!" ฉันก้มลงกระซิบข้างหูเขา ด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกหนักกว่าเดิม
"วะ...ว่าไงนะ!?" ลุงผู้ต้องสงสัยร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกโต
"ปัง!!! คุณโกหกทำไมค่ะ ห่ะ?" ฉันทุบลงที่โต๊ะ ก่อนจะตะโกนถามเขา
"อะ...เอ่อ คือ" คุณลุงอ้ำอึ้ง
"คุณไม่รู้หรือว่าโทษมันหนักแค่ไหนนะ?" ฉันนั่งลงก่อนจะถามเขา
"ผะ...ผมรู้คับ รู้ดี" คุณลุงก้มหน้าก้มตาตอบเสียงอ่อน
"แล้วทำไมค่ะ? ทำไมถึงยังทำแบบนี้อีก?" ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ
สิ่งที่ทำให้คุณลุงยอมรับผิดแทนคนอื่นแบบนี้ มันคืออะไรกันแน่? ความภักดี ความซื่อสัตย์ หรือเงินทอง? ฉันนึกในใจ พลางมองหาคำตอบในแววตาของเขา
"ผะ...ผมบอกไม่ได้จริงๆ คับ!" ลุงตะโกน พลางกุมขวับส่ายหัวไปมา
"คุณลุงค่ะ เชื่อใจฉันเถอะค่ะ ฉันรู้ดีว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำ แต่มีใครบางคนส่งคุณมาเป็นแพะ" ฉันเอื้อมมือไปกุมมืออันสั่นเทาของเขาไว้ ให้ใจเย็นๆ
"..." แพะรับบาปผู้นี้ยังคงเงียบ
"ครอบครัวของมินตราใช่ไหมค่ะที่ส่งคุณมา?" ฉันเอ่ยถาม
"นะ...หนูรู้ได้อย่างไง?" คุณลุงทำหน้าตกใจมาก
"เอาเป็นว่าหนูพอจะเดาได้ค่ะ่ แต่หนูไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลุงถึงยอมมาแต่โดยดี" ฉันบีบมือเขาแน่นขึ้น
"...." ความเงียบเข้าครอบงำเราสองคน
"คุณลุงบอกหนูมาเถอะค่ะ หนูไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตคนบริสุทธิ์ต้องพังลง ถือว่าหนูขอร้อง!" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่น เมื่อนึกว่าเขาจะต้องโทษเพียงเพราะฉัน
"...." คุณลุงยังคงปิดปากเงียบ
"โทษทางคดีอาจทำให้คุณลุงติดคุกได้เลยนะค่ะ แล้วครอบครัวของลุงล่ะค่ะ! พวกเขาจะทำอย่างไง พวกเขาจะอยู่ต่อไปอย่างไงค่ะ!" ฉันพูดเชิงเตือนสติเขาให้ฉุดคิด
"ก็เพราะครอบครัวนี่ล่ะคับ ทำให้ผมมาอยู่ตรงจุดนี้ ฮื้ออออ อึ๊กกก" คุณลุงพูดก่อนจะปล่อยร้องไห้ออกมา
อีกด้านหนึ่งของห้องกระจก ในห้องสอบสวน
"โธ่เว้ย! ทำไมคุยกันนานขนาดนี้วะ!?" ผมถามลอยๆ ด้วยความหงุดหงิด อยากรู้เรื่องราว
"คุณต้นกล้า ใจเย็นๆ สิคับ ผมว่าใกล้จบแล้วล่ะคับ อิอิ" ไอหัวขาวหน้ากวนบาทาพูดขึ้น ก่อนจะหัวเราะคิก
"นั้นสิคับ คุณนั่งลงเถอะคับ เดินวนจนผมตาลายหมดแล้วเนี้ย" คุณตำรวจเจ้าของคดีพูดขึ้น
"โธ่เว้ย แมร่ง!!" ผมนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้ พลางจ้องมองภายในห้องกระจกอีกด้านหนึ่ง
"อะ...นั้น ตาลุงนั้น ร้องไห้ทำไมอ่ะ?" ผมถาม เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ เขาก็ร้องไห้ใหญ่มาก แล้วฟ้าใสก็เข้าไปปลอบผู้ต้องสงสัยนั้น
"ผมว่ามันชักแปลกๆ แล้วนะเนี้ย" คุณตำรวจพูดขึ้น
"ใช่ไหมล่ะคับ ต้องมีอะไรแน่เลย!? อีแบบนี้" ผมพูดพลางชี้ไปที่ตาลุงนั้น
แล้วฟ้าใสกับผู้ต้องสงสัยก็คุยกันต่อ ตาลุงนั้นพูดไปก็สะอื้นไป
"เอ่ะ...ผมว่าคุณฟ้าใสเธอเริ่มดูแปลกๆ แล้วนะคับ" อีวานพูดว่าลุกขึ้นมายืนหน้ากระจกข้างๆ ผม
"เออวะ ดูโกรธมากเลยนะนั้น กำหมัดแน่นเลย" ผมพูด พลางมองดูฟ้าใส แฟนผมในเวอร์ชั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอดูโกรธมากเลย
"อ่ะ เหมือนจะเสร็จแล้ว!" คุณตำรวจพูดก่อนจะลุกขึ้นไปยืนรอหน้าประตูห้องกระจก
อีกด้านหนึ่งของห้องกระจก ในห้องสอบสวนผู้ต้องสงสัย
"ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่ยอมเล่าความจริงให้หนูฟัง" ฉันพูดก่อนจะโค้งขอบคุณผู้ต้องสงสัย
"ไม่เป็นไรคับ แต่หนูจะไม่เป็นไรหรอ? ที่ตัดสินใจแบบนี้" คุณลุงถามด้วยความเป็นห่วง
"แน่นอนค่ะ หนูจะช่วยลุงเอง เพราะจริงๆ ต้นเหตุมันก็มาจากหนูค่ะ แล้วจะให้หนูอยู่เฉยได้ไงล่ะ?" ฉันพูดพลางส่งยิ้มให้เขา
"ขอบคุณมากจริงๆ นะ ฝากที่เหลือด้วย ลุงจะรออยู่ที่นี่ตามที่หนูแนะนำ" คุณลุงพูดก่อนจะบีบมือฉันแน่น
"งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ ไว้เจอกันไหม ดูแลตัวเองด้วยค่ะ" ฉันเอ่ยคำลา พร้อมกับก้นโค้ง
ยัยสารเลวนั้น! ใช้เงินและอำนาจยังไม่พอ นี่ถึงขนาดใช้วิธีสกปรกแบบนี้เลยหรอ!? ฉันนึกในใจพลางเดินมาที่ประตูทางออก
ณ ด้านนอกห้องสอบสวนในสถานีตำรวจ
ตอนนี้พวกเราสามคนออกมานั่งรอคุณตำรวจตรงที่นั่งเดิมก่อนหน้านี้
"เป็นไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม?" ต้นกล้าเอ่ยถามฉัน หลังจากเห็นฉันเงียบไปสักพัก
"ได้สิ เรื่องเด็ดเลยล่ะ!" ฉันตอบกลับ พลางกำหมัดแน่น ถ้ายัยนั้นอยู่ตรงนี้ ฉันรับรองเลยว่า ฉันจะเข้าไปไฟท์แบบไม่รีรอเลย สาบาน!!
"เล่าให้พวกเราฟังได้ไหมคับ คุณฟ้าใส?" อีวานถามขึ้นบ้าง
"ได้แน่นอน เพราะเรื่องนี้ต้องให้พวกนายช่วยด้วย แต่ก่อนอื่นฉันอยากคุยกับคุณตำรวจก่อน" ฉันพูดพลางหันไปมองต้นกล้าและอีวาน
"ขอโทษที่ให้รอคับ สรุปว่าคุณคุยอะไรกับผู้ต้องสงสัยสามารถบอกได้ไหมคับ?" คุณตำรวจเริ่มชักฉัน ก่อนที่ฉันจะนั่งซะอีก
"ตดนนึัยังบอกไม่ได้ค่ะ" ฉันตอบ
"งึีนคุณจะทำให้ต่อไปคับ จะชี้ตัวว่าเขาเป็นคนร้ายเลยไหม?" คุณตำรวจถาม
"ฉันยังไม่แน่ใจ ขอเวลาพิสูจน์ความจริงประมาณ 3 วันค่ะ" ฉันโกหก (แกพึ่งสั่งสอนคุณลุงไปว่าอย่าโกหกนะ 5555+)
"งั้นก็ได้คับ แล้วมีอะไรอีกไหมคับ?" คุณตำรวจตอบตกลงและถามกลับ
"ช่วยปิดเรื่องที่ฉันมาคุยกับผู้ต้องสงสัยทีค่ะ หากที่คนถามให้บอกไปว่าคดีใกล้เสร็จแล้ว เอาตามนี้นะค่ะ" ฉันขอร้องคุณตำรวจ
"ก็ได้คับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร" คุณตำรวจตอบ
"ขอบคุณนะค่ะ งั้นพวกเราขอตัวก่อนค่ะ" ฉันเอ่ยคำลา เพราะต้องมาคุยกับสองหน่อนี้อีก
"อ้าว! จะกลับเลยหรอ?" ต้นกล้าถาม
"ใช่!" แล้วฉันก็เดินนำไป
ณ ด้านหน้าสถานีตำรวจ
"งั้นพรุ่งนี้เจอกัน อีวานพรุ่งนี้ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยมาเช้าๆ หน่อยนะ" ฉันหันไปบอกอีวาน
"อิอิ คับบบบ คุณฟ้าใส" อีวานหัวเราะคิกก่อนจะลากเสียงยาวให้ดูน่ารัก
"หน่อย ไอเวรนี้!!" ต้นกล้าจะเริ่มมวยอีกแล้ว
"หยุดเลยนะ นายนะ มานี่เลย ฉันมีเรื่องจะคุยตอนขากลับ" ฉันลากแขนต้นกล้าไป
"อิอิ โอเคจ้า ฟ้าใสจ้า" ต้นกล้าพูดเสียงดัง เหมือนจงใจให้อีวานได้ยิน
ณ สวนสาธารณะ ในหมู่บ้านของฉัน
หลังจากที่เราสามคนแยกย้ายกันหน้าสถานีตำรวจ ฉันกับต้นกล้าก็ตัดสินใจมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะประจำหมู่บ้าน เรานั่งอยู่ที่ประจำริมสระน้ำ สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเรือนร่างของเราสองคน แต่ทว่า ฉันไม่รู้สึกหนวาเลยสักนิด เพราะมีผู้ชายคนนี้ค่อยอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
"ขอบคุณนะ" ฉันเอ่ยขอบคุณหลังจากนั่งมองสระน้ำกันพักใหญ่
"หือ เรื่องอะไร?" ต้นกล้าเอ่ยถามงงๆ
"ทุกอย่างทั้งการที่นายมาช่วยฉันในเรื่องนี้ ทั้งการที่นายออกมาเผชิญหน้ากับฉันทั้งๆ ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรโกะจัง" ฉันพูดก่อนจะหันไปสบตากับต้นกล้า
"คะ...คือว่า เรื่องนั้น..." ต้นกล้าพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก ฉันเข้าใจดีว่ามันพูดยากขนาดไหน
"พูดมาเถอะ ไม่ว่าคำตอบของนายจะเป็นอย่างไง ฉันก็ยอมรับได้ ขอแค่นายมีความสุขก็พอ" ฉันพูดก่อนจะกุมมือเขาไว้
"ฉันตัดสินใจแล้ว...." ต้นกล้าพูด ก่อนจะเงียบไปสักพัก
"...." ฉันได้แต่เงียบรอฟังคำตอบอย่างลุ้นระทึก หากเขาเลือกที่จะอยู่กับอดีด แล้วฉันที่เป็นปัจจุบันจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉันก็รู้สึกจุกที่หน้าอกทุกครั้งไป
"ฉันจะไปหาเรโกะจัง พร้อมกับเธอ!" เขาพูดออกมาแล้ว เขาเลือกแล้ว
"โอเคได้สิ ฉันเคารพการตัดสินใจของนายเสมอ พรุ่งนี้เจอกันตอนเย็นที่หน้าโรงเรียนประตูทิศเหนือ ขอบคุณสำหรับวันนี้ ฉันไปล่ะ!" ฉันพูดรัวๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบอกลา และวิ่งออกมาจากจุดนั้น ก่อนที่น้ำตามันจะไหลให้เขาได้เห็นความอ่อนแอของฉัน
ฮื้อออ เขาเลือกแล้ว เขาเลือกอดีต! มะ...ไม่ได้ ฉันจะเสียใจไม่ได้!! เขาเลือกเรโกะจังก็ดีแล้วนี่ เขาเลือกเพื่อนสนิทของฉัน! ฉันได้แต่คิดในใจ พลางวิ่งปาดน้ำตาของตีวเอง
ในมุมของต้นกล้า
"อะไรวะเนี้ย!?" ผมพูดออกมาแบบงงๆ
"อยู่ๆ จะรีบไปซะงั้น ยังพูดไม่จบเลย เฮ้อออ เอาเถอะไว้พรุ่งนี้ก็ได้วะ" ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะเดินกลับบ้านไปแบบงงๆ
ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
"โธ่ๆ งี่เง่าพอๆ กันเลยนะ เมี๊ยว พวกคนโลกเก่าเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรอเนี้ย เมี๊ยว!?" เสียงผู้ชายคนหนึ่งในเงามืดดังขึ้น
"อิอิ แต่ก็สนุกดีนะ ว่าไหม?" ผู้ชายคนนั้น ถามคนที่อยู่บนต้นไม้
"ฉันอยากให้เขาลืมเรื่องราวเหล่านั้น แล้วเริ่มต้นใหม่ซะ ต้นกล้า" เสียงผู้หญิงบนต้นไม้ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงชายที่เดินจากไป
"ไปกันเถอะ หมดเวลาแล้ว เมี๊ยว!" เสียงผู้ชายในเงามืดบอกก่อนจะหายวาบไปพร้อมกับเด็กสาวบนต้นไม้
จบ ตอนที่ 8
เตรียมพบกับ ตอนพิเศษ ฉลองวิวเกิน 1K
ตอน "รายการโหมกระพือลม"
กับการสัมภาษณ์นักเขียนและนักแสดง แต่จะมีใครบ้างขออุ๊ปไว้ก่อนน๊าาาาา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ