Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) มนตราต้องห้าม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 10
มนตราต้องห้าม
“พวกนายว่าสิ่งที่ครูใหญ่พูดมันหมายความว่ายังไง” เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นลอยๆ ท่ามกลางความเงียบ ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นมาเนิ่นนานหลังจากทั้ง 4 คนกลับออกมาจากอาคารห้องพักครู
หลังจากกลับออกมาจากอาคารนั้น ตอนนี้เด็กหนุ่มทั้ง 3 คนตัดสินใจมานั่งพูดคุยปรึกษากันอยู่ที่ลานตามประสงค์ ซึ่งตอนนี้แปรสภาพเป็นทะเลทราย แต่ก็ต้องถือว่ายังโชคยังดีที่แม้จะเป็นทะเลทราย แต่ก็เป็นทะเลทรายที่สงบ ไม่งั้นพวกเขาคงได้ขยี้ตากันจนแดงแน่ๆ และแม้จะใช้คำว่าพูดคุย แต่ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาก็มีแต่ความเงียบ พวกเขายังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาจนไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยอะไรกันทั้งสิ้น แม้แต่คนช่างจ้ออย่างนิโคลก็ยังไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาเลย
และแม้เอ็ดเวิร์ดจะเอ่ยประโยคทำลายความเงียบขึ้นมา แต่ก็เหมือนเป็นแค่ประโยคคำถามลอยๆ ที่ไม่ต้องการคำตอบ และเพื่อนอีก 2 คนก็เหมือนจะรู้เช่นนั้น จึงเลือกที่จะนั่งเงียบกันต่อไป
“พวกนาย” เสียงของแอเลน่าแหวกอากาศเข้ามาก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะโผล่มาให้เห็นเสียอีก หลังจากกลับออกมาจากอาคารห้องพักครู เด็กสาวเลือกที่จะแยกออกไปค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับมนตราที่พวกเขาได้ยินมา แต่จากสีหน้าที่แสดงออกนั้น ก็เข้าใจได้ว่าเธอคงจะคว้าน้ำเหลว
“ไม่มีข้อมูลอะไรเลยหรอ แอล” นิโคลเอ่ยถาม
“ไม่มีเลย” แอเลน่าส่ายหน้า “เท่าที่ฉันรู้ แล้วก็ลองไปไล่หาหนังสือดูจากข้อมูลที่ได้ยินมา ไม่มีมนตราไหนใกล้เคียงเลย แม้แต่มนตราสายปิดผนึกที่แน่นหนาที่สุดเท่าที่ฉันรู้จัก ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องสังเวยชีวิตคนเลยนะ”
“ถ้าแบบนั้นก็คงไม่ใช่มนตราธรรมดาที่นักเรียนจะรู้ได้แล้วแหละ” เดรโกพูดออกมาลอยๆ
“หมายความว่าไง” เอ็ดเวิร์ดหันไปถาม
เดรโกมองหน้าเอ็ดเวิร์ดนิ่งๆ ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนที่เหลือ โดยสบตากับเด็กสาวเป็นคนสุดท้าย และเหมือนเด็กสาวก็จะรับรู้ได้จากสายตานั้นว่าเพื่อนของเธอหมายถึงอะไร
“นายหมายถึงมนตราต้องห้ามใช่ไหม” แอเลน่าเดา และสิ่งที่เธอเดาก็ถูกต้อง เมื่อเดรโกพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนอีก 2 คนของเธอจะต้องไม่เข้าใจสิ่งที่เธอหมายถึงแน่ๆ เธอจึงไม่รอช้ารีบอธิบายให้ฟังทันที “มนตราในโลกนี้มีนับร้อยนับพัน ไม่มีทางที่ทางโรงเรียนจะสามารถสอนให้ครบได้ภายใน 4 ปีแน่ๆ การเรียนรู้นอกห้องเรียนจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้จักมนตรานอกเหนือจากที่ครูสอนได้
แต่ถึงอย่างนั้น ก็จะมีมนตราบางประเภท ที่ทางการไม่ยอมให้ทางโรงเรียนสอนนักเรียน อย่าว่าแต่สอนเลย แม้แต่ข้อมูลนอกห้องเรียนก็ไม่มีให้เข้าถึง และการใช้มนตราประเภทนี้ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มนตราพวกนี้จึงมีชื่อเรียกว่า มนตราต้องห้าม”
“มนตราต้องห้ามงั้นหรอ” นิโคลทวนคำ
“ใช่” แอเลน่าย้ำ “ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมนตราที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อร่างกายของคน หรือไม่ก็มีผลต่อชีวิตนั่นแหละ ยิ่งถ้าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นมนตราที่ต้องสังเวยชีวิตคนด้วยแล้ว ก็ไม่แปลกถ้ามันจะเป็นมนตราต้องห้าม”
“แบบนี้พวกเราก็ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรได้เลยน่ะสิ” นิโคลโอดครวญ เขามันเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่สามารถหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินมาได้เลย เขาต้องนอนไม่หลับแน่ๆ แต่เพื่อนของเขาทั้ง 3 คนก็เงียบให้กับคำถามนี้ จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งแง้มประตูที่เขาคิดว่าปิดตายไปแล้วให้ได้เห็นถึงแสงสว่างเล็กๆ
“ก็ไม่แน่” เดรโกพึมพำเบาๆ “แต่วิธีนี้มันค่อนข้างที่จะเสี่ยง ถ้าถูกจับได้เราได้ถูกหิ้วออกจากโรงเรียนแน่ๆ”
“อะไรหรอๆ” นิโคลกระตือรือร้นมากกับคำพูดนี้
“โซนหนังสือมนตราต้องห้ามไง” เดรโกตอบเสียงราบเรียบ “ฉันเคยได้ยินมาว่ามันเป็นโซนหนังสือลับที่อยู่ตรงไหนสักที่ในหอสมุดนั่น แต่อย่าว่าแต่จะไปค้นข้อมูลโดยที่ไม่ถูกจับได้เลย ลำพังแค่การจะหา หรือเข้าไปในโซนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ทางโรงเรียนไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้าไปได้ง่ายๆ หรอก อย่างน้อยก็ต้องลงมนตราป้องกันอะไรไว้บ้างแหละ”
“เฮ้อ” นิโคลทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ ถ้าสิ่งที่เพื่อนของเขาพูดมาเป็นความจริง พวกเขา 4 คนก็คงไม่มีทางได้เข้าไปแน่ๆ แม้แต่เวทมนตร์พื้นฐานพวกเขายังไม่สามารถใช้ได้เลย
“เราลองไปดูที่ร้านบาธาซาร์ดีไหม” เอ็ดเวิร์ดเสนอ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็วโดยเด็กสาว
“ไม่มีทางมีหรอก อย่างที่บอกไปนั่นแหละ มนตราต้องห้ามเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การขายหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายด้วย คุณบาธาซาร์ไม่ทำเรื่องผิดกฎหมายหรอก ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาคงโดนทางการจับตัวไปแล้วล่ะ” แอเลน่าอธิบายด้วยท่าทางเคร่งครึม
“เฮ้อ” นิโคลถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ 2 และวงสนทนาของเด็กหนุ่มสาวก็ถูกแทรกด้วยความเงียบที่ยาวนานอีกครั้ง ก่อนที่จะเป็นเด็กสาวที่พูดออกมาเป็นคนแรก
“จริงๆ แล้ว จุดเริ่มต้นเรื่องนี้มันก็มาจากความอยากรู้อยากเห็นของนิคคนเดียว” เด็กสาวมองไปที่หน้าของเด็กหนุ่มที่พูดถึง นิโคลยิ้มแหยๆ รับกลับ “ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเรื่องอะไร แต่ในเมื่อตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก็คงต้องปล่อยให้ทางผู้ใหญ่เขาเป็นคนจัดการเองแล้วแหละ”
“ฉันเห็นด้วยกับแอลนะ” เอ็ดเวิร์ดสนับสนุน “พวกเราตอนนี้แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เลยด้วยซ้ำ คงจะช่วยใครไม่ได้หรอก เรื่องคราวนี้ก็ดูท่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเราด้วย อีกอย่างที่สำคัญที่สุด ฉันเบื่อแล้ว”
“โรคเบื่อโลกกำเริบอีกละ” นิโคลแซว แต่เขาก็ยอมรับความจริงเช่นเดียวกับเพื่อนทั้ง 2 คน และเดรโกก็พยักหน้ายอมรับเบาๆ ด้วยเช่นกัน
“ถอดใจกันเร็วจังเลยนะ” เสียงของชายปริศนาที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากทางเดินไปอาคารปีกขวา สักพักร่างซีดเซียวพร้อมกับรอยยิ้มที่คุ้นเคยก็ปรากฏออกมา
“ครูแกสตัน!” เด็กทั้ง 4 คนยืนขึ้น แล้วตะโกนดังลั่นออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ นี่ครูได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันหมดเลยงั้นหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาคงไม่รอดจากการโดนทำโทษแน่ๆ
“ครูมาได้ยังไงครับเนี่ย” นิโคลทำใจดีสู้เสือ ฝืนยิ้มไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“ไม่สำคัญหรอกคุณไรเกอร์ ว่าครูมาได้ยังไง สำคัญที่ว่าพวกเธอไปไหนกันมาต่างหาก” ครูซฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย ทำเอาเด็กทั้ง 4 คนหน้าเจื่อนไปพร้อมๆ กัน นั่นหมายความว่าครูแกสตันรู้ใช่ไหมว่าพวกเขาไปไหนกันมา “ครูบังเอิญเห็นตอนที่พวกเธออยู่หน้าห้องครูใหญ่น่ะ แต่ไม่ต้องทำหน้าน่าสงสารอย่างนั้นหรอก ครูไม่ฟ้องครูใหญ่หรอกน่า สบายใจได้”
จำเลยทั้ง 3 คนมีสีหน้าโล่งใจขึ้น เว้นก็เพียงแต่เดรโก เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของครูหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มมีสีหน้าจริงจังและกังวลมากขึ้น "ครูต้องการอะไรจากพวกเรางั้นหรอครับ”
“แหมๆ มองโลกในแง่ร้ายจังเลยนะเธอเนี่ย” ครูซหันไปยิ้มบางๆ ให้เดรโก แต่เหมือนเดรโกจะสัมผัสไม่ได้ถึงความจริงใจในรอยยิ้มนั้นเลย เช่นเดียวกับเอ็ดเวิร์ด เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ จากรอยยิ้มนั้น แบบเดียวกับตอนที่เขามารับการทดสอบเข้าโรงเรียน “ครูก็แค่เห็นว่าพวกเธออยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แล้วก็ดันเจอทางตัน ครูก็เลยจะมาแง้มประตูทางไปต่อไว้ให้พวกเธอสักเล็กน้อยเท่านั้นเอง พวกเธอจะเดินไปต่อตามประตูที่ครูแง้มไว้ให้ไหม นั่นก็เป็นสิทธิของพวกเธอ”
“ข้อมูลอะไรหรอครับ” นิโคลถามด้วยความอยากรู้
“ก็เรื่องที่พวกเธออยากรู้นั่นล่ะ” ครูซตอบพร้อมกับเริ่มต้นอธิบาย “พวกเธอคิดถูกเรื่องที่ว่ามนตราที่พวกเธอกำลังพยายามหาข้อมูลอยู่นั้นเป็นมนตราต้องห้าม แต่แม้แต่ในบรรดามนตราต้องห้ามทั้งหมด มนตรานั้นยังจัดเป็นมนตราต้องห้ามระดับสูง
อย่างที่คุณดีนบอกนั่นแหละ มนตราต้องห้ามส่วนใหญ่จะเป็นมนตราที่สร้างผลกระทบทางลบอย่างร้ายแรงต่อร่างกายหรือไม่ก็ชีวิตของคน แต่ก็ยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือแม้แต่ธรรมชาติด้วย หรือแม้แต่มนตราบางประเภทที่ส่งผลต่อจิตใจหรือมิติเวลาก็จัดเป็นมนตราต้องห้ามด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหรอกถ้าพวกเธอจะไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับมนตรานี้ได้ เพราะ มันคือมนตราสายปิดผนึกที่แน่นหนาที่สุดในโลก และสามารถใช้ผนึกได้เฉพาะกับคนเท่านั้น ซึ่งพวกเธอก็คงจะได้ยินแล้วว่าตอนนี้คนที่ถูกผนึกอยู่ภายใต้มนตรานี้คือใคร แถมมนตรานี้ยังไม่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้อีกด้วยนะ ขนาดระดับผู้พิชิตยังโดนผนึกไว้ได้เลย เจ๋งใช่ไหมล่ะ
และที่บอกว่าแม้แต่ในบรรดามนตราต้องห้ามทั้งหมด มนตรานี้ยังจัดเป็นมนตราต้องห้ามระดับสูง ก็เพราะว่า การจะใช้มนตราผนึกนี้ได้โดยสมบูรณ์ นอกจากจะต้องสังเวยชีวิตคนหนึ่งเพื่อสร้างผนึกขึ้นมา กระบวนการในการสร้างผนึกก็ยังต้องอาศัยมนตราต้องห้ามอื่นๆ อีก ชื่อของมนตรานี้ก็คือ มนตราผนึกชีพ”
“มนตราผนึกชีพ” เด็กทั้ง 4 ทวนคำอย่างแผ่วเบาราวกับผิวปาก
“ครูเอาเรื่องนี้มาบอกพวกเราทำไมครับ” เอ็ดเวิร์ดถามขึ้น “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา การที่ครูมาบอกพวกเราเกี่ยวกับมนตราต้องห้ามอาจจะทำให้ครูเดือดร้อนก็ได้นะครับ”
“ครูยอมรับความเสี่ยงนั้นได้” ครูซยิ้มตอบ “อีกอย่าง ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเธอเลยก็ดูจะผิดไปหน่อย จริงๆ ต้องบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเธอเต็มๆ เลยนะ คุณฟอร์บส์”
“เกี่ยวกับเอ็ด หมายความว่ายังไงครับ” นิโคลขมวดคิ้วถาม เอ็ดเวิร์ดเริ่มรู้สึกไม่ดีกับประโยคต่อไปที่ครูแกสตันจะพูด เมื่อเขาลองประกอบความคิดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เข้าด้วยกัน เขาก็รู้สึกมวนท้องแปลกๆ และได้แต่ภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
“ก็เพราะว่าร่างสังเวยที่ใช้ประกอบมนตรานี้ คือร่างของคนในครอบครัวของเธอไง คุณฟอร์บส์” ครูซยิ้มให้กับเอ็ดเวิร์ด รอยยิ้มที่ทำให้อาการมวนท้องของเขาแทบจะทะลุออกมาทางปาก “ใช่ ร่างสังเวยนี้คือพ่อของเธอ ชาร์ลส์ ฟอร์บส์”
คำตอบที่แผ่วเบา แต่ราวกับมีกำปั้นเหล็กมาชกเข้าเต็มหน้าของเอ็ดเวิร์ด เขางุนงงไปหมด มีแต่คำถามขึ้นมามากมายในหัว เขาไม่รับรู้คำพูดใดๆ ต่อไปที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มหรือเพื่อนของเขาเลย ราวกับทุกคนกำลังทำปากพะงาบๆ ที่ไร้เสียงมาทางเขา
“เรื่องนี้คงจะทำให้พวกเธอตกใจไม่น้อย ยังไงก็ดูแลเพื่อนด้วยแล้วกันนะ ครูขอตัวก่อน” ครูซหันหลังและเดินจากไปยังที่ที่เขาเข้ามา ทิ้งความสับสนวุ่นวายที่เขาสร้างไว้เบื้องหลัง
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาภายใต้ร่มเงาของตัวอาคาร พลันมีเสียงดังขึ้นข้างกายเขา
“ทำไมต้องไปบอกเรื่องมนตราผนึกชีพกับเด็กพวกนั้นด้วย” เสียงของชายปริศนาที่อยู่ภายใต้เงามืดถามขึ้น
“ก็แค่หาเรื่องเดิมพันสนุกๆ นิดหน่อยน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่หันไปมองคู่สนทนา
“ไม่คิดว่ามันเร็วไปหรอไง” ชายปริศนาถามต่อ
“ไม่เร็วไปหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก อีกอย่าง ผมว่าถ้าเป็นเด็กพวกนั้น ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแน่ๆ และผมเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะต้องเป็นประโยชน์กับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน” ครูซตอบ
“หวังว่านายคงไม่ก่อเรื่องอะไรที่จะสร้างความลำบากให้เราหรอกนะ ถ้าไม่อย่างนั้น...” เสียงปริศนาเว้นช่องว่างไว้ให้ แต่แม้จะไม่พูดให้จบประโยค ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“ถ้าไม่ต้องรับความเสี่ยงเลย จะเรียกว่าเดิมพันหรอครับ” ครูซหันไปฉีกยิ้มกว้างให้กับคู่สนทนา
“รู้ไหม” ชายคนนั้นเริ่มก้าวเท้าออกมาจากความมืดพร้อมกล่าวต่อ “บางครั้งฉันก็อยากกรีดยิ้มหวานๆ ของแกจริงๆ แต่เวลาฉันไม่ค่อยมีเท่าไร ไว้วันหน้าก็แล้วกัน” ยังไม่ทันที่จะออกมาพ้นความมืด ร่างนั้นก็พลันสลายกลายเป็นควันล่องลอยไปเสียก่อน
“ผมจะตั้งตารอวันนั้นนะครับ” ครูซรำพึงเบาๆ กับตัวเองด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับก้าวเดินต่อไปตามทางเดิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ