เธอ(YOU)

9.8

วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.24 น.

  11 chapter
  0 วิจารณ์
  7,263 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 12.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Interesting

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

Interesting

 


 

 

 

 - สองปีผ่านไป

(ไวเหมือนอยากให้นิยายจบเร็วๆอ่ะเนอะ 0_0)

 

 

 

 

 

แสงแดดอุ่นๆของวันอาทิตย์ยามเย็นส่องผ่านหน้าต่าง ปรากฏเงากระทบที่มองแล้วรู้สึกสบายตา

 

ลมโชยพัดเอื่อยๆประปรายไปด้วยกลิ่นดอกไม้สดชวนให้ใจสงบนิ่ง

 

ทว่ามันช่างขัดกับบรรยากาศภายในร้าน Gen Bakery ที่เต็มไปด้วยความครึกครื้น เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเจนจิราเจ้าของร้านคนสวยของสองแฝดนั่นเอง เจ้าตัวน่ะไม่ได้อยากจะฉลองอะไรเอิกเริกนักหรอก แต่ลูกชายของเธอเนี่ยสิ เล่นเชิญเพื่อนๆของเธอมางานวันเกิดเสียอย่างกับวัยรุ่น

 

 

 

 

 

“สุขสันต์วันเกิดนะเจนจิรา ไม่เจอกันตั้งนานเธอยังดูสาวอยู่เลย” หนึ่งในเพื่อนสนิทของคุณหญิงเจนจิราเอ่ยขึ้น

 

“โหย หญิงวาดเธอก็ว่าไป ก็พวกเรายังเอ๊าะๆกันอยู่นี่ ต้องดูสาวเป็นเรื่องธรรมดาสิเนอะ” เจนจิราตอบ

 

“ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว พวกเราเลยได้เป็นสาวซักที”

 

สิ้นคำนั้น สาวๆวัยห้าสิบต้นๆห้าหกรายก็พากันหัวเราะชอบใจ

 

“เอ้อเจน ว่าแต่ชั้นได้ยินลูกชายเธอเรียกเธอว่า'คุณเจนๆ'ทั้งสองหนุ่มเลย เจอกันเมื่อหลายปีก่อนไม่เห็นเรียกแบบนี้เลยนี่” หนึ่งในกลุ่มถามขึ้น

 

“ก็คุณปฐวีน่ะเขาเรียกชั้นอย่างนั้น พอเขาเสียไป เด็กๆก็พากันเรียกตามสงสัยอยากเรียกแทนพ่อเขาน่ะ” เจนจิราตอบยิ้มๆ

 

“โถ น่ารักน่าเอ็นดูแท้พ่อคุณ หน้าตาก็หล่อเหลาทั้งคู่ มีแววจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาบ้างรึยังล่ะ”

 

“อย่าให้พูดเลยเธอ บ้างานกันทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่อยากจะไปรบเร้าหรอกปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่อยากทำไปเถอะ”

 

“แล้วเธอกับวศินอดีตนายตำรวจใหญ่นี่ยังไงล่ะเธอ”

 

“อุ๊ต่ะ ถามอะไรอย่างนั้น ฟ้าผ่านา ก็เพื่อนกันอย่างที่เห็นนี่แหละ”

 

 

 

 

 

จิรากรอมยิ้มมองดูมารดาที่สนทนาเม้าท์มอยกับเพื่อนๆอย่างออกรสออกชาติน่าสนุกเชียว

 

“ไงเรา ช่วงนี้ได้พักบ้างรึเปล่า” วศินเดินมาหาพร้อมยื่นเครื่องดื่มให้หลานชาย

 

“ขอบคุณครับ ช่วงนี้ก็ได้พักบ้างแล้วครับ แล้วลุงศินล่ะ ไปฟินแลนด์มาป้าเมย์กับน้องนินทร์เป็นไงบ้างครับ” จิรากรรับเครื่องดื่มมาไว้ในมือ พร้อมถามถึงภรรยาและลูกสาวของผู้อาวุโสที่เขาเคารพรักตรงหน้า

 

“ก็สบายดีทั้งคู่นั่นแหละ เจ้านินทร์กำลังจะเข้ามหาลัยแล้ว อีกหน่อยคงติดเพื่อนให้แม่เขาปวดหัว”

 

“วัยรุ่นก็แบบนี้แหละครับ ลุงจำตอนที่จันทร์กับเจษสมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆได้มั้ยครับ ช่วงนั้นพ่อ แม่ แล้วก็ลุงปวดหัวน่าดู”

 

“โห ใครจะลืมลง เจอพวกเราสองคนกับเดอะแก๊งค์ที่โรงพักแทบทุกอาทิตย์ จนเพื่อนในสน.ถามลุงว่าเราสองคนเป็นลูกอัยการเป็นหลานตำรวจจริงเร๊อะ ทำไมมันซนอย่างนี้” วศินตอบแล้วหัวเราะน้อยๆเมื่อนึกถึงอดีต จิรากรก็พลอยหัวเราะไปด้วย

 

เจษลินทร์มองดูน้องชายกับลุงคุยกัน เห็นแบบนี้แล้วก็อดคิดถึงพ่อไม่ได้ ถ้าพ่ออยู่ป่านนี้ท่านก็คงคุยกับลุงวศินออกรสออกชาติไม่แพ้กัน

 

 

พ่อของสองแฝดเป็นอัยการ ส่วนลุงวศินเป็นตำรวจ พวกท่านสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายโน่น ขนาดโตจนแต่งงานมีลูกมีเต้าก็ยังได้ทำงานและอาศัยอยู่ใกล้ๆกันอีก นั่นทำให้เจษลินทร์และจิรากรสนิทกับลุงวศินมาก

 

ลุงวศินแกหย่ากับภรรยาได้ร่วมสิบปีแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นครอบครัววิทยวรคุณณ์ก็ทรีทลุงเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ไปมาหาสู่ดูแลกันไม่เคยขาด ลุงวศินจึงได้มาร่วมโต๊ะทานข้าวกับพวกเขาเช้าเย็นจนเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

“เหม่ออะไร เมาแล้วเหรอ” เสียงจิรากรดึงเจษลินทร์ออกจากห้วงความคิด

 

“เมาอะไรยังไม่ได้ยกซักอึก ว่าแต่เราเถอะ อย่าดื่มเกินสองแก้ว”

 

“ครับพ่อ”

 

“ดีมากลูก” เจษลินทร์ตอบกวนๆ จนแฝดน้องอดหมั่นไส้ไม่ได้

 

“ได้รับข้อความแบบนั้นมาอาทิตย์นึงแล้วว่ะ” จิรากรเอ่ยเสียงเครียด

 

“เจษก็ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นใครและต้องการอะไร ทั้งๆที่ก็หายตั้งสองปีแล้วแท้ๆ จะกลับมาเอาไรก่อน”

 

“จันทร์บล็อกไปแล้ว”

 

“อือ บล็อกไปเลย ถ้าเราไม่สนใจก็คงเงียบหายไปเหมือนครั้งที่แล้วเองแหละ”

 

ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่เจษลินทร์ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ ข้อความป่วนที่เขาเคยได้รับเมื่อสองปีก่อนนั้น ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ได้ จันทร์ก็ได้เช่นกัน

 

แล้วอาทิตย์ที่แล้วข้อความนั้นก็กลับมาอีกครั้ง ลักษณะการพิมพ์ ใจความของข้อความก็ยังเต็มไปด้วยความประชดประชันเหมือนเดิม และคราวนี้เจษลินทร์มีลางสังเห่าสังหรณ์ว่ามันจะไม่หยุดแค่นี้แน่ เขาจึงไม่ยอมบล้อกเบอร์ เพราะไม่รู้ว่าคนที่ส่งข้อความมาต้องการอะไร เกรงว่าหากพวกเขาทั้งสองบล็อกเบอร์หนีอีก ฝ่ายนั้นจะทำอะไรแปลกๆหรือเปล่า เจษลินทร์เลยอยากลองดูอีกสักพัก เผื่อว่าข้อความจะเงียบหายไปเองเหมือนคราวที่แล้ว

 

.

 

.

 

ทว่าก็ไม่เป็นไปตามที่เจษลินทร์หวัง เพราะข้อความนั้นยังส่งมาทุกวันตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่คราวนี้มันมีข้อความที่ทำให้เจษลินทร์ควันออกหูคิ้วกระตุกเป็นจังหวะสามช่า จนต้องตอบกลับไป

 

 

 

 

 

Unknown: ถามหน่อยสิ คุณกับน้องคุณมีนิสัยแย่ๆเหมือนพ่อคุณรึเปล่า?

 

: ยิ่งน้องคุณเป็นอัยการ เขาจะเป็นอัยการเลวตามรอยพ่อมั้ยนะ

 

Jecelyn: นี่ อุตส่าห์ส่งข้อความมาก่อกวนเสียตั้งนาน คงไม่ได้แค่จะมาแพ่มเรียกร้องความสนใจเฉยๆหรอกใช่มั้ย?

 

: ต้องการอะไรก็บอกมาเลยเถอะ

 

Unknown: ก็แค่อยากรู้ว่าคุณมีนิสัยเหมือนเขาหรือเปล่า อัยการปฐวี คนที่ส่งคนบริสุทธิ์เข้าคุกน่ะ

 

Jecelyn: มีหลักฐานหรือเปล่า? ถ้าบริสุทธิ์จริงจะเข้าคุกได้ยังไง? อีกอย่างพ่อผมไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดทำอะไรได้ตามอำเภอใจเสียหน่อย

 

Unknown: ก็มันมีคนเลวๆแบบพ่อคุณไง เพราะแค่ต้องการจะปิดคดีสร้างผลงานให้มันจบๆไป จึงไม่สนว่าใครจะถูกจะผิด

 

Jecelyn: คดีไหน?

 

Unknown: อันนั้นมันเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องไปตามหาดูว่าพ่อของคุณทำคดีไหนบ้างที่มันไม่ยุติธรรม ดีไม่ดีสืบไปสืบมาคุณอาจจะเจอมากกว่าหนึ่งคดีก็ได้นะ

 

: พ่อคุณน่ะใช้อำนาจในมือฆ่าคน พ่อคุณมันเป็นฆาตกร!

 

 

 

 

 

เจษลินทร์กำมือแน่นด้วยอารมณ์คุกรุ่น กระโดดถีบขาคู่ต่อด้วยหนุมานถวายฟรีคิกส์ส่งไปทางโทรศัพท์ได้มั้ยวะ?

 คนบ้าอะไรโคตรแย่เลย! ที่สำคัญเจษลินทร์รู้ว่าพ่อเป็นคนที่บูชาความซื่อสัตย์มากกว่าสิ่งไหน เรื่องที่คนคนนี้บอกไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน

 

ไม่รู้และโคตรไม่เข้าใจว่าทำไมคนนี้ๆถึงมารังควานพวกเขา ทั้งๆที่พ่อก็เสียไปตั้งสามปีแล้ว

 

คนๆนี้เกี่ยวข้องกับคนที่พ่อเขาสั่งฟ้อง? หรือว่ารับไม่ได้กับผลตัดสินของศาล?

 

เจษลินทร์พยายามครุ่นคิดหาความน่าจะเป็น แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จึงเดินไปหาจิรากรที่กำลังอ่านหนังสืออยู่

 

“จันทร์ว่างมั้ย”

 

“อื้อว่าง มีไรเหรอ”

 

“เราจะหาเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ได้ยังไงอ่ะ”

 

“หมายถึงเบอร์ไอ้ข้อความป่วนนั่นน่ะเหรอ จันทร์ให้คนหาข้อมูลตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว เจ้าของเบอร์เป็นคนเร่ร่อนน่ะ ตามGPSก็ไม่ได้ สงสัยคงใส่มือถือที่เป็นรุ่นเก่าๆเลยตามหาพิกัดไม่ได้”

 

“แปลว่าเขาให้คนอื่นลงทะเบียนให้สินะ”

 

“อือ คงใช่แหละ ว่าแต่ทำไมเหรอ เจษยังไม่บล้อกเบอร์นั้นไปอีกเหรอ”

 

“เปล่าหรอก เจษแค่สงสัยน่ะ เอ้อจันทร์! ตอนที่จันทร์ไปทำงานแรกๆ คนพูดถึงพ่อเยอะมั้ย”

 

“หูย เยอะมากเลย คนรู้จักพ่อเยอะแยะไปหมด มีแต่คนชมพ่อให้ฟัง จนจันทร์เนี่ยเกร็งไปหมดเลยกลัวว่าคนจะเอาจันทร์ไปเปรียบเทียบกับพ่อ”

 

เจษลินทร์พยักหน้ารับรู้

 

“อย่าคิดมากล่ะ เรื่องคนเปรียบเทียบน่ะ”

 

“ไม่คิดมากหรอก จัดการตัวเองได้หน่า ฮึ่ย” จิรากรตอบพร้อมทำหน้าขึงขังและอวดเก่งไปในตัว จนคนเป็นพี่อดหมั่นไส้ไม่ได้ หยิกแก้มขาวๆนิ่มๆของน้องไปหนึ่งทีพร้อมยีหัวจนเจ้าตัวโวยวาย

 

นั่นสินะ เขาย่อมรู้นิสัยพ่อดีกว่าใคร ข้อความนั้นก็คงแค่จะส่งมาป่วนเขาแน่ๆ

 

คิดได้ดังนั้นเจษลินทร์จึงปล่อยเรื่องนั้นไป ไม่ได้สนใจอีก และข้อความนั้นก็เงียบหายไปด้วยเช่นกัน

 

 

 

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ข้อความจากเบอร์เดิมก็เด้งมาอีกครั้ง

 

 

Unknown: กลัวเหรอ? เลยไม่กล้าจะค้นหาความจริง กลัวว่าจะรู้ความเลวของพ่อสินะ

 

Jecelyn: ผมไม่เคยกลัว แต่ผมแค่ไม่รู้ว่าผมจะทำไปเพื่ออะไร?

 

Unknown: อย่างแรกเลยที่คุณจะได้คือความจริง ถ้าพ่อคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เราว่า เราจะไปคุกเข่าขอโทษเขา และคุกเข่าขอโทษพวกคุณด้วยดีไหม

 

: แต่ถ้าหากคุณรู้ว่าสิ่งที่เราบอกเป็นความจริง เรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผย พวกคุณต้องมาคุกเข่าขอโทษต่อหน้าเถ้ากระดูกของคนบริสุทธิ์!

 

: แต่ก็อย่างว่านะ ถ้าเราเป็นคุณเราก็คงจะไม่สืบหรอก เพราะสืบไปก็มีแต่จะทำให้พ่อตัวเองเสื่อมเสียและอับอาย คิดไปคิดมาเราก็เข้าใจคุณนะ คุณคงไม่ทำหรอก

 

Jecelyn: ตกลง!ผมจะสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อย่าลืมคำที่คุณให้สัญญาไว้แล้วกัน!

 

 

 

 

 

เจษลินทร์ตกปากรับคำด้วยความโมโห พอมีสติกลับมาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะไปเล่นเกมกับคนนั้นทำไมเนี่ย?

 

แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว ก็ต้องทำตามที่พูดให้ได้ล่ะนะ

 

เจษลินทร์เริ่มคิดทบทวนเรื่องราวในหัว

 

ดูจากลักษณะข้อความที่คนนั้นส่งมา เขาดูมั่นใจมากว่าพ่อของเจษลินทร์เป็นฝ่ายผิด

 

ทำไมนะ?

 

ถ้าเป็นคนที่ทำความผิดจริงแล้วโดนส่งเข้าคุกก็อาจจะมีแค้นบ้าง แต่คงแก้แค้นด้วยวิธีอื่น อย่างเช่นก่อกวนให้ประสาทเสียเล่นๆ หรือถ้าหนักหน่อยก็อาจจะทำร้ายทรัพย์สินหรือร่างกาย แต่ข้อความของคนๆนี้เอาแต่บอกว่าให้ไปตามหาความจริง

 

ได้สิ!เขานี่แหละจะเอาความจริงมาฟาดหน้าให้เองจ้า! เตรียมหน้ารอได้เลยนะ!

 

ว่าแต่จะเริ่มจากตรงไหนล่ะเนี่ย? คดีไหนก็ไม่บอก พ่อเขาปีหนึ่งๆสั่งฟ้องตั้งกี่คดี โอ้ยนอว

 

เจษลินทร์โวยวายกับตัวเองไปพักนึง แล้วกลับมาตั้งสติหายใจเข้าออกอย่างใจเย็น เริ่มคิดหาหนทางว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

 

-เขาได้รับข้อความตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่ข้อความนั้นถามเขาว่าตลอดหนึ่งปีมานี้อยู่สุขสบายดีมั้ย นั่นแปลว่าต้องเป็นคนที่พ่อเขาสั่งฟ้องเมื่อสามปีก่อน?

 

-คนนั้นๆบอกว่าพ่อเป็นฆาตกรและยังบอกว่าให้ไปขอโทษหน้าเถ้ากระดูก แสดงว่าคนที่ถูกสั่งฟ้องน่าจะเสียชีวิตแล้ว และคงเสียในระหว่างจำคุก

 

คิดมาถึงตรงนี้เจษลินทร์ก็หวังว่ามันคงจะไม่ได้มีคดีแบบนี้มากนักหรอกนะ

 

 

 

 

“จันทร์อ่า”

 

“หืมมม รู้เลยว่าต้องได้เหนื่อยอีกแน่ๆ”

 

“โหย เลิฟเลยคนรู้ทันอ่ะ แต่ถามก่อนว่าช่วงนี้จันทร์งานยุ่งมั้ย มีคดียากๆรึเปล่า”

 

“อัยการไม่เคยว่างเถอะขอร้อง แต่ช่วงนี้ไม่มีคดีใหญ่ๆมาให้ปวดหัวหรอก เจษมีอะไรเหรอ”

 

“อยากให้จันทร์ช่วยหาคดี ที่พ่อสั่งฟ้องเมื่อสามปีก่อนให้หน่อย”

 

“หืม หากี่เดือนดีอ่ะ” จิรากรเอ่ยทันที

 

“ไม่ได้ต้องการเยอะขนาดนั้น เอาที่โดนสั่งฟ้องแล้วเสียชีวิตในระหว่างจำคุกอ่ะ”

 

“อ่อ ถ้างั้นไม่น่ายาก ว่าแต่จะเอาไปทำไรเหรอ”

 

“อยากดูไรหน่อยอ่า”

 

“อื้อ ขอเวลารื้อเอกสารสักสองสามวันนะ เจษอาจจะไม่รู้ว่าสำนักงานอัยการน่ะเอกสารเยอะที่สุดในสามโลกกกกกก” จิรากรเอ่ยพร้อมทำท่ากางแขนออกใหญ่โต

 

“เดี๋ยวเลี้ยงโอมากาเสะเป็นการตอบแทนเลย”

 

จบคำเจษลินทร์ อีกคนก็ทำท่าดีใจเว่อร์วัง จนคนเป็นพี่อดส่ายหัวเอ็นดูไม่ได้ แม้เขาจะเกิดก่อนแค่ไม่กี่นาที แต่เขากลับรู้สึกว่าจิรากรนั้นเป็นเพียงน้องน้อยตัวม้อบแม้บๆเต้าอั้น อาจจะเพราะน้องตัวเล็กกว่าเขาด้วยกระมัง เลยทำให้เลือดความเป็นพี่ในตัวเขามันดีดโด๊ะดีด่งขนาดนี้

 

“ไปหาคุณนายเจนจิรากันเถอะ ป่านนี้คงบ่นคิดถึงลูกชายคนเล็กแล้ว” จิรากรเอ่ยพร้อมทำท่าขิงๆ

 

“เดี๋ยวๆ ทำไมต้องลูกชายคนเล็ก อาจจะเป็นคนโตก็ได้” เจษลินทร์รีบแย้งกลับ

 

“งั้นไปถามกันเถอะ ว่าคุณเจนคิดถึงใครกันแน่”

 

ไวเท่าความคิดเจษลินทร์และจิรากรรีบรุดมาที่ร้านGen Bakery พอมาถึงก็ตรงเข้าไปอ้อนมารดา

 

“คุณเจนนนน” / “เจนคนสวยครับ” สองพี่น้องเอ่ยพร้อมกัน

 

เมื่อเห็นท่าทางของแฝด เจนจิราถึงกับส่ายหัว แฝดของเธอมักจะมามุกนี้ประจำแหละ

 

“โตเป็นผู้ใหญ่กันทั้งสองคนแล้วนะ ยังจะเล่นแบบนี้กันอยู่อีก”

 

“เจษเลยครับที่เป็นคนเริ่มก่อน จันทร์บอกแล้วว่าไม่เล่นๆ ดูเจษดิ” คนเล็กรีบฟ้องแล้วกอดมารดาอย่างออดอ้อน

 

“เดี๋ยวนี้หัดปั้นน้ำเป็นตัวนะเราอ่ะ คุณเจนก็รู้เจษเคยเริ่มก่อนเหรอ? ไม่เคยเนอะ” ว่าแล้วก็ทำหน้าอ้อนอีกคน

 

“ไม่อายน้องๆ ในร้านกันบ้างเหรอเราสองคนน่ะ แม่ละหน่ายกับเจ้าสองลิงนี่จริงๆ”

 

ถึงปากจะบ่นอย่างนั้นแต่สายตาของเจนจิราก็แสดงออกถึงความเอ็นดูอยู่มาก ตั้งแต่สามีของเธอเสียไป เด็กสองคนจากที่ขี้อ้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็กลายเป็นอ้อนและติดแม่หนักมาก ถึงขนาดจะพากันหอบผ้าห่มมานอนกับเธอทุกคืน

 

เจนจิราต้องปรามไว้ ให้มานอนด้วยได้แค่อาทิตย์ละคืนพอ ส่วนจะมาพร้อมกันหรือจะเปลี่ยนเวรกันมาเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่สุดท้ายเจ้าสองแสบนี่ก็มักจะนัดกันมานอนเบียดเธอคืนเดียวกันทุกทีสิหน่า

 

ใครบอกว่าลูกเธออายุยี่สิบเก้า? นี่คือสามขวบไม่เกิน จริงๆ

 

"อายทำไมคนกันเองทั้งนั้น" เจษลินทร์ว่าแล้วหอมแก้มมารดาไปหนึ่งฟอด

 

ฝ่ายจิรากรมีหรือจะยอม เขาหอมแก้มมารดาข่มแฝดพี่ไป2ฟอด และแล้วสงครามขนาดย่อมก็เริ่มขึ้น ท่ามกลางหน้าตา (ที่แสร้ง) เบื่อหน่ายของผู้เป็นมารดาและสายตาสนุกสนานระคนเอ็นดูของน้องๆพนักงาน

 

นอกจากในร้านนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นเนยนมผสมปนเปกับกลิ่นกาแฟคั่วบดแล้ว ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรักอีกด้วย....

 

 

 

 

 

TBC

 

 


 

เอ๊ะๆ ยังไง ใครเป็นคนป่วนน้าา

 

ติชมกันเข้ามาได้นะคะ

 

LOVE

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา