THE MYSTERY OF YOU : สืบรักนักล่าผี
-
เขียนโดย คัมรีน
วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.39 น.
6 ตอน
0 วิจารณ์
3,831 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 มกราคม พ.ศ. 2565 14.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Chapter 1 : จุดเริ่มต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ#1 : จุดเริ่มต้น
“งั้นคุณตอบฉันมาสิ ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันว่าทำอะไรที่นี่?”
น้ำเสียงของฉันที่เอ่ยถามเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ปะปนไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยที่ผู้ชายตรงหน้าทำเหมือนกับว่า ฉันจำเป็นจะต้องเชื่อคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น
“เพราะผมมันน่าสงสัยยังไงล่ะครับ ฮึฮึ” เขาตอบฉันกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวน มันทำให้ฉันรู้สึกว่า คนตรงหน้าของฉันเขาพูดเหมือนกับจะให้ข้อมูลสำคัญ แต่มันเป็นเพียงคำพูดทีเล่นทีจริง ซึ่งมันไร้ประโยชน์มาก
“ฉันไม่ตลกกับคุณด้วยนะ ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคุณไม่ได้ฆ่าเธอ คุณควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทางราชการนะ” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมจะให้ความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ แต่ผมจะทำในรูปแบบของผม คุณโอเคมั้ยล่ะ?” เขายื่นข้อเสนอมาให้ฉัน
“คุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของเรา คุณคิดว่าฉันจำเป็นต้องเชื่อคุณไหม?”
“คุณไม่อยากรู้เหรอ ว่าฆาตกรฆ่ากานดาทำไม แต่ผมอยากรู้นะ” เขายังคงพูดต่อ
“ก็ได้! แต่หวังว่าคุณจะไม่ทำให้งานของฉันเสียหายนะ เพราะฉันจะไม่เอาคุณไว้แน่นอน!” นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันไปตกลงยอมรับข้อเสนอของอิตาบ้านี่ได้อย่างไรกัน แต่ก็เอาเถอะ พูดแล้วต้องไม่คืนคำสินะ ฉันต้องทำสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดครั้งนี้เอาไว้
“ดีล!! พรุ่งนี้ตอนสามทุ่ม เราจะไปเจอกันที่จุดเกิดเหตุ” เขาโผงขึ้นทันทีหลังจากที่ฉันตกลงรับข้อเสนอ
“ได้ ฉันและทีมจะไปพบกับคุณที่นั่น”
“โนะ โน นะครับคุณตำรวจ คุณต้องมาคนเดียว ไม่งั้นผมจะทำงานไม่สะดวกนะครับ” บ้าไปแล้ว ความคิดบ้าบอน่าปวดหัวมันวนเวียนเต็มไปหมดในหัวของฉัน
“โอเค ดีล!” อย่างไรก็ตาม ฉันตอบเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลังแลเลยสักนิด
ฉันแยกกับนายนาวี และกลับมาที่โต๊ะของตนเองที่มีจ่าไท และจ่าอ้นประจำที่กันอยู่ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมกับข้อตกลงระหว่างฉันกับนายนาวีให้กับนายตำรวจทั้งสองฟัง และแน่นอน ฉันจะไม่มีทางเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุตัวคนเดียวโดยเด็ดขาด แต่ในเมื่อฉันตกลงกับนายนาวีไปแล้ว ฉันจะเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว และให้ทีมงานของฉันรออยู่ด้านนอกเพื่อฟังคำสั่ง
ณ สถานตำรวจ
เวลา 20.00 น.
ฉันและทีมยังคงตั้งหน้าตั้งตารวบรวมข้อมูลและเขียนรายงานส่งผู้บังคับบัญชา เกี่ยวกับข้อมูลที่เราทั้งสามคนได้รับมาเมื่อคืน พร้อมทั้งรายงานให้สารวัตรทัต รับรู้เกี่ยวกับแผนการของทีมเรา ที่ฉันจะต้องเดินทางไปพบกับนายนาวีที่สถานที่เกิดเหตุ
“พวกคุณมั่นใจใช่ไหม ว่าไม่ต้องการกำลังเสริมไปด้วย?” สารวัตรทัตถามพวกเราอีกครั้งหลังจากที่ฉัน จ่าไท และจ่าอ้น ใส่ชุดเกราะเพื่อเตรียมออกปฏิบัติการในครั้งนี้เสร็จ
“สถานที่เกิดเหตุ เกิดขึ้นไม่ไกลจากสถานีตำรวจ ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะกล้าทำอะไรหรอกค่ะสารวัตร” ฉันรีบตอบสารวัตรออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอให้พวกคุณปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะคุณปานจันทร์ เกิดอะไรขึ้นรีบแจ้งทันที”
“ทราบ!”
หลังจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจบลง เราทั้งสามคนก็รีบออกมาจากสถานีตำรวจและพุ่งตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที จ่าอ้นซึ่งเป็นคนขับรถนำเราสามคนเดินทางมาในครั้งนี้ จอดรถไว้ห่างอาหารพาณิชย์พอสมควร เราทั้งสามคนซุ้มดูสถานการณ์เบื้องต้น พร้อมกับกวาดสายตามองเพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยรอบ
“นั่นไง ไอ้หมอนั่นมาแล้ว” จ่าอ้นพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในรถ
ฉันหันไปมองตามที่จ่าอ้นชี้ยังบริเวณด้านข้างของอาคารพาณิชย์ พบชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่กางเกง และแจ๊คเก็ทสีดำ เดินออกมาอย่างช้าๆ ด้วยรูปร่างที่พร้อมสะกดสายตา ทำให้ฉันมั่นใจในทันทีว่านั่นคือ นายนาวีอย่างแน่นอน
“ตรงเวลาจริงๆ โอเค ฉันจะไปพบเขา พี่ไท พี่อ้น สแตนบายรอฟังคำสั่งของฉันนะ”
“ครับหมวด !”
ฉันเดินลงจากรถและปิดประตูอย่างเบามือที่สุด พร้อมกับรีบเดินจ้ำอ้าว ตรงไปหานายนาวี เขามองมาที่ฉันพร้อมส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะยิ้มได้อีก โรคจิตเป็นบ้าเลย
“บอกแล้วไงครับคุณตำรวจว่าให้มาคนเดียว” บ้าหน่า! อีตาบ้านี่รู้มากชะมัด ฉันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยหลังจากที่เขาเอ่ยทักฉันด้วยน้ำเสียงยียวน
“ฉันมาคนเดียวย่ะ”
“คุณคิดว่าผมโง่เหรอผู้หมวดปานจันทร์ คุณเป็นผู้หญิงแถมเป็นตำรวจอีก ไม่มีทางหรอกที่คุณจะยอมมาพบผมที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวานโดยที่ไม่มีทีมงานมาด้วยหน่ะ เห็นแบบนี้ผมก็ดูหนังเยอะนะคุณ” เขายังคงพูดด้วยน้พเสียงยียวน พร้อมกับมองมาที่ป้ายชื่อของฉัน
“ไหนคุณพูดมาสิ ว่ารูปแบบของคุณที่ว่า คืออะไร?” ฉันถามเขา เพื่อตัดบทสนทนาไร้ประโยชน์พวกนั้นซะ
“ผมเป็นคนเดียวที่จะพาคุณเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุได้” เขาตอบฉันกลับมา ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยจะตรงกับคำถามของฉันสักเท่าไหร่
“ทำไม?”
“ก็ผมเป็นเจ้าของตึกนี้” เดี๋ยวนะ ข้อมูลเหล่านี้หลุดรอดจากการรวบรวมข้อมูลของจ่าไท และจ่าอ้นได้อย่างไร ไม่มีข้อมูลใดที่บ่งบอกว่าเขาคือเจ้าของตึก “พ่อของผมซื้อที่นี่เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่พ่อของผมเขาไม่ได้ใช้ชื่อของเขาในการเป็นเจ้าของตึกนี้หรอก ไม่แปลกหรอกนะที่ตำรวจอย่างพวกคุณจะไม่มีข้อมูลพวกนี้” เขาพูดขึ้นมาเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันสงสัย พรางใช้นิ้วมือเรียวยาว ค่อยๆแหวกป้าย Crime Scene Tape ออกอย่างเบามือ พร้อมกับผายมือให้ฉันเดินเข้าไปหลังจากที่เขาแหวกเทปเล่านั้นออก
“เชิญครับ” เขากล่าว
ฉันก้าวขาเข้าไปในอาคารดังกล่าว อย่างทุลักทุเลตามคำเชื้อเชิญของเขา และเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดไปยังชั้นสองของตึกแห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดก่อนน้านี้พบศพคุณกานดา ข้าวของบริเวณโดยรอบยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีการเคลื่อนย้าย สิ่งของใดๆ นอกจากศพของคุณกานดาที่ตอนนี้เหลือเพียงร่องรอยของสีสเปรย์สีขาว ที่เจ้าหน้าที่ที่ได้เข้ามาทำงานก่อนหน้านี้ฉีดพ่นไว้เพื่อระบุจุดที่คุณกานดาเสียชีวิต
“กานดาเคยเป็นพนักงานที่บาร์ของผม เธอเป็นพนักงานที่ดีนะ เธอมาลาออกสามวันก่อนจะมีข่าวบอกว่าเธอตาย” นายนาวีพูดขึ้นหลังจากจ้องมองไปยังรอยสเปรย์สีขาวนั้น
“ทำไมเธอถึงลาออกหล่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าเธอเป็นพนักงานที่ดี” ฉันถามเขา
“เธอบอกแค่ว่า จะกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ผมหวังว่าผมจะได้รู้เร็วๆนี้ว่าอะไรทำให้เธอมีจุดจบแบบนี้” เขาตอบฉันกลับมา ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทียียวน หรือตั้งใจจะให้ข้อมูลเท็จใดๆ ฉันตั้งใจฟัง และจับน้ำเสียงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณตั้งใจจะบอกอะไรกับฉัน” ฉันถามเขาออกไป ในสิ่งที่ฉันควรจะรู้มากที่สุด ฉันจะลองเชื่อใจชายตรงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือและไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ที่ตำรวจผู้ดูแลคดีอย่างฉัน ต้องมายอมรับฟังผู้สงสัยอันดับหนึ่งแบบนี้
“เพราะมีใครสักคนพยายามที่จะฆ่าเธอเพื่อโยนความผิดให้ผมไงหล่ะ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉันมองคิดไม่ตกเลยว่านาวี ตั้งใจจะบอกอะไรกับฉัน เขาดูจริงจัง แต่คำพูดของเขาก็ดูเหลือเชื่อ
“ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะบอกฉัน ช่วยพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหม” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก่อนอื่นผมอยากให้คุณเปิดใจ ลดอคติกับเรื่องไสยศาสตร์ลงหน่อย ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อแล้วคนอย่างคุณก็คงไม่เชื่อเรื่องอะไรพวกนี้ แต่ผมเชื่อ ไอ้ฆาตกรหน่ะ รู้ว่าที่นี่คือตึกของพ่อผม และรู้ว่าผมศึกษาเรื่องคุณไสย แต่คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมแค่ชอบฟังเรื่องผี ผมไม่ได้เล่นของ เพราะแบบนี้ไง ฆาตกรเลยต้องการสร้างสถานการณ์์ให้เหมือนกับว่าผมเป็นคนฆ่าเธอ คำถามคือ มันเป็นใคร ทำไมต้องทำแบบนี้” เขาเล่าข้อสันนิษฐานของเขาให้ฉันฟัง
“แล้วเราจะรู้เรื่องความจริงของเรื่องนี้ได้ยังไง” ฉันถามเขาออกไปด้วยความสงสัย
“คนตายพูดไม่ได้ใช่ไหมคุณ”
“ก็ใช่หน่ะสิ อะไรของคุณเนี่ย”
“งั้นเรามาทำให้ ‘เธอ’ พูดได้กันเถอะ !”
___________________________________
Writer Talk : ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ยินดีรับทุกคำติ ชม เลยค่ะ
คัมรีน.
“งั้นคุณตอบฉันมาสิ ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันว่าทำอะไรที่นี่?”
น้ำเสียงของฉันที่เอ่ยถามเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ปะปนไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยที่ผู้ชายตรงหน้าทำเหมือนกับว่า ฉันจำเป็นจะต้องเชื่อคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น
“เพราะผมมันน่าสงสัยยังไงล่ะครับ ฮึฮึ” เขาตอบฉันกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวน มันทำให้ฉันรู้สึกว่า คนตรงหน้าของฉันเขาพูดเหมือนกับจะให้ข้อมูลสำคัญ แต่มันเป็นเพียงคำพูดทีเล่นทีจริง ซึ่งมันไร้ประโยชน์มาก
“ฉันไม่ตลกกับคุณด้วยนะ ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคุณไม่ได้ฆ่าเธอ คุณควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทางราชการนะ” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมจะให้ความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ แต่ผมจะทำในรูปแบบของผม คุณโอเคมั้ยล่ะ?” เขายื่นข้อเสนอมาให้ฉัน
“คุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของเรา คุณคิดว่าฉันจำเป็นต้องเชื่อคุณไหม?”
“คุณไม่อยากรู้เหรอ ว่าฆาตกรฆ่ากานดาทำไม แต่ผมอยากรู้นะ” เขายังคงพูดต่อ
“ก็ได้! แต่หวังว่าคุณจะไม่ทำให้งานของฉันเสียหายนะ เพราะฉันจะไม่เอาคุณไว้แน่นอน!” นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันไปตกลงยอมรับข้อเสนอของอิตาบ้านี่ได้อย่างไรกัน แต่ก็เอาเถอะ พูดแล้วต้องไม่คืนคำสินะ ฉันต้องทำสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดครั้งนี้เอาไว้
“ดีล!! พรุ่งนี้ตอนสามทุ่ม เราจะไปเจอกันที่จุดเกิดเหตุ” เขาโผงขึ้นทันทีหลังจากที่ฉันตกลงรับข้อเสนอ
“ได้ ฉันและทีมจะไปพบกับคุณที่นั่น”
“โนะ โน นะครับคุณตำรวจ คุณต้องมาคนเดียว ไม่งั้นผมจะทำงานไม่สะดวกนะครับ” บ้าไปแล้ว ความคิดบ้าบอน่าปวดหัวมันวนเวียนเต็มไปหมดในหัวของฉัน
“โอเค ดีล!” อย่างไรก็ตาม ฉันตอบเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลังแลเลยสักนิด
ฉันแยกกับนายนาวี และกลับมาที่โต๊ะของตนเองที่มีจ่าไท และจ่าอ้นประจำที่กันอยู่ พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมกับข้อตกลงระหว่างฉันกับนายนาวีให้กับนายตำรวจทั้งสองฟัง และแน่นอน ฉันจะไม่มีทางเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุตัวคนเดียวโดยเด็ดขาด แต่ในเมื่อฉันตกลงกับนายนาวีไปแล้ว ฉันจะเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว และให้ทีมงานของฉันรออยู่ด้านนอกเพื่อฟังคำสั่ง
ณ สถานตำรวจ
เวลา 20.00 น.
ฉันและทีมยังคงตั้งหน้าตั้งตารวบรวมข้อมูลและเขียนรายงานส่งผู้บังคับบัญชา เกี่ยวกับข้อมูลที่เราทั้งสามคนได้รับมาเมื่อคืน พร้อมทั้งรายงานให้สารวัตรทัต รับรู้เกี่ยวกับแผนการของทีมเรา ที่ฉันจะต้องเดินทางไปพบกับนายนาวีที่สถานที่เกิดเหตุ
“พวกคุณมั่นใจใช่ไหม ว่าไม่ต้องการกำลังเสริมไปด้วย?” สารวัตรทัตถามพวกเราอีกครั้งหลังจากที่ฉัน จ่าไท และจ่าอ้น ใส่ชุดเกราะเพื่อเตรียมออกปฏิบัติการในครั้งนี้เสร็จ
“สถานที่เกิดเหตุ เกิดขึ้นไม่ไกลจากสถานีตำรวจ ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะกล้าทำอะไรหรอกค่ะสารวัตร” ฉันรีบตอบสารวัตรออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอให้พวกคุณปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะคุณปานจันทร์ เกิดอะไรขึ้นรีบแจ้งทันที”
“ทราบ!”
หลังจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจบลง เราทั้งสามคนก็รีบออกมาจากสถานีตำรวจและพุ่งตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที จ่าอ้นซึ่งเป็นคนขับรถนำเราสามคนเดินทางมาในครั้งนี้ จอดรถไว้ห่างอาหารพาณิชย์พอสมควร เราทั้งสามคนซุ้มดูสถานการณ์เบื้องต้น พร้อมกับกวาดสายตามองเพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยรอบ
“นั่นไง ไอ้หมอนั่นมาแล้ว” จ่าอ้นพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในรถ
ฉันหันไปมองตามที่จ่าอ้นชี้ยังบริเวณด้านข้างของอาคารพาณิชย์ พบชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่กางเกง และแจ๊คเก็ทสีดำ เดินออกมาอย่างช้าๆ ด้วยรูปร่างที่พร้อมสะกดสายตา ทำให้ฉันมั่นใจในทันทีว่านั่นคือ นายนาวีอย่างแน่นอน
“ตรงเวลาจริงๆ โอเค ฉันจะไปพบเขา พี่ไท พี่อ้น สแตนบายรอฟังคำสั่งของฉันนะ”
“ครับหมวด !”
ฉันเดินลงจากรถและปิดประตูอย่างเบามือที่สุด พร้อมกับรีบเดินจ้ำอ้าว ตรงไปหานายนาวี เขามองมาที่ฉันพร้อมส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะยิ้มได้อีก โรคจิตเป็นบ้าเลย
“บอกแล้วไงครับคุณตำรวจว่าให้มาคนเดียว” บ้าหน่า! อีตาบ้านี่รู้มากชะมัด ฉันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยหลังจากที่เขาเอ่ยทักฉันด้วยน้ำเสียงยียวน
“ฉันมาคนเดียวย่ะ”
“คุณคิดว่าผมโง่เหรอผู้หมวดปานจันทร์ คุณเป็นผู้หญิงแถมเป็นตำรวจอีก ไม่มีทางหรอกที่คุณจะยอมมาพบผมที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวานโดยที่ไม่มีทีมงานมาด้วยหน่ะ เห็นแบบนี้ผมก็ดูหนังเยอะนะคุณ” เขายังคงพูดด้วยน้พเสียงยียวน พร้อมกับมองมาที่ป้ายชื่อของฉัน
“ไหนคุณพูดมาสิ ว่ารูปแบบของคุณที่ว่า คืออะไร?” ฉันถามเขา เพื่อตัดบทสนทนาไร้ประโยชน์พวกนั้นซะ
“ผมเป็นคนเดียวที่จะพาคุณเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุได้” เขาตอบฉันกลับมา ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยจะตรงกับคำถามของฉันสักเท่าไหร่
“ทำไม?”
“ก็ผมเป็นเจ้าของตึกนี้” เดี๋ยวนะ ข้อมูลเหล่านี้หลุดรอดจากการรวบรวมข้อมูลของจ่าไท และจ่าอ้นได้อย่างไร ไม่มีข้อมูลใดที่บ่งบอกว่าเขาคือเจ้าของตึก “พ่อของผมซื้อที่นี่เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่พ่อของผมเขาไม่ได้ใช้ชื่อของเขาในการเป็นเจ้าของตึกนี้หรอก ไม่แปลกหรอกนะที่ตำรวจอย่างพวกคุณจะไม่มีข้อมูลพวกนี้” เขาพูดขึ้นมาเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันสงสัย พรางใช้นิ้วมือเรียวยาว ค่อยๆแหวกป้าย Crime Scene Tape ออกอย่างเบามือ พร้อมกับผายมือให้ฉันเดินเข้าไปหลังจากที่เขาแหวกเทปเล่านั้นออก
“เชิญครับ” เขากล่าว
ฉันก้าวขาเข้าไปในอาคารดังกล่าว อย่างทุลักทุเลตามคำเชื้อเชิญของเขา และเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดไปยังชั้นสองของตึกแห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดก่อนน้านี้พบศพคุณกานดา ข้าวของบริเวณโดยรอบยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีการเคลื่อนย้าย สิ่งของใดๆ นอกจากศพของคุณกานดาที่ตอนนี้เหลือเพียงร่องรอยของสีสเปรย์สีขาว ที่เจ้าหน้าที่ที่ได้เข้ามาทำงานก่อนหน้านี้ฉีดพ่นไว้เพื่อระบุจุดที่คุณกานดาเสียชีวิต
“กานดาเคยเป็นพนักงานที่บาร์ของผม เธอเป็นพนักงานที่ดีนะ เธอมาลาออกสามวันก่อนจะมีข่าวบอกว่าเธอตาย” นายนาวีพูดขึ้นหลังจากจ้องมองไปยังรอยสเปรย์สีขาวนั้น
“ทำไมเธอถึงลาออกหล่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าเธอเป็นพนักงานที่ดี” ฉันถามเขา
“เธอบอกแค่ว่า จะกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ผมหวังว่าผมจะได้รู้เร็วๆนี้ว่าอะไรทำให้เธอมีจุดจบแบบนี้” เขาตอบฉันกลับมา ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทียียวน หรือตั้งใจจะให้ข้อมูลเท็จใดๆ ฉันตั้งใจฟัง และจับน้ำเสียงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณตั้งใจจะบอกอะไรกับฉัน” ฉันถามเขาออกไป ในสิ่งที่ฉันควรจะรู้มากที่สุด ฉันจะลองเชื่อใจชายตรงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือและไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ที่ตำรวจผู้ดูแลคดีอย่างฉัน ต้องมายอมรับฟังผู้สงสัยอันดับหนึ่งแบบนี้
“เพราะมีใครสักคนพยายามที่จะฆ่าเธอเพื่อโยนความผิดให้ผมไงหล่ะ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉันมองคิดไม่ตกเลยว่านาวี ตั้งใจจะบอกอะไรกับฉัน เขาดูจริงจัง แต่คำพูดของเขาก็ดูเหลือเชื่อ
“ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะบอกฉัน ช่วยพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหม” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก่อนอื่นผมอยากให้คุณเปิดใจ ลดอคติกับเรื่องไสยศาสตร์ลงหน่อย ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อแล้วคนอย่างคุณก็คงไม่เชื่อเรื่องอะไรพวกนี้ แต่ผมเชื่อ ไอ้ฆาตกรหน่ะ รู้ว่าที่นี่คือตึกของพ่อผม และรู้ว่าผมศึกษาเรื่องคุณไสย แต่คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมแค่ชอบฟังเรื่องผี ผมไม่ได้เล่นของ เพราะแบบนี้ไง ฆาตกรเลยต้องการสร้างสถานการณ์์ให้เหมือนกับว่าผมเป็นคนฆ่าเธอ คำถามคือ มันเป็นใคร ทำไมต้องทำแบบนี้” เขาเล่าข้อสันนิษฐานของเขาให้ฉันฟัง
“แล้วเราจะรู้เรื่องความจริงของเรื่องนี้ได้ยังไง” ฉันถามเขาออกไปด้วยความสงสัย
“คนตายพูดไม่ได้ใช่ไหมคุณ”
“ก็ใช่หน่ะสิ อะไรของคุณเนี่ย”
“งั้นเรามาทำให้ ‘เธอ’ พูดได้กันเถอะ !”
___________________________________
Writer Talk : ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ยินดีรับทุกคำติ ชม เลยค่ะ
คัมรีน.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ