Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน

-

เขียนโดย OAZIS

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.

  17 ตอน
  2 วิจารณ์
  8,999 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) วุ่นวาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 3
วุ่นวาย
 
               จัตุรัสลาร์คเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปลากูน่านี้ ที่นี่มีขายทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่คุณจะนึกได้ แต่ที่เห็นจะได้รับความนิยมมากที่สุด เห็นจะเป็นเหล่าอาหารทะเลนานาชนิด ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อที่สุดของลากูน่า แม้ทวีปอื่นจะมีการประมงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใหญ่และครบวงจรเท่ากับอุตสาหกรรมประมงของลากูน่า ที่ตลาดนี้คุณสามารถหาซื้อสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทรสีฟ้าได้ทุกชนิดเท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน รวมไปถึงสินค้าชนิดอื่นๆ อีกมากมาย เอ็ดเวิร์ดเคยได้ยินมาแม้กระทั่งว่ามีร้านลับที่ขายเฉพาะสินค้าผิดกฎหมายซ่อนอยู่ในตลาดแห่งนี้ด้วย เฉพาะลูกค้าประจำเท่านั้นที่จะสามารถรู้ทางเข้าร้านเหล่านี้ได้
 
               แต่ถึงลาร์คจะเป็นตลาดที่ครบวงจร และมีผู้มาใช้บริการอย่างเนืองแน่น แต่กลับมีการจัดสรรพื้นที่สำหรับร้านรวงต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ จึงเป็นที่น่ายินดีที่แม้เอ็ดเวิร์ดจะต้องสู้กับฝูงชนเพื่อไปยังร้านขายหนังสืออย่างทุลักทุเล อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องได้กลิ่นคาวของอาหารทะเลด้วย ไม่เช่นนั้นเขาได้สติแตกแน่ 
 
               “กว่าจะได้สอบ กว่าจะสอบผ่าน แล้วยังต้องมาเดินซื้อหนังสือเองอีก ลำบากจังเลยนะ การจะเข้าเรียนที่นี่ได้เนี่ย” เสียงบ่นอุบตลอดทางจากเจ้าของเสียงคนเดิม เอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์ ขณะเดินเคียงข้างโอลิเวียผู้เป็นแม่
 
               “บ่นเก่งจริงๆ เลยนะ ลูกคนนี้” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนใจ
 
               “ก็มันจริงนี่แม่ อุปกรณ์การเรียนอย่างพวกหนังสือเนี่ย ทางโรงเรียนก็สามารถเตรียมไว้ให้นักเรียนได้นี่นา ไม่เห็นจะต้องมาลำบากเดินหาซื้อเองอย่างนี้เลย แล้วไอ้ตลาดเนี่ย คนมันจะเยอะเกินไปแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มบ่นอย่างหัวเสีย มือทั้ง 2 ข้างก็พยายามแหวกฝูงชนรอบตัวเพื่อขยับไปยืนข้างแม่เขาเหมือนเมื่อสักครู่ ท่ามกลางฝูงชนแน่นขนัดขนาดนี้ เพียงเผลอแวบเดียวเขาสามารถหลงกับแม่ได้อย่างง่ายดาย
 
               “ที่นี่มันลาร์คนะ เอ็ด ลำพังช่วงเวลาปกติคนก็เยอะพออยู่แล้ว ยิ่งก่อนพาเธนอนเปิดเรียนอย่างนี้ คนเขาก็แห่กันมาซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกๆ หลานๆ เขา คนจะเยอะก็ไม่แปลกหรอกลูก อีกอย่าง ลูกไม่คิดหรอว่าการมาเลือกซื้อของที่จะต้องเอาไปใช้ด้วยตัวเองมันให้ความรู้สึกดีกว่า” โอลิเวียตอบพร้อมหัวเราะคิกคัก พลางเดินรุดหน้านำเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังร้านขายหนังสือ ตัดภาพมาที่เอ็ดเวิร์ด เขาต้องพยายามเบียดเสียดกับฝูงชนเพื่อเดินให้ทันแม่ของเขา ยิ่งเบียดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งเบียด เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่เขาถึงเดินไปได้สบายๆ ขนาดนั้น ยิ่งคิดก็ได้แต่ยิ่งสงสัย
 
               หลังจากฟัดเหวี่ยงกับคนอีกพอสมควร เอ็ดเวิร์ดก็มาหยุดอยู่ข้างแม่เขา (ซึ่งมาหยุดรอเขาอยู่หน้าร้านได้สักพักแล้ว) ข้างหน้าทั้ง 2 เป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ จะเรียกว่าร้านก็ออกจะเป็นการดูถูกไปเสียหน่อย เรียกว่าเป็นคฤหาสน์หนังสือจะดีกว่า อาคารทรงโบราณตรงหน้านั้นมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่เสียจนการจะหาหนังสือเล่มที่ต้องการจากร้านนี้คงจะใช้เวลาทั้งวัน หน้าร้านมีป้ายชื่อขนาดใหญ่เขียนว่า “ร้านหนังสือของบาธาซาร์”
 
               โอลิเวียผลักประตูซึ่งออกแบบเป็นรูปหนังสือกางอยู่เพื่อเข้าไปในร้าน ถึงแม้ว่าร้านหนังสือนี้จะมีขนาดใหญ่สักเท่าไร แต่ก็ดูจะไม่สามารถจุคนที่แห่กันมาซื้อหนังสือได้ แม้จะไม่นับบรรดาผู้ปกครองที่มาซื้อหนังสือเรียนให้ลูกหลานของตัวเอง เอ็ดเวิร์ดคิดว่าร้านนี้ก็คงจะมีผู้คนแห่แหนมาใช้บริการแน่นขนัดทุกวันอย่างแน่นอน
 
               “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการรับหนังสืออะไรคะ” พนักงานต้อนรับสาวที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าเดินเข้ามาสอบถามลูกค้าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่เมื่อพนักงานเห็นหน้าลูกค้าสาวชัดๆ ก็มีอาการผงะเล็กน้อย แววตาสั่นระริก “คุณคือคุณโอลิเวีย ฟอร์บส์ใช่ไหมคะ”
               “ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ
 
               “ฉันชอบคุณมากเลยค่ะ ติดตามมาตลอดเลย เป็นแฟนคลับตัวยงเลยนะคะ ฉันชื่อมิกก้าค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” มิกก้ายื่นมือทั้ง 2 มาจับกับโอลิเวีย พร้อมเขย่ามือหญิงสาวที่ชื่นชอบตรงหน้า หญิงสาวทำได้เพียงยิ้มรับ
 
               เอ็ดเวิร์ดค่อนข้างชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ เขาจึงเลือกที่จะเดินแยกไปอีกมุมหนึ่งที่คนน้อยกว่า พร้อมกวาดตาหาหนังสือที่ตนเองต้องการ
 
               เด็กหนุ่มเดินมาถึงโซนหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งคนค่อนข้างบางตากว่าโซนอื่นๆ เด็กหนุ่มหยิบกระดาษซึ่งมีรายชื่อหนังสือประกอบการเรียนสำหรับเด็กปีหนึ่งขึ้นมาดู ก็พบว่าโซนนี้มีหนังสือหนึ่งเล่มที่ต้องนำไปใช้ในการเรียนวิชา “ประวัติศาสตร์และการปกครองแห่งลิเบอร์ตัน”
 
               ขณะที่เอ็ดเวิร์ดกำลังมองหาหนังสือที่ต้องการอยู่ เขาก็รู้สึกว่าโลกมืดดับลง แสงสว่างหายไป และเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก พร้อมกับมีเสียงกระซิบลอยตามลมมาจากบริเวณข้างหู
 
               “จ๊ะเอ๋ ใครเอ่ย”
 
               “มือด้านขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้” เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพร้อมตอบเสียงปริศนากลับไป “คุณนิโคล ไรเกอร์”
 
               “เฮ้ นี่มือฉันด้านขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย ไม่ยักรู้เลยแฮะ” นิโคลปล่อยมือจากดวงตาของเอ็ดเวิร์ดพร้อมแจกยิ้มกว้างสดใสให้คนตรงหน้า
 
               “เจอกันร้านหนังสือในลาร์คแบบนี้ นายก็ผ่านการทดสอบเหมือนกันใช่ไหม” เอ็ดเวิร์ดถาม
 
               “แน่นอนสิ ระดับนี้แล้วนะ” นิโคลกอดอกยืดตอบอย่างภูมิใจ
 
               “เพิ่งมาถึงหรอ” เอ็ดเวิร์ดถาม สายตาเบือนไปจากคู่สนทนา กลับไปไล่ดูสันปกหนังสือเพื่อหาหนังสือที่ต้องการต่อ
 
               “ใช่ เพิ่งมาถึงเลยล่ะ ตอนแรกก็ชวนพ่อมาด้วยนะ แต่เขาดันไล่ฉันมาคนเดียว แถมยังบ่นซะยกใหญ่เลย ว่าโตแล้วต้องดูแลตัวเองได้ จะให้พ่อประคบประหงมไปถึงไหน บลาๆๆ” นิโคลพูด ทำท่าทางยกมือยกไม้เลียนแบบพ่อของขา เอ็ดเวิร์ดเห็นท่าทางเพื่อนของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมา “นายล่ะ มาคนเดียวเหมือนกันล่ะสิท่า โอ๋ๆ นะ เดี๋ยวพี่เดินซื้อหนังสือเป็นเพื่อนเอง”
 
               “เปล่าหรอก ฉันมากับแม่น่ะ เออนี่ นายช่วยหา...”
 
               “คุณโอลิเวีย! อยู่ไหนล่ะ อยากเจอจัง” นิโคลตะโกนแทรกขึ้นมา สอดส่ายสายตาหาด้วยความตื่นเต้น
 
               “ไม่รู้สิ คงติดพันอยู่กับแฟนคลับล่ะมั้ง” เอ็ดเวิร์ดตอบพร้อมกับยักไหล่ สักพักเด็กหนุ่มก็หยิบหนังสือเล่มหนามา 2 เล่ม พร้อมกับยืนให้คู่สนทนาของตน “อันนี้สำหรับวิชาประวัติศาสตร์แห่งลิเบอร์ตัน เดี๋ยวเราช่วยกันดูว่ามีโซนไหนอีกที่มีหนังสือที่เราต้องซื้อ ขอโฟกัสไปโซนที่คนน้อยๆ ก่อนนะ โซนหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ตัดทิ้งไปได้เลย”
 
               “ไม่ไปหาคุณโอลิเวียก่อนหรอ”
 
               “แม่ฉันไว้สุดท้ายเลย”
 
               “งั้นลองไปดูหนังสือแนวสมุทรศาสตร์ไหม”
 
               “ความชอบส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับธุระของเราก็เอาไปกองไว้ท้ายสุดเหมือนกัน”
 
               เมื่อเห็นว่าเพื่อนตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตามใจ นิโคลจึงได้แต่ทำหน้าเซ็ง แล้วจึงก้มหน้าลงตรวจสอบรายชื่อหนังสือที่ต้องซื้อ พร้อมกับสอดส่ายสายตาช่วยเอ็ดเวิร์ดหาเป้าหมาย ในที่สุดเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดูจะหาจุดที่ว่าเจอ
 
               สองเด็กหนุ่มมุ่งหน้าตรงไปหาเป้าหมายของตน แต่แล้วเสียงในร้านหนังสือที่เคยดังเจื้อยแจ้วก็หยุดลง แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบแทน เมื่อปรากฏร่างของชาย 2 คนเดินเข้ามาในร้าน
 
               ชายคนที่เดินนำหน้าเข้ามาเป็นเด็กหนุ่เจ้าของผมสีเงิน และนัยน์ตาสีฟ้าฉายแววโอหัง เด็กหนุ่มที่เอ็ดเวิร์ดรู้สึกเกลียดขี้หน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ณ วันทดสอบที่โรงเรียนมนตรา เดรโก บลูเบน และผู้ที่เดินตามหลังมาก็คือชายสูงอายุที่ตามติดเขาเป็นเงาตามตัวตั้งแต่วันทดสอบเช่นเดียวกัน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นพ่อบ้านประจำตัวของเด็กหนุ่มล่ะมั้ง
 
               พนักงานต้อนรับสาวที่ชื่อมิกก้ารีบเดินเข้ามาต้อนรับ พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีขาวให้กับพ่อบ้านอย่างเก้ๆ กังๆ “หนังสือที่ให้ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ค่ะ จริงๆ แล้วคุณทั้ง 2 ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองเลยนะคะ ให้ทางร้านจัดส่งสินค้าไปให้ที่บ้านก็ได้ค่ะ”
 
               เดรโกเพียงแต่ฉาบตาไปมองทางมิกก้าแทนคำตอบ หญิงสาวรีบก้มหน้า หลบสายตา ชายชราข้างกายจึงยิ้ม เอื้อมมือไปรับของ และเอ่ยขึ้นแทนคุณหนูของเขา “คุณหนูเบื่อน่ะ ก็เลยตั้งใจออกมาเดินยืดเส้นยืดสายหน่อย ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์วุ่นวายเตรียมหนังสือไว้ให้ ฝากความขอบคุณไปถึงคุณบาธาซาร์ด้วยนะ”
 
               มิกก้าไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้รับของที่ต้องการ ทั้ง 2 คนก็หันหลังเดินออกจากร้านไป เสียงพูดคุยที่ซาลงไปสักครู่ก็กลับขึ้นมาดังอีกครั้ง
 
               “โผล่หัวไปที่ไหน วุ่นวายทุกที่” เอ็ดเวิร์ดพูดใส่อารมณ์อย่างมีน้ำโห
 
               “เงียบแบบนี้ไม่น่าเรียกวุ่นวายนะ” นิโคลเถียงด้วยรอยยิ้ม
 
               “ยิ่งเจอยิ่งเกลียดขี้หน้า ไอ้ลูกคุณหนูเอ๊ย”
 
               “ฮ่าๆๆ หงุดหงิดอะไรขนาดนั้นล่ะเพื่อน” นิโคลพูดขำๆ ยกมือขึ้นไปตบบ่าคนข้างๆ ให้อารมณ์เย็นลง
 
                “ขำบ้าไร นิค” เอ็ดเวิร์ดหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อน
 
               “ก็ได้เห็นคนเบื่อโลกอย่างนายหงุดหงิดเนี่ย ฉันว่าหาดูยากอยู่นา” เด็กหนุ่มตอบ ยิ่งเห็นคนหน้าตาเบื่อหน่ายไปเสียทุกสิ่งอย่างเอ็ดเวิร์ดแสดงอาการหงุดหงิดออกมา เขาก็ยิ่งขำ แม้จะเอามือปิดปากพยายามกลั้นขำ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเท่าไร “ในโลกนี้นอกจากนายเดรโกนั่น จะมีสักกี่คนทำให้นายโมโหได้ขนาดนี้กัน”
 
               “ก็คงมีแค่หมอนั่นคนเดียวนั่นแหละ” เอ็ดเวิร์ดกัดฟันตอบ แล้วหันหน้ากลับไปตามหาหนังสือต่อ เผื่ออารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ตอนนี้จะเบาบางลงได้บ้าง
 
               หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้ง 2 คนได้รับหนังสือเล่มหนาประกอบวิชาเรียน “ภูมิศาสตร์แห่ง 8 ทวีป” คนละ 2 เล่มครบแล้ว ก็กำลังเดินขึ้นบันไดไปสู่ชั้น 2 ของร้านหนังสือ มุ่งหน้าต่อไปยังโซนหนังสือ พันธุ์พืชและสมุนไพร เพื่อหาหนังสือประกอบการเรียนวิชา “สมุนไพรศึกษา” 
 
               เมื่อถึงจุดที่ต้องการ สองเด็กหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาตามหาหนังสือที่ต้องการ ท่ามกลางเสียงครึกโครมของฝูงชน นิโคลก็หยุดมือจากการหาหนังสือ
 
               “เออนี่ จะว่าไป ฉันก็แอบสงสัยเหมือนกันนะ จริงๆ ทั้งนาย แล้วก็นายเดรโกนั่น พื้นฐานครอบครัวก็คล้ายๆ กัน พ่อแม่ก็เป็นคนมีชื่อเสียงเหมือนกัน นายทั้งสองคนก็ต่างมีพลังเวทเหมือนๆ กัน แต่ทำไมนายไม่เห็นจะโด่งดังเหมือเขาเลยล่ะ” นิโคลถามขึ้น
 
               “นี่นายอยากรู้จริงๆ หรือแค่อยากแซะฉัน” เอ็ดเวิร์ดก็หยุดมือและหันหน้ามาถาม
 
               นิโคลหัวเราะแห้งๆ “ถามจริงๆ สิเพื่อน”
 
                “ไม่รู้สิ มันแปลกหรอ” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
 
                “ไม่หรอก ไม่แปลกเลย” เสียงปริศนาดังขึ้นข้างหลังของทั้งคู่ เอ็ดเวิร์ดและนิโคลหันไปแทบจะพร้อมๆ กัน และสบเข้ากับดวงตาสีเหลืองทองและรอยยิ้มแปลกๆ ที่คุ้นเคย
 
                 “คุณแกสตัน!” เด็กหนุ่งทั้งสองตะโกนขึ้นพร้อมกัน
 
                 “ยังจะมาคุณอยู่อีก เดี๋ยวพวกเธอก็มาเป็นศิษย์ฉันแล้วนะ เรียกครูแกสตันได้แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มทั้งสองคนมากขึ้น
 
                 “แล้วครูหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าไม่แปลก” นิโคลถามขึ้น
 
                 “ลองคิดดูสักหน่อยสิ คุณไรเกอร์” ครูซเดินฉากออกไปเพื่อเลือกดูหนังสือ และอธิบายต่อ “เรื่องชื่อเสียงพ่อแม่ของเดรโกและเอ็ดเวิร์ดน่ะไม่เป็นที่กังขาก็จริง แต่อย่างคุณโอลิเวียเองก็เกษียณตัวเองจากวงการไปก็หลายปีแล้ว คนที่พอจะรู้จักหรือได้ยินชื่อเสียงของเขาก็มีแต่กลุ่มคนที่มีอายุหน่อย หรือถ้าจะเป็นวัยแบบพวกเธอก็มักจะรับรู้จากคำบอกเล่าเท่านั้นแหละ กลับกันสำหรับพวกคุณบลูเบน นับวันมีแต่จะสร้างผลงานและชื่อเสียงให้ตัวเองมากขึ้น ผลงานในปัจจุบันก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง คนจะรู้จักเยอะก็ไม่แปลก” ชายหนุ่มหยุดมือจากการหาหนังสือ กลับมาประจันหน้าให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง “ส่วนในรุ่นลูกของพวกเขา เด็กคนหนึ่งเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมของเหล่าจอมเวทย์ เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง แม้จะยังไม่เคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่ตั้งแต่เด็กวีรกรรมของเขาที่เผลอใช้เวทมนตร์ออกมาโดยไม่รู้ตัวก็มีมาให้ได้ยินบ่อยๆ บวกกับบุคลิกโดดเด่น น่าเกรงขามแบบนั้น จะมีคนรู้จักและจำได้ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ใช่ไหม” ครูซหยุดพูดแล้วชำเลืองมาทางเอ็ดเวิร์ด “แต่กับเด็กอีกคนหนึ่งที่รังเกียจเวทมนตร์อย่างกับอะไรดี เฝ้าฝันอยากใช้ชีวิตเฉกเช่นคนไร้พลังเวท เธอคิดว่าคนแบบนี้จะมีคนรู้จักหรอ”
 
                 “แทบจะไม่ต้องคิดเลยครับ” นิโคลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่เมื่อเอ็ดเวิร์ดส่งสายตาพิฆาตมา เด็กหนุ่มก็ทำหน้าเจื่อนๆ กลบเกลื่อน
 
                 ครูซมองเด็กทั้งสองแล้วฉีกยิ้มกว้าง “เอาล่ะ เดี๋ยวครูต้องไปทำธุระต่อ ไว้เจอกันที่โรงเรียนแล้วกันนะ” ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะได้กล่าวอำลา ชายหนุ่มก็เดินลงบันไดไปเสียแล้ว
 
                 “นี่ครูเขามาทำอะไรที่นี่น่ะ เห็นทำท่าหาหนังสือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถือติดมือไปเลยสักเล่ม” นิโคลหันไปถามเพื่อนของเขา แต่ก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบกลับมา
 
                 “ช่างเขาเถอะ ฉันว่าตู้นี้ไม่น่าจะมีหนังสือที่เราหาหรอก ลองขยับไปดูอีกสักตู้แล้วกัน” เอ็ดเวิร์ดเปลี่ยนเรื่อง และเลือกที่จะเดินนำหน้านิโคลเพื่อไปยังตู้หนังสือถัดไป
 
                ในระหว่างที่กำลังเดินเพื่อไปยังตู้หนังสือถัดไป เอ็ดเวิร์ดก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนล้มลงไปก้นจ้ำเบ้า ฝั่งคู่กรณีที่ชนเขาก็ล้มลงไปเช่นเดียวกัน เอ็ดเวิร์ดลูบก้นตัวเองอย่างเจ็บปวด เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับคู่กรณีเป็นเด็กสาวปริศนา ผมยาวประบ่า สวมแว่นตาทรงกลมกรอบบาง กำลังง่วนอยู่กับการเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายเต็มพื้น เมื่อเด็กสาวเก็บหนังสือครบทุกเล่มก็ลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะออกวิ่งต่อไป แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ออกตัว ก็มีเสียงตะคอกออกมาจากเด็กหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนได้เสียก่อน
 
                “นี่เธอ ชนคนล้มแล้วไม่คิดจะขอโทษสักคำเลยหรือไง!”
 
                “ฉันหรอที่ต้องขอโทษ นายเดินไปคุยไปอยู่แต่กับเพื่อนนาย ไม่ยอมมองทางเอง ฉันต่างหากที่ควรได้รับคำขอโทษ แต่ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันไม่ถือสาละกัน แล้วฉันก็ไม่มีเวลาจะมาเสียด้วยการทะเลาะกับเด็กน้อยอย่างนายด้วย ลาล่ะ” เด็กสาวพูดเองเออเองอยู่คนเดียว แล้วก็วิ่งลงบันไดไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งไว้เพียงความหงุดหงิดดั่งไฟแผดเผาที่ก่อตัวขึ้นในตัวเอ็ดเวิร์ด และรอยยิ้มแห่งความน่าสนุกบนใบหน้าของนิโคล
 
               “นี่มันวันบ้าอะไรกันวะเนี่ย!” เอ็ดเวิร์ดสบถอย่างหัวเสีย แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะร่าจากเพื่อนของเขาได้
 
               “ฉันว่าคงไม่ได้มีแค่เดรโกแล้วล่ะที่ทำให้นายหงุดหงิดได้” นิโคลพูดไปหัวเราะไปจนตัวงอ
 
               “นิค!” เอ็ดเวิร์ดหันไปมองต้นเสียงหัวเราะที่ตอนนี้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังด้วยความหงุดหงิดขั้นสุด
 
               “เอาน่าๆ เอ็ด นายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก เมื่อกี้ฉันแอบเห็นหนังสือที่เด็กคนนั้นถือ ดูท่าทางแล้วคงได้เจอกันที่โรงเรียนแน่นอน ไว้ไปแก้แค้นตอนนั้นละกันนะ” นิโคลปลอบ แล้วจึงเดินไปเก็บหนังสือของเพื่อนเขาที่ตอนนี้กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
 
               “ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเอาคืนแน่ ยัยแว่น”
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา