สลับตัว นายเจ้าสาวจำใจ

-

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 21.06 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,247 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) คำสัญญา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“พ่อคะ ทำแบบนี้กับสาไม่ได้นะคะ สาไม่ยอม”

“พ่อขอโทษ แต่พ่อไม่สามารถยกเลิกสัญญานี้ได้ ลูกก็รู้ว่าตระกูลของเราถ้าได้ให้สัญญาไปแล้วต้องทำตาม และยิ่งครั้งนี้ปู่ของลูกเป็นคนทำสัญญากับเขาเอาไว้ แล้วจะให้พ่อผิดสัญญาเขาได้ยังไงล่ะลูก”

“แต่ครั้งนี้พ่อต้องยอมผิดสัญญาแล้วละคะ เพราะสา…..จะไม่มีวันยอมรับคำสัญญานี้เด็ดขาดเลย”

“สาฟังพ่อก่อน”

ปัง!

ยังไม่ทันที่ดิเรกจะได้เอยปากพูดอธิบายเรื่องราวต่อ สาธิตาผู้เป็นลูกสาวก็เดินหนีออกไปจากห้องซะก่อน

ดิเรกถอนหายใจกับท่าทีที่แสนดื้อรั้นของลูกสาว ใบหน้าเผยความลำบากใจออกมาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้สีดำตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ดิเรกมองคำเรียกร้องถามถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนของผู้เป็นพ่อ

เอกสารวางอยู่บนโต๊ะทำงานด้านหน้า ตระกูลอัครดินส่งจดหมายมาถึงเขาเมื่อเช้านี้ ซึ่งก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าในจดหมายนั้นต้องการอะไร

ใช่ หน่วยความจำของดิเรกยังคงจำได้เป็นอย่างดี ก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิตไปเขาได้พูดย้ำกำชับเอาไว้ว่าให้ลูกชายอย่างเขานั้นรักษาคำมั่นสัญญาต่อตระกูลอัครดิน โดยไม่ว่าจะต้องแรกด้วยอะไรก็ตามก็จะต้องรักษาคำสัญญานี้ไว้ให้จงได้

และตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญาของสองตระกูลตามที่พ่อของเขาได้ย้ำนักย้ำหนาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ดิเรกมีสีหน้าหนักใจกับมัน

หัวหน้าคนปัจจุบันของตระกูลอัครดินนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของเขามาตั้งแต่สมัยที่ทั้งสองยังเยาว์วัย และพ่อของเขาเองยังได้ติดหนี้บุญคุณเขาเอาไว้มากมายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และนั่นทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำสัญญาที่พ่อของเขาเอ่ยปากให้ไว้กับตระกูลอัครดินได้อีกต่อไป เขาต้องรักษาสัญญาและต้องทำเพื่อตระกูลรุจระพีของเขา

ในใจลึกๆ ดิเรกแอบรู้สึกผิดแม้เขาจะรู้ดีว่าลูกสาวของเขาไม่ว่ายังไงก็ต้องแต่งงานกับตระกูลอัครดินในไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาก็ยังคงประวิงเวลาเลื่อนการแต่งงานครั้งนี้ออกมานานมากกว่า 3 ปี และมันเป็นเวลานานมากพอที่ลูกสาวของเขาจะโตเป็นสาวเต็มวัยแล้ว เธอสามารถแต่งงานกับลูกชายตระกูลอัครดินตามสัญญาที่พ่อของเขาเคยให้ไว้ได้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกต่อไป

ดิเรกหันมองรูปถ่ายครอบครัวที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะทำงานของเขา ภาพถ่ายของเขาและภรรยาที่ต่างกำลังยืนสวมกอดลูกชายและลูกสาวฝาแฝดของเขาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มมีความสุขมันตราตึงทำให้ดิเรกเกิดน้ำตาตื้นขึ้นมา

“พิมพ์ถ้าเธอยังอยู่ตอนนี้ เธอจะโกรธฉันไหมหากฉันเลือกที่จะรักษาคำสัญญานี้ไว้”

สิ้นคำพูดใบหน้าที่กำลังเหนื่อยล้าก็แหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ไม่นานก่อนจะหลับเปลือกตาลงไปอย่างช้าๆ

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ใครครับ”

“สวิต นี่พี่เอง”

เสียงเงียบไปครู่หนึ่งไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากอีกฝั่ง ใบหน้าสวยที่คุ้นเคยและคล้ายคลึงกันเผยออกมาพร้อมกับผ้าขุนหนูผืนเล็กที่คอยซับน้ำจากเส้นผมบนบ่า

สวิตตาเป็นน้องชายฝาแฝดที่แม้นหน้าจะทอดแบบกันออกมาแต่ด้วยความสูงของร่างกายที่เป็นผู้ชายนั้น สวิตจึงมีส่วนสูงราวๆ 176 ซม.แตกต่างจากสาธิตาผู้เป็นพี่สาวที่มีส่วนสูงเพียงแค่ 168 ซม.เท่านั้น

“จะให้ออกไปซื้ออะไรให้หรอพี่สา 0-0!…..ปะ…เป็นอะไรพี่สา”

เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบว่าบนใบหน้าของพี่สาวของเขานั้นมันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

“ฮื่ออ…..สวิตช่วยพี่ด้วย”

เกิดอะไรชึ้นกับพี่สา

“โอ้ๆ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

สวิตไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวฝาแฝดของเขา เขาได้แต่ดึงพี่สาวของเขาเข้ามาสวมกอดปลอบเอาไว้เบาๆ พร้อมกับยกมือเรียวขึ้นลูบแผ่นหลังให้กับพี่สาวอย่างที่เคย

“ฮื่อ…พ่อเราบ้าไปแล้วสวิต พ่อเขาทำกับพี่แบบนี้ได้ยังไง อึก..ฮื่อ…”

เพียงคำพูดไม่กี่คำนั่นก็ทำให้สวิตรู้ถึงสาเหตุที่พี่สาวของเขาร้องไห้ได้ในทันที

อ่า….คงเพราะสัญญานั่นที่ทำให้พี่สาร้องไห้หนักแบบนี้

เขาเองก็พึ่งรู้เรื่องสัญญาการแต่งงานของสองตระกูลจากพ่อของเขาเช่นกัน แน่นอนว่าก่อนหน้านี้พ่อของเขาเรียกเข้าไปพบและได้ขอคำปรึกษาเรื่องที่ต้องบอกพี่สาวของเขาให้รู้ถึงคำสัญญาการแต่งงานของสองตระกูล

ในตอนแรกที่สวิตได้ฟังเรื่องราวการทำสัญญา เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกันเขาไม่เคยคิดเลยว่าปู่ที่มักมีเหตุผลในทุกๆ เรื่องนั้นจะยอมให้คำสัญญาเรื่องการแต่งงานไปได้ การทำสัญญาการแต่งงานรั้นแต่จะทำให้เกิดความบาดหมางใจขึ้นหากอีกฝ่ายที่ทำสัญญาด้วยนั้นไม่คิดที่จะรักษาคำพูดของตน

เท่าที่รู้ตระกูลที่พี่สาวของเขาจะต้องตบแต่งด้วยนั้นเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอำนาจมากที่สุดในประเทศ ด้วยอิทธิพลของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอัครดินแล้วหากไม่คิดทำตามคำสัญญามันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลเล็กๆ อย่างเขาแน่

แต่ทว่าสำหรับพ่อของเขาเรื่องตระกูลก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เพียงแต่พ่อต้องหนักใจเมื่อปู่ของเขานั้นได้ติดหนี้บุญคุณเขาเอาไว้มากมายซึ่งมากซะจนเทียบได้ว่าหากไม่มีคนจากตระกูลอัครดินเข้าช่วยเหลือปู่ของเขาเอาไว้ ป่านนี้ก็คงไม่มีชื่อตระกูลรุจรพีได้

ดังนั้นแล้วต่อให้ขอต่อรองจ่ายเป็นเงินหลายร้อยล้านชดใช้แทนคำสัญญาได้ หนี้บุญคุณของตระกูลอัครดินที่มีต่อตระกูลรุจระพีนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำถ้ายังคิดเรื่องการต่อรองขึ้นมาอีกละก็รั้งแต่จะเป็นการหักหน้าอีกฝ่ายและยังถือว่าเป็นการทำเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติต่อผู้มีพระคุณของตระกูลเป็นอย่างมากอีกด้วย

หรือหากโชคร้ายกว่านั้นก็อาจจะถูกตระกูลอัครดินทำการลบชื่อตระกูลเล็กๆ อย่างพวกเขาลงในชั่วพริบตาเดียว มันก็คงจะไม่ใช่การพูดที่เกินจริงไปสักหน่อยในเมื่อทุกคนต่างก็รู้กิตติศัพท์ของตระกูลอัครดินเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าหากคิดเป็นศัตรูกับพวกเขาเข้าแล้วคนเหล่านั้นจะมีจุดจบยังไงกันบ้าง

เรื่องนี้สำหรับสวิตถึงแม้เขาเองอยากจะยื่นมือเขาไปช่วยเหลือพี่สาวของเขามากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าจะช่วยพี่สาวของเขาได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นเพียงแค่คนกลางที่ไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่พ่อของเขากำลังทำเพื่อรักษาสัญญาระหว่างสองตระกูล กับการยกเลิกสัญญาที่ปู่ของเขาเคยให้ไว้และทำการตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลอัครดินอย่างเด็ดขาด สิ่งไหนจะเป็นหนทางที่ถูกต้องกันแน่ สำหรับเขามันไม่สามารถตอบได้เลยด้วยซ้ำไป

ถึงจะเข้าใจทั้งพ่อและพี่สาแต่จะให้เราทำยังไงได้กับเรื่องนี้ล่ะ เฮ้อ…..

หากเลือกพี่สาวตระกูลรุจระพีก็ต้องจบสิ้นลง แต่หากเลือกตระกูลพี่สาวเพียงคนเดียวของเขาก็ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าคาตากันมาก่อนอย่างฝืนใจ ไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับคนนิสัยแบบไหนอีกต่างหาก

สำหรับสวิตไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เขาต้องการ

“พี่สาเข้ามานั่งในห้องก่อนเถอะ ไม่ร้องไห้นะ”

สวิตมองหน้าพี่สาวที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำตรงหน้า มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มเล็กสีชมพูอย่างแผ่วเบา

“งื่อ”

ฉันจะช่วยพี่ได้ยังไงดีนะ พี่สา…..

 

ด้านตระกูลอัครดิน

“ท่านครับ จดหมายตอบกลับจากตระกูลรุจระพีมาแล้วครับ”

“มาแล้วงั้นหรอ ส่งมาสิ”

ซองจดหมายสีครีมได้ส่งมอบไปยังมือหนาหยาบกร้านตรงหน้า

ร่างใหญ่ฉีกซองจดหมายออกก่อนจะดึงกระดาษด้านในออกมาอ่านอย่างรีบเร่ง นัยน์ตาสีฟ้าจดจ้องไปยังตัวอักษรเรียบร้อยที่เขียนไว้ด้านใน เมื่อพิจารณาเนื้อหาอยู่ครู่หนึ่งรอยยิ้มที่หาได้ยากจากชายร่างโตนั้นก็ได้เผยยิ้มออกมา

“นึกว่าหมอนั่นจะมีลูกชายนิสัยแย่ซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ใช้การไม่ได้ซินะ” กระดาษถูกโยนลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้า ร่างใหญ่เอนหลังไปยังเก้าอี้คู่ใจ

“ไปเรียกหลานชายคนโตของฉันมาที”

“ครับท่าน”

 

เวลาผ่านไปไม่นานร่างสูงโปร่งที่แสนคุ้นเคยก็มายืนหยุดอยู่ ณ เบื้องหน้าของออสติน เอียนเป็นหลานชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดในบรรดาหลานชายคนอื่นๆ ทั้งความสามารถและรูปร่างหน้าตาที่แสนเพอร์เฟคล้วนเป็นความภาคภูมิใจของเขาทั้งสิ้น

เอียนมีใบหน้าหล่อคมเข้มนัยน์ตาคู่เป็นสีฟ้าเทา จมูกโด่งสันรับกับใบหน้า ปากที่ได้รูปดูดีไม่มีที่ติ ทุกสัดส่วนเสริมแต่งอยู่บนใบหน้าของเอียนเป็นที่ดึงดูดสายตาของเหล่าลูกสาวตระกูลใหญ่ๆ มากมาย แต่กระนั้นแล้วออสตินก็ยังไม่เคยเห็นหลานชายของเขาคนนี้หมายตามองหญิงสาวคนไหนเลยสักครั้ง ถึงแม้จะอายุย่างเข้า 32 ปีแล้วก็ตาม

มันทำให้ออสตินผู้เป็นปู่ได้แต่หนักใจ หากหลานชายของเขาคนนี้มีคนรักเหมือนดั่งหลานชายคนอื่นๆ บ้าง เขาเองก็คงวางใจไม่คิดมากเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะอายุของเขามากขึ้นทุกๆวัน ทำให้ความเป็นห่วงของเขาเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

และเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ออสตินไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องรื้อฟื้นเรียกร้องคำสัญญาที่เคยขอไว้กับเพื่อนสนิทของเขาเรื่องการแต่งงานระหว่างสองตระกูลขึ้น

เพราะทางเดียวที่จะทำให้เอียนหลายชายที่เขารักเลิกใช้ชีวิตเหมือนเช่นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกได้นั้น นั่นคือการหาคนรักให้กับเอียน ทำให้เขารู้จักการที่จะรักใครสักคนและละทิ้งความคิดผิดๆ เรื่องการใช้ชีวิตเสี่ยงๆ ได้สักที

“ปู่เรียกผมมามีเรื่องอะไรจะคุยหรอครับ”

 

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา