Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ผลลัพธ์ที่ไม่น่ายินดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
ผลลัพธ์ที่ไม่น่ายินดี
สภาพแวดล้อมภายในห้องทดสอบ ช่างแตกต่างจากที่เอ็ดเวิร์ดคิดไว้ราวกับเหรียญคนละด้าน ในเมื่อภายนอกมันช่างดูเป็นอาคารใหญ่โตหรูหรา ภาพในจินตนาการที่เขาคิดไว้ ทั้งห้องจะต้องเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมาย เฟอร์นิเจอร์ที่ดูหรูหรา หรืออาจจะเป็นวัตถุเวทมนตร์รูปร่างหน้าตาประหลาดๆ ที่เตรียมไว้สำหรับการทดสอบ หรืออย่างน้อยที่สุด มันควรต้องมีของวางระเกะระกะมั่งสิน่า ไม่ใช่ว่างเปล่าขาวโพลนเหมือนกับที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้
สภาพภายในของห้องทดสอบช่างดูเรียบง่าย อาจจะดูเรียบง่ายเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะทั้งห้องไม่มีสิ่งของอะไรวางอยู่เลย นอกจากโต๊ะยาว 1 ตัว ที่มีกรรมการ 2 คนนั่งบนเก้าอี้อยู่ฝั่งหนึ่ง และมีเก้าอี้ว่างสำหรับผู้เข้ารับการทดสอบตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีสมุด 1 เล่มและใบไม้สีแปลกๆ วางอยู่ 1 ใบ มีเพียงเท่านี้จริงๆ นอกเหนือจากนี้ ก็มีเพียงผนังสีครีมสี่เหลี่ยม และพื้นกระเบื้องอันว่างเปล่าสีครีมหม่นเช่นเดียวกับสีของผนังเท่านั้น
“เชิญนั่งครับ” กรรมการชายพูดกับเอ็ดเวิร์ดพร้อมกับผายมือมาทางเก้าอี้ที่ว่างอยู่ “ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวสบายๆ”
เอ็ดเวิร์ดค่อยๆ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้อย่างเก้ๆ กังๆ ในหัวก็ได้แต่คิดว่า ลำพังต้องมานั่งคุยกับคนแปลกหน้า 2 คนก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่สภาพโล่งๆ ภายในห้องยิ่งทำให้อึดอัดหนักเข้าไปอีก จะให้ไม่เกร็งอย่างไรไหว เอ็ดเวิร์ดคิดพลางพิจารณาถึงกรรมการตรงหน้าทั้ง 2 คน
“ฉันชื่อครูซ แกสตัน เป็น 1 ใน 4 หัวหน้าครูที่โรงเรียนแห่งนี้ และวันนี้รับหน้าที่เป็น 1 ในกรรมการทดสอบเธอ” ชายหนุ่มผิวขาว ค่อนไปทางซีดเสียด้วยซ้ำ ผมยาวสีทองถึงติ่งหู ถูกหวีไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีเดียวกับสีผมดูขี้เล่น อยู่ในชุดสูทสีดำ ใส่ทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวซึ่งสวมอยู่ด้านใน เนคไทสีดำ กางเกงขายาว และรองเท้าหนังสีเดียวกับชุดสูท ด้วยการแต่งตัว ท่าทาง รูปร่าง ทรงผม บวกกับใบหน้าอันเกลี้ยงเกลา มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ต้องเป็นหนุ่มเจ้าสำอางอย่างแน่นอน ชายหนุ่มพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้เอ็ดเวิร์ด ยิ้มธรรมดาที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกแปลกๆ กับคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ กับว่า แม้ปากคนตรงหน้าจะยิ้มแย้ม แต่แววตาเขากลับไม่ยิ้มตามไปด้วย ชายหนุ่มผายมือไปทางด้านขวาของตน “นี่ ครูดาร์ลีน ลินช์ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าครูเหมือนกับฉัน เห็นสวยๆ งี้ก็เถอะ ดุอย่าบอกใครเลยล่ะ”
“พูดมากไปแล้ว ครูซ” หญิงสาวพูดปราม และส่งสายตาเฉียบคมไปให้คนข้างๆ ชายหนุ่มทำได้แค่ยิ้มแหยๆ ตอบรับ จะว่าไปหญิงสาวที่ชื่อดาร์ลีนก็สวยอย่างที่ครูซบอกจริงๆ ผิวขาวใส ใบหน้ารูปไข่ ภายใต้แว่นทรงกลมสีดำ ผมสีดำยาวสลวยถึงกลางหลัง บวกกับรูปร่างเอวบางร่างน้อยของเธอ แม้จะอยู่ในชุดสูทแบบเดียวกับที่ครูซใส่ ต่างกันตรงที่เธอสวมกระโปรงและรองเท้าส้นสูงแทน แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นทรวดทรงของเธอได้ ไม่มีทางเลยที่หนุ่มๆ ที่ไหนจะมองข้ามเธอไปได้อย่างแน่นอน ถ้าจะมีที่ติหน่อยก็เห็นจะเป็นแววตาอันดุร้ายของเธอเนี่ยแหละ แค่มองแววตาของเธอก็เหมือนคุณโดนตำหนิโดยไม่ต้องออกเสียงได้เลย เธอกุมมือวางไว้บนโต๊ะ หันมาสบตากับเด็กหนุ่ม “แนะนำตัว”
“เอ่อ ผมชื่อเอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์ครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างตะกุกตะกัก ไม่กล้าสบตากับดาร์ลีน เขาจึงใช้วิธีหันไปมองชายหนุ่มข้างๆ ที่ตอนนี้ยิ้มหน้าระรื่นมาให้เขาแทน
“ลูกของคุณโอลิเวียสินะ” ครูซตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ายหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลงมือจดบันทึกการสัมภาษณ์นี้ในสมุดตรงหน้าเธอ “ทำไมถึงตัดสินใจมาเข้ารับการทดสอบล่ะ”
กลายเป็นฝ่ายเอ็ดเวิร์ดเองที่ต้องเป็นฝ่ายสงสัย เขาคิดไว้ว่าอย่างไรเสียคนทั้ง 2 ตรงหน้าต้องถามเรื่องครอบครัวของเขาแน่นอนหากได้ยินนามสกุลของเขาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่กลายเป็นตรงกันข้าม เมื่อทั้ง 2 กลับทำสีหน้าและท่าทางปกติราวกับฟอร์บส์ก็เป็นนามสกุลธรรมดาๆ ที่ได้ได้ยินได้ทั่วไป เอ็ดเวิร์ดสงสัยได้เพียงครู่ ก็กลับมาตอบคำถามด้วยความจริงจัง “ผมไม่ได้เลือกมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอก แม่ผมบังคับให้มา จริงๆ ผมไม่อยากมาเข้ารับการทดสอบด้วยซ้ำ”
“ทำไมล่ะ”ดาร์ลีนถามพลางขยับแว่นที่เลื่อนลงมาเล็กน้อยให้เข้าที่
“นั่นสิ น่าแปลกนะ ทุกๆ ปีเด็กๆ ที่มีอายุครบ 18 ปีหลายร้อย หลายพันคนจะแห่แหนกันมาที่นี่เพื่อเข้ารับการทดสอบ แม้ทุกคนจะรู้ว่ามีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะได้เข้าเรียนที่นี่ แต่เธอนี่ตรงกันข้ามเลยนะ” ครูซฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมราวกับกำลังนึกสนุกอยู่
“ผมเกลียดเวทมนตร์” เอ็ดเวิร์ดตอบพร้อมกับก้มหน้าลง คำตอบจากเด็กหนุ่มทำให้รอยยิ้มของครูซหุบลง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะขอถามเหตุผลสักหน่อย” ชายหนุ่มซักต่อ
“เอาจริงๆ มันก็น่าเบื่อนะครับกับการพูดถึงอดีต ผมก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงมันสักเท่าไร แต่เอาเป็นว่า” เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย และเงยหน้ามาสบตากับครูซ “ผมเกลียดเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์ ทำให้พ่อทิ้งผมกับแม่ไป”
คำตอบของเอ็ดเวิร์ดยิ่งทำให้คิ้วของครูซขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม ชายหนุ่มจ้องหน้าเอ็ดเวิร์ดราวกับพยายามหาคำตอบบางอย่างจากเขา ดาร์ลีนก็หยุดมือจากการจดบันทึกและหันไปมองหน้าครูซ เอ็ดเวิร์ดเองก็งุนงงกับปฏิกริยาของทั้ง 2 ที่แสดงออกมา ก็จริงที่เรื่องราวชีวิตเขามันอาจจะดราม่าอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไรขนาดนั้น ที่ลากูน่าจะไม่มีเด็กที่กำพร้าพ่อหรือแม่บ้างเลยหรือไง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบมาได้ซักพัก ดาร์ลีนก็เลือกที่จะทำลายความเงียบโดยการกระแอมเบาๆ เสียงกระแอมทำให้ครูซเหมือนกลับมามีสติ ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง พร้อมกับเริ่มทำการสัมภาษณ์ต่อ
บริเวณลานกว้างของโรงเรียน ผู้คนเริ่มบางตาลงไปบ้างหลังจากที่เด็กบางคนเข้ารับการทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เด็กบางคนยังเกาะกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการทดสอบ บางคนก็ยังนั่งเสียใจที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายก็ยังคงตะเบ็งเสียงแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าให้เข้าร้าน
หญิงสาวคนหนึ่งยืนแยกตัวออกมาเพื่อรอคอยลูกชายที่ขณะนี้กำลังเข้ารับการทดสอบอยู่ด้านในอย่างใจจดใจจ่อ สักพักก็มีร่างของหญิงสาวอีกคนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมทักทายด้วยเสียงสดใส
“ไงจ๊ะ โอลิเวีย รอเอ็ดเวิร์ดอยู่ล่ะสิ” เมื่อวิคตอเรียหันไปทางต้นเสียง ก็พบเข้ากับเพื่อนสนิทสมัยเรียน
“ไดอานี่ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ฉันกะว่าจะไปทักเธออยู่พอดีเลย แต่พอเธอประกาศเสร็จ เธอก็หายเข้าไปในโรงเรียนเลย ฉันก็นึกว่าเธอจะเดินออกมาอีก นี่ก็มองๆ หาอยู่นะ แต่ก็ไม่เห็นเลย ฉันถอดใจไปแล้วนะเนี่ย คิดว่าเธอน่าจะยุ่งมากจนไม่มีเวลา แล้วนี่เธอเชื่อไหม...” พอเห็นหน้าเพื่อนสนิท โอลิเวียก็รัวคำพูดใส่เป็นพายุ จนหญิงสาวอีกคนต้องพูดแทรกขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะ
“เดี๋ยวๆ โอลิเวีย” ไดอานี่พูดแทรกขึ้นมา โอลิเวียจึงต้องหยุดพูด พร้อมทำหน้ายิ้มแหยๆ ด้วยความเขินอาย “เธอนี่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับเหมือนเดิมเลยนะ ไปตายอดตายอยากพูดมาจากไหน หือ”
“ก็แหม นานๆ จะได้เจอเธอสักทีนี่นา ก็ตั้งแต่เธอกลายเป็นรองครูใหญ่ไดอานี่ วิคตอเรียของโรงเรียนมนตราชื่อดังพาเธนอน เธอก็ไม่ค่อยมีเวลาแวะเวียนไปหาฉันเลยนี่นา กี่ปีแล้วน้า” โอลิเวียทำท่านับนิ้ว เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนหน้าหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“นานมากแล้วล่ะ ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน แต่ทำไงได้ล่ะ งานที่นี่มันเยอะจริงๆ ถ้าตอนนั้นเธอตกลงมาเป็นครูที่นี่พร้อมฉันแล้วเธอจะรู้สึก” หญิงสาวแซะ ห่อไหล่ลงและทำหน้าเบื่อหน่าย
“งั้นฉันก็คงตัดสินใจถูกแล้วแหละ ที่ตอนนั้นปฏิเสธไป” โอลิเวียตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคักกับท่าทางเพื่อนของเธอ
“ว่าแต่ ไปทำอีท่าไหนถึงลากเจ้าเอ็ดมาที่นี่ได้ล่ะ เจ้าเด็กนั่นเกลียดเวทมนตร์จะตายไม่ใช่หรอ” ไดอานี่เปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องเจ้าลูกชายตัวแสบของโอลิเวียแทน ที่เธอรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเกลียดเวทมนตร์ ก็เพราะตั้งแต่เอ็ดเวิร์ดยังเป็นเด็กๆ ทุกๆ ครั้งที่เธอไปหาโอลิเวียที่บ้าน เจ้าเด็กนั่นเป็นต้องไม่พอใจเดินขึ้นบนบ้านทุกที
“ก็ทั้งลาก ทั้งดึงกันสุดฤทธิ์นั่นแหละ ถึงเอ็ดเขาจะเกลียดเวทมนตร์จริงๆ แต่ฉันก็มั่นใจนะ ว่าถ้าเขาได้เข้าเรียนที่นี่ เขาจะต้องเป็นจอมเวทย์ที่ดีได้แน่ๆ”
“ยังไม่ได้บอกความจริงเอ็ดสินะ เรื่องชาร์ลส์น่ะ” ไดอานี่หันไปสบตากับเพื่อนสาวของเธอ แววตาของโอลิเวียเศร้าลงเพียงชั่วครู่ แล้วก็กลับมาสดใสดังเดิม
“ยังหรอก ฉันยังไม่พร้อม แล้วฉันก็รู้ว่าเอ็ดก็ยังไม่พร้อมฟังเรื่องของพ่อเขาหรอก” โอลิเวียฉีกยิ้มกว้างตอบ
“เฮ้อ อีกเรื่องที่เหมือนเดิมของเธอก็เรื่องนี้แหละน้า เก่งจริงๆ กับไอ้การซ่อนปัญหาเอาไว้ใต้รอยยิ้มอันสดใสของเธอเนี่ย
ภายในห้องทดสอบ การสัมภาษณ์ก็ได้ผ่านไป เอ็ดเวิร์ดคิดว่าเขาต้องเป็นคนที่ใช้เวลาในการสัมภาษณ์สั้นที่สุดแน่ๆ เพราะ แต่ละคำถามก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตในโรงเรียนมนตรา หรือไม่ก็ความคาดหวังหลังจากได้เข้ามาเรียนที่นี่แล้ว แม้กระทั่งคำถามเกี่ยวกับจอมเวทย์ต้นแบบของตัวเอง ทุกๆ คำถามนำมาซึ่งคำตอบเดียวกัน ก็คือ “ไม่ทราบครับ” แน่ล่ะ เด็กที่เกลียดเวทมนตร์อย่างเขาจะเอาเวลาไปคิดฝันในสิ่งที่เขาไม่ชอบให้เสียเวลาไปทำไม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคำถามที่ทำให้เด็กหนุ่มตอบอย่างอื่นได้นอกจากไม่รู้ นั่นก็คือ “ถ้าหากเธอไม่ผ่านการทดสอบในวันนี้ หลังจากนี้ไปเธอวางแผนการใช้ชีวิตไว้อย่างไร” ตลอดเวลาการสัมภาษณ์ในห้องทดสอบ เด็กหนุ่มมีปฏิกิริยาเพียงแค่ 2 อย่าง ไม่ก้มหน้า ก็ทำหน้าเบื่อหน่าย แต่คำถามนี้กลับเป็นคำถามที่เรียกรอยยิ้มสดในจากเด็กหนุ่มได้อย่างดี พร้อมคำตอบอย่างร่าเริงว่า “กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่บ้านครับ”
เมื่อการสัมภาษณ์จบลง ดาร์ลีนก็พับสมุดเก็บไว้ ครูซยังคงฉีกยิ้มกว้างเช่นเคย จนเอ็ดเวิร์ดอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเป็นตัวเขาเองที่ต้องมานั่งฉีกยิ้มทั้งวันพร้อมกับสัมภาษณ์เด็กหนุ่มสาวนับร้อยชีวิตเช่นนี้ เขาคงเป็นบ้าตายพอดี ครูซยกมือไปขยับใบไม้ที่วางอยู่กลางโต๊ะสัมภาษณ์ให้เลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“นี่คือใบจากต้นวัควัคเผือก” เอ็ดเวิร์ดพิจารณาใบไม้ตรงหน้าตน มันมีลักษณะตามธรรมชาติเช่นเดียวกับใบไม้ทั่วไป แต่สีของมันเป็นสีขาวล้วน ที่ช่างดูสะอาดและบริสุทธิ์ เอ็ดเวิร์ดนั่งมองใบไม้ตรงหน้าได้สักพัก ครูซก็เริ่มอธิบายต่อ “ต้นวัควัคโดยปกติจะมีสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ยากมากเลยนะที่ต้นวัควัคจะโดตมาโดยมีสีขาวเแบบนี้ ต้นวัควัคเผือกจึงเปรียบได้กับของหายากและมีมูลค่ามหาศาล ใบของต้นวัควัคเผือกมีฤทธิ์ในการสัมผัสพลังเวทและสะท้อนออกมาในรูปแบบของแสง ปัจจุบันมันจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทดสอบพลังเวท หยิบมันขึ้นมาสิ”
เด็กหนุ่มหยิบใบไม้ขึ้นมาถือไว้ตรงหน้า “ในเมื่อเธอยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทในตัวเองได้ ฉันจึงอยากให้เธอมองใบไม้นั่น แล้วพยายามรวบรวมสมาธิไปที่มัน ถ้าหากใบไม้นั่นเปล่งแสงออกมา เท่ากับเธอผ่านการทดสอบนี้ ตกลงนะ”
เอ็ดเวิร์ดจ้องไปที่ใบไม้ และตั้งสมาธิไปที่ใบไม้ตรงหน้า แต่ในหัวก็คิดแต่เพียงว่า ไม่เอานะ อย่าส่องแสงออกมานะ ห้ามส่องแสงออกมาเด็ดขาดนะ หลังจากการบริกรรมคาถาภายในหัวผ่านไปได้สักพัก ใบไม้ก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนเอ็ดเวิร์ดคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับใบไม้ตรงหน้าตนแล้ว พลันปรากฏแสงสว่างสีขาวอ่อนๆ ออกมาจากใบไม้ ครูซและดาร์ลีนยิ้มออกมาเบาๆ
“เอาล่ะ ถึงแม้แสงจะออกมาอ่อนกว่าปกติ แต่ก็ถือว่าเปล่งแสงออกมาล่ะนะ” ครูซเอื้อมมือออกมาหยิบใบไม้ไปจากมือของเด็กหนุ่ม ดาร์ลีนเปิดสมุดออกมาอีกครั้งเพื่อจดบันทึกผลการทดสอบ ในขณะที่เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้วเคียดแค้นใบไม้เฮงซวยนี่อยู่ ไอ้ใบไม้นี่ ตอนแรกทำท่าเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วอยู่ดีๆ ก็หักหลังเขาซะอย่างนั้น เมื่อดาร์ลีนเสร็จสิ้นจากการจดบันทึก ครูซก็หันมาแสดงความยินดีกับเอ็ดเวิร์ด “ถ้าอย่างนั้นก็ ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หรือจะบอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วยดีล่ะ ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ เอ็ดเวิร์ด”
หลังจากเด็กหนุ่มเดินหัวเสียออกไปจากห้องทดสอบ กรรมการทั้ง 2 คนก็เริ่มคุยกันถึงการทดสอบที่เพิ่งผ่านพ้นไป
“แปลกดีนะ เด็กคนนั้น” ดาร์ลีนพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปทางชายหนุ่ม “ทั้งๆ ที่ใบของต้นวัควัคเผือกมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อพลังเวทแล้วแท้ๆ แถมเด็กนั่นก็ยังไม่เคยเรียนรู้การควบคุมพลังเวท แต่เขากลับกดพลังเวทตัวเองลงจนใบวัควัคเผือกเกือบจะจับสัมผัสไม่ได้ซะแล้ว”
“จะใช้คำว่าแปลกก็เกินไป ฉันว่าน่าสนใจมากกว่า ตรงกันข้ามกับเด็กจากตระกูลบลูเบนเลยนะ คนนั้นมั่นใจในพลังเวทของตัวเองมากจนทำให้ใบวัควัคเผือกเปล่งแสงจ้าขนาดนั้นออกมาได้” ครูซยิ้มตอบโดยไม่ได้หันไปมองหน้าดาร์ลีน พร้อมพึมพำเบาๆ กับตัวเอง โดยที่หญิงสาวข้างๆ ไม่ทันได้ยิน “ฟอร์บส์กับบลูเบนงั้นหรอ น่าเล่นด้วยจังเลยน้า เปิดเทอมปีนี้ชักจะน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ