Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
-
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
17 ตอน
2 วิจารณ์
9,018 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) การปรากฏตัวของบุคคลที่ไม่คาดคิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 5
การปรากฏตัวของบุคคลที่ไม่คาดคิด
“วิชาช่วงบ่ายนี้วิชาอะไรหรอ เอ็ด”
“ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกช่วงเช้าจะเป็นวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน เราข้ามวิชาช่วงเช้ามา ช่วงบ่ายก็จะเป็นวิชาภาษาศาสตร์”
“เห วิชาเปิดตัวสำหรับการเป็นนักเรียนที่พาเธนอนนี่ แค่ฟังชื่อก็อยากลาออกซะแล้วสิ”
“ฮ่าๆๆ เห็นด้วยเลยล่ะ”
ขณะนี้ เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนกำลังอยู่ในระหว่างเดินเท้าจากห้องอาหารซึ่งอยู่ในอาคารปีกซ้ายไปสู่อาคารปีกขวา เพื่อไปเข้าเรียนวิชาภาษาศาสตร์ในช่วงบ่าย มีเด็กผู้ชาย 4 คนจับกลุ่มเดินคุยและหัวเราะเสียงดังกันอยู่ด้านหน้าไกลๆ กำลังมุ่งหน้าไปที่เดียวกัน เหลือเวลาอีกเพียง 10 นาทีก่อนการเรียนการสอนจะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนจึงยังไม่รีบร้อนในการเดินทางสักเท่าไร
“จะว่าไป 4 คนนั้นเขาเอาเวลาที่ไหนไปทำความรู้จักกันนะ นายว่าไหม” นิโคลหันมาถามเอ็ดเวิร์ด
“ไม่รู้สิ อาจจะตั้งแต่วันทดสอบเหมือนพวกเรา หรือไม่ก็คงเป็นตอนที่ว่างๆ ช่วงเช้าล่ะมั้ง”
“แล้วนายว่า จะมีคนที่ยังไม่มีกลุ่มอยู่ไหมน้า จะได้ชวนมาตั้งแก๊งของเรากันบ้าง” นิโคลหัวเราะคิกคักกับความคิดของตัวเอง “น่าสนุกดีเนอะ”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มให้กับความคิดเพื่อนของเขา “ก็ดีนะ มีเพื่อนไว้เยอะๆ ก็ดี ขอแค่ไม่ใช่ 2 คนนั้น ฉันก็โอเคหมดนั่นแหละ”
นิโคลมองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ แล้วยิ้มมุมปากน้อยๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า 2 คนที่เอ็ดเวิร์ดพูดถึงคือใคร
“ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเลย นายก็ไม่ชอบพวกเขาซะแล้วหรอ” นิโคลถามเชิงกระเซ้า
“ฉันก็พูดไม่ถูกแหะ ก็ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก เรียกว่าไม่ถูกโฉลกกันล่ะมั้ง” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่ตอบ
“นายรู้ไหม เอ็ด ฉันแอบภาวนาต่อพระเจ้าทุกวันขอให้พวกนาย 3 คนดวงสมพงศ์ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันอยู่นะ” นิโคลพูดหยอก เอ็ดเวิร์ดยิ้มมุมปากกลับไปให้เพื่อน “ฉันไม่ได้พูดเล่นนะเพื่อน”
“งั้นก็ขอให้พระเจ้าไม่ได้ยินเสียงนายก็แล้วกัน”
“เฮ้ย!!” เสียงร้องตะโกนอย่างตกในดังมาจากนิโคล
“มีอะไร นิค!” เด็กหนุ่มอีกคนก็ส่งเสียงที่ตกใจไม่แพ้กันออกมาพร้อมกับหันหน้ามองซ้ายขวาอย่างตระหนก พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเขาร้องเสียงหลงขนาดนี้
“ฉันลืมเอาหนังสือมา” นิโคลตอบเฉื่อยๆ พลางควานหาหนังสืออีกครั้งในกระเป๋าสะพายของตน
“โธ่ นิค ไอ้บ้าเอ๊ย นายทำฉันตกอกตกใจหมด”
“ขอโทษทีเพื่อน” นิโคลเงยหน้าจากกระเป๋ามามองเอ็ดเวิร์ด “เอาเป็นว่านายไปที่ห้องเรียนก่อนแล้วกัน อีกไม่ถึง 10 นาทีก็จะได้เวลาเรียนแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาเป็นว่านายรีบไปเอาหนังสือแล้วกัน เดี๋ยวฉันรอที่นี่”
“นายแน่ใจนะว่าจะเข้าสายตั้งแต่วิชาแรกที่เราเรียน” เด็กหนุ่มถามเพื่อย้ำคำตอบของเพื่อนเขาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงน่า นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้จริงจังอะไรกับที่นี่นักหนาอยู่แล้ว” เอ็ดเวิร์ดยืนยันความคิดของตน พร้อมกับสะบัดมือไล่เพื่อนของเขา “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันรออยู่ที่นี่แหละ”
สภาพภายในห้องเรียนวิชาภาษาศาสตร์ตอนนี้ เป็นเหมือนโถงสีขาวขนาดมหึมา มีโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่ของครูผู้สอนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อหันหลังให้โต๊ะ เบื้องหน้าจะเป็นแถวที่นั่งสำหรับนักเรียน เรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งขณะนี้มีเด็กนักเรียนชายหญิงนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่หากลองนับจำนวนดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามีเด็ก 2 คนที่ยังคงไม่เข้ามาอยู่ในห้องนี้
เสียงวิ่งกันมาอย่างเร่งรีบของนักเรียน 2 คนที่ว่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อประตูห้องเปิดออก ความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงพูดคุย พร้อมกับสายตาทุกคู่ในห้องที่จับจ้องมายัง 2 ผู้มาเยือนล่าสุด
เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนยืนหอบลิ้นห้อยอยู่หน้าประตูโดยไม่สนใจสายตาที่มองมา เมื่อไร้วี่แววของครูผู้สอน ทั้งสองคนก็หันมายิ้มให้กัน
“รอดตายแหะเรา” นิโคลยืดตัวขึ้นแล้วหันไปกระซิบเบาๆ กับเอ็ดเวิร์ด ผู้ซึ่งตอนนี้ยังโค้งตัวหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่
“ใครรอดตาย หือ คุณฟอร์บส์ คุณไรเกอร์” เสียงถามของชายปริศนาดังขึ้นข้างหลัง เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนหันหน้าไปด้านหลังช้าๆ แล้วก็พบเข้ากับชายชราเจ้าของเสียง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยริ้วรอยของความชรา เส้นผมสีขาวเต็มศีรษะ เช่นเดียวกับหนวดเคราสีขาวบนใบหน้า แต่บุคลิกของชายตรงหน้าช่างดูแตกต่างกับอายุที่ควรจะเป็นเสียเหลือเกิน ร่างกายภายใต้ร่มผ้าที่ปิดมิดชิดยังคงทิ้งร่องรอยของความแข็งแรงเอาไว้ โดยเฉพาะแววตา เอ็ดเวิร์ดสัมผัสได้ทั้งความใจดีและความเข้มงวดจากดวงตาคู่นั้น ในบรรดาครูทั้งหมดที่เขาได้พบเจอมาตั้งแต่วันที่มาเข้ารับการทดสอบ ชายตรงหน้าให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงมันจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของชายตรงหน้า ชายชราส่งยิ้มมาให้เด็กหนุ่มทั้งสอง “น่าปลื้มใจจริงๆ นานแล้วนะที่ไม่ได้เห็นนักเรียนเข้าเรียนสายตั้งแต่วิชาแรกแบบนี้ น่าปลื้มใจ”
“เราสายไป 3 นาทีเองนะครับครู” นิโคลโต้แย้ง
“นั่นคือการปฏิเสธว่าไม่สายงั้นหรือ คุณไรเกอร์” คำถามของชายชรา ทำให้นิโคลได้แต่ยิ้มแหยๆ แทนคำตอบ “เอาล่ะ ครั้งนี้ครูจะไม่ว่าอะไรก็แล้วกัน แต่การมาสายไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ โดยเฉพาะครั้งแรกในแต่ละวิชาแบบนี้ เพราะพวกเธออาจจะพลาดอะไรที่สำคัญไปก็ได้ อย่าทำแบบนี้อีกล่ะ เข้าในนะทั้งสองคน”
“เข้าใจครับ” จำเลยทั้งสองตอบรับพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้น ทั้งสองคนไปนั่งแถวหน้าสุดเลยก็แล้วกัน ข้างสาวน้อยน่ารักคนนั้น เดี๋ยวการสอนจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปที่ที่นั่งแถวหน้าตามที่ครูบอก แต่แล้วสายตาของเอ็ดเวิร์ดก็พลันเหลือบไปเห็นสาวน้อยน่ารักคนนั้นของครูเข้า
“ยัยแว่น” เอ็ดเวิร์ดตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ภาพในวันวาน ณ ร้านขายหนังสือลอยเข้ามาเป็นฉากๆ เช่นเดียวกันกับเด็กสาวตรงหน้า ที่ก็ดูเหมือนว่าจะจำเขาได้เช่นเดียวกัน
“นายเบ๊อะที่ร้านบาธาซาร์นี่” เด็กสาวทัก
ท่ามกลางความตกใจของทั้ง 2 คน เด็กหนุ่มอีกคนที่เห็นและอยู่ในเหตุการณ์ที่ร้านหนังสือและตอนนี้ถึงกับกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ดูท่าพระเจ้าจะได้ยินเสียงอ้อนวอนของเขาแล้วสิ
“เธอเรียกใครนายเบ๊อะ”
“แล้วนายเรียกใครยัยแว่น”
“คุยอะไรกัน 2 คนนั้น นั่งที่ได้แล้ว ครูจะเริ่มการสอนแล้วนะ” ชายชราเดินมาหยุดที่คู่กัดที่ยังคงแยกเขี้ยวใส่กันอยู่ พร้อมกับออกคำสั่งสงบศึก
“นายเข้าไปนั่งข้างยัยนั่นเลย นิค เดี๋ยวฉันนั่งถัดจากนายเอง” เอ็ดเวิร์ดหันไปบอกนิโคล
“นายนี่น้า ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับเขาหน่อยหรือไง” คำถามที่ได้รับคำตอบกลับมาเป็นสายตาแห่งความหายนะ นิโคลจึงจำใจยอมเป็นคนคั่นกลางศึกนี้ให้เพื่อน แม้ใจเขาจะยังอยากเห็นเรื่องสนุกๆ ต่อ
“เอาล่ะ” ชายชราเริ่มต้นพูด “ในเมื่อมากันครบแล้ว ครูจะเริ่มการสอนแล้วนะ แต่ก่อนที่จะเริ่มกันอย่างเป็นทางการ ครูมีเรื่องที่ต้องแจ้งพวกเธอก่อนหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ วิชานี้ไม่ใช่วิชาภาษาศาสตร์ตามตารางเรียนนะ เพราะครูได้ทำการขอแลกกับครูประจำวิชานี้ไว้แล้ว วิชานี้คือวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน”
เสียงฮือฮาจากผู้ฟังหลายคนเริ่มดังขึ้น หลายๆ คนหันหน้าไปพูดคุยกับเพื่อนถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เด็กสาวคู่อาฆาตของเอ็ดเวิร์ดซึ่งขณะนี้นั่งอยู่ข้างนิโคลยกมือขึ้นถาม
“แต่หนังสือที่พวกเราเอามาในวันนี้คือหนังสือเรียนภาษาศาสตร์นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณดีน อันที่จริงครูก็ผิดเองที่ไม่ได้แจ้งพวกเธอล่วงหน้า เอาเป็นว่าวันนี้จะไม่ใช่การสอนที่ลงรายละเอียดลึกอะไรมากขนาดนั้นหรอก ให้คิดเสียว่าวันนี้เป็นการพูดคุยกันละกันนะ” ชายชรายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน และเอ็ดเวิร์ดก็ได้รู้แล้วว่าเด็กสาวคนนี้มีนามสกุลว่า ดีน “ถ้าอย่างนั้น ครูจะเริ่มต้นการเรียนด้วยการแนะนำตัวเองก่อนนะ ครูชื่อเซบาสเตียน เอไลจาห์ ตอนนี้รับหน้าที่เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมนตราพาเธนอน”
“ครูใหญ่!!” เด็กทุกคนในห้องตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนจริงๆ ก็แน่ล่ะสิ ใครจะไปคิดว่าบุคลากรระดับสูงสุดของพาเธนอน ผู้ที่น่าจะนั่งวุ่นวายอยู่กับกองงานมหาศาลของโรงเรียนมนตราชื่อดัง จะมารับบทบาทเป็นครูสอนวิชาเรียน แล้วยิ่งเป็นการสอนให้แก่เด็กปีหนึ่งอย่างพวกเขาอีกด้วย การแนะนำตัวของชายตรงหน้า สร้างความเงียบสงัดขึ้นภายในห้องเรียนทันที เอ็ดเวิร์ดเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เขามีต่อชายชราคนนี้ขึ้นมาแล้ว
“เฮ้อ กี่ปีต่อกี่ปีก็ยังสนุกไม่เปลี่ยนเลยนะ การได้เห็นพวกเธอต๊กกะใจกันเนี่ย” ครูใหญ่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในห้องพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ครูใหญ่ แล้วทำไมครูใหญ่ถึงมาสอนพวกเราล่ะคะ” เด็กสาวผิวสีคนหนึ่งตะโกนถามขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในหัวของใครหลายๆ คนในห้องนี้ด้วย
ครูใหญ่หยุดหัวเราะแล้วจึงเริ่มต้นตอบคำถาม “สาเหตุที่ครูตั้งใจมาสอนพวกเธอที่เป็นเด็กปี 1 ในวิชาเวทมนตร์พื้นฐานเนี่ย มันมี 2 เหตุผลด้วยกัน
เหตุผลแรกก็คือ พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ พวกเธอก็คงจะพอรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม พื้นฐานถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตึกจะสูงขึ้นไปเสียดฟ้าได้ ก็ด้วยรากฐานที่มั่นคง เวทมนตร์ก็เช่นเดียวกัน การจะใช้เวทมนตร์เสกสรรทุกสรรพสิ่งให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างที่ใจปรารถนา จำเป็นต้องมาจากการรอบรู้ในเรื่องพื้นฐานให้ชัดแจ้งเสียก่อน วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน เป็นวิชาเดียวในปี 1 ที่พวกเธอจะได้ทำความรู้จักกับเวทมนตร์ เพื่อนำไปต่อยอดในการเรียนวิชาอื่นๆ รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย ถือได้ว่าวิชานี้เป็นวิชาที่มีความสำคัญมากที่สุดต่อพวกเธอ ดังนั้น ครูจึงอยากจะเป็นคนที่สร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้แก่พวกเธอด้วยตัวครูเอง”
เอ็ดเวิร์ดยกมือขึ้น เมื่อครูใหญ่พยักหน้าให้อนุญาตแล้ว เขาก็ถามถึงสิ่งที่อยากรู้ “ที่โรงเรียนนี้ไม่มีครูคนไหนที่เหมาะสมจะสอนวิชานี้ไปมากกว่าครูใหญ่แล้วหรอครับ”
“เป็นคำถามที่ดีนี่ คุณฟอร์บส์” ครูใหญ่ยิ้มให้กับคำถามของเอ็ดเวิร์ด พร้อมกล่าวต่อ “นั่นจึงเป็นที่มาของเหตุผลข้อ 2 ที่ครูต้องการมาสอนพวกเธอ ตั้งแต่วินาทีที่พวกเธอก้าวเท้าเข้ามาเป็นนักเรียนที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเข้ามาหาเธอล้วนเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเธอก็เปรียบเสมือนแก้วเปล่าที่พร้อมรับทุกสิ่งที่ครูหรือใครจะมอบให้ วัยของพวกเธอจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเวทมนตร์เท่านั้นนะ การที่ได้เห็นพัฒนาการของพวกเธอที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน มันคือสิ่งที่ทำให้ครูมีความสุขมากเลยล่ะ”
นักเรียนทุกคนนิ่งเงียบหลังจากรับฟังคำตอบจากปากของครูใหญ่เสร็จ บางคนอาจจะกำลังประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนอาจจะยังสับสน บางคนอาจจะเคลือบแคลงใจในตัวชายตรงหน้านี้ แต่สำหรับเอ็ดเวิร์ด เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจในทุกๆ คำพูดที่ชายชราเปล่งออกมา
“ถ้าอย่างนั้น” ชายชราพูดขึ้นหลังจากที่เห็นนักเรียนทุกคนเงียบได้สักพัก “เรามาเริ่มการเรียนการสอนในวิชาเวทมนตร์พื้นฐานกันเลยนะ”
ปล. ตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยมีอะไรหน่อยนะครับ (หรือว่าไม่มีอะไรมาตั้งนานแล้วก็ไม่รู้) จริงๆ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องหลักการการใช้เวทมนตร์ด้วย แต่กลัวจะยาวเกินไป เลยตัดสินใจตัดจบเท่านี้ก่อน
ปล.2 ชอบไม่ชอบตรงไหน แนะนำติชมกันได้ตามสบายเลยนะครับ น้อมรับทุกคำติชม
การปรากฏตัวของบุคคลที่ไม่คาดคิด
“วิชาช่วงบ่ายนี้วิชาอะไรหรอ เอ็ด”
“ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกช่วงเช้าจะเป็นวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน เราข้ามวิชาช่วงเช้ามา ช่วงบ่ายก็จะเป็นวิชาภาษาศาสตร์”
“เห วิชาเปิดตัวสำหรับการเป็นนักเรียนที่พาเธนอนนี่ แค่ฟังชื่อก็อยากลาออกซะแล้วสิ”
“ฮ่าๆๆ เห็นด้วยเลยล่ะ”
ขณะนี้ เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนกำลังอยู่ในระหว่างเดินเท้าจากห้องอาหารซึ่งอยู่ในอาคารปีกซ้ายไปสู่อาคารปีกขวา เพื่อไปเข้าเรียนวิชาภาษาศาสตร์ในช่วงบ่าย มีเด็กผู้ชาย 4 คนจับกลุ่มเดินคุยและหัวเราะเสียงดังกันอยู่ด้านหน้าไกลๆ กำลังมุ่งหน้าไปที่เดียวกัน เหลือเวลาอีกเพียง 10 นาทีก่อนการเรียนการสอนจะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนจึงยังไม่รีบร้อนในการเดินทางสักเท่าไร
“จะว่าไป 4 คนนั้นเขาเอาเวลาที่ไหนไปทำความรู้จักกันนะ นายว่าไหม” นิโคลหันมาถามเอ็ดเวิร์ด
“ไม่รู้สิ อาจจะตั้งแต่วันทดสอบเหมือนพวกเรา หรือไม่ก็คงเป็นตอนที่ว่างๆ ช่วงเช้าล่ะมั้ง”
“แล้วนายว่า จะมีคนที่ยังไม่มีกลุ่มอยู่ไหมน้า จะได้ชวนมาตั้งแก๊งของเรากันบ้าง” นิโคลหัวเราะคิกคักกับความคิดของตัวเอง “น่าสนุกดีเนอะ”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มให้กับความคิดเพื่อนของเขา “ก็ดีนะ มีเพื่อนไว้เยอะๆ ก็ดี ขอแค่ไม่ใช่ 2 คนนั้น ฉันก็โอเคหมดนั่นแหละ”
นิโคลมองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ แล้วยิ้มมุมปากน้อยๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า 2 คนที่เอ็ดเวิร์ดพูดถึงคือใคร
“ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเลย นายก็ไม่ชอบพวกเขาซะแล้วหรอ” นิโคลถามเชิงกระเซ้า
“ฉันก็พูดไม่ถูกแหะ ก็ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก เรียกว่าไม่ถูกโฉลกกันล่ะมั้ง” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่ตอบ
“นายรู้ไหม เอ็ด ฉันแอบภาวนาต่อพระเจ้าทุกวันขอให้พวกนาย 3 คนดวงสมพงศ์ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันอยู่นะ” นิโคลพูดหยอก เอ็ดเวิร์ดยิ้มมุมปากกลับไปให้เพื่อน “ฉันไม่ได้พูดเล่นนะเพื่อน”
“งั้นก็ขอให้พระเจ้าไม่ได้ยินเสียงนายก็แล้วกัน”
“เฮ้ย!!” เสียงร้องตะโกนอย่างตกในดังมาจากนิโคล
“มีอะไร นิค!” เด็กหนุ่มอีกคนก็ส่งเสียงที่ตกใจไม่แพ้กันออกมาพร้อมกับหันหน้ามองซ้ายขวาอย่างตระหนก พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เพื่อนเขาร้องเสียงหลงขนาดนี้
“ฉันลืมเอาหนังสือมา” นิโคลตอบเฉื่อยๆ พลางควานหาหนังสืออีกครั้งในกระเป๋าสะพายของตน
“โธ่ นิค ไอ้บ้าเอ๊ย นายทำฉันตกอกตกใจหมด”
“ขอโทษทีเพื่อน” นิโคลเงยหน้าจากกระเป๋ามามองเอ็ดเวิร์ด “เอาเป็นว่านายไปที่ห้องเรียนก่อนแล้วกัน อีกไม่ถึง 10 นาทีก็จะได้เวลาเรียนแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาเป็นว่านายรีบไปเอาหนังสือแล้วกัน เดี๋ยวฉันรอที่นี่”
“นายแน่ใจนะว่าจะเข้าสายตั้งแต่วิชาแรกที่เราเรียน” เด็กหนุ่มถามเพื่อย้ำคำตอบของเพื่อนเขาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงน่า นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้จริงจังอะไรกับที่นี่นักหนาอยู่แล้ว” เอ็ดเวิร์ดยืนยันความคิดของตน พร้อมกับสะบัดมือไล่เพื่อนของเขา “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันรออยู่ที่นี่แหละ”
สภาพภายในห้องเรียนวิชาภาษาศาสตร์ตอนนี้ เป็นเหมือนโถงสีขาวขนาดมหึมา มีโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่ของครูผู้สอนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อหันหลังให้โต๊ะ เบื้องหน้าจะเป็นแถวที่นั่งสำหรับนักเรียน เรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งขณะนี้มีเด็กนักเรียนชายหญิงนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่หากลองนับจำนวนดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามีเด็ก 2 คนที่ยังคงไม่เข้ามาอยู่ในห้องนี้
เสียงวิ่งกันมาอย่างเร่งรีบของนักเรียน 2 คนที่ว่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อประตูห้องเปิดออก ความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงพูดคุย พร้อมกับสายตาทุกคู่ในห้องที่จับจ้องมายัง 2 ผู้มาเยือนล่าสุด
เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนยืนหอบลิ้นห้อยอยู่หน้าประตูโดยไม่สนใจสายตาที่มองมา เมื่อไร้วี่แววของครูผู้สอน ทั้งสองคนก็หันมายิ้มให้กัน
“รอดตายแหะเรา” นิโคลยืดตัวขึ้นแล้วหันไปกระซิบเบาๆ กับเอ็ดเวิร์ด ผู้ซึ่งตอนนี้ยังโค้งตัวหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่
“ใครรอดตาย หือ คุณฟอร์บส์ คุณไรเกอร์” เสียงถามของชายปริศนาดังขึ้นข้างหลัง เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนหันหน้าไปด้านหลังช้าๆ แล้วก็พบเข้ากับชายชราเจ้าของเสียง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยริ้วรอยของความชรา เส้นผมสีขาวเต็มศีรษะ เช่นเดียวกับหนวดเคราสีขาวบนใบหน้า แต่บุคลิกของชายตรงหน้าช่างดูแตกต่างกับอายุที่ควรจะเป็นเสียเหลือเกิน ร่างกายภายใต้ร่มผ้าที่ปิดมิดชิดยังคงทิ้งร่องรอยของความแข็งแรงเอาไว้ โดยเฉพาะแววตา เอ็ดเวิร์ดสัมผัสได้ทั้งความใจดีและความเข้มงวดจากดวงตาคู่นั้น ในบรรดาครูทั้งหมดที่เขาได้พบเจอมาตั้งแต่วันที่มาเข้ารับการทดสอบ ชายตรงหน้าให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงมันจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย แต่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของชายตรงหน้า ชายชราส่งยิ้มมาให้เด็กหนุ่มทั้งสอง “น่าปลื้มใจจริงๆ นานแล้วนะที่ไม่ได้เห็นนักเรียนเข้าเรียนสายตั้งแต่วิชาแรกแบบนี้ น่าปลื้มใจ”
“เราสายไป 3 นาทีเองนะครับครู” นิโคลโต้แย้ง
“นั่นคือการปฏิเสธว่าไม่สายงั้นหรือ คุณไรเกอร์” คำถามของชายชรา ทำให้นิโคลได้แต่ยิ้มแหยๆ แทนคำตอบ “เอาล่ะ ครั้งนี้ครูจะไม่ว่าอะไรก็แล้วกัน แต่การมาสายไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ โดยเฉพาะครั้งแรกในแต่ละวิชาแบบนี้ เพราะพวกเธออาจจะพลาดอะไรที่สำคัญไปก็ได้ อย่าทำแบบนี้อีกล่ะ เข้าในนะทั้งสองคน”
“เข้าใจครับ” จำเลยทั้งสองตอบรับพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้น ทั้งสองคนไปนั่งแถวหน้าสุดเลยก็แล้วกัน ข้างสาวน้อยน่ารักคนนั้น เดี๋ยวการสอนจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปที่ที่นั่งแถวหน้าตามที่ครูบอก แต่แล้วสายตาของเอ็ดเวิร์ดก็พลันเหลือบไปเห็นสาวน้อยน่ารักคนนั้นของครูเข้า
“ยัยแว่น” เอ็ดเวิร์ดตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ภาพในวันวาน ณ ร้านขายหนังสือลอยเข้ามาเป็นฉากๆ เช่นเดียวกันกับเด็กสาวตรงหน้า ที่ก็ดูเหมือนว่าจะจำเขาได้เช่นเดียวกัน
“นายเบ๊อะที่ร้านบาธาซาร์นี่” เด็กสาวทัก
ท่ามกลางความตกใจของทั้ง 2 คน เด็กหนุ่มอีกคนที่เห็นและอยู่ในเหตุการณ์ที่ร้านหนังสือและตอนนี้ถึงกับกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ดูท่าพระเจ้าจะได้ยินเสียงอ้อนวอนของเขาแล้วสิ
“เธอเรียกใครนายเบ๊อะ”
“แล้วนายเรียกใครยัยแว่น”
“คุยอะไรกัน 2 คนนั้น นั่งที่ได้แล้ว ครูจะเริ่มการสอนแล้วนะ” ชายชราเดินมาหยุดที่คู่กัดที่ยังคงแยกเขี้ยวใส่กันอยู่ พร้อมกับออกคำสั่งสงบศึก
“นายเข้าไปนั่งข้างยัยนั่นเลย นิค เดี๋ยวฉันนั่งถัดจากนายเอง” เอ็ดเวิร์ดหันไปบอกนิโคล
“นายนี่น้า ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับเขาหน่อยหรือไง” คำถามที่ได้รับคำตอบกลับมาเป็นสายตาแห่งความหายนะ นิโคลจึงจำใจยอมเป็นคนคั่นกลางศึกนี้ให้เพื่อน แม้ใจเขาจะยังอยากเห็นเรื่องสนุกๆ ต่อ
“เอาล่ะ” ชายชราเริ่มต้นพูด “ในเมื่อมากันครบแล้ว ครูจะเริ่มการสอนแล้วนะ แต่ก่อนที่จะเริ่มกันอย่างเป็นทางการ ครูมีเรื่องที่ต้องแจ้งพวกเธอก่อนหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ วิชานี้ไม่ใช่วิชาภาษาศาสตร์ตามตารางเรียนนะ เพราะครูได้ทำการขอแลกกับครูประจำวิชานี้ไว้แล้ว วิชานี้คือวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน”
เสียงฮือฮาจากผู้ฟังหลายคนเริ่มดังขึ้น หลายๆ คนหันหน้าไปพูดคุยกับเพื่อนถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เด็กสาวคู่อาฆาตของเอ็ดเวิร์ดซึ่งขณะนี้นั่งอยู่ข้างนิโคลยกมือขึ้นถาม
“แต่หนังสือที่พวกเราเอามาในวันนี้คือหนังสือเรียนภาษาศาสตร์นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณดีน อันที่จริงครูก็ผิดเองที่ไม่ได้แจ้งพวกเธอล่วงหน้า เอาเป็นว่าวันนี้จะไม่ใช่การสอนที่ลงรายละเอียดลึกอะไรมากขนาดนั้นหรอก ให้คิดเสียว่าวันนี้เป็นการพูดคุยกันละกันนะ” ชายชรายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน และเอ็ดเวิร์ดก็ได้รู้แล้วว่าเด็กสาวคนนี้มีนามสกุลว่า ดีน “ถ้าอย่างนั้น ครูจะเริ่มต้นการเรียนด้วยการแนะนำตัวเองก่อนนะ ครูชื่อเซบาสเตียน เอไลจาห์ ตอนนี้รับหน้าที่เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมนตราพาเธนอน”
“ครูใหญ่!!” เด็กทุกคนในห้องตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนจริงๆ ก็แน่ล่ะสิ ใครจะไปคิดว่าบุคลากรระดับสูงสุดของพาเธนอน ผู้ที่น่าจะนั่งวุ่นวายอยู่กับกองงานมหาศาลของโรงเรียนมนตราชื่อดัง จะมารับบทบาทเป็นครูสอนวิชาเรียน แล้วยิ่งเป็นการสอนให้แก่เด็กปีหนึ่งอย่างพวกเขาอีกด้วย การแนะนำตัวของชายตรงหน้า สร้างความเงียบสงัดขึ้นภายในห้องเรียนทันที เอ็ดเวิร์ดเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เขามีต่อชายชราคนนี้ขึ้นมาแล้ว
“เฮ้อ กี่ปีต่อกี่ปีก็ยังสนุกไม่เปลี่ยนเลยนะ การได้เห็นพวกเธอต๊กกะใจกันเนี่ย” ครูใหญ่พูดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในห้องพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ครูใหญ่ แล้วทำไมครูใหญ่ถึงมาสอนพวกเราล่ะคะ” เด็กสาวผิวสีคนหนึ่งตะโกนถามขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในหัวของใครหลายๆ คนในห้องนี้ด้วย
ครูใหญ่หยุดหัวเราะแล้วจึงเริ่มต้นตอบคำถาม “สาเหตุที่ครูตั้งใจมาสอนพวกเธอที่เป็นเด็กปี 1 ในวิชาเวทมนตร์พื้นฐานเนี่ย มันมี 2 เหตุผลด้วยกัน
เหตุผลแรกก็คือ พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ พวกเธอก็คงจะพอรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม พื้นฐานถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตึกจะสูงขึ้นไปเสียดฟ้าได้ ก็ด้วยรากฐานที่มั่นคง เวทมนตร์ก็เช่นเดียวกัน การจะใช้เวทมนตร์เสกสรรทุกสรรพสิ่งให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างที่ใจปรารถนา จำเป็นต้องมาจากการรอบรู้ในเรื่องพื้นฐานให้ชัดแจ้งเสียก่อน วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน เป็นวิชาเดียวในปี 1 ที่พวกเธอจะได้ทำความรู้จักกับเวทมนตร์ เพื่อนำไปต่อยอดในการเรียนวิชาอื่นๆ รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย ถือได้ว่าวิชานี้เป็นวิชาที่มีความสำคัญมากที่สุดต่อพวกเธอ ดังนั้น ครูจึงอยากจะเป็นคนที่สร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้แก่พวกเธอด้วยตัวครูเอง”
เอ็ดเวิร์ดยกมือขึ้น เมื่อครูใหญ่พยักหน้าให้อนุญาตแล้ว เขาก็ถามถึงสิ่งที่อยากรู้ “ที่โรงเรียนนี้ไม่มีครูคนไหนที่เหมาะสมจะสอนวิชานี้ไปมากกว่าครูใหญ่แล้วหรอครับ”
“เป็นคำถามที่ดีนี่ คุณฟอร์บส์” ครูใหญ่ยิ้มให้กับคำถามของเอ็ดเวิร์ด พร้อมกล่าวต่อ “นั่นจึงเป็นที่มาของเหตุผลข้อ 2 ที่ครูต้องการมาสอนพวกเธอ ตั้งแต่วินาทีที่พวกเธอก้าวเท้าเข้ามาเป็นนักเรียนที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเข้ามาหาเธอล้วนเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเธอก็เปรียบเสมือนแก้วเปล่าที่พร้อมรับทุกสิ่งที่ครูหรือใครจะมอบให้ วัยของพวกเธอจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเวทมนตร์เท่านั้นนะ การที่ได้เห็นพัฒนาการของพวกเธอที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน มันคือสิ่งที่ทำให้ครูมีความสุขมากเลยล่ะ”
นักเรียนทุกคนนิ่งเงียบหลังจากรับฟังคำตอบจากปากของครูใหญ่เสร็จ บางคนอาจจะกำลังประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนอาจจะยังสับสน บางคนอาจจะเคลือบแคลงใจในตัวชายตรงหน้านี้ แต่สำหรับเอ็ดเวิร์ด เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจในทุกๆ คำพูดที่ชายชราเปล่งออกมา
“ถ้าอย่างนั้น” ชายชราพูดขึ้นหลังจากที่เห็นนักเรียนทุกคนเงียบได้สักพัก “เรามาเริ่มการเรียนการสอนในวิชาเวทมนตร์พื้นฐานกันเลยนะ”
ปล. ตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยมีอะไรหน่อยนะครับ (หรือว่าไม่มีอะไรมาตั้งนานแล้วก็ไม่รู้) จริงๆ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องหลักการการใช้เวทมนตร์ด้วย แต่กลัวจะยาวเกินไป เลยตัดสินใจตัดจบเท่านี้ก่อน
ปล.2 ชอบไม่ชอบตรงไหน แนะนำติชมกันได้ตามสบายเลยนะครับ น้อมรับทุกคำติชม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ