You are not the chosen one
-
เขียนโดย TonyTonio
วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 01.23 น.
3 ตอน
33 วิจารณ์
2,782 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 01.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ฟาสเตอร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ในห้องที่มืดสลัว แสงส่องลอดผ่านตะแกรงเหล็กของหน้าต่างเล็กน้อย
เผยให้เห็นร่างชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคน
มีเสียงดัง ปี๊ปๆ ปี๊ปๆอย่างไม่ขาดสายมาจากหัวเตียงที่อยู่ไกล้ๆกับหน้าต่าง
ชายคนนั้นงัวเงียอยู่บนที่นอนแล้วได้เอื้อมมือมากด “ฟอสโฟมิเตอร์” (หรือเรียกสั่นๆว่า ฟอสโฟ) มันเป็นเครื่องวัดสารพัด มีชิปเอไอพื้นฐานและเป็นนาฬิกาทั่วไปบอกวันเวลาได้ กริชกดปิดฟอสโฟที่ดังปลุกเขาจากความฝัน
ด้วยความที่เพิ่งตื่นทำให้กริชไม่ทันระวังตัวเผลอกดโดนปุ่มเปิดหน้าต่างที่อยู่ข้างๆกับฟอสโฟฯอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตะแกรงเหล็กที่ปิดกั้นระหว่างโลกผายนอกและความเป็นส่วนตัวเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นแสงไฟจากโลกภายนอกยามโพล้เพล้ แสงสว่างจ้าจากไฟนีออนทั่วเมือง ตึกสูงเสียดฟ้าและยานบินว่อนเมือง ถนนหนทางยาวสุดสายตาและรถยนต์สุดล้ำ
กริชลุกขึ้นจากเตียงหยิบฟอสโฟขึ้นมาดูเวลาและตารางงาน ดูเหมือนว่าวันนี้เขาได้เขียนไว้ว่า “สำคัญหนึ่งทุ่ม” ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว กริชรีบเข้าอาบน้ำเพื่อที่จะเตรียมตัวไปบาร์ประจำชื่อว่าฟาสเตอร์ เหล่าคนส่งของมักจะไปหางานกันที่นั้น ในขณะที่กริชกำลังอาบน้ำอยู่เสียงของฟอสโฟก็ดังขึ้น ปื๊ปๆ! ปื๊ปๆ! เป็นพักๆ
กริชได้ยินเช่นนั้นแล้วก็รีบออกจากห้องน้ำใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงขายาวคล้ายยีนทรงกระบอกสีแดงเข้มหม่นๆและเสื้อคลุมแจ็คเก็ตที่ก็เป็นสีเดียวกับกางเกง
กริชหยิบฟอสโฟมิเตอร์ มาติดไว้ที่กระดุมตรงบ่าข้างขวา กริชจำเป็นต้องมีฟอสโฟติดตัวตลอดเวลา เขาพร้อมที่จะออกไปที่บาร์ กริชรีบก้าวออกจากประตูอัตโนมัติที่จะเปิดเฉพาะเจ้าของห้อง เดินตรงไปขึ้นลิฟต์ จากชั้นสี่สิบสองไปจนถึงลานยอดยาน
เขาก้าวลงจากลิฟต์อย่างเร่งรีบ กริชเดินมาถึงยานแล้วรีบแสกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกยานแคนนอนทรงกลมขนานกลางไม่ใหญ่มากมีหนึ่งที่นั่งและมีที่เก็บของหลังยานขนาดไม่กว้างมากนัก มันเป็นยานของบริษัทสำหรับพวกคนส่งของที่ทำงานมานานแล้ว
กริชรีบสตาร์ทยานแล้วออกไปยังบาร์ประจำ ยานค่อยๆไต่ระดับจาก1-3 อย่างรวดเร็ว สูงประมานตึก10ชั้น
ในขณะที่ขับยานกริชมองกวาดสายตาดูรอบๆเมืองนีโอที่เขาอยู่มานาน
มันเหมือนเดิม ตึกสูงทรงเลขาคณิต สี่เหลี่ยมสามเหลี่ยมบ้างก็เป็นโดมทรงกลมถี่ไปตลอดทาง แต่เหนือตึกระฟ้าก็มีโดมขนานใหญ่ครอบเมืองไว้ก็เพราะว่าอากาศของโลกตอนนี้ค่อนข้างเป็นพิษไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ แต่ละเมืองก็จะมีโดมใหญ่ครอบเอาไว้ทุกเมือง มันเป็นระบบสร้างออกซิเจนขนาดใหญ่ เป็นนวัตกรรมของบริษัท “โคโป คอปโปเรชั่น” บริษัทผลิตอาวุธขนานใหญ่ในเมืองนีโอ อยู่ส่วนกลางตอนใต้ของประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในย่านธุรกิจดังที่มีชื่อว่าKsus
กริชขับยานเข้าไปยังลานจอดในตึกขนานใหญ่ที่เป็นทั้งลานจอดยานและรถยนต์ กริชรีบลงจากยานบึ่งไปที่ลิฟต์ของตึก ลงไปยังชั้นที่หนึ่ง เขาก้าวออกจากลิฟต์มาทางซ้ายมือลงบันใต้ตึกมีบาร์ชั้นเดียวอยู่โดดๆ กริชพุ่งเข้าไปในบาร์ แต่ทว่าได้มีมือของชายผิวสีร่างยักษ์มาขวางเขาไว้ “นายลืมอะไรหรือเปล่า”
กริชเงยหน้าขึ้นไปมองชายผิวสี “เออใช่ IPX55” กริชพูดรหัสลับขึ้นมา บาร์นี้ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าได้ง่ายๆ เพราะเหล่าพวกนักธุระกิจมืดชอบมาคุยงานในโซนวีไอพี พวกนี้นี่แหละที่ส่วนใหญ่ใช้บริการเรา กริชบอกรหัสจบเขาก็พยายามจะดันมือชายผิวสีเข้าไปในบาร์ แต่ชายผิวสีบอก “เดี๋ยวก่อน นายมาสายนะข้างในได้งานกันหมดแล้ว”
เขาหยุดนิ่งไปครู่นึง “ห๊ะ กลับกันแล้วหรอ”
กริชก้าวเข้าไปในตึกชั้นเดียวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีบาร์เหล้าอยู่ตรงกลางห้อง โต๊ะเก้าอี้ ล้อมบาร์เป็นวงกลมและตามมุมห้อง มีคนอยู่สองถึงสามคนนั่งตามโต๊ะต่างๆ
มีเสียงเรียกลอยมาจากหน้าบาร์เหล้า
“เฮ้ย กริช!!”
กริชหันไป เสียงนั้นเป็นของ ริก เพื่อนที่เป็นคนส่งของด้วยกัน(ต่อไปนี้คนส่งของจะเรียกว่าฟาสเตอร์)
“ว่าไงริก” กริชทักตอบแล้วเดินเข้าไปหาริกที่หน้าบาร์
“นายมาสายนะเนี่ยกริช” ริกพูดพร้อมหันไปบอกบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ตรงหน้า
“เอาแจ็คโค๊ก สองที่”
กริชทำหน้าบึ่งคิ้วขมวดเล็กน้อย “บ้าชิบฉันว่าฉันกะเวลาดีแล้วนะริก”
“ช่างมันเถอะฉันเก็บงานให้นายด้วย”
บาร์เทนเดอร์เอาแจ็คโค้กคลาสสิคมาเสริฟ ให้กับทั้งคู่
“นายยังมีสัญญาของบริษัทเฟดเดอร์อยู่ใช่ไหม?” ริกถามพร้อมเทแจ็คโค้กลงคออย่างชื่นใจ
“ยังเหลืออยู่ไม่กี่เดือน มีงานหรอ?” กริชพูดในขณะที่ยื่นมือไปหยิบแก้วที่อยู่ตรงหน้าแล้วกระเดือกน้ำในแก้วลงคอไปอึกสองอึก ต่อด้วยเสียงสั่นส่ายขำขัน
“ฉันคิดว่ามันเจ๊งไปแล้วซะอีกฮ่าๆ” กริชกับริกหัวเราะชอบใจกันใหญ่
“ฉันก็ว่างั้น” ปกติไม่มีฟาสเตอร์คนไหนไปรับงานจากบริษัทเองโดยตรง ส่วนใหญ่จะมาดิลงานกันที่บาร์นี่แหละ
ริกได้เอามือลวงกระเป๋ากางเกงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา “บุหรี่” ริกหยิบบุหรี่ออกมาจุด แล้วพ่นควันด้วยความเริงร่าพร้อมยื่นอะไรบางอย่าง
“นี่ที่อยู่” ริกได้เอาที่อยู่ของบริษัทเฟดเดอร์ให้กริช มันเป็นชิปขนานเล็กไว้ใช้กับฟอสโฟมิเตอร์เพื่อแสดงพิกัด กริชรับไว้พร้อมกับใบหน้าที่มั่นใจมากขึ้น เพราะไม่เคยมีใครฝากงานให้กันมาก่อนงานนี้คงต้องเป็นงานสำคัญแน่ๆ “ขอบใจมากเพื่อน แล้วเจอกันนะ”
กริชออกมาจากบาร์แล้วรีบไปติดต่องาน เขาเดินทางมาถึงบริษัทเฟดเดอร์อย่างรวดเร็ว ตึกบริษัทเฟดเดอร์ มีประมาณยี่สิบชั้นรวมดาดฟ้า ดูค่อนข้างทรุดทรม มีป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่กลางตึกเป็นชื่อบริษัทแถมไฟก็ดับๆติดๆ
กริชเข้าไปติดต่อหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของบริษัทแต่กลับไม่มีใคร
“ผมเป็นฟาสเตอร์มาติดต่องาน”
เสียงของกริชดังไปทั้งห้องโถงประชาสัมพันธ์แต่ก็ยังไร้วี่แววของคน เสียงสะท้อนของกริชเริ่มเบาลง มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น
“เชิญขึ้นลิฟต์ทางซ้ายมือ”
ประตูลิฟต์เปิดออกอัตโนมัติ กริชเดินขึ้นลิฟต์แล้วพูดพลางๆ “เอไอหรอเจ๋งดีนิ”
ลิฟต์ ได้พามายังชั้น15
ประตูเปิดออก กริชก้าวออกมาอย่างงงๆ เพราะทั้งซ้ายและขวามีห้องเต็มไปหมด
“ห้องไหนเนี่ย” กริชพูดขึ้นมาพร้อมมองไปตามห้องต่างๆ
ประตูห้องแรกทางขวามือเปิดออกอัตโนมัติเผยให้เห็นชายแก่คิ้วขมวดหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่ในห้องที่มีแสงสลัวๆ เบื้องหน้าชายแก่เป็นโต๊ะทำงานขนานกลางพร้อมเอกสารเต็มโต๊ะและเก้าอี้รับแขก เขาพูดพลางขึ้นมาด้วยเสียงโทนต่ำแข็งและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน
“เข้ามาสิ จะยืนอยู่หน้าประตูอีกนานไหม?”
กริชเดินเข้ามาพร้อมมองไปรอบๆโต๊ะทำงานโดยไม่พูดอะไร
“นั่งลง”
ชายแก่พูด พร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด
“ผมกริชคับ ริกฝากงานให้ผมที่ฟาสเตอร์”
กริชนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆด้วยความลังเลเพราะบริษัทดูเหมือนจะเจ๊ง ถึงจะมีเอไอแต่พนักงานตามแผนกต่างๆก็ไม่มี ตึกก็ดูเก่าๆโทรมๆ กริชคิดพลางๆแล้วนั่งลงในที่สุด
“คุณคือคุณฉัตรชิด เจ้าของบริษัทใช่ไหมครับ”
เจ้าของบริษัทยื่นหน้ามาช้าๆ
“ฉันมีงานใหญ่และงานสุดท้ายให้นาย”
กริชทำหน้าตกใจเล็กน้อย “อะไรคืองานสุดท้าย”
“ฉันรู้ว่าเจ็ดปีหลังนี้กิจการไม่ค่อยดี” คนเริ่มหันไปใช้หุ่นยนต์กระป๋องส่งของให้ “และแน่นอนฉันกำลังจะล้มละลายเลยจะยุติสัญญาจ้างนายไว้เท่านี้หลังงานจบ”
กริชถอดหายใจ... เฮ้อ…
“ผมพอจะเข้าใจ ว่าแต่งานใหญ่ที่ว่ามันเป็นของผิดกฏหมายหรอ แถบแดงหรือเปล่า”
ชายแก่ผงกหน้าเล็กน้อย
.
.
“ใช่ มันเป็นแถบแดง แต่มันไม่ใช่สิ่งของผิดกฎหมาย ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้มันเป็นกฏ”ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ผมรู้กฎดี” กริชตอบ
“ยี่สิบห้าล้าน นั้นคือผลตอบแทน” ชายแก่บอกข้อเสนอที่ไม่อาจเลี่ยงได้
กริชนั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ในหัวของกริชนั้นกำลังนึกถึงชีวิตใหม่ในแดนเหนือ เงินก้อนนี้มันจะทำให้เขาผลิกชีวิตได้
“นายว่าไง เงินก้อนโตรอนายอยู่ ไม่เคยมีงานเงินสูงขนานนี้ ถ้าไม่ใช่ของผิดกฎหมาย”
คุณฉัตรชิดพูดเร่งเร้าการตัดสินใจของกริชเรื่อยๆ
.
.
.
กริชนั่งคิดและตัดสินใจ เขาคิดว่าส่งของมาตลอดหลายปีแค่แถบแดงไม่ได้ทำให้เขากลัวเลยแม้แต่น้อย ทว่าในใจลึกๆกริชยังหวั่นนิดหน่อยเพราะจะว่าไปงานแถบแดงก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ กริชคิดถึงภาพของเงินและชีวิตใหม่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “แค่แถบแดงไม่จำเป็นต้องทำให้ยาก” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งขันพร้อมคำตอบของการตัดสินใจ
.
.
.
.
“ผมรับงานนี้”
กริชเปล่งคำพูดด้วยความมั่นใจ
“ดี”
“เอานี่ไป”
คุณฉัตรชิดได้ยื่นชิปขนานเล็กมาให้กริช แต่ทว่ามันดูแปลกไปจากชิปปกติที่กริชเคยเจอนิดหน่อย
กริชรับชิปมาพร้อมเอาฟอสโฟมิเตอร์ออกมาจากบ่าข้างขวา เขาเสียบชิปเข้าไปข้างหลังเครื่องวัดทำให้หน้าจอของฟอสโฟส่องแสงสว่างวูบวาบสีแดงอยู่ประมานสามถึงสี่วินาที ไฟวูบวาบก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแบบฉับพลันแล้วก็ดับไป “เรียบร้อย”
คุณฉัตรชิดได้ก้มลงไปหยิบกระเป๋าเหล็กสีดำเงาทรงสี่เหลี่ยมใบไม่ใหญ่มากด้านหน้ากระเป๋าดูเหมือนว่าจะมีระบบสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือขั้นสุดยอดอยู่ เขายกกระเป๋าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าแล้วบอกกับกริชว่า
“เอากระเป๋านี้ไป มันสำคัญมากมันถูกเก็บเอาไว้นานยี่สิบปี จนกระทั่งระบบแคปซูลมันเปิดออกมาถึงได้รู้ว่ายังมีของหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้ส่ง” คุณฉัตรชิดพูดพร้อมยื่นกระเป๋ามาให้กริช
กริชรับกระเป๋ามาพร้อมกับพูด
“แน่นอนครับ ส่งของภายในสามวันของต้องถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัยมันเป็นจรรยาบรรณของคนส่งของอยู่แล้ว”
“ อืม… ดี…”ชายแก่พูดเสียงต่ำในลำคอ
“ผมขอไปเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้ก่อนนะครับ” กริชพูดพร้อมลุกออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ชายแก่ไม่ได้พูดอะไรกริชเลยเดินออกจากประตูไป
กริชรีบลงลิฟต์ไปขึ้นยานแล้วกลับห้องเล็กๆของเขาด้วยความสุข ผ่านตึกระฟ้ามากมายแต่ครั้งนี้ดูมีชีวิตชีวาเขาคิดถึงหนทางข้างหน้าที่รออยู่
กริชถึงห้องอย่างรวดเร็ว เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกพาดไว้กับหัวเตียงแล้วนั่งลงบนที่นอน กริชเอากล่องเหล็กวางลงข้างเตียงอย่างช้าๆ แล้วนั่งมองไปที่มันชั่วครู่…
เขาพลางคิด “แถบแดงหมายถึงสถานที่เข้าถึงยาก ต้องส่งที่ไหนนะ?” พอคิดได้แบบนั้นกริชก็เอื้อมมือไปหยิบแจ็คเก็ตที่อยู่บนหัวเตียง เขาถอดฟอสโฟมิเตอร์ออกจากแจ็คเก็ตแล้ววางเสื้อไว้ที่เดิม
อุ้งมือขวาและนิ้วทั้งห้าโอบฟอสโฟมิเตอร์ไว้ นิ้วโป้งแตะไปที่หน้าจอทรงกลมของมัน
ปรากฏเป็นตารางพิกัดที่ส่งของ กริชมองและทบทวนว่ามันคือที่ไหน ดูเหมือนว่าจะอยู่นอกโดมใครกันที่จะให้ส่งของนอกโดมมันไม่น่ามีใครอาศัยอยู่ได้ ข้างนอกเราจะเรียกกันว่าดินแดนรกร้างเพราะมีแต่ซากปรักหักพังของตึก ทุกอย่างเป็นพิษไม่สามารถฟื้นฟูได้แล้ว แต่ทว่ากริชก็ไม่ได้คิดหวั่นมากนัก
ครั้งหนึ่งกริชเคยไปส่งของที่แดนเหนือให้กับไฮโซระดับสูง ทำให้เขาหลงใหลในแดนศิวิไล
ในการเดินทางจะมีช่องว่างเปลี่ยนผ่านแดนก็จะมีพื้นที่ดินแดนรกร้างกั้นไว้ ช่องนี้มีความยาวจากชายแดนใต้ถึงชายแดนเหนือ 90 กิโลเมตรและเป็นทางเดียวที่ผู้คนผ่านกันบ่อยที่สุด แต่ทางใต้สุดปลายด้ามขวานมันไม่มีใครเคยไปเลยนี่สิ กริชคิดและวางแผนจนในที่สุด
เขารู้ว่าต้องไปที่ไหนทางตอนใต้สุดของนีโอหรือว่าเขตชายแดน “เดอะไลน์” เพื่อติดต่อเพื่อนที่เคยส่งของด้วยกัน เผื่อจะสามารถหาทางออกไปปลายด้ามขวานข้างนอกโดมได้
กริชหันเอาฟอสโฟมิเตอร์ไปวางไว้บนหัวเตียงพร้อมกับกดปิดหน้าต่างที่เปิดไว้
เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนสี่เหลี่ยมผื่นผ้าหันหัวมองไปที่หน้าต่างบานใหญ่ข้างเตียงขวามือ. ซึ่งกำลังค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ช้าพอที่จะให้กริชได้นอนมองมันเหมือนทุกครา
ตึกรามบ้านช่องแสงสีจากป้ายไฟในเมืองยามดึกมันช่างสว่างไสวสวยงามเหลือเกิน เขาพร้อมที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วหน้าต่างก็ปิดลงพร้อมความมืด
เผยให้เห็นร่างชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคน
มีเสียงดัง ปี๊ปๆ ปี๊ปๆอย่างไม่ขาดสายมาจากหัวเตียงที่อยู่ไกล้ๆกับหน้าต่าง
ชายคนนั้นงัวเงียอยู่บนที่นอนแล้วได้เอื้อมมือมากด “ฟอสโฟมิเตอร์” (หรือเรียกสั่นๆว่า ฟอสโฟ) มันเป็นเครื่องวัดสารพัด มีชิปเอไอพื้นฐานและเป็นนาฬิกาทั่วไปบอกวันเวลาได้ กริชกดปิดฟอสโฟที่ดังปลุกเขาจากความฝัน
ด้วยความที่เพิ่งตื่นทำให้กริชไม่ทันระวังตัวเผลอกดโดนปุ่มเปิดหน้าต่างที่อยู่ข้างๆกับฟอสโฟฯอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตะแกรงเหล็กที่ปิดกั้นระหว่างโลกผายนอกและความเป็นส่วนตัวเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นแสงไฟจากโลกภายนอกยามโพล้เพล้ แสงสว่างจ้าจากไฟนีออนทั่วเมือง ตึกสูงเสียดฟ้าและยานบินว่อนเมือง ถนนหนทางยาวสุดสายตาและรถยนต์สุดล้ำ
กริชลุกขึ้นจากเตียงหยิบฟอสโฟขึ้นมาดูเวลาและตารางงาน ดูเหมือนว่าวันนี้เขาได้เขียนไว้ว่า “สำคัญหนึ่งทุ่ม” ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว กริชรีบเข้าอาบน้ำเพื่อที่จะเตรียมตัวไปบาร์ประจำชื่อว่าฟาสเตอร์ เหล่าคนส่งของมักจะไปหางานกันที่นั้น ในขณะที่กริชกำลังอาบน้ำอยู่เสียงของฟอสโฟก็ดังขึ้น ปื๊ปๆ! ปื๊ปๆ! เป็นพักๆ
กริชได้ยินเช่นนั้นแล้วก็รีบออกจากห้องน้ำใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงขายาวคล้ายยีนทรงกระบอกสีแดงเข้มหม่นๆและเสื้อคลุมแจ็คเก็ตที่ก็เป็นสีเดียวกับกางเกง
กริชหยิบฟอสโฟมิเตอร์ มาติดไว้ที่กระดุมตรงบ่าข้างขวา กริชจำเป็นต้องมีฟอสโฟติดตัวตลอดเวลา เขาพร้อมที่จะออกไปที่บาร์ กริชรีบก้าวออกจากประตูอัตโนมัติที่จะเปิดเฉพาะเจ้าของห้อง เดินตรงไปขึ้นลิฟต์ จากชั้นสี่สิบสองไปจนถึงลานยอดยาน
เขาก้าวลงจากลิฟต์อย่างเร่งรีบ กริชเดินมาถึงยานแล้วรีบแสกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกยานแคนนอนทรงกลมขนานกลางไม่ใหญ่มากมีหนึ่งที่นั่งและมีที่เก็บของหลังยานขนาดไม่กว้างมากนัก มันเป็นยานของบริษัทสำหรับพวกคนส่งของที่ทำงานมานานแล้ว
กริชรีบสตาร์ทยานแล้วออกไปยังบาร์ประจำ ยานค่อยๆไต่ระดับจาก1-3 อย่างรวดเร็ว สูงประมานตึก10ชั้น
ในขณะที่ขับยานกริชมองกวาดสายตาดูรอบๆเมืองนีโอที่เขาอยู่มานาน
มันเหมือนเดิม ตึกสูงทรงเลขาคณิต สี่เหลี่ยมสามเหลี่ยมบ้างก็เป็นโดมทรงกลมถี่ไปตลอดทาง แต่เหนือตึกระฟ้าก็มีโดมขนานใหญ่ครอบเมืองไว้ก็เพราะว่าอากาศของโลกตอนนี้ค่อนข้างเป็นพิษไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ แต่ละเมืองก็จะมีโดมใหญ่ครอบเอาไว้ทุกเมือง มันเป็นระบบสร้างออกซิเจนขนาดใหญ่ เป็นนวัตกรรมของบริษัท “โคโป คอปโปเรชั่น” บริษัทผลิตอาวุธขนานใหญ่ในเมืองนีโอ อยู่ส่วนกลางตอนใต้ของประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในย่านธุรกิจดังที่มีชื่อว่าKsus
กริชขับยานเข้าไปยังลานจอดในตึกขนานใหญ่ที่เป็นทั้งลานจอดยานและรถยนต์ กริชรีบลงจากยานบึ่งไปที่ลิฟต์ของตึก ลงไปยังชั้นที่หนึ่ง เขาก้าวออกจากลิฟต์มาทางซ้ายมือลงบันใต้ตึกมีบาร์ชั้นเดียวอยู่โดดๆ กริชพุ่งเข้าไปในบาร์ แต่ทว่าได้มีมือของชายผิวสีร่างยักษ์มาขวางเขาไว้ “นายลืมอะไรหรือเปล่า”
กริชเงยหน้าขึ้นไปมองชายผิวสี “เออใช่ IPX55” กริชพูดรหัสลับขึ้นมา บาร์นี้ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าได้ง่ายๆ เพราะเหล่าพวกนักธุระกิจมืดชอบมาคุยงานในโซนวีไอพี พวกนี้นี่แหละที่ส่วนใหญ่ใช้บริการเรา กริชบอกรหัสจบเขาก็พยายามจะดันมือชายผิวสีเข้าไปในบาร์ แต่ชายผิวสีบอก “เดี๋ยวก่อน นายมาสายนะข้างในได้งานกันหมดแล้ว”
เขาหยุดนิ่งไปครู่นึง “ห๊ะ กลับกันแล้วหรอ”
กริชก้าวเข้าไปในตึกชั้นเดียวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีบาร์เหล้าอยู่ตรงกลางห้อง โต๊ะเก้าอี้ ล้อมบาร์เป็นวงกลมและตามมุมห้อง มีคนอยู่สองถึงสามคนนั่งตามโต๊ะต่างๆ
มีเสียงเรียกลอยมาจากหน้าบาร์เหล้า
“เฮ้ย กริช!!”
กริชหันไป เสียงนั้นเป็นของ ริก เพื่อนที่เป็นคนส่งของด้วยกัน(ต่อไปนี้คนส่งของจะเรียกว่าฟาสเตอร์)
“ว่าไงริก” กริชทักตอบแล้วเดินเข้าไปหาริกที่หน้าบาร์
“นายมาสายนะเนี่ยกริช” ริกพูดพร้อมหันไปบอกบาร์เทนเดอร์ที่อยู่ตรงหน้า
“เอาแจ็คโค๊ก สองที่”
กริชทำหน้าบึ่งคิ้วขมวดเล็กน้อย “บ้าชิบฉันว่าฉันกะเวลาดีแล้วนะริก”
“ช่างมันเถอะฉันเก็บงานให้นายด้วย”
บาร์เทนเดอร์เอาแจ็คโค้กคลาสสิคมาเสริฟ ให้กับทั้งคู่
“นายยังมีสัญญาของบริษัทเฟดเดอร์อยู่ใช่ไหม?” ริกถามพร้อมเทแจ็คโค้กลงคออย่างชื่นใจ
“ยังเหลืออยู่ไม่กี่เดือน มีงานหรอ?” กริชพูดในขณะที่ยื่นมือไปหยิบแก้วที่อยู่ตรงหน้าแล้วกระเดือกน้ำในแก้วลงคอไปอึกสองอึก ต่อด้วยเสียงสั่นส่ายขำขัน
“ฉันคิดว่ามันเจ๊งไปแล้วซะอีกฮ่าๆ” กริชกับริกหัวเราะชอบใจกันใหญ่
“ฉันก็ว่างั้น” ปกติไม่มีฟาสเตอร์คนไหนไปรับงานจากบริษัทเองโดยตรง ส่วนใหญ่จะมาดิลงานกันที่บาร์นี่แหละ
ริกได้เอามือลวงกระเป๋ากางเกงหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา “บุหรี่” ริกหยิบบุหรี่ออกมาจุด แล้วพ่นควันด้วยความเริงร่าพร้อมยื่นอะไรบางอย่าง
“นี่ที่อยู่” ริกได้เอาที่อยู่ของบริษัทเฟดเดอร์ให้กริช มันเป็นชิปขนานเล็กไว้ใช้กับฟอสโฟมิเตอร์เพื่อแสดงพิกัด กริชรับไว้พร้อมกับใบหน้าที่มั่นใจมากขึ้น เพราะไม่เคยมีใครฝากงานให้กันมาก่อนงานนี้คงต้องเป็นงานสำคัญแน่ๆ “ขอบใจมากเพื่อน แล้วเจอกันนะ”
กริชออกมาจากบาร์แล้วรีบไปติดต่องาน เขาเดินทางมาถึงบริษัทเฟดเดอร์อย่างรวดเร็ว ตึกบริษัทเฟดเดอร์ มีประมาณยี่สิบชั้นรวมดาดฟ้า ดูค่อนข้างทรุดทรม มีป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่กลางตึกเป็นชื่อบริษัทแถมไฟก็ดับๆติดๆ
กริชเข้าไปติดต่อหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของบริษัทแต่กลับไม่มีใคร
“ผมเป็นฟาสเตอร์มาติดต่องาน”
เสียงของกริชดังไปทั้งห้องโถงประชาสัมพันธ์แต่ก็ยังไร้วี่แววของคน เสียงสะท้อนของกริชเริ่มเบาลง มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น
“เชิญขึ้นลิฟต์ทางซ้ายมือ”
ประตูลิฟต์เปิดออกอัตโนมัติ กริชเดินขึ้นลิฟต์แล้วพูดพลางๆ “เอไอหรอเจ๋งดีนิ”
ลิฟต์ ได้พามายังชั้น15
ประตูเปิดออก กริชก้าวออกมาอย่างงงๆ เพราะทั้งซ้ายและขวามีห้องเต็มไปหมด
“ห้องไหนเนี่ย” กริชพูดขึ้นมาพร้อมมองไปตามห้องต่างๆ
ประตูห้องแรกทางขวามือเปิดออกอัตโนมัติเผยให้เห็นชายแก่คิ้วขมวดหน้าตาน่ากลัวนั่งอยู่ในห้องที่มีแสงสลัวๆ เบื้องหน้าชายแก่เป็นโต๊ะทำงานขนานกลางพร้อมเอกสารเต็มโต๊ะและเก้าอี้รับแขก เขาพูดพลางขึ้นมาด้วยเสียงโทนต่ำแข็งและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน
“เข้ามาสิ จะยืนอยู่หน้าประตูอีกนานไหม?”
กริชเดินเข้ามาพร้อมมองไปรอบๆโต๊ะทำงานโดยไม่พูดอะไร
“นั่งลง”
ชายแก่พูด พร้อมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด
“ผมกริชคับ ริกฝากงานให้ผมที่ฟาสเตอร์”
กริชนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆด้วยความลังเลเพราะบริษัทดูเหมือนจะเจ๊ง ถึงจะมีเอไอแต่พนักงานตามแผนกต่างๆก็ไม่มี ตึกก็ดูเก่าๆโทรมๆ กริชคิดพลางๆแล้วนั่งลงในที่สุด
“คุณคือคุณฉัตรชิด เจ้าของบริษัทใช่ไหมครับ”
เจ้าของบริษัทยื่นหน้ามาช้าๆ
“ฉันมีงานใหญ่และงานสุดท้ายให้นาย”
กริชทำหน้าตกใจเล็กน้อย “อะไรคืองานสุดท้าย”
“ฉันรู้ว่าเจ็ดปีหลังนี้กิจการไม่ค่อยดี” คนเริ่มหันไปใช้หุ่นยนต์กระป๋องส่งของให้ “และแน่นอนฉันกำลังจะล้มละลายเลยจะยุติสัญญาจ้างนายไว้เท่านี้หลังงานจบ”
กริชถอดหายใจ... เฮ้อ…
“ผมพอจะเข้าใจ ว่าแต่งานใหญ่ที่ว่ามันเป็นของผิดกฏหมายหรอ แถบแดงหรือเปล่า”
ชายแก่ผงกหน้าเล็กน้อย
.
.
“ใช่ มันเป็นแถบแดง แต่มันไม่ใช่สิ่งของผิดกฎหมาย ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้มันเป็นกฏ”ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ผมรู้กฎดี” กริชตอบ
“ยี่สิบห้าล้าน นั้นคือผลตอบแทน” ชายแก่บอกข้อเสนอที่ไม่อาจเลี่ยงได้
กริชนั่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ ในหัวของกริชนั้นกำลังนึกถึงชีวิตใหม่ในแดนเหนือ เงินก้อนนี้มันจะทำให้เขาผลิกชีวิตได้
“นายว่าไง เงินก้อนโตรอนายอยู่ ไม่เคยมีงานเงินสูงขนานนี้ ถ้าไม่ใช่ของผิดกฎหมาย”
คุณฉัตรชิดพูดเร่งเร้าการตัดสินใจของกริชเรื่อยๆ
.
.
.
กริชนั่งคิดและตัดสินใจ เขาคิดว่าส่งของมาตลอดหลายปีแค่แถบแดงไม่ได้ทำให้เขากลัวเลยแม้แต่น้อย ทว่าในใจลึกๆกริชยังหวั่นนิดหน่อยเพราะจะว่าไปงานแถบแดงก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ กริชคิดถึงภาพของเงินและชีวิตใหม่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “แค่แถบแดงไม่จำเป็นต้องทำให้ยาก” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งขันพร้อมคำตอบของการตัดสินใจ
.
.
.
.
“ผมรับงานนี้”
กริชเปล่งคำพูดด้วยความมั่นใจ
“ดี”
“เอานี่ไป”
คุณฉัตรชิดได้ยื่นชิปขนานเล็กมาให้กริช แต่ทว่ามันดูแปลกไปจากชิปปกติที่กริชเคยเจอนิดหน่อย
กริชรับชิปมาพร้อมเอาฟอสโฟมิเตอร์ออกมาจากบ่าข้างขวา เขาเสียบชิปเข้าไปข้างหลังเครื่องวัดทำให้หน้าจอของฟอสโฟส่องแสงสว่างวูบวาบสีแดงอยู่ประมานสามถึงสี่วินาที ไฟวูบวาบก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแบบฉับพลันแล้วก็ดับไป “เรียบร้อย”
คุณฉัตรชิดได้ก้มลงไปหยิบกระเป๋าเหล็กสีดำเงาทรงสี่เหลี่ยมใบไม่ใหญ่มากด้านหน้ากระเป๋าดูเหมือนว่าจะมีระบบสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือขั้นสุดยอดอยู่ เขายกกระเป๋าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าแล้วบอกกับกริชว่า
“เอากระเป๋านี้ไป มันสำคัญมากมันถูกเก็บเอาไว้นานยี่สิบปี จนกระทั่งระบบแคปซูลมันเปิดออกมาถึงได้รู้ว่ายังมีของหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้ส่ง” คุณฉัตรชิดพูดพร้อมยื่นกระเป๋ามาให้กริช
กริชรับกระเป๋ามาพร้อมกับพูด
“แน่นอนครับ ส่งของภายในสามวันของต้องถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัยมันเป็นจรรยาบรรณของคนส่งของอยู่แล้ว”
“ อืม… ดี…”ชายแก่พูดเสียงต่ำในลำคอ
“ผมขอไปเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้ก่อนนะครับ” กริชพูดพร้อมลุกออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ชายแก่ไม่ได้พูดอะไรกริชเลยเดินออกจากประตูไป
กริชรีบลงลิฟต์ไปขึ้นยานแล้วกลับห้องเล็กๆของเขาด้วยความสุข ผ่านตึกระฟ้ามากมายแต่ครั้งนี้ดูมีชีวิตชีวาเขาคิดถึงหนทางข้างหน้าที่รออยู่
กริชถึงห้องอย่างรวดเร็ว เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกพาดไว้กับหัวเตียงแล้วนั่งลงบนที่นอน กริชเอากล่องเหล็กวางลงข้างเตียงอย่างช้าๆ แล้วนั่งมองไปที่มันชั่วครู่…
เขาพลางคิด “แถบแดงหมายถึงสถานที่เข้าถึงยาก ต้องส่งที่ไหนนะ?” พอคิดได้แบบนั้นกริชก็เอื้อมมือไปหยิบแจ็คเก็ตที่อยู่บนหัวเตียง เขาถอดฟอสโฟมิเตอร์ออกจากแจ็คเก็ตแล้ววางเสื้อไว้ที่เดิม
อุ้งมือขวาและนิ้วทั้งห้าโอบฟอสโฟมิเตอร์ไว้ นิ้วโป้งแตะไปที่หน้าจอทรงกลมของมัน
ปรากฏเป็นตารางพิกัดที่ส่งของ กริชมองและทบทวนว่ามันคือที่ไหน ดูเหมือนว่าจะอยู่นอกโดมใครกันที่จะให้ส่งของนอกโดมมันไม่น่ามีใครอาศัยอยู่ได้ ข้างนอกเราจะเรียกกันว่าดินแดนรกร้างเพราะมีแต่ซากปรักหักพังของตึก ทุกอย่างเป็นพิษไม่สามารถฟื้นฟูได้แล้ว แต่ทว่ากริชก็ไม่ได้คิดหวั่นมากนัก
ครั้งหนึ่งกริชเคยไปส่งของที่แดนเหนือให้กับไฮโซระดับสูง ทำให้เขาหลงใหลในแดนศิวิไล
ในการเดินทางจะมีช่องว่างเปลี่ยนผ่านแดนก็จะมีพื้นที่ดินแดนรกร้างกั้นไว้ ช่องนี้มีความยาวจากชายแดนใต้ถึงชายแดนเหนือ 90 กิโลเมตรและเป็นทางเดียวที่ผู้คนผ่านกันบ่อยที่สุด แต่ทางใต้สุดปลายด้ามขวานมันไม่มีใครเคยไปเลยนี่สิ กริชคิดและวางแผนจนในที่สุด
เขารู้ว่าต้องไปที่ไหนทางตอนใต้สุดของนีโอหรือว่าเขตชายแดน “เดอะไลน์” เพื่อติดต่อเพื่อนที่เคยส่งของด้วยกัน เผื่อจะสามารถหาทางออกไปปลายด้ามขวานข้างนอกโดมได้
กริชหันเอาฟอสโฟมิเตอร์ไปวางไว้บนหัวเตียงพร้อมกับกดปิดหน้าต่างที่เปิดไว้
เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนสี่เหลี่ยมผื่นผ้าหันหัวมองไปที่หน้าต่างบานใหญ่ข้างเตียงขวามือ. ซึ่งกำลังค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ช้าพอที่จะให้กริชได้นอนมองมันเหมือนทุกครา
ตึกรามบ้านช่องแสงสีจากป้ายไฟในเมืองยามดึกมันช่างสว่างไสวสวยงามเหลือเกิน เขาพร้อมที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วหน้าต่างก็ปิดลงพร้อมความมืด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ