Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
-
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
17 ตอน
2 วิจารณ์
8,998 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ปะทะก็อบลิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 16
ปะทะก็อบลิน
เป็นเวลาเกือบ 10 นาทีกับการวิ่งไล่จับเด็กปริศนาที่มาชิงแหวนของพวกเขาไป เอ็ดเวิร์ดหยุดวิ่ง โค้งตัวลงหายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย เดรโกหยุดยืนเท้าเอว ยืดตัวและหายใจแรงอยู่ข้างหน้าเขาห่างไปพอสมควร ด้านหลังมีแอเลน่าที่นั่งลงกับพื้นหญ้า หยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้าและเช็ดไอน้ำบนแว่นตาออก ปากพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด เหลือเพียงนิโคลที่ยังคงมีแรงวิ่งไล่เด็กคนนั้นอยู่ไกลลิบๆ และยังไม่มีทีท่าจะหยุดลง จนกระทั่งทั้งคู่วิ่งหายเข้าไปในป่าทึบ
“หยุดนะโว้ยยยย” เสียงตะโกนผสมเสียงลมหายใจหนักๆ จากนิโคลมาไกลๆ “ถ้าไมได้แหวนคืนมา ฉันตายแน่”
“อาการเป็นไงกันมั่ง” เดรโกที่เดินย้อนกลับมาหาพวกเขาถามขึ้น เขาไม่ค่อยมีอาการจากความเหนื่อยล้าสักเท่าไร ราวกับมีเหตุผลอื่นให้เขาเลือกที่จะหยุดวิ่งซะมากกว่า “ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนั้นมีบางอย่างแปลกๆ คิดเหมือนกันไหม แอเลน่า”
“ฉันว่าเขาไม่ใช่มนุษย์” แอเลน่าตอบอย่างหอบๆ
“เธอหมายความว่าเขาเป็นผีหรอ” เอ็ดเวิร์ดหันไปถาม สีหน้าหวาดๆ ให้ทะเลาะกับคนเขาก็พอร่วมด้วยได้อยู่ แต่ให้ทะเลาะกับผีเห็นทีต้องขอบาย
“ไม่ใช่ นายทึ่มเอ๊ย!” เด็กสาวตอกหน้ากลับ “ฉันว่านั่นคือก็อบลิน เดรโกอธิบายต่อที”
เมื่อเห็นอาการเหนื่อยหอบของเพื่อน เดรโกจึงตัดสินใจที่จะอธิบายเรื่องราวต่อเอง “นายไม่สังเกตหรอเอ็ดเวิร์ด ทั้งความเร็วของเขาที่แม้แต่นิโคลก็ยังตามไม่ทัน และทั้งๆ ที่พวกเราวิ่งตามมาตั้งเกือบ 10 นาทีแล้วนะ แต่เขายังไม่มีทีท่าจะหยุดพักบ้างเลย” เดรโกมองนิ่งและหน้าเพื่อนของเขาราวกับรอให้เอ็ดเวิร์ดเรียบเรียงความคิดให้เข้าที่เข้าทางก่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาทำท่าราวกับเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างได้ดีแล้ว เด็กหนุ่มก็พูดต่อ
“ฉันก็เลยฟันธงไปว่าเด็กนั่นต้องไม่ใช่มนุษย์ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นก็อบลิน”
“แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าเป็นก็อบลินล่ะแอล” เอ็ดเวิร์ดยืดตัวขึ้นมาถามหลังจากความเหนื่อยล้าเริ่มบรรเทาลง
“ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยขนาดนั้นหรอก” แอเลน่ายืนขึ้น “แต่จากที่เห็นตอนที่เขาเอื้อมมือมาหยิบแหวนไป แขนที่โผล่พ้นเสื้อมาของเขาเล็กกว่าที่มนุษย์ในวัยนั้นควรจะมี ไหนจะผิวสีเทาแปลกๆ ไหนจะความเร็วแล้วก็ความอึดในการวิ่งนั่นอีก พอรวมกับนิสัยของก็อบลินที่ขี้ขโมยและเป็นจอมป่วนมนุษย์ ฉันก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นก็อบลินแหละ”
เอ็ดเวิร์ดและเดรโกพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย
“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับก็อบลินบ้าง” เดรโกเอ่ยถาม
“เท่าที่อ่านเจอมาในหนังสือสัตวเวทมนตร์ศาสตร์ ก็จะมีเรื่องลักษณะทางกายภาพ ถิ่นที่อยู่อาศัย สายพันธุ์ อุปนิสัย แล้วก็...”
“เอาที่เราควรรู้ในตอนนี้สิแอล” เอ็ดเวิร์ดขัดขึ้นก่อน เรื่องน่าเบื่อพวกนั้นเขาไม่เห็นอยากจะรับรู้เลย
“ก็ได้” แอเลน่าทำท่าขัดใจนิดหน่อย พร้อมกับอธิบายต่อ “ก็อบลินมีนิสัยขี้แกล้งก็จริง แต่ไม่ได้เหี้ยมโหดจนถึงขนาดที่จะฆ่าคนตาย พวกเขามักไม่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ก็อบลินฝูงหนึ่งมักจะมีไม่เกิน 10 ตัว โดยในนั้นจะมีหัวหน้าฝูงที่มีอำนาจควบคุมและออกคำสั่งก็อบลินตัวอื่นๆ ได้ ที่สำคัญก็คือ ก็อบลินโตเต็มวัยสามารถใช้เวทมนตร์ได้”
“ก็หมายความว่าก็อบลินที่เราเจอเมื่อกี้ไม่ใช่ตัวเต็มวัยสินะ ไม่งั้นเขาคงใช้เวทมนตร์สลัดนิโคลหลุดไปแล้ว” เดรโกตั้งข้อสังเกต
“ไม่แน่หรอก” เอ็ดเวิร์ดปฏิเสธทันควัน “บางทีก็อบลินตัวนั้นอาจจะเลือกที่จะไม่ใช้เวทมนตร์เองก็ได้ จะได้รู้สึกสนุกกับเกมวิ่งไล่จับนี่ไง”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี” แอเลน่ากังวล ทุกคนนิ่งเงียบจมอยู่ในความคิด
“ฉันว่าเราลุยกันต่อเถอะ ไปพาตัวนิคกับแหวนกลับมา” เอ็ดเวิร์ดเสนอ “แต่รอบนี้คงต้องระวังตัวกันหน่อย พยายามจับตำแหน่งเสียงของนิโคล แล้วก็อ้อมไปดักหน้าก็อบลินตัวนั้นให้ได้”
“ระวังเรื่องกับดับที่อาจจะมีในป่าด้วยล่ะ” แอเลน่าแนะ “แล้วก็เรื่องเวทมนตร์ด้วย ถ้าก็อบลินตัวนั้นใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ น่าจะยุ่งยากน่าดู”
พูดถึงเรื่องเวทมนตร์ เอ็ดเวิร์ดก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แอล” เขาเรียกเด็กสาว เมื่อผู้ถูกเรียกหันหน้ามา เอ็ดเวิร์ดก็โยนของสิ่งหนึ่งไปให้
“ให้แหวนฉันทำไม” เธอถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนโยนแหวนที่เก็บได้มาให้
“ตอนอยู่บนรถม้า ฉันรู้สึกเหมือนนิคมันจะใช้เวทมนตร์ได้แวบหนึ่ง ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับแหวนที่เธอได้มาแน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงก็เถอะ” เอ็ดเวิร์ดตอบ “อย่างน้อยเธอก็เอาไปสวมไว้เผื่อฉุกเฉินละกัน”
“เอ็ดเวิร์ด” เป็นเสียงเดรโกที่เรียกเขา และเมื่อเอ็ดเวิร์ดหันไป เด็กหนุ่มก็โยนแหวนที่เขาเก็บได้มาให้เหมือนกัน “ฉันเรียนเรื่องศิลปะการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ดีกว่าพวกหุ่นก๊องแก๊งแบบนาย” เดรโกอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเอ็ดเวิร์ด พร้อมกับชำเลืองมองเขาด้วยหางตา
“ไอ้ตัวน่าหมั่นไส้เอ๊ย” เอ็ดเวิร์ดสบถด่าออกมา และสวมแหวนที่ได้รับมาไว้ หันไปมองแอเลน่า เด็กสาวก็สวมแหวนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เมื่อทั้ง 3 คนพร้อมแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางค้นหานิโคลต่อทันที
ไม่รู้ว่านานเท่าไรสำหรับการค้นหา แต่ตลอดทางพวกเขาทั้ง 3 ไม่เจอกับดักหรือก็อบลินตัวอื่นๆ เลย และรวมถึงนิโคลด้วย การวิ่งไล่จับหายไปราวกับไร้วี่แวว ทั้งเสียงและการเคลื่อนไหวล้วนอัตรธานหายไปหมด
“เป็นไปได้ไหมว่านิคจะเอาแหวนคืนได้แล้ว และไปรอเราที่รถม้า” แอเลน่าออกความเห็น มือก็ปัดป่ายเถาวัลย์และใบไม้ให้พ้นหน้า
“เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้านานขนาดนี้ อย่างหมอนั่นต้องแหกปากโวยวายหาพวกเราแล้ว” เอ็ดเวิร์ดตอบตามความคิดของเขา
“คิดได้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ” เดรโกเอ่ย “นิโคลคงโดนจับตัวไปแล้ว”
และก็ดูเป็นความคิดที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
พวกเขาเดินเลาะตามป่ามาจนพบเข้ากับปากถ้ำขนาดเล็กอยู่ ที่นี่พวกเขาได้ยินเสียงอู้อี้ของนิโคลดังลอดออกมาจากข้างใน เป็นอันยืนยันข้อสันนิษฐานของเดรโกได้เป็นอย่างดี นิโคลถูกจับตัวไปแล้วจริงๆ ด้วย
“เข้าไปกันเถอะ” เอ็ดเวิร์ดบอก และเลือกที่จะเดินนำหน้าเข้าไปในถ้ำ
“เดี๋ยวก่อนเอ็ด” แอเลน่าขัด พลางขยับแว่นให้เข้าที่และก้มลงไปข้างทาง เธอหยิบแหวนหน้าตาแบบเดียวกับที่เธอและเอ็ดเวิร์ดสวมอยู่ขึ้นมา
“นิคน่าจะทำตกไว้ตอนโดนจับตัวไปแน่ๆ”
“หรือไม่ก็ตั้งใจทิ้งไว้ให้พวกเรา” เอ็ดเวิร์ดต่อให้จนจบประโยค และเขาเชื่อว่ามันต้องเป็นแบบหลังแน่ๆ “สวมซะ เดรโก แล้วไปกัน”
พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปในถ้ำเรื่อยๆ ทางเดินเข้าเล็กมากจนพวกเขาต้องย่อตัวเพื่อเดินเข้าไปข้างใน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร เสียงแหกปากของนิโคลก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ และความสว่างไสวในถ้ำก็มลายหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน จนมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ แทบไม่มีแสงใดๆ พอให้มองเห็นทางได้อีกแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ไฟดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งก็ถูกจุดติดขึ้นบนฝ่ามือของเดรโกที่อยู่รั้งท้ายสุด
ดวงไฟกลมเล็กเท่าลูกปัดสีเหลืองนวลส่องสว่างลอยอยู่เหนือฝ่ามือข้างที่สวมแหวนของเด็กหนุ่ม ดวงไฟที่ช่างดูอบอุ่นและสว่างไสว แต่ทั้งอย่างนั้น ความสว่างของมันก็ยังคงไม่เพียงพอต่อการเดินทางภายในถ้ำที่มืดมิดนี้ต่อไปอยู่ดี
“นายทำได้ไงน่ะ” เอ็ดเวิร์ดหันไปกระซิบถาม
“ไม่รู้สิ” เขาตอบเรียบๆ “ทางมันมืดเกินไป ฉันก็เลยคิดถึงแสงสว่างเท่านั้นเอง”
พรึ่บ! ดวงไฟแบบเดียวกับของเดรโกถูกจุดติดขึ้นมาอีกดวงหนึ่งบนฝ่ามือของเด็กสาว เส้นทางเดินภายในถ้ำดูสว่างไสวขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“ลองคิดถึงแสงสว่างตามที่เดรโกบอกสิ เอ็ด” แอเลน่าแนะนำ
เอ็ดเวิร์ดชูมือข้างที่สวมแหวนขึ้นมา กำลังพยายามที่จะนึกถึงแสงสว่างตามคำแนะนำ แต่สายตาเขาก็พลันเหลือบไปเห็นดวงไฟหลายสิบดวงข้างหลังเดรโกที่อยู่รั้งท้ายเสียก่อน
เอ็ดเวิร์ดหรี่ตาเพื่อพยายามจับจุดดวงไฟเหล่านั้นให้ได้ เป็นดวงไฟที่แปลกประหลาดเหลือเกิน เต็มไปด้วยหลากสีสัน ทั้งสีแดง สีเหลือ มีสีเขียวด้วย ลอยอยู่ทั้งบนพื้น ในอากาศ ไปเกาะอยู่ตามเพดานถ้ำก็ยังมี แต่แปลกแหะ ดูเหมือนมันลอยกันอยู่เป็นคู่ๆ เลย แต่ทำไมดูไม่เหมือนของเดรโกกับแอเลน่าเลย ของทั้ง 2 คนนั้นดูเป็นลูกบอลแสงกลมๆ แต่ที่ลอยอยู่ข้างหลังพวกเขาดูเป็นเรียวๆ แนวขวางแปลกๆ
ชั่วอึดใจที่สายตาของเอ็ดเวิร์ดปรับรับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น เขาก็รู้ตัวว่าแสงเหล่านั้นที่เขาเห็นไม่ใช่ดวงไฟอย่างที่เขาคิด แต่คือสายตาของพวกก็อบลินนับสิบตัว!
“เฮ้ย!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตะโกนอะไรมากไปกว่านี้ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกคลุมหัวด้วยอะไรบ้างอย่าง ภาพและแสงสว่างทั้งหมดกลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก็คือก็อบลินอีกกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเพื่อนเขาทั้ง 2 คน และนำอะไรบางอย่างมาคลุมหัวพวกเขาเช่นเดียวกัน
“พวกข้าจับตัวผู้บุกรุกมาได้แล้ว หัวหน้า” เสียงแหบพร่าและแหลมสูงดังขึ้นข้างหลังเอ็ดเวิร์ด ภายนอกมีแสงไฟสว่างจ้าลอดผ่านเข้ามาในผ้าที่คลุมหัวเขาอยู่ตอนนี้ เขาพยายามมองลอดผ้าออกไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าก็ยังคงไม่ชัดเจนพอที่จะอธิบายอะไรได้มากนัก
“ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะเป็นพวกเดียวกับเจ้าหนุ่มนั่น” อีกเสียงที่ดังมาจากข้างหลังเขา เอ็ดเวิร์ดคิดว่าผู้พูดต้องหมายถึงนิโคลแน่ๆ
“เปิดผ้าออก ข้าอยากเห็นหน้าพวกมัน” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหน้าของเอ็ดเวิร์ด เดาได้ไม่ยากเลยว่าคนออกคำสั่งนี้ต้องเป็นหัวหน้าของเจ้าพวกก็อบลินที่จับตัวพวกเขามาแน่ๆ
ผ้าที่คลุมหัวพวกเขาทั้ง 3 อยู่ถูกกระชากออกอย่างแรงพร้อมกัน แสงสว่างจ้าแทงเข้ามาในดวงตาจนเอ็ดเวิร์ดต้องหยีตาอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปสักพัก เมื่อสายตาของพวกเขาเริ่มปรับเข้ากับแสงได้ เอ็ดเวิร์ดก็ลืมตาขึ้นเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ภาพที่ทำให้พวกเขาทั้ง 3 คนต้องอ้าปากค้าง ไม่เว้นแม้แต่เดรโก
ตรงหน้าเขา คือภายในถ้ำขนาดมหึมา เต็มไปด้วยคบไฟมากมายที่ติดอยู่บนผนัง รวมถึงที่พวกก็อบลินถือกันอยู่ในมืออันเล็กแห้ง ก็อบลินที่ดูเป็นผู้ออกคำสั่งเมื่อสักครู่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาบนชั้นหินขนาดใหญ่ที่แยกตัวออกมาจากพื้นราวกับเป็นเวทีสำหรับผู้กล้า ด้านหลังของก็อบลินตัวนั้น เต็มไปด้วยรูขนาดเดียวกับที่พวกเขาเดินเข้ามา เอ็ดเวิร์ดคิดว่ารูเหล่านั้นน่าจะนำทางไปสู่ส่วนอื่นๆ ในถ้ำได้
แต่สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ ด้านหลังของก็อบลินตัวนั้น รวมถึงรอบตัวของพวกเขา 3 คน เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลายชีวิต เอ็ดเวิร์ดตระหนักได้แล้วว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำของก็อบลิน กลางฝูงก็อบลินเกือบ 100 ตัว!
ปะทะก็อบลิน
เป็นเวลาเกือบ 10 นาทีกับการวิ่งไล่จับเด็กปริศนาที่มาชิงแหวนของพวกเขาไป เอ็ดเวิร์ดหยุดวิ่ง โค้งตัวลงหายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย เดรโกหยุดยืนเท้าเอว ยืดตัวและหายใจแรงอยู่ข้างหน้าเขาห่างไปพอสมควร ด้านหลังมีแอเลน่าที่นั่งลงกับพื้นหญ้า หยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อบนใบหน้าและเช็ดไอน้ำบนแว่นตาออก ปากพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด เหลือเพียงนิโคลที่ยังคงมีแรงวิ่งไล่เด็กคนนั้นอยู่ไกลลิบๆ และยังไม่มีทีท่าจะหยุดลง จนกระทั่งทั้งคู่วิ่งหายเข้าไปในป่าทึบ
“หยุดนะโว้ยยยย” เสียงตะโกนผสมเสียงลมหายใจหนักๆ จากนิโคลมาไกลๆ “ถ้าไมได้แหวนคืนมา ฉันตายแน่”
“อาการเป็นไงกันมั่ง” เดรโกที่เดินย้อนกลับมาหาพวกเขาถามขึ้น เขาไม่ค่อยมีอาการจากความเหนื่อยล้าสักเท่าไร ราวกับมีเหตุผลอื่นให้เขาเลือกที่จะหยุดวิ่งซะมากกว่า “ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนั้นมีบางอย่างแปลกๆ คิดเหมือนกันไหม แอเลน่า”
“ฉันว่าเขาไม่ใช่มนุษย์” แอเลน่าตอบอย่างหอบๆ
“เธอหมายความว่าเขาเป็นผีหรอ” เอ็ดเวิร์ดหันไปถาม สีหน้าหวาดๆ ให้ทะเลาะกับคนเขาก็พอร่วมด้วยได้อยู่ แต่ให้ทะเลาะกับผีเห็นทีต้องขอบาย
“ไม่ใช่ นายทึ่มเอ๊ย!” เด็กสาวตอกหน้ากลับ “ฉันว่านั่นคือก็อบลิน เดรโกอธิบายต่อที”
เมื่อเห็นอาการเหนื่อยหอบของเพื่อน เดรโกจึงตัดสินใจที่จะอธิบายเรื่องราวต่อเอง “นายไม่สังเกตหรอเอ็ดเวิร์ด ทั้งความเร็วของเขาที่แม้แต่นิโคลก็ยังตามไม่ทัน และทั้งๆ ที่พวกเราวิ่งตามมาตั้งเกือบ 10 นาทีแล้วนะ แต่เขายังไม่มีทีท่าจะหยุดพักบ้างเลย” เดรโกมองนิ่งและหน้าเพื่อนของเขาราวกับรอให้เอ็ดเวิร์ดเรียบเรียงความคิดให้เข้าที่เข้าทางก่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาทำท่าราวกับเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างได้ดีแล้ว เด็กหนุ่มก็พูดต่อ
“ฉันก็เลยฟันธงไปว่าเด็กนั่นต้องไม่ใช่มนุษย์ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นก็อบลิน”
“แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าเป็นก็อบลินล่ะแอล” เอ็ดเวิร์ดยืดตัวขึ้นมาถามหลังจากความเหนื่อยล้าเริ่มบรรเทาลง
“ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยขนาดนั้นหรอก” แอเลน่ายืนขึ้น “แต่จากที่เห็นตอนที่เขาเอื้อมมือมาหยิบแหวนไป แขนที่โผล่พ้นเสื้อมาของเขาเล็กกว่าที่มนุษย์ในวัยนั้นควรจะมี ไหนจะผิวสีเทาแปลกๆ ไหนจะความเร็วแล้วก็ความอึดในการวิ่งนั่นอีก พอรวมกับนิสัยของก็อบลินที่ขี้ขโมยและเป็นจอมป่วนมนุษย์ ฉันก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นก็อบลินแหละ”
เอ็ดเวิร์ดและเดรโกพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย
“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับก็อบลินบ้าง” เดรโกเอ่ยถาม
“เท่าที่อ่านเจอมาในหนังสือสัตวเวทมนตร์ศาสตร์ ก็จะมีเรื่องลักษณะทางกายภาพ ถิ่นที่อยู่อาศัย สายพันธุ์ อุปนิสัย แล้วก็...”
“เอาที่เราควรรู้ในตอนนี้สิแอล” เอ็ดเวิร์ดขัดขึ้นก่อน เรื่องน่าเบื่อพวกนั้นเขาไม่เห็นอยากจะรับรู้เลย
“ก็ได้” แอเลน่าทำท่าขัดใจนิดหน่อย พร้อมกับอธิบายต่อ “ก็อบลินมีนิสัยขี้แกล้งก็จริง แต่ไม่ได้เหี้ยมโหดจนถึงขนาดที่จะฆ่าคนตาย พวกเขามักไม่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ก็อบลินฝูงหนึ่งมักจะมีไม่เกิน 10 ตัว โดยในนั้นจะมีหัวหน้าฝูงที่มีอำนาจควบคุมและออกคำสั่งก็อบลินตัวอื่นๆ ได้ ที่สำคัญก็คือ ก็อบลินโตเต็มวัยสามารถใช้เวทมนตร์ได้”
“ก็หมายความว่าก็อบลินที่เราเจอเมื่อกี้ไม่ใช่ตัวเต็มวัยสินะ ไม่งั้นเขาคงใช้เวทมนตร์สลัดนิโคลหลุดไปแล้ว” เดรโกตั้งข้อสังเกต
“ไม่แน่หรอก” เอ็ดเวิร์ดปฏิเสธทันควัน “บางทีก็อบลินตัวนั้นอาจจะเลือกที่จะไม่ใช้เวทมนตร์เองก็ได้ จะได้รู้สึกสนุกกับเกมวิ่งไล่จับนี่ไง”
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี” แอเลน่ากังวล ทุกคนนิ่งเงียบจมอยู่ในความคิด
“ฉันว่าเราลุยกันต่อเถอะ ไปพาตัวนิคกับแหวนกลับมา” เอ็ดเวิร์ดเสนอ “แต่รอบนี้คงต้องระวังตัวกันหน่อย พยายามจับตำแหน่งเสียงของนิโคล แล้วก็อ้อมไปดักหน้าก็อบลินตัวนั้นให้ได้”
“ระวังเรื่องกับดับที่อาจจะมีในป่าด้วยล่ะ” แอเลน่าแนะ “แล้วก็เรื่องเวทมนตร์ด้วย ถ้าก็อบลินตัวนั้นใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ น่าจะยุ่งยากน่าดู”
พูดถึงเรื่องเวทมนตร์ เอ็ดเวิร์ดก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แอล” เขาเรียกเด็กสาว เมื่อผู้ถูกเรียกหันหน้ามา เอ็ดเวิร์ดก็โยนของสิ่งหนึ่งไปให้
“ให้แหวนฉันทำไม” เธอถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนโยนแหวนที่เก็บได้มาให้
“ตอนอยู่บนรถม้า ฉันรู้สึกเหมือนนิคมันจะใช้เวทมนตร์ได้แวบหนึ่ง ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับแหวนที่เธอได้มาแน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงก็เถอะ” เอ็ดเวิร์ดตอบ “อย่างน้อยเธอก็เอาไปสวมไว้เผื่อฉุกเฉินละกัน”
“เอ็ดเวิร์ด” เป็นเสียงเดรโกที่เรียกเขา และเมื่อเอ็ดเวิร์ดหันไป เด็กหนุ่มก็โยนแหวนที่เขาเก็บได้มาให้เหมือนกัน “ฉันเรียนเรื่องศิลปะการป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ดีกว่าพวกหุ่นก๊องแก๊งแบบนาย” เดรโกอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเอ็ดเวิร์ด พร้อมกับชำเลืองมองเขาด้วยหางตา
“ไอ้ตัวน่าหมั่นไส้เอ๊ย” เอ็ดเวิร์ดสบถด่าออกมา และสวมแหวนที่ได้รับมาไว้ หันไปมองแอเลน่า เด็กสาวก็สวมแหวนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เมื่อทั้ง 3 คนพร้อมแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางค้นหานิโคลต่อทันที
ไม่รู้ว่านานเท่าไรสำหรับการค้นหา แต่ตลอดทางพวกเขาทั้ง 3 ไม่เจอกับดักหรือก็อบลินตัวอื่นๆ เลย และรวมถึงนิโคลด้วย การวิ่งไล่จับหายไปราวกับไร้วี่แวว ทั้งเสียงและการเคลื่อนไหวล้วนอัตรธานหายไปหมด
“เป็นไปได้ไหมว่านิคจะเอาแหวนคืนได้แล้ว และไปรอเราที่รถม้า” แอเลน่าออกความเห็น มือก็ปัดป่ายเถาวัลย์และใบไม้ให้พ้นหน้า
“เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้านานขนาดนี้ อย่างหมอนั่นต้องแหกปากโวยวายหาพวกเราแล้ว” เอ็ดเวิร์ดตอบตามความคิดของเขา
“คิดได้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ” เดรโกเอ่ย “นิโคลคงโดนจับตัวไปแล้ว”
และก็ดูเป็นความคิดที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
พวกเขาเดินเลาะตามป่ามาจนพบเข้ากับปากถ้ำขนาดเล็กอยู่ ที่นี่พวกเขาได้ยินเสียงอู้อี้ของนิโคลดังลอดออกมาจากข้างใน เป็นอันยืนยันข้อสันนิษฐานของเดรโกได้เป็นอย่างดี นิโคลถูกจับตัวไปแล้วจริงๆ ด้วย
“เข้าไปกันเถอะ” เอ็ดเวิร์ดบอก และเลือกที่จะเดินนำหน้าเข้าไปในถ้ำ
“เดี๋ยวก่อนเอ็ด” แอเลน่าขัด พลางขยับแว่นให้เข้าที่และก้มลงไปข้างทาง เธอหยิบแหวนหน้าตาแบบเดียวกับที่เธอและเอ็ดเวิร์ดสวมอยู่ขึ้นมา
“นิคน่าจะทำตกไว้ตอนโดนจับตัวไปแน่ๆ”
“หรือไม่ก็ตั้งใจทิ้งไว้ให้พวกเรา” เอ็ดเวิร์ดต่อให้จนจบประโยค และเขาเชื่อว่ามันต้องเป็นแบบหลังแน่ๆ “สวมซะ เดรโก แล้วไปกัน”
พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปในถ้ำเรื่อยๆ ทางเดินเข้าเล็กมากจนพวกเขาต้องย่อตัวเพื่อเดินเข้าไปข้างใน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร เสียงแหกปากของนิโคลก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ และความสว่างไสวในถ้ำก็มลายหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน จนมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้ แทบไม่มีแสงใดๆ พอให้มองเห็นทางได้อีกแล้ว แล้วอยู่ดีๆ ไฟดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งก็ถูกจุดติดขึ้นบนฝ่ามือของเดรโกที่อยู่รั้งท้ายสุด
ดวงไฟกลมเล็กเท่าลูกปัดสีเหลืองนวลส่องสว่างลอยอยู่เหนือฝ่ามือข้างที่สวมแหวนของเด็กหนุ่ม ดวงไฟที่ช่างดูอบอุ่นและสว่างไสว แต่ทั้งอย่างนั้น ความสว่างของมันก็ยังคงไม่เพียงพอต่อการเดินทางภายในถ้ำที่มืดมิดนี้ต่อไปอยู่ดี
“นายทำได้ไงน่ะ” เอ็ดเวิร์ดหันไปกระซิบถาม
“ไม่รู้สิ” เขาตอบเรียบๆ “ทางมันมืดเกินไป ฉันก็เลยคิดถึงแสงสว่างเท่านั้นเอง”
พรึ่บ! ดวงไฟแบบเดียวกับของเดรโกถูกจุดติดขึ้นมาอีกดวงหนึ่งบนฝ่ามือของเด็กสาว เส้นทางเดินภายในถ้ำดูสว่างไสวขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“ลองคิดถึงแสงสว่างตามที่เดรโกบอกสิ เอ็ด” แอเลน่าแนะนำ
เอ็ดเวิร์ดชูมือข้างที่สวมแหวนขึ้นมา กำลังพยายามที่จะนึกถึงแสงสว่างตามคำแนะนำ แต่สายตาเขาก็พลันเหลือบไปเห็นดวงไฟหลายสิบดวงข้างหลังเดรโกที่อยู่รั้งท้ายเสียก่อน
เอ็ดเวิร์ดหรี่ตาเพื่อพยายามจับจุดดวงไฟเหล่านั้นให้ได้ เป็นดวงไฟที่แปลกประหลาดเหลือเกิน เต็มไปด้วยหลากสีสัน ทั้งสีแดง สีเหลือ มีสีเขียวด้วย ลอยอยู่ทั้งบนพื้น ในอากาศ ไปเกาะอยู่ตามเพดานถ้ำก็ยังมี แต่แปลกแหะ ดูเหมือนมันลอยกันอยู่เป็นคู่ๆ เลย แต่ทำไมดูไม่เหมือนของเดรโกกับแอเลน่าเลย ของทั้ง 2 คนนั้นดูเป็นลูกบอลแสงกลมๆ แต่ที่ลอยอยู่ข้างหลังพวกเขาดูเป็นเรียวๆ แนวขวางแปลกๆ
ชั่วอึดใจที่สายตาของเอ็ดเวิร์ดปรับรับภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น เขาก็รู้ตัวว่าแสงเหล่านั้นที่เขาเห็นไม่ใช่ดวงไฟอย่างที่เขาคิด แต่คือสายตาของพวกก็อบลินนับสิบตัว!
“เฮ้ย!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตะโกนอะไรมากไปกว่านี้ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกคลุมหัวด้วยอะไรบ้างอย่าง ภาพและแสงสว่างทั้งหมดกลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก็คือก็อบลินอีกกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเพื่อนเขาทั้ง 2 คน และนำอะไรบางอย่างมาคลุมหัวพวกเขาเช่นเดียวกัน
“พวกข้าจับตัวผู้บุกรุกมาได้แล้ว หัวหน้า” เสียงแหบพร่าและแหลมสูงดังขึ้นข้างหลังเอ็ดเวิร์ด ภายนอกมีแสงไฟสว่างจ้าลอดผ่านเข้ามาในผ้าที่คลุมหัวเขาอยู่ตอนนี้ เขาพยายามมองลอดผ้าออกไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าก็ยังคงไม่ชัดเจนพอที่จะอธิบายอะไรได้มากนัก
“ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะเป็นพวกเดียวกับเจ้าหนุ่มนั่น” อีกเสียงที่ดังมาจากข้างหลังเขา เอ็ดเวิร์ดคิดว่าผู้พูดต้องหมายถึงนิโคลแน่ๆ
“เปิดผ้าออก ข้าอยากเห็นหน้าพวกมัน” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหน้าของเอ็ดเวิร์ด เดาได้ไม่ยากเลยว่าคนออกคำสั่งนี้ต้องเป็นหัวหน้าของเจ้าพวกก็อบลินที่จับตัวพวกเขามาแน่ๆ
ผ้าที่คลุมหัวพวกเขาทั้ง 3 อยู่ถูกกระชากออกอย่างแรงพร้อมกัน แสงสว่างจ้าแทงเข้ามาในดวงตาจนเอ็ดเวิร์ดต้องหยีตาอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปสักพัก เมื่อสายตาของพวกเขาเริ่มปรับเข้ากับแสงได้ เอ็ดเวิร์ดก็ลืมตาขึ้นเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ภาพที่ทำให้พวกเขาทั้ง 3 คนต้องอ้าปากค้าง ไม่เว้นแม้แต่เดรโก
ตรงหน้าเขา คือภายในถ้ำขนาดมหึมา เต็มไปด้วยคบไฟมากมายที่ติดอยู่บนผนัง รวมถึงที่พวกก็อบลินถือกันอยู่ในมืออันเล็กแห้ง ก็อบลินที่ดูเป็นผู้ออกคำสั่งเมื่อสักครู่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาบนชั้นหินขนาดใหญ่ที่แยกตัวออกมาจากพื้นราวกับเป็นเวทีสำหรับผู้กล้า ด้านหลังของก็อบลินตัวนั้น เต็มไปด้วยรูขนาดเดียวกับที่พวกเขาเดินเข้ามา เอ็ดเวิร์ดคิดว่ารูเหล่านั้นน่าจะนำทางไปสู่ส่วนอื่นๆ ในถ้ำได้
แต่สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ ด้านหลังของก็อบลินตัวนั้น รวมถึงรอบตัวของพวกเขา 3 คน เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลายชีวิต เอ็ดเวิร์ดตระหนักได้แล้วว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำของก็อบลิน กลางฝูงก็อบลินเกือบ 100 ตัว!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ