the dark path : An adventure into a wider world
เขียนโดย GUEST1640076539
วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.31 น.
แก้ไขเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 17.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) เดินทาง & สาวน้อย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความราเชลได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่พึ่งนอนพักเมื่อวาน ตื่นจากสิ่งที่เลวร้ายและยังตราตรึงในใจจนกระทั่งตอนนี้ ราเชลไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่
ในที่สุดเค้าก็ยังออกมาได้ ออกมาจากความกลัว ออกมาจากสิ่งที่กระทบกับจิตใจ ราเชลไม่สามารถพรรณาได้เลยว่ามันรู้สึกสบายใจแค่ไหน ที่ปล่อย
วางมันได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะจบลงแล้ว แต่สำหรับราเชล ….มันคือจุดเริ่มต้น ราเชลต้องการที่จะรู้และเสาะแสวงหาความจริง และ
ทำตามคำที่แม่บอก . . . . ราเชลได้มาที่บ้านเก่าของเค้า ที่ซึ่งเป็นที่เดียวที่ราเชลสามารถรับรู้ถึงตัวตน ของพ่อได้ และ เป็นที่ ที่ราเชลรับรู้ถึงอดีตที่
เคยสวยงามของคุณแม่กับราเชล ราเชลได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าเขานั้น ต้องออกไปจากชีวิตเดิมๆ ชีวิตที่ต้องอยู่ในที่โทรมๆต่ำๆ ราเชลได้เก็บของ
ที่จำเป็นและเตรียมพร้อมให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางไปที่กรีก ราเชลได้ละทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง และ ออกเดินทางในที่สุด ราเชลตัดสินใจที่จะออกจาก
เกาะอังกฤษ ดังนั้นราเชลจึงเริ่มเดินทางและได้ไปถึงชายทะเลในที่สุด ก่อนที่จะออกไปสู่ท้องทะเลเพื่อจะเดินทางต่อ อย่างน้อยราเชลก็ขอไปที่โบสถ์
เพื่อที่จะสะสาง สิ่งที่อยู่ในใจ ราเชลเดินทางไปที่โบถส์ ที่เขาเคยไปมาเมื่อสมัยก่อน ตอนราเชลยังเป็นเด็ก ราเชลได้นำของที่เป็นเสมือนตัวแทนของ
แม่ส่วนนึงฝากไว้ที่โบถส์แห่งนี้ ราเชลได้เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชายฝั่ง ราเชลตั้งใจจะอาศัยเรือที่พาจากอังกฤษ ไปที่ฝรั่งเศษ หลังจากได้พูด
คุยกับกัปตันเรือ ราเชลก็ได้รับอนุญาติให้ขึ้นเรือไปเพราะกัปตันเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นอะไรเพราะคิวบนเรือก็ว่างอยู่ที่นึง แถมดูท่าว่าจะไม่มีคนมาอีกด้วย
“ถ้างั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเรื่องคิวของนายให้นะ ไอ้หนู” กัปตันหันไปพูดกับราเชล “ได้เลยครับ กัปตัน” ราเชลหันมาพูดกับกัปตัน
“แล้วก็…เจ้าหนู นายชื่ออะไรนะ ชั้นจะจดรายชื่อน่ะ”
“เรเชลครับ เรเชล…..โคล”
“‘งั้นก็ไปรอบนเรือเลยไอ้หนู แล้วก็…ลุงจะใช้ทางอ้อมนะ อาจจะไกลสักหน่อย แต่ถึงแน่นอน” . . . . . เรเชลได้ขึ้นมานั่งพักบนเรือซักพักนึง เรือออก
เดินทางช่วงเย็นพอดี ราเชลเลยเลือกที่จะไปเอา อาหารมื้อเย็นมานั่งทาน ในห้องของเรือซึ่งเป็นห้องส่วนตัวที่จัดเตรียมไว้ แน่นอนว่าราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ
แต่ห้องที่ราเชลได้มันมันเล็กกว่าห้องอื่นและมันไม่ได้หรูหรามากนักนั่นเลยถูกลงจากราคามาตรฐาน ราเชลจัดการจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย นั่น
เพราะว่ากว่าเรือจะพาไปถึงฝรั่งเศษคงใช้เวลา วันกว่าๆ . . ผ่านมาจนถึงหัวค่ำ ราเชลที่นอนเล่นอยู่บนเตียงคล้อยหลับไป……. “ราเชล มาเล่นตรงนี้สิ”
เด็กคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียก “ว้าว น่าสนุกจัง ไปกัน” ราเชลที่กำลังเดินเล่นในเมืองอย่างสนุกสนานและเดินเล่นกับเด็กคนนึงอยู่ เด็กคนนี้ได้พาราเชล
ไปหาเด็กคนอื่นๆ แล้วจากนั้นก็นั่งกินข้าวและคุยกันอย่างมีความสุข เด็กที่นำราเชลไปพบกับคนอื่นและร่วมกินข้าวกับราเชล เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กคน
นึง ที่หน้าตาสดใสดี ราเชลอยู่ในเมืองที่เค้าไม่คุ้นเคย แต่ว่าบรรยากาศที่นี่ดีมาก ดูสงบ ราเชลไม่รู้ว่าเค้ามาที่นี่ได้ยังไง แต่ราเชลก็รู้สึกปลอดภัยและ
คล้อยตามไปกับสิ่งต่างๆ นี่มันเหมือนฝันเลย “หนูนี่เก่งจังเลย หนูพาพี่เดินเที่ยวรอบเมืองได้ แถมยังทำอาหารให้คนอื่นๆกินได้ด้วย แม่หนูคงดีใจมาก”
“นี่เป็นเรื่องปกติค่ะ หนูชอบดูแลคนอื่นแล้วแม่ก็สอนหนูทำอาหารด้วย”
“จะว่าไปอาหารที่หนูทำนี่ ทำให้พี่คิดถึงอาหารที่คุณแม่พี่ทำให้กินเลย ว่าแต่คุณแม่หนูตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“แล้วแม่ของพี่ล่ะคะ ตอนนี้แม่พี่สบายดีมั้ย”
“น่าเสียดายนะ ที่แม่พี่เสียไป อ้อ…นึกขึ้นได้พอดีเลย พี่ยังไม่ได้เขียนชื่อแม่ในเอกสารเลย นามสกุลก็ น่าจะเป็น”
“......โคล ใช่มั้ยล่ะคะพี่ชาย ตอนนี้สบายดีมั้ยล่ะ”
“ห้ะ นี่เธอ รู้ได้ไงว่….นี่ หนูชื่ออะไรนะ”
“ลองถามแม่พี่ดูสิ อ๋อ แล้วก็ เค้าเล่ากันว่า….ถ้าเข้าไปยุ่งกับอะไรแล้ว จะมีสิ่งพัวพันอยู่ ทำให้ออกจากมัน ยากอ่ะนะ พี่ควรดูแลตัวเองนะ” จากนั้นรา
เชลก็ได้หันไปข้างหลัง จากนั้นก็เห็นกลุ่มเดิมที่เขาได้พบเจอ แต่มันเปลี่ยนไป ในขณะนั้นเองไฟก็เริ่มลุกขึ้นมาในบริเวณรอบๆ ไฟที่ลุกโชนเผาไหม้สิ่ง
ต่างๆรอบข้างจนพังไปหมด ไฟได้ทวีคูณกลายสภาพเป็นไฟหลอมเหลวจนมันไหลไปทางเด็กกลุ่มนั้น มากไปกว่านั้น เด็กๆไม่มีท่าทีว่าจะขยับแต่ตรง
กันข้ามกับยืนนิ่งเฉยและสุดท้ายก็ถูกไฟครอก จนไฟนั้นได้เผาทุกคนจนเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณกับโครงกระดูกที่มีเนื้อกำลังโดนเผาอยู่ ราเชลไม่
สามารถทำอะไรได้ แทบจะขยับไม่ได้เลย
“นี่คือฝันหรอ…..นี่มันอะไรกัน……เราต้องทำยังไง……นี่คือใคร……เราทำอะไร… . . . .อยู่”
ในไม่นานนั้นเอง ราเชลได้ตื่นขึ้นจากฝันอันเลวร้ายเพราะสัมผัสของราเชล สัมผัสที่ราเชลสัมผัสได้นั้น มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกๆจาก
ในทะเล มันเหมือนกับเป็นสัญญาณของบางสิ่งบางอย่าง ที่ตื่นขึ้นมา สาเหตุนั่นอาจจะมาจากการที่บางสิ่งนั้น สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของราเชล จาก
เหตุการณ์ก่อนหน้า ในโลกนั้น ราเชลรีบออกไปข้างนอกเพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก แต่มันค่อนข้างไปทางแย่เลย พายุที่กำลังค่อยๆก่อตัว แรงกดดัน
จากคลื่นมหาศาลทั่วสารทิศ ท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็น สีดำทมิฬ ราเชลรีบวิ่งไปเพื่อจะไปดูคนอื่นๆที่อยู่บนเรือ แต่ทุกสิ่ง ณ ที่แห่งนี้มันเปลี่ยนไปซะ
แล้ว ผู้โดยสารคนอื่นๆบนเรือ บางรายก็เมาเรืออย่างหนัก บางรายอาการไม่ค่อยดี และ มีบางรายที่เริ่มจะเสีย สติ ราเชลได้นึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นเพราะ
อะไรบางอย่าง จึงรีบไปหากัปตัน แต่ดูท่าจะสายไปซะแล้ว กัปตันได้นอนหมดสติไป เหลือแค่ลูกเรือบางคนที่ยังคุมเรือไว้แทนกัปตันได้ ราเชลตัดสิน
ใจไปที่หัวเรือ แล้วมองออกไป และแล้วมันก็ปรากฎกาย มันโผล่หัวของมันออกมา นัยย์ตาที่ดุร้าย ลำตัวที่เหลือของมันส่องแสง ออกมาจากใต้ทะเล
ลึก จากนั้นมันก็ทำให้เกิดน้ำวนและคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ รังสีที่แผ่ออกมาจากตัว ของมัน ทำให้บางคนบนเรือถึงกับตัดสินใจโดดลงทะเลที่ตอนนี้ข้าง
ล่างสัมผัสได้แต่ความมืดมิดที่ชั่วร้าย หรือบางคนที่เสียสติอยู่แล้วก็ขาดใจตายกันไปตามๆกัน ส่วนคนที่เหลือยังสลบแหงกอยู่บนเรือ กับบางส่วนที่จู่ๆ
ถูกสูบลงไปในทะเลและหายไปในพริบตา และเช่นกันราเชลได้พลาดและตกลงไป . . . . ณ ใต้ทะเลอันแสนมืดมิด ร่างค่อยๆจมดิ่งลึกลงไปใต้ทะเล
ความกลัวทั้งหลายที่โผล่มาจากก้นบึ้งของ ทะเลอย่างมหาศาล
“อ่า…. ตอนนี้อยู่ที่ไหนซะแล้วเนี่ย …ใต้ทะเลหรอ…..ขยับไม่ได้เลย…นี่เราตายเล..ย หรอ” ราเชลได้หลับตาลงพร้อมกับความสิ้นหวัง แล้วค่อยๆดำดิ่ง
ลงไป….อย่างช้าๆ………..
“…. ตื่นขึ้นเถิด” ทันใดนั้นมีเสียงของหญิงปริศนา เสียงนั้นดังก้องไปมา และทำให้ราเชลลืมต้าขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ราเชลไม่ได้รู้สึกถึงทะเลอันหน้า
หวาดกลัวแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าราเชลกำลังอยู่ใต้ทะเลอันลึกลับ ราเชลเดินไปข้างหน้า และมองรอบๆ
“มาทางนี้สิ ผู้ซึ่งพิเศษกว่าใครๆ น่าเสียดายที่เธอต้องตายโดยปีศาจที่โหดร้าย มาให้เราช่วยเจ้า หลับตาลงสิ ข้าจะช่วยเจ้าเอง ข้ามีนามว่า aes of
edis thgil eht ราเชลได้ชะงัก และ
งุนงง ในขณะนั้นเองเธอคนนั้นก็ได้ทำให้ราเชลหลับไหลลง . . . . . . . .
“เอลลี่!! ทำอะไรอยู่น่ะ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่…อ่านหนังสือน่ะ” เอลลี่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หันไปคุยกับ นาโอมิ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอ “วันนี้เธออ่านหนังสืออีกแล้ว
หรอเอลลี่ นี่เธอแทบจะเป็นหนอนหนังสือแล้วนะ ไปเดินเล่นกันเถอะ”
“เอาสิ นาโอมิ ไปกัน…. อ่อ..แล้วก็เดี๋ยวแวะไปที่ร้านขนมปังร้านนั้นด้วยนะ เริ่มหิวแล้วด้วย” เอลลี่ได้เดินออกไปกับนาโอมิ เพื่อที่จะกลับไปหาบ้านเด็ก
กำพร้า….เอาจริงๆแล้วมันเหมือนกับ คนที่รับเลี้ยงเอลลี่กับนาโอมิไว้ก็ไม่ผิด
เอลลี่และนาโอมิต่างเป็นเด็กกำพร้าซึ่งบ้านนั้นได้เอาทั้ง สองคนมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ จนตอนนี้ทั้งสองคนอายุได้ราวๆ15ปีแล้ว
“นี่เอลลี่ เธออยากไปประเทศอื่นมั้ย ฉันน่ะได้ยินว่าประเทศอื่นในยูเรเชียของเราสวยมากเลยนะ”
“ประเทศอื่นหรอ….ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยนึกถึงเลย”
“นี่ เอลลี่ ทำไมล่ะ เอาหน่า! ซักที่นึงนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนาโอมิ ฉันแค่ไม่ได้คิดมาก่อนเลย ไม่มีอะไรหรอก แต่คิดๆไปแล้วฉันอยากเดิน ทางไปได้หลายๆที่เหมือนกันนะ ก็นะพวกเราไม่
ได้รวยขนาดนั้น ฉันก็แค่เด็กที่แม่เอามาโยนทิ้ง แล้วบังเอิญคุณป้าแมรี่เก็บมาได้ แล้วฉันก็หากินไปวันๆกับโรงเตี๊ยมมีเธอคนเดียวที่เป็นเพื่อนของฉัน” “
โถ่เอ้ย เอลลี่ชอบตัดพ้อตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยนะ เอาล่ะ ถึงร้านขนมปังแล้วนะ ให้ฉันไปซื้อให้ ดีกว่า อ๊ะๆๆ! ไม่ต้องห่วงน่าา ฉันจำได้ว่าเธอ
ชอบแบบไหน รอแปป” เอลลี่ได้นั่งลงแล้วผ่อนคลาย เอลลี่เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศษ แต่เอลลี่นั้นผิดแปลกจากคนอื่นเพราะเธอไม่
เหมือนคนอื่นๆ ไม่เหมือนฝรั่งเศษ ไม่เหมือนผู้คนในยุโรป ผิวของเธอไม่ขาวและไม่ดำ ดวงตาของเธอก็ไม่ใช่สีฟ้าหรือสีน้ำตาลปกติ แต่เป็นดวงตาที่
เป็นสีเทา ที่มืดหม่น และ ที่หลังของเธอมีรอยแผลสองแผลอยู่ที่หลังตั้งแต่เด็ก เล็บที่ควรจะเป็นสีปกติแต่ของเอลลี่ นั้นเป็นสีขาวสนิท เธอดูแปลกจาก
คนอื่นๆตั้งแต่เด็ก ขนาดแมรี่ที่เก็บมาเลี้ยงยังเคยคิดว่าเป็นตัว ประหลาด แม้จะเป็นแบบนี้เธอก็ใช้ชีวิตได้ ส่วนนึงคงจะเป็นเพราะนาโอมิที่ไม่ได้มองว่า
เธอแปลก เอลลี่ยังเป็นเด็กที่โชคดี เพราะ เป็นเด็กที่เกิดมาหลังจากผ่านสงครามครั้งใหญ่ ที่ทำให้คนนับล้านตาย และตอนนี้เอลลี่ที่กำลังนั่งรอขนมปัง
ได้ขนมปังซักที เอลลี่ได้กินขนมปังโปรดของเธออย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่เอลลี่เดินกลับบ้านกำลังคุยกับนาโอมิเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับบ้านเย็น แน่นอน
ว่าโดนแมรี่ดุ เพราะว่าแถวที่เอลลี่อยู่ไม่ค่อยปลอดภัยซักเท่าไหร่ เอลลี่กับนาโอมิยังอยู่แถวนี้ได้ เพราะแมรี่ แมรี่รู้จักกับหลายๆคนในย่านนี้และหลายๆ
คนก็ให้ความเคารพกับแมรี่เหมือนกัน . . . . หลังจากที่เอลลี่และนาโอมิกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ได้กินอาหารเย็นที่แมรี่ทำไว้ให้ จากนั้นก็เข้า นอน ตาม
ปกติ
“นี่ๆ …เอลลี่ คืนนี้จะไปที่ป่านั้นกันมั้ย เราไม่ได้ไปกันตั้งอาทิตย์กันแล้วนะ”
“แล้วเธอจะไปหรอ ป่าน่ากลัวๆนั่นอ่ะ” เอลลี่พูดด้วยเสียงเบาๆเนื่องจากเธอเป็นเด็กขี้กลัวนั่นเอง
“โถ่เอ้ย ตอนเด็กๆเราไปกันบ่อยนี่นา ฉันจำได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้ไปเอาของที่วางทื้งไว้เลย”
“ถ้างั้นก็ไปกันเลยก็ได้ นาโอมิ”
“เย้ๆๆๆ ในที่สุดดด” นาโอมิพูดด้วยความรู้สึกดัใจ แต่อีกคนไม่ดีใจด้วย นาโอมิและเอลลี่ได้ หนีออกจากห้องนอนชั้นบน จากนั้นก็มุ่งหน้าลงใต้ไป ที่
นั่นจะมีป่าอยู่ป่านึง มันเป็นป่าที่ห่างจากตัวเมืองไม่มาก แต่บรรยากาศก็ชวนลึกลับพอตัว ตอนนี้เอลลี่กับนาโอมิก็เดินมาถึงป่าแล้ว ปกติเมื่อก่อนพวก
เธอชอบมาวิ่งเล่นกันแล้วก็โดนแมรี่ ลากกลับเข้าบ้านบ่อยๆ ป่านี้เป็นป่าที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว แต่ที่พวกเธอไม่หลงสักทีนั่นเพราะ นาโอมิเลย นา
โอมิเป็นเด็กที่ความจำเป็นเลิศมากๆ เธอคิดแผนที่ป่านี้ได้จากการเดินป่าเพียงครั้งเดีัยว แต่ปัญหาคือเธอเป็นเด็กไม่มีสมาธิ เธอจึงจำหนังสือได้ไม่ดี
เท่าที่ควร นาโอมิเดินเข้าป่ามาด้วยทางลัด จากนั้นก็มาถึงบ้านต้นไม้ที่พวกเธอสร้างขึ้นมาไว้กลางป่า เมื่อนาโอมิขึ้นไปบนบ้านเธอก็เอาของที่ลืมกลับ
ลงมา …สิ่งที่นาโอมิไปเก็บได้นั้นค่อนข้างแปลกเลยที เดียว มันเป็นแท่งสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่มีผลึกสีดำฝังอยู่ในนั้น ที่สำคัญมันให้ความรู้สึกเหมือนกับ
ว่ามันมี ชีวิต “นาโอมิ …เธอไปเก็บไอ้นี่มาจากไหนอ่ะ ฉันสงสัยหน่ะ ว่ามันคืออะไร”
“อ๋อ นี่น่ะหรอ ตอนนั้นฉันแอบมาเดินในป่าหน่ะ แล้วก็สดุดกับขอนไม้อันนึง แล้วจากนั้นฉันก็หันหลังไป ปรากฏว่าตรงนั้นหน่ะ มีหลุมที่ยังฝังไม่เสร็จอยู่
อย่…อย่าเข้าใจผิดนะ!! ไม่ใช่หลุมศพหรอก มันเป็นหลุมเล็กๆน่ะ แล้วฉันก็เจอแท่งนี้ มันสวยดีฉันก็เลยเอามา” “แปลกจริงๆแฮะ นาโอมิ เธอไม่คิดหรอ
ว่ามันอาจจะมีคนเอามาฝังก็ได้ แล้วเธอดันไปเอาของเขามา เพราะว่าป่านี้มันเป็นที่ที่ดูไม่น่าเข้านี่นา จึงชอบมีคนเอาสมบัติหรือสิ่งของมาซ่อนที่นี่ รวม
ถึงป่านี้น่ะ มันชอบมีทางลัดคดเคี้ยว จึงง่ายต่อการหลง แล้วก็เคยมีทหารมาหลบหนีอยู่ด้วย”
“ที่เธอพูดก็จริงนะ แต่ทำไงได้ ฮ่าๆๆ ฉันเอามาแล้วง่ะ”
“ก็แล้วแต่เธออยู่ดีนะ นาโอมิ จริงๆเราควรกลับบ้านได้แล้วนะ เพราะนี่ก็ดึกแล้วถ้าแมรี่จับได้จะว่าเอา” หลังจากนั้นนาโอมิและเอลลี่ก็พากันเดินออกมา
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะจู่ๆเอลลี่ก็จำทางไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุที่ร้อยวันพันปีจะเกิดขึ้น จากนั้นนาโอมิก็หยุดลง แล้วเธอก็เริ่มก้มหน้าคิดอะไรบาง
อย่าง และนาโอมิก็เริ่มที่จะสอดส่องไปทั่วๆ จู่ๆเธอก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปมองทั่วๆป่าแล้วก็ลงมา
“เอลลี่ เธอจำได้ใช่มั้ยว่าเราเดินขึ้นเหนือมาเพื่อที่จะกลับบ้าน”
“ใช่ๆๆ เกิดอะไรขึ้นหรอ ฉันก็จำได้ว่าเราเดินตรงนี่นา”
“ใช่แล้วเอลลี่ เราเดินตรงก็จริงแต่ว่า…..”
“แต่ว่าอะไรหรอ นาโอมิ….”
“เอลลี่ เมื่อกี้ฉันเพิ่งเริ่มคิดเพราะว่าฉันรู้สึกว่ายิ่งเราเดินไป… ป่ามันเหมือนจะขยับไกลขึ้นยังไงอย่างั้น จากนั้นฉันก็เริ่มสอดส่องไปทั่วๆเพื่อที่จะดูชนิด
ของต้นไม้และภูมิศาสตร์โดยรอบ ฉันยิ่งสับสนกว่าเดิม วิธีสุดท้ายคือการปีนต้นไม้เพื่อดูสภาพโดยรอบ ฉันจะบอกเธอยังไงดีล่ะเอลลี่…..”
“เกิดอะไรขึ้น…..นาโอมิ”
“ปกติเวลาอยู่บนบ้านต้นไม้ยังไงก็ต้องเห็นเมือง แต่ว่า…..ที่นี่น่ะ มีแต่ป่าทึบยาวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของการอาศัยอยู่เลย….”
“แล้วเราจะเอาไงล่ะ…เธอรู้มั้ยว่านี่คือที่ไหน”
“ไม่เลย ฉันไม่นึกด้วยซ้ำว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกนี้ด้วย”
“อ๊ะ! นาโอมิ ระวังด้วยนะ ฉันว่าที่นี่น่าจะอันตรายมากๆเลย” นาโอมิได้หยิบไฟฉายที่พกไว้ขึ้นมาแล้วเริ่มสำรวจรอบข้าง ถึงแม้ว่าแสงจันทร์ที่ส่องอยู่จะ
ดูสว่างแปลกๆ ก็ตาม แต่ถ้ามองเข้าไปในป่าก็ยังมองไม่ชัดอยู่ดี โชคดีที่เอลลี่หยิบกระเป๋าอเนกประสงฆ์จากบ้านต้นไม้ มาด้วย จึงทำให้ง่ายต่อการ
สำรวจ ทั้งสองคนตัดสินใจเดินไปทางทิศเหนือจากการตามดาวเหนือไป ซึ่งหวังว่าจะเจอเบาะแสอะไรซักอย่าง เกี่ยวกับที่นี่ ป่านี้มีลักษณะเป็นป่าทึบมี
ต้นไม้สูงใหญ่เต้มไปหมดแต่จะมีบางช่วงที่แสงจันทร์สามารถ ส่องถึงได้ ทั้งสองยังคงเดินไปเรื่อยๆ…และเรื่อยๆ จนกระทั่งนาโอมิหยิบแท่งสีดำที่เก็บ
มาได้ ปรากฏว่าแท่งสีดำแท่งนี้ เรืองแสงออกมา และ ชี้ไปทางทิศตะวันออก จากนั้นพวกเธอก็ลองเดินไปทิศตะวันออกตามที่แท่งผลึกบอก จากนั้นสิ่ง
ที่ต้องทำให้ประหลาดใจเกิดขึ้น เมื่อเจอเข้ากับซากโบราณสถานที่ดูจะเก่าแก่เอามากๆ นาโอมิถึงกับมองด้วยความสงสัย เพราะเธอแน่ใจแล้วว่า ป่าที่
เธอคิดไว้นั้น ไม่มีทางที่จะมีหรือเคยมี คนหรือสัตว์อาศัยอยู่ได้ เธอได้แต่คิดอย่างเดียวว่า อาจจะเป็นเพราะความเก่าแก่เลยทำให้สิ่งรอบข้างฟื้นตัวสู่
ธรรมชาติดังเดิม ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจเพราะอาจจะมีเบาะแสของที่นี่ “เอลลี่.. ดูนี่สิ”
“ไอ้เจ้านี่น่ะหรอ นาโอมิ เธอรู้หรอว่ามันคืออะไร”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน …..แต่จะว่าไปนะ ที่นี่มันกว้างเกินไปมั้ยเนี่ย มีที่แบบนี้อยู่ด้วยหรอ”
“โอ้ว นาโอมิ ดูตรงแท่งสลักนี้สิ มีอะไรเขียนเต็มไปหมดเลย ฉันว่ามันน่าจะสำคัญนะ”
“นี่น่ะหรอ นี่มันภาษาอะไรกันเนี่ย ทั้งลายโค้ง ลักษณะเฉพาะของอักษร มันดูสวยงามและดูเละเทะใน เวลาเดียวกัน ถ้าฉันรู้ที่มาของมันฉันอาจจะรู้คำ
และไวยากรณ์ของมันก็ได้”
“นาโอมิ…ไม่ต้องศึกษาแล้วหล่ะ ฉันว่า…ฉันอ่านมันออก”
“เอลลี่ เอาจริงหรอ มันอ่านว่าไงอ่ะ”
“พอได้แค่บางบรรทัด ไอ้ตัวหนังสือบ้านี่มันแปลกๆ แค่พยายามเข้าใจมันก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว เหมือนกับว่าท่องประมาณล้านตัวอักษรเข้ามาในหัว
ทั้งๆที่ฉันอ่านแค่ตัวเดียว ฟังให้ดีนะ นาโอมิ “ใ น ลโ กา แห ่ง น้ี ส่ิงต่าง ๆ ตั ้ง ต ่ บโราณกล ย ง งค อ ยู่ แล จะ รุ นรแง ข้น วพกมนั กดักิ ม นุส
ไปท ี ล นอ้ย ด ้วย แรง กรต ุ้น แล อีก ดวย้ หัลงจาการ สูนส้ินแห่ง โคล แ ล มัน ะจค่ย ๆ กอ่ต ั ว เ รา เพยีง ค่แ อร เวาล หาก ถึง คราว ะจม ี สัญ
ญาณ ามถ ึง” “เห้ยๆๆๆ!! เอลลี่ไหวป่าวเนี่ย ดูหน้าซีดเชียว ไปนั่งพักก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวไปกันต่อ”
“ขอบใจมาก นาโอมิ” จากนั้นทั้งสองก็เดินสำรวจ
กันต่อ เอลลี่กังวลใจกับสิ่งที่เธอได้อ่านและพูดออกมา เธอได้มาคิดดูแล้วว่า สิ่งที่เธอได้ไปอ่านอาจจะเป็นคำทำนายคนโบราณ ที่เชื่อในเรื่องพวกนี้
แต่มันไม่ปกติตรงที่ว่า เพียงแค่การอ่านตัวหนังสือพวกนี้ ทำไมถึงได้รับความรู้สึกแปลกๆยังกับอ่านอักษรต้องสาปในนิทาน แม่มดอย่างงั้นแหละ แล้ว
ทำไมเอลลี่ถึงอ่านออกล่ะ แม้เอลลี่จะกังวลใจยังไงแต่เอลลี่ก็ต้องเก็บมันไว้ ในใจ . . . . . ทั้งสองเดินมาได้ไกลแล้ว ระหว่างทางพวกเธอก็ได้หลายสิ่ง
อย่างแรกเลยคือที่นี่มีภาพสลักอยู่มากมาย แต่พวกมันพิสดารเกินกว่าคนธรรมดาจะทำกัน อย่างสองคือที่นี่ดูเหมือนจะเคยรุ่งเรืองแต่มันก็หลับไหล มา
นาน เพราะมีร่องรอยอารยธรรมต่างๆเท่าที่พวกเธอจะหาเจอได้ อย่างสุดท้ายคือ กล่องปริศนา และดูเหมือนจะเป็นสาเหตุให้แท่งผลึกชี้มาทางนี้ ขณะ
ที่นาโอมิกำลังพยายามจะเปิดมันเพราะดูเหมือน ว่าจะมีของสำคัญอยู่ แต่จู่ๆเอลลี่ก็เรียกนาโอมิและบอกให้นาโอมิรีบออกมาดูข้างนอก ทั้งสองได้รีบวิ่ง
ออกมาแล้วได้มาเห็นข้างนอกอีกครั้ง จากป่ามืดในราตรีอันมืดมิด กลับกลายเป็นป่าที่อยู่ในทะเลทรายกับหมอกควันสีส้มปกคลุมไปทั่วบริเวณและจาก
นั้นมันก็ปรากฎ ซากอารยธรรมมากมาย ต้นไม้ที่เหลือแต่กิ้งไม่มีแม้แต่ใบสีเขียว พร้อมกับสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไม่นานนักสถานการณ์ก็เริ่มแย่ลง
พายุทรายขนาดมหึมาเริ่มก่อตัว ความแรงของมันทำให้ต้นไม้ ขนาดใหญ่ในบริเวณนั้นถูกพัดจนสลายภายในพริบตาและมันเริ่มกวาดสิ่งที่ขวางหน้าและ
เจ้าพายุนี้ เกิดจากตัวตนหายนะที่ไม่มีแม้กระทั่งรูปร่างและไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ นี่คือสิ่งที่อยู่ๆทั้งสองคนก็ได้รับรู้มาพร้อม
กันอย่างไม่ทราบสาเหตุและตอนนี้มีแต่ต้องวิ่งหนีออกไป แล้วจากนั้นผลึกสีดำก็เรืองแสง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ