Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ปรับความเข้าใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 7
ปรับความเข้าใจ
“เป็นไงกันบ้างคะ ทุกคน” เสียงทักทายอย่างสดใสดังออกมาจากครูสาวร่างท้วมซึ่งยืนอยู่หน้าชั้นเรียนในห้องเรียนวิชาภูมิศาสตร์โลก “มีความสุขกันไหมกับการเรียนที่นี่ ปรับตัวกันได้บ้างหรือยังเอ่ย”
วันนี้เข้าสู่วันที่ 4 ในการเป็นนักเรียนโรงเรียนมนตราพาเธนอนของพวกเอ็ดเวิร์ด เขาเริ่มปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตที่นี่ได้บ้างแล้ว ในเรื่องเวลาเรียน พาเธนอนค่อนข้างมีตารางเรียนที่ไม่แน่นอน วิชาเรียนมีทั้งหมด 7-8 วิชา (ถ้าเอ็ดเวิร์ดจำไม่ผิดนะ) ตารางเรียนในหนึ่งอาทิตย์ที่เขาต้องเรียน มีวันเรียนสลับกับวันหยุด บางวันมีเรียนวิชาเดียว บางวันก็ไม่มีเรียนเลย ถือเป็นวันหยุดให้กับพวกเขา หนักสุดในหนึ่งอาทิตย์ก็คือวันที่มีวิชาเรียนถึง 2 วิชา นั่นก็คือ เวทมนตร์พื้นฐานและภาษาศาสตร์ แต่เขาแอบได้ยินเพื่อนๆ ที่หอนอนคุยกันมาว่า ตารางเรียนที่นี่มีความยืดหยุ่นมาก ในบางครั้งครูผู้สอนจะแลกวันหรือเวลาสอนกันอย่างอิสระ พวกเขามีหน้าที่ต้องคอยไปตรวจสอบวันละครั้งที่ลานตามประสงค์เผื่อจะมีกรณีการสลับวิชาเรียน
พูดถึงลานตามประสงค์ เอ็ดเวิร์ดชอบไปใช้เวลาที่นั่นกับนิโคลมากๆ ในช่วงเวลาเย็นหรือหัวค่ำ เพราะที่นั่นอากาศปลอดโปร่ง และด้วยความกว้างสุดลูกหูลูกตาของมัน ทำให้เอ็ดเวิร์ดรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจทุกครั้งที่ไปที่นั่น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ที่นั่นเป็นเหมือนสถานที่รวมตัวของเด็กปี 1 อย่างพวกเขา เด็กปี 1 ชายและหญิงที่ชอบเข้าสังคมบางคนจะมารวมตัวกันที่นี่ในตอนเย็นหรือช่วงเวลาว่างเพื่อทำความรู้จักกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนที่มีทักษะในการเข้าสังคมมากสักเท่าไร แต่เมื่ออยู่กับนิโคล อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะง่ายไปเสียหมด แม้บางครั้งเขาจะต้องปวดหัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของลานตามประสงค์ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็สนุกดี จะมีก็แต่แอเลน่าที่ชอบบ่นถึงครูใหญ่เอไลจาห์ทุกครั้งที่ลานกลายสภาพไป ล่าสุดลานตามประสงค์เปลี่ยนสภาพไปเป็นป่าดิบชื้นที่มีฝนตกลงมา พวกเราทุกคนวิ่งเล่นและปีนป่ายท่ามกลางสายฝนกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นแอเลน่าคนเดียวที่บ่นอย่างหัวเสียเพราะหนังสือที่เธอเพิ่งยืมมาจากห้องสมุดเกิดเปียกเพราะฝน
“แล้วเธอจะมาอ่านที่นี่ทำไม” เอ็ดเวิร์ดถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวข้างตัวหงุดหงิดไม่หาย
“บางครั้งฉันก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนี่นา” เด็กสาวตอบ มือก็พยายามปัดไล่เม็ดน้ำฝนที่ยังคงเกาะค้างอยู่บนปกหนังสือออกเพื่อให้แห้งไวขึ้น “อันที่จริงฉันก็ไปดูมาแล้วแหละว่าเดี๋ยวลานนี่ต้องเปลี่ยนเป็นป่าดิบชื้น แต่ไม่ได้เตรียมใจสำหรับฝนไว้เนี่ยสิ”
พูดถึงแอเลน่าแล้วจะไม่พูดถึงสมาชิกอีกคนในกลุ่มก็ไม่ได้ ทุกวันนี้ความสนิทของเอ็ดเวิร์ดต่อเพื่อนหนุ่งสาวในกลุ่มทั้งสองของเขาเริ่มมากขึ้น เขาและแอเลน่าเลิกเรียกกันด้วยฉายาที่อีกฝ่ายตั้งให้ แล้วหันมาเรียกชื่อของอีกฝ่ายแทนอย่างเต็มปาก แต่กับเด็กหนุ่มอีกคน แม้นิโคลจะพยายามเข้าไปทำความรู้จักด้วย แต่ก็ดูเหมือนเดรโกจะไม่ค่อยอยากทำความรู้จักกับเขาสักเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้น เอ็ดเวิร์ดก็แอบสังเกตเห็นว่าตั้งแต่คืนแรกที่พวกเขาทุกคนนอนที่หอนอนด้วยกัน เมื่อถึงเวลาตี 3 ของทุกคืน เดรโกจะลุกออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงคนเดียวเสมอ แต่เอ็ดเวิร์ดก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก (ว่าแต่เอ็ดตื่นมาทำอะไรตี 3 ทุกวันหว่า)
“สำหรับวิชาภูมิศาสตร์โลกวันนี้ ครูจะเริ่มต้นการสอนด้วยการแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ครูชื่อรีแอนน่า มอร์แกน” รีแอนน่าเป็นสาวท้วมร่างใหญ่ ศีรษะเริ่มมีร่องรอยแห่งความชราแทรกออกมาให้เห็น กะด้วยสายตาเอ็ดเวิร์ดคิดว่าครูมอร์แกนคงมีอายุไล่เลี่ยกับครูใหญ่เอไลจาห์ หากแต่ใบหน้ายังคงดูอ่อนเยาว์ อาจจะเพราะด้วยแววตาและรอยยิ้มที่ใจดี เดาได้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องเป็นที่รักของเด็กทุกคนแน่ๆ
“ทำไมวิชาเรียนที่นี่มันถึงน่าเบื่ออย่างนี้น้า” นิโคลบ่นด้วยท่าทางสิ้นหวังขณะฟุบหน้าลงบนโต๊ะ “เมื่อวานซืนก็เรียนวิชาจรรยาบรรณจอมเวทย์ ไอ้วิชาน่าเบื่อแบบนี้ไม่เห็นต้องสอนให้เด็กปี 1 เลยนี่นา เด็กวัยนี้เขาใฝ่หาความฝันและความสนุกต่างหาก ครูใหญ่นี่ไม่เข้าใจเด็กๆ เลยน้า โชคยังดีนะที่เมื่อวานไม่มีเรียน ไม่งั้นฉันได้หัวระเบิดตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เข้ามาเรียนแน่นอน”
“นายจะบ่นอะไรของนายนักหนาเนี่ยนิค” เอ็ดเวิร์ดหันไปบ่นเพื่อนของเขา “วิชาที่แล้ว ฉันเห็นนายนั่งฟังครูได้ 5 นาทีนายก็หลับแล้ว”
“นายไม่เข้าใจฉันหรอกน่าเอ็ด” นิโคลตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ “ฉันมันพวกมีแต่แรง แต่ไม่มีสมอง ไม่เหมือนนายหรอก มีสมองทั้งที ไม่รู้จักเอามาใช้ ดันเกิดมาเป็นคนขี้เบื่อซะได้”
“เฮ้อ นายนี่นะ” เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจ “นายไม่คิดจะลองตั้งใจเรียนสักวิชาเลยหรือไง”
“นายน่ะ ไม่มีหน้าไปว่านิคหรอกเอ็ด วิชาจรรยาบรรณจอมเวทย์ 10 นาทีนายก็หลับเหมือนกันนั่นแหละ” แอเลน่าทนฟังไม่ไหว ถึงกับต้องเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“อ้าว! ไอ้คุณเอ็ดเวิร์ด แล้วที่นายบ่นฉันตลอดหลังเรียนเสร็จวันนั้นมันคืออะไร” นิโคลยกหน้าขึ้นมาจากโต๊ะแล้วหันมาทำตาขวางใส่เอ็ดเวิร์ด
“นี่ๆ! ตรงนั้นน่ะ เบาๆ เสียงกันหน่อย ไม่งั้นจะลงโทษให้มายืนหน้าห้องกันทั้ง 3 คนเลย” เสียงตักเตือนดังมาจากหน้าห้อง “เอาล่ะ เมื่อสักครู่ครูอธิบายถึงสภาพภูมิศาสตร์โดยรวมของทวีปลากูน่าของเราไปแล้ว ใครพอจะตอบครูได้บ้างไหมว่านอกจากลากูน่าแล้วลิเบอร์ตันประกอบไปด้วยทวีปอะไรอีกบ้าง”
แอเลน่ายกมือขึ้น พร้อมตอบอย่างคล่องแคล่ว “ปัจจุบันลิเบอร์ตันมีทวีปที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสภากลางแห่งลิเบอร์ตันทั้งหมด 8 ทวีปค่ะ ได้แก่ 1. ลากูน่า 2. ดรูน 3. แอตลาส 4. วัลล่า 5. เนวาดา 6. อูบาร์ 7. ลัลลาบาย และ 8. มูนค่ะครู”
“เก่งมาก คุณดีน” รีแอนน่ายิ้มให้อย่าชื่นชม “อย่างที่คุณดีนกล่าว เมื่อแรกเริ่มอาร์เธอได้แบ่งเขตแดนออกเป็น 7 ทวีปตามลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญใยพื้นที่นั้นๆ และต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งสภากลางแห่งลิเบอร์ตันขึ้นมา ทางสภาก็ได้ทำการรับรองทวีปทั้ง 7 นั้นว่าเป็น 7 ทวีปหลัก แต่ล่าสุด ชาวเมืองส่วนใหญ่ในทวีปลัลลาบายได้ขอแยกตัวออกมา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศในทวีปไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิต และร่วมกันก่อตั้งนิคมของตัวเองจนมีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกขานสถานที่นั้นว่า มูน และได้ร้องขอต่อสภากลางให้รับรองนิคมนี้เป็นทวีปหลักอีกหนึ่งทวีป ปัจจุบันทวีปนี้ก็ได้การรับรองจากทางสภากลางให้เป็นทวีปหลักเช่นกัน”
“ในเมื่อมีทวีปหลักถึง 8 ทวีป แต่ทำไมโรงเรียนมนตราถึงมีแค่ 4 โรงเรียนเองล่ะคะครู” เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“นั่นก็เพราะว่า นอกจากทวีปลัลลาบายแล้ว ยังมีอีก 3 ทวีปที่สภาพภูมิประเทศไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตยังไงล่ะ” รีแอนน่าตอบ “อย่าว่าแต่จะก่อตั้งโรงเรียนมนตราเลย ลำพังการอยู่อาศัยในทวีปทั้ง 4 นั้นยังดูเหมือนเป็นการเอาชีวิตรอดมากกว่าการใช้ชีวิตเสียด้วยซ้ำ”
ภาพและเสียงตรงหน้าของครูมอร์แกนช่างเป็นเพลงกล่อมเด็กที่ได้ผลดีจริงๆ เจ้าเพื่อนตัวแสบของเขาก็ผล็อยหลับไปนานแล้ว ดูท่าว่าเขาก็คงจะได้ตามเพื่อนเขาไปเร็วๆ นี้ สายตาของเอ็ดเวิร์ดค่อยๆ หรี่ลง เสียงที่เข้ามากระทบโสตประสาทเริ่มเบาลงทุกทีๆ แต่ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เด็กหนุ่มก็ยังมิวายหันไปกระซิบเบาๆ กับเด็กสาวข้างตัว “เย็นนี้ติวให้พวกฉันเหมือนเดิมด้วยนะแอล ขอบใจมาก” แล้วภาพก็ตัดไป
“พวกนายนี่นะ เป็นเพื่อนหรือเป็นภาระกันแน่เนี่ย” เด็กสาวบ่นเบาๆ อย่างเหนื่อยใจให้กับเพื่อนทั้ง 2 ของเธอ แล้วก็แอบยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะหันไปตั้งใจฟังบทเรียนต่อ
ความมืดและแสงจันทร์ได้มาเยือนพาเธนอนอีกครั้ง เสียงพูดคุยและความวุ่นวายจากกิจกรรมต่างๆ ภายในโรงเรียนถูกความเงียบอันแสนน่าขนลุกและสงบในเวลาเดียวกันแผ่คลุมเข้ามาแทนที่ ไฟจากเชิงเทียนที่เคยส่องสว่างเมื่อตอนค่ำค่อยๆ หรี่แสงและดับลงไปทีละดวง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยันตัวขึ้นมาจากเตียงอย่างหัวเสีย
“มาปวดฉี่อะไรเอาตอนนี้ล่ะเนี่ยเรา” เอ็ดวิร์ดลุกขึ้นนั่งบนเตียง เชิงเทียนที่อยู่บนหัวนอนพลันจุดติดขึ้นเองเพื่อให้ความสว่างในยามที่โรงเรียนมืดมิดเช่นนี้ เด็กหนุ่มเหลือบมองไปที่นาฬิกาหินติดผนัง ซึ่งขณะนี้บอกเวลาเกือบตี 3 เขาลุกจากเตียงและเดินตรงไปที่ห้องน้ำ เทียนติดไฟขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเป็นทางยาวเพื่อส่องนำทางไปสู่ห้องน้ำ
เมื่อเสร็จสิ้นธุระยามดึก เด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่เตียง เตรียมตัวจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่ตาก็พลันเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนชมวิวอยู่ริมระเบียง อะไรดลใจก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ทำให้เอ็ดเวิร์ดตัดสินใจเดินไปผลักประตูเพื่อออกไปสู่ระเบียง
เอ็ดเวิร์ดเดินตรงไปที่ริมระเบียง วางท่อนแขนลงบนราวกั้นไกลจากเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งพอประมาณ ดวงตาสีฟ้าครามของคนที่อยู่ก่อนเพียงชำเลืองมามองชั่วครู่ แล้วก็หันกลับไปแหงนหน้ามองจันทราดังเดิม
“ตรงนี้มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ามองเลยน้า ผู้หญิงก็ไม่มี ไม่ทราบว่าคุณหนูเดรโกมาชมวิวทิวทัศน์อะไรตรงนี้หรือครับ” เอ็ดเวิร์ดหันไปถามด้วยสีหน้ากวนประสาท
มีแต่ความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ เดรโกยังคงไม่สนใจและเหม่อมองดูดวงจันทร์เช่นเดิม
“ดวงจันทร์ที่นี่ก็ดูส่องสว่างดีนะ” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยเมื่อลองมองขึ้นไปดูสิ่งเดียวกับเด็กหนุ่มคนข้างๆ “แต่ก็คงไม่สวยงามเท่ากับมองจากคฤหาสน์บลูเบนหรอกมั้ง เนอะ”
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมาสบตากับเขาอีกครั้ง แล้วเจ้าของนัยน์ตาก็หันกลับไป คำพูดเย้ยหยันนี้ดูเหมือนจะพอเรียกความสนใจได้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอ
ความเงียบเริ่มย่างกรายเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสองจนเอ็ดเวิร์ดเริ่มทนไม่ไหว
“พูดตรงๆ เลยนะ ฉันไม่ชอบหน้านายเลยแหะ เดรโก บลูเบน” เอ็ดเวิร์ดเริ่มส่งเสียง
“ฉันก็ไม่ชอบหน้านาย เอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์” อีกฝ่ายเริ่มตอบโต้กลับมาโดยไม่หันมามอง ยังคงรักษาท่าทางเงียบสงบได้ดังเดิม
“ทำไม”
“ทำไม”
“นายมันหน้าตาย แถมยังชอบทำหน้าไล่แขกอีก”
“นายก็หน้าโง่”
“หนอย! จะหาเรื่องหรอวะ ไอ้เบื๊อกนี่!”
“ไอ้ทึ่ม”
“โว้ย! ตัวต่อตัวกันสักยกไหม แกกับฉันเนี่ย” เอ็ดเวิร์ดหันหน้าไปหาโจทก์ ถกแขนเสื้อนอนขึ้น พร้อมยกกำปั้นขึ้นมาเตรียมตัววางมวยเต็มที่
“ฉันอาจจะอิจฉานายมั้ง” คำพูดเรียบๆ แต่กลับทำให้คนฟังถึงกับงง
“นายจะอิจฉาฉันทำบ้าอะไร” เอ็ดเวิร์ดเริ่มสงบลง หันกลับไปวางท่อนแขนบนราวลงในท่าเดิม "ครอบครัวนายออกจะร่ำรวย มีชื่อเสียง พ่อแม่ก็เป็นถึงจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนนายก็เป็นว่าที่จอมเวทย์อัจฉริยะ มีพร้อมทุกอย่าง นายต่างหากที่น่าอิจฉา”
“หึๆ มีพร้อมทุกอย่างงั้นหรอ” เดรโกแค่นเสียงหัวเราะออกมา “ฉันยอมเกิดมาเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างยังจะดีซะกว่า”
เอ็ดเวิร์ดชำเลืองไปมองหน้าเด็กหนุ่มข้างๆ เขาเพิ่งสังเกตว่า ภายใต้แววตาที่ดูหยิ่งยโสนั้น เต็มไปด้วยความเศร้าหมองที่เขาไม่มีวันเข้าใจ
“พ่อแม่ที่เหมือนคนแปลกหน้า เพื่อนฝูงที่เข้ามาเพราะหวังผลประโยชน์ พอหมดประโยชน์ก็ไม่สนใจ คนเดียวในชีวิตที่ฉันสามารถเรียกว่าครอบครัวได้อย่างเต็มปากก็มีแค่พ่อบ้านประจำตัวที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น นี่หรอ ชีวิตที่น่าอิจฉา” เดรโกหันหน้าไปสบตากับคู่สนทนาของเขา เอ็ดเวิร์ดเหมือนจะเห็นของเหลวสีใสรื้นขึ้นมาภายใต้ดวงตาคู่นั้น แต่ครู่เดียวมันก็หายไป เด็กหนุ่มหันกลับไปยืนตรงทอดมองด้วยจันทร์อีกครั้ง
“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้นายอิจฉาฉันงั้นหรอ” เอ็ดเวิร์ดถาม
“รอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่นายมีตอนอยู่กับเพื่อนน่ะ ชั่วชีวิตนี้ฉันก็อยากจะมีแบบนั้นสักครั้งเหมือนกันนะ” เดรโกตอบอย่างแผ่วเบา
“อ้าว งั้นก็ไม่เห็นยากเลยนี่” เสียงอีกเสียงดังขึ้นมาด้านหลังของเด็กหนุ่มทั้งสอง เมื่อหันไปก็พบเข้ากับรอยยิ้มที่คุ้นเคย
“นิค! ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” เอ็ดเวิร์ดส่งเสียงถามอย่างสงสัย ก็ปกติเพื่อนเขาคนนี้มันหลับลึกจะตายไป
“พอดีฉันหิวน่ะ เลยกะว่าจะตื่นไปหาอะไรกินสักหน่อย” นิโคลตอบ ยิ้มแห้งๆ พลางลูบท้องตัวเอง “แต่ก็ถือว่าตื่นมาได้จังหวะพอดีเลยนะ”
นิโคลเดินไปยืนตรงกลางระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสอง แล้วเอื้อมมือไปคว้าคอของทั้ง 2 คนมากอดไว้ข้างตัว
“ทำอะไร นิโคล ไรเกอร์” เดรโกถามเสียงแข็ง
“ทำความสนิทสนมไง” นิโคลฉีกยิ้มกว้างตอบ “นายน่ะมันเด็กมีปมนะ เดรโก แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคุณหมอนิโคล ผู้ช่วยเอ็ดเวิร์ดและผู้ช่วยแอเลน่าจะเป็นคนแก้ปมให้นายเอง”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาช่วยนะ” เดรโกหันหน้าหนี แต่ภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว นิโคลเหมือนจะแอบสังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้านั้น
“พวกฉันเสนอตัวเอง ใช่ไหมเอ็ด” เขาหันหน้าไปยังเพื่อนอีกคนข้างตัว
“นิค” เอ็ดเวิร์ดพูดเสียงเรียบ “คืนนี้นายยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม”
“อากาศมันหนาวน่ะเพื่อน”
“ไอ้ซกมกเอ๊ย!”
ริมระเบียงหอนอนชายของโรงเรียนมนตราพาเธนอนในตอนนี้ ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนยิ้มเบาๆ ที่มุมปากเคียงข้างเด็กหนุ่มอีก 2 คนที่หัวเราะร่า ภายใต้ความสว่างไสวของแสงจันทร์สุกสกาวและค่ำคืนที่เงียบสงบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ