ชื่อเรื่อง ยังไม่มี
7.0
เขียนโดย PMTV
วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.35 น.
54 ตอน
48 วิจารณ์
35.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564 15.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
44) ตอนที่44
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากได้ตั๋วรถไฟแผ่นเล็กๆมาแล้ว ผมก็เดินหาซื้อข้าวกล่องในสถานีรถไฟ รอเวลาขึ้นรถหลังจากนั้นไม่นานรถไฟก็มาผมก็ขึ้นไป
นั่งที่ ให้นึกภาพรถเมล์บ้านเราคือชินคันเซ็นจะมีบางตู้ที่ไม่สามารถจองที่นั่งได้ซึ่งตั๋วจะราคาถูกที่สุด หมายความว่าใครไปก่อนได้นั่ง
ก่อนยังไงล่ะ ระบบนี้ผมชินจากขนส่งที่บ้านเกิดอยู่แล้ว พอประตูรถไฟเปิดผมก็วิ่งเข้าไปคนแรกและนั่งในที่ผมหมายตาเอาไว้ถึง
จะไปทำงาน แต่สำหรับผมส่วนหนึ่งมันเหมือนได้ไปเที่ยวเพราะมันได้ดูวิวข้างทางไงล่ะ ผมจึงต้องรีบวิ่งไปนั่งที่ก่อนใครเพื่อจะได้ขม
วิวตามที่คาดหวัง ซึ่งผมก็ได้ชมวิวจริงๆนั่นแหละแต่ผมดันมานั่งในช่วงเย็น กว่าจะถึงอะคิตะก็ต้องใช้เวลาเดินทางอีก5ชมกว่าๆ ซึ่งผม
ก็ได้ชมวิวไปได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็หายลับไปจากขอบฟ้า แสงไฟตามถนนและตามบ้านเรือนผู้คนก็เริ่มเปิดไฟกัน มันก็สวยไปอีก
แบบ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไว้ละนะ หลังจากนั่งๆนอนไปได้สักพักใหญ่ๆก็มาถึง ที่สถานีรถไฟโยโคเตะ ตอนเวลาเกือบจะ4ทุ่ม ใน
ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่า นั่งรถไฟมาถึงก็จะเข้าไปพักในโรงแรม สาขาโยโคเตะของเรา แต่ถ้าคิดถึงจุดประสงค์หลักที่ผมมาแล้วผม
ไม่ควรจะเข้าไปใก้ลที่นั่นมากนักก่อนที่ จะโดนจับได้ผมก็เลยเดินออกมาห่างจากสถานีรถไฟฟ้าและหาโรงแรมนอน เดินออกมาไม่
ไกลจากสถานีนักก็มีโรงแรมที่ตึกดูค่อนข้างจะเก่ามากแล้ว ผมเลยเดินเข้าไปถามหาห้องว่างสรุปก็คือผมได้นอนที่โรงแรมนี้ ราคาต่อ
คืนก็ถูกถ้าไม่นับเรื่องที่สภาพมันเก่ามากและไม่มีอาหารเช้าให้ก็ถือว่ารับได้อยู่ละนะ หลังจากที่ผมได้ห้องพัก ผมก็ไม่ลืมที่จะส่ง
ข้อความบอกฮารุเรื่องที่ผมอยู่ที่นี่และผมก็ปิดมือถือทันทีเพราะอะไรน่ะหรอ เพราะไม่อยากโดนฮารุบ่นยังไงล่ะ หลังจากนั้นผมก็ไป
เดินเล่นในเมืองหาซื้อเสื้อผ้าใส่เพราะผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยและตามหาร้านกินข้าวหลังจากกินเสร็จผมก็กลับโรงแรมมาอ่าบน้ำ
นอน ตื่นมาวันใหม่ผมก็อ่าบน้ำแต่งตัว ลงไปเดินเล่นซื้อข้าวที่ร้านสดวกซื้อและมาหาที่นั่งกินเพื่อจะได้ดู สถานการณ์สาขาโยโคเตะ
ในระหว่างที่ผมกินข้าวก็นั่งมองไปด้วยบอกตามตรงผมไม่คิดว่าการมาดูแบบนี้มันจะมีอะไรรับประกันว่าจะเกิดเรื่องขึ้น บางทีอาจจะมา
เสียเปล่าก็ได้หลังจากที่กินข้าวเสร็จผมก็ไปเดินเล่นในเมือง พูดคุยกับร้านขายของแถวหน้าสถานีและผมไม่ลืมที่จะสอบถามข้อมูล
ของโรงแรมสาขาโยโคเตะ บางคนก็เคยเห็น บางคนก็แค่ได้ฟังคนอื่นเล่าต่อมาอีกที ในทำนองที่ว่ามีคนมาอาละวาดในโรงแรมสาขา
นี้ และมักจะมีพวกนักเลงคอยมาเดินป้วนเปี้ยนแถวหน้าโรงแรมบ่อยครั้งรวมถึงการข่มขู่ด้วยอาวุธ จนทำให้คนที่มาเที่ยวไม่กล้าที่จะ
เข้าใช้บริการของโรงแรมเรา ในระหว่างที่ผมเดินเล่นอยู่นั้นผมก็เดินผ่านซอยเล็กที่อยู่ซอกตึก ในระหว่างที่ผมเดินผ่านก็มีกลุ่มคน
โผล่ออกมาจากซอกตึกตรงนั้น
มาคิชิมะ-ท่านบิกคุ ได้โปรดขึ้นรถกลับไปที่โตเกียวกับผมด้วยครับผม-หื๋อ? นี่มันอะไรกันครับผมก็แค่แวะมาเที่ยวเล่นที่นี่เฉยๆนะครับ
มาคิชิมะ-ต้องขอภัยอย่างสูงด้วยครับ แต่เกรงว่ายังไงผมก็ต้องขอให้ท่านบิกคุเดินทางกลับไปโตเกียวพร้อมกับพวกผมในตอนนี้ครับ
ผม-จริงสิผมได้ข่าวมาว่า ที่เมืองนี้มียากูซ่าคุมเมืองอยู่ด้วยใช่มั้ยครับ
มาคิชิมะ-ใช่แล้วครับ แก๊งที่คุมพื้นที่นี้อยู่คือ แก๊งเคียวยะครับ
ผม-อ่า แก๊งเคียวยะสินะครับ
มาคิชิมะ-ทะ..ท่านบิกคุ คิดจะทำ
ผม-โทษทีนะมาคิชิมะซัง ผมไม่สามารถกลับไปกับพวกคุณในตอนนี้ได้พวกคุณกลับกันไปก่อนเถอะ และก็ขอบคุณสำหรับ
ข้อมูลนะครับ ผมไปละ
มาคิชิมะ-ทะ ท่านบิกคุ รอเดี๋ยวก่อนผม-จริงสิผมลืมบอกไปอย่างนะครับ ถ้าคิดจะมาขวางงานของผมล่ะก็ ต่อให้เป็นมาคิชิมะซังผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะครับ
หลังจากที่ผมยื่นคำขาดออกไป พวกมาคิชิมะที่ตอนแรกนั้นสงบและเยือกเย็น แต่ในตอนนี้บนใบหน้าของพวกนั้นกลับเต็มไปด้วยเหงื
อไหล่ออกมาไม่หยุด
มาคิชิมะ-ทะ…ทราบแล้วครับท่านบิกคุ ถ้าเช่นนั้นพวกกระผมขอตัวก่อนนะครับ
ผม-อ่า และอย่าเข้ามาทักกันบ่อยละ ผมกำลังทำงานสำคัญอยู่เพราะเคลือนไหวคนเดียวมันง่ายกว่า ผมถึงไม่เอาไอ้พวกบ้านั่นมาด้วย
คุณคงจะเข้าใจใช่มั้ย มาคิชิมะซัง
มาคิชิมะ-ระ เรื่องนั้นผมทราบดีครับ ตะ แต่นี่มันเป็นคำสั่งจากท่านหัวหน้า
ผม-งั้นก็ฝากไปบอก ทาเคดะซังด้วยนะครับ ว่าผมจะไม่ให้อภัยให้กับคนที่มาขวางการทำงานของผมและถ้างานที่ผมลงทุนทำ
ด้วยตนเองนั้นมันพังลงอย่างไม่เป็นท่าล่ะก็ ผมอาจจะไม่ใช่คนที่พวกคุณเคยรู้จักหรอกนะครับ ผมหวังว่าพวกเราจะมิตรที่ดีต่อกันได้
มาคิชิมะ-กระผมจะรายงานให้ท่านหัวหน้าทราบครับ
ผม-ขอบคุณครับที่เข้าใจผม
หลังจากนั้นผมก็เดินแยกออกมาจากพวกมาคิชิมะ บอกตามตรงตอนนี้เรื่องที่ผมมาที่นี่ น่าจะรู้กันหมดทั้งบ้านแล้ว ผมก็เดินตามหา
ข้อมูลไปเรื่อยๆจนฟ้ามึดผมก็เดินหาร้านที่จะกินข้าว ผมก็เดินเข้าไปในร้านอิซะกะยะ ที่ส่งกลิ่นหอมออกมา พอผมเข้าไปที่นั่นในร้านเต็มไปด้วยลูกค้า และพนง ก็รีบวิ่งมาต้อนรับ
พนง-กี่ที่คะ
ผม-เอ่อ ผมมาคนเดียวพอจะนั่งทานได้มั้ยครับ
พนง-ได้ค่ะ ลูกค้า1ที่ เชิญนั่งบาร์ที่ด้านหน้าเค้าเตอร์ได้รึป่าวคะ
ผม-ได้ครับ
หลังจากนั้น พนง ร้านก็พาผมไปนั่งตรงบาร์และเลือกที่ให้ผมสะตรงกลางของบาร์ พนง คงกลัวผมจะเหงาะแหละเห็นผมมาคนเดียว
เลยจัดให้ผมได้นั่งข้างๆสาวผมยาวสีดำคนนี้ ถ้ามองจริงๆก็น่ารักอยู่นะเนี้ย แต่เสียอย่างเดียว กลิ่นเหล้าที่โชยออกมาจากตัวของเจ้า
หล่อนนี่แรงมาก และก็เหมือนจะโวยวายอะไรก็ไม่รู้ผมก็ฟังไม่เข้าใจ ส่วน พนง ที่ บาร์ก็ได้แต่ปลอบเธอคนนั้น เพื่อให้เธอสงบลง
ผม-มาสเตอร์ผมสนใจสั่ง เมนู สเต๊กเนื้อวัวท้องถิ่นครับ
พนง ที่ บาร์ก็หันมามองหน้าผมประมาณว่า ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
พนง บาร์-ดะ ได้ครับจะรับความสุกของเนื้อระดับไหนดีครับ
ผม-เอาสุกกลางๆละกันครับ
พนง บาร์-ได้ครับ นี่ทาคาโอะจัง!!!!ช่วยพารูริจังไปสงบจิตใจหน่อยไป! ยังไงเธอก็จะได้เวลาพักเบรคแล้วนี่
ทาคาโอะ-ทะ ทราบแล้วค้า~~มาสเตอร์
พนงสาว ที่กำลังทำงานยุ่งอยู่ก็หันมาตอบรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการทำงานเป็นคนที่ขยันขันแข็งจังเลยน้า~~~ถ้ายัยพลอยได้สักครึ่งของเธอคนนี้ก็คงจะดี อ๊ะ!!! เหมือนจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของทาเคดะซังและซาซากิซังแล้วสิ ฮ่ะ ฮ่ะ
เฮ้ออ!! คิดละก็เป็นห่วงที่บ้านไม่รู้ฮารุจะโวยวายขนาดไหนแล้ว ในระหว่างที่ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อย ทางลูกค้าเจ้าปัญหาก็โดน พนง
ของร้านหิ้วปีกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้มารบกวนลูกค้าคนอื่น
พนง บาร์- ต้องขอโทษด้วยนะครับ คุณลูกค้าเหล้าแก้วนี้ผมขอเลี้ยงเองครับ
หลังจากพูดจบก็นำแก้วแหล้า มาวางให้ตรงหน้าผม
ผม-จะดีหรอครับอีกอย่างทางนั้นเป็นลูกค้าทางร้านไม่จำเป็นจำต้องมารับผิดชอบอะไรเลยไม่ใช่หรอครับ
พนงบาร์-มันก็ใช่หรอกครับ แต่ว่ารูริจังน่ะ เป็นเด็กดีมากเลยนะถึงจะเห็นโวยวายแบบนั้นก็เถอะ
ผม-เอ๋!! งั้นหรอครับ ภายนอกดูไม่เหมือนอย่างที่มาสเตอร์พูดเลยนะครับ
พนงบาร์-เฮ้อออ มันก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ ก่อนหน้านี้รูริจังทำงานเป็นหัวหน้าเชฟในโรงแรมเลยนะ การงานก็ดี หน้าตาก็ดีมีแต่คน
เข้าหา
ผม-แล้วทำไมคนที่ดีพร้อมแบบนั้นถึงมาอยู่ในสภาพนี้ล่ะครับ
พนงบาร์-ผมบอกทั้งหมดไม่ได้หรอกนะ แต่ที่บอกได้ก็คือรูริจังน่ะโดนเจ้านายที่ทำงานกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำเลยล่ะ
ผม-ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมไม่ลาออกไปทำงานที่อื่นล่ะครับ
พนงบาร์-มันก็มีเหตุผลจำเป็นอยู่จริงๆนั่นแหละแต่คงต้องไปถามจากรูริจังเอาเองแล้วล่ะถ้าอยากจะรู้เรื่องต่อจากนี้
ผม-ฮ่ะๆ เห็นแบบนี้ผมก็ไม่ใช่คนว่างงานซะหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมเองก็มีงานที่ต้องทำอยู่เหมือนกันครับ
พนงบาร์-ว่าแต่ พี่ชายมาเที่ยวหรอไม่คุ้นหน้าเลยนะ
ผม-ใช่ผมมาจาก คะนะกะวะ มาเพื่อเที่ยวและทำงานไปด้วยครับ
พนงบาร์-มาไกลเหมือนกันนะครับ เชิญดื่มเหล้าเลยครับ เหล้านี้ผมทำเองเลยนะครับ
ผม-งั้นขอ ชิมเลยนะครับ
หลังจากชิมไปกลิ่นบ๊วยนี่ทะลุขึ้นมาเลย ใช่มันคือเหล้าบ๊วยที่ผมจะทำ
พนงบาร์-อร่อยใช่มั้ยล่ะพี่ชาย
ผม-ว้าวว!!!! อร่อยมากเลยครับ เหล้าบ๊วยนี่ทำเองหรอครับ
พนงบาร์-ใช่แล้วล่ะครับ
ผม-มีขายอีกมั้ยครับผมอยากจะได้กลับบ้านด้วย
พนงบาร์-ฮ่ะๆดีใจที่พี่ชายชอบนะแต่ทางเราคงขายให้ไม่ได้
ผม-ทะ ทำไมล่ะครับ มันแพงมากเลยหรอ
พนงบาร์-มันก็ไม่ใช่ของแพงอะไรหรอกนะครับ เพียงแต่ว่ามันใช้เวลาทำนานมากๆเลยครับ
ผม-อะ อันนี้บ่มนานแค่ไหนหรอครับ
พนงบาร์-49ปี ครับ
ผม-ห๊ะ!!! ละ..เหล้านี่มีอายุเยอะกว่าผมอีกนะครับพนงบาร์-ฮ่ะๆ เหล้านี้น่ะพ่อผมเป็นคนทำและบ่มไว้ตั้งแต่ตอนที่ผมยังอยู่ในท้องแม่ จะว่าเป็นเหมือนเพื่อนสมัยเด็กก็ได้นะครับ
อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ละมั้งทำให้ผมมาเปิดบาร์ที่นี่
หลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องเล่าของเหล้าที่ดื่มอยู่มันทำให้ผมรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูกมันไม่ใช่แค่น้ำที่ดื่มไปล่ะทำให้เมาอย่างเดียว
แต่มันยังมี ความรู้สึกหลายๆอย่างของคนที่ทำเหล้านี้แม้แต่การบ่มก็ห้ามโดนแสงแดด และต้องบ่มมาตลอด49ปีมันเป็นอะไรที่ไม่ได้
หาดื่มได้ทุกวัน หลังจากนั้นผมก็ยกแก้วเหล้าดื่มจนหมดแก้ว
ผม-ฮ้า~~~อร่อยยยจริงๆเจ้านี่ มาสเตอร์ขออีกแก้ว!!พนงบาร์-ฮ่ะๆ ต่อไปเป็นเหล้าเบลอเบิ้ลจากอเมริกาบ้างดีมั้ยครับ หรือจะรับเป็นไวน์แดงที่ทานคู่กับเนื้อดีล่ะครับ
ผม-อืมม นั่นสินะ งั้นเอาไวน์แดงมาล่ะกันครับ
พนงบาร-ได้เลยครับ
ผมก็นั่งกินข้าวพร้อมกับไวน์แดงตามที่สั่งไปไม่นานก็หมด ผมเองก็ไม่รู้จะไปไหนผมเลยเลือกที่จะปักหลักที่ร้านนี้ไปอีกสักพัก ผมสั่ง
ของกินเล่นและเหล้าเบลอเบิ้ลที่ได้รับการแนะนำมาในตอนแรก ในระหว่างที่ผมนั่งกินดื่มไปเรื่อยลูกค้าคนอื่นก็ทยอยกลับ จากร้านที่
เต็มไปด้วยลูกค้าตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ผมกับรูริที่เป็นตัวปัญหาแต่ถึงอย่างนั้นทุกคนที่นี่กลับบอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่ารูริคือคนที่ดีมาก
ก็เถอะ
ผม-นี่มาสเตอร์พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับโรงแรมใหญ่ๆหน้าสถานีรถไฟนั่นบ้างมั้ย
พนง บาร์-อ่อ โรงแรมในเครือโอคะวะกรุ๊ปสินะครับ ทำไมหรอครับ
ผม-คือผมได้ยินมาว่าถ้าใครไปพักที่นั่นมักจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนะครับ
พนงบาร์-อ่อเรื่องนั้น มันไม่เคยเกิดขึ้นหรอกครับส่วนใหญ่ที่ผมเคยเห็นก็มีแค่ข่มขู่เฉยๆนั่นแหละครับ
ผม-ในเมืองนี้เองก็มียากูซ่าคุมอยู่ด้วยใช่มั้ยครับ
พนง บาร์-ก็อย่างที่พี่ชายรู้มานั่นแหละครับ พวกนี้ไม่มีทางหายไปจากประเทศอยู่แล้วล่ะนะ
ผม-หรอครับ แล้วยากูซ่าเจ้าถิ่นที่นี่ใจดีรึป่าวครับ
พนง บาร์-..........นี่พี่ชาย ไม่รู้หรอกนะว่าพี่ชายเคยเจอแบบไหนมาบ้างแต่ยากูซ่าน่ะไม่ใช่คนใจดีแบบนั้นหรอกนะ
ผม-แล้วเรื่องที่เค้าลือกันว่ายากุซ่าเจ้าถิ่นที่นี่ไปอาละวาดในโรงแรมนั่นจริงรึป่าวครับ
รูริ-เรื่องนั้นเรื่องจริงนะเราเคยเห็นมากับตา!! พวกนั้นทุบโต๊ะ เก้าอี้รับแขกและกระจกเป็นประจำเลยล่ะนะ!
ผู้หญิงเจ้าปัญหาที่นั่งปิดปากเงียบมาตลอดจู่ๆเธอก็พูดในสิ่งที่ผมอยากรู้ขึ้นมา
พนง บาร์-ถ้ารูริจังยืนยันแบบนี้ก็คงจะจริงนั่นแหละผม-ทำไมถึงเชื่อง่ายแบบนั้นล่ะครับ บางทีอาจจะโกหกก็ได้นะครับ
รูริ-นี่!!!เราก็แค่ตอบในสิ่งที่เรารู้ ทำไมต้องมาว่าเราโกหกด้วย!!
พูดจบยัยผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดเข้ามาเหมือนจะเอาปากมากัดแขนผม พนง.ร้าน ก็เลยต้องรีบพากันวิ่งเข้ามาจับยัยรูริจอมป่าเถื่อนนั่น
ออกไปไกลๆผมทันที
ผม-ฟู่!!! เกือบไปแล้วนะมาสเตอร์ไหนบอกว่าเป็นเด็กดีไงครับ!!พนงบาร์-ฮ่ะๆโทษทีน้า ก็พี่ชายเล่นไปจี้จุดรูริจังเข้าน่ะซิ ผม-ช่างเถอะ ทำไมทุกคนถึงเชื่อที่ยัยรูริจอมป่าเถื่อนนั่นพูดด้วยล่ะ!รูริ-ป่าเถื่อนงั้นเร๊อะ!!! จะกัดแขนใหญ่ๆของแกให้เป็นรูเลย แง่งๆ!!!~~~พนง บาร์-ก็เพราะว่า รูริจังเคยทำงานเป็นหัวหน้าเชฟที่โรงแรมนั่นไงล่ะผม-เอ๋!!! เรื่องจริงหรอครับ
พนงบาร์-เรื่องจริงเลยล่ะครับ
ผม-สะ..แสดงว่าโดนไล่ออกเพราะด้านนิสัยใช่มั้ยครับ
พนงบาร์-ฮ่ะๆไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะครับ รูริจังน่ะเป็นคนที่ขยันและมักจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลาและที่สำคัญเธอเป็นคนรักความ
ถูกต้องเพราะแบบนั้นแหละเธอถึงโดนหัวหน้างานกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำแรกๆก็แค่มอบหมายงานที่เกินขอบเขตของเธอ เมื่อเธอ
ทำงานที่ได้รับมานั้นสำเร็จไปด้วยอย่างดี แทนที่เรื่องทั้งหมดมันจะดีขึ้นมันกลับแย่ลงและมันยิ่งทำให้หัวหน้างานของเธอยิ่งแกล้งเธอ
หนักขึ้นและบ่อยกว่าเดิม
ผม-เฮ้อออ ในสังคมไม่ว่าจะที่ไหนก็ย่อมมีคนแบบนี้อยู่เต็มไปหมดเลยนะครับ
พนง บาร์-และเมื่อ2เดือนก่อน ก็มีจดหมายที่ส่งมาจากสำนักงานสาขาใหญ่มีคำสั่งให้ไล่รูริออกเนื่องจากทำงานบกพร่องในหน้าที่
ผม-ห๊ะ! เรื่องจริง
ปึง!!!
ผมยังพูดไม่ทันจบยัยรูริจอมป่าเถื่อนที่ไม่รู้หลุดออกมาจากพนง ร้านได้ยังไงก็เอากระดาษมาวางกระแทกโต๊ะตรงหน้าผม
รูริ-นายจะถามใช่มั้ยล่ะว่าเรื่องจริงมั้ย เอ้า!!นี่ไงเอกสารที่พูดถึงกันอยู่น่ะ!!
ผมก็หยิบกระดาษมาดู หลักๆแล้วก็เป็นไปตามที่มาสเตอร์เล่ามาและที่สำคัญคนที่เซ็น อนุมัติคือชื่อผมเอง แต่ผมไม่เคยเห็น
เอกสารแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อ2เดือนก่อนผมก็ไปทำงานปกติมีแค่ลาหยุดไปเที่ยว3วันที่คะวะกุจิโกะถ้ามีเอกสารไล่ พนง ออกผมต้อง
จำได้สิยิ่งเป็นช่วงแรกในการเริ่มต้นบริษัทโอคะวะฟู๊ดผมไม่มีทางไล่ พนง ออกแน่ๆด้วยเหตุผลที่ไม่เคยมาเห็นกับตาแบบนี้ เรื่องนี้
ทำให้ผมคิดได้ว่าการที่นั่งทำงานอยู่แต่ที่บริษัทมันทำให้มีช่องให้คนพวกนี้หากิน
ผม-รูริซัง ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย
รูริ-อะไรอีกล่ะ! นายคงไม่ถามอะไรโง่หรอกนะว่าเอกสารที่อยู่ตรงหน้านั่นเป็นของจริงรึป่าว
ผม-เรื่องั้นผมไม่ถามหรอกนะครับ ผมแค่อยากรู้รายละเอียดเรื่องที่คนไปทุบโต๊ะทุบกระจกนั่นมากกว่า ว่าเป็นใครกันทำไมถึงไม่แจ้ง
ความกับตำรวจ
รูริ-ก็เพราะว่า ผู้จัดการโรงแรมเป็นพวกเดียวกับคนพวกนนั้นยังไงล่ะ! สาขาใหญ่ก็ไม่เคยเห็นคุณค่าชีวิตของ พนง ตาดำๆอย่างพวกเรา
อยู่แล้ว!! เรื่องความปลอดภัยในที่ทำงานก็ไม่มี! เงินเดือนก็น้อย! สวัสดิการก็ห่วยยิ่งกว่าโรงงานเถื่อนอีก! คนพวกนั้นอยู่กันสุขสบาย แต่พวกเราต้องมาเสี่ยงทำงานเหนื่อยแทบตายทุกวันเพื่อหาเงินให้คนพวกนั้นแท้ๆ!!
ผม-เฮ้ออ รูริซังถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่การกล่าวหาคนอื่นแบบไม่มีหลักฐานอย่างงี้มันไม่ดีนะครับ
รูริ-นายอยากได้หลักฐานนักใช่มั้ย!!!
และรูริก็หยิบมือถือออกมาพร้อมกับเปิดรูป ให้ผมดู
รูริ-นี่คือรูปทั้งหมดที่แอบถ่ายมาได้
ดูเหมือนว่ารูริเองก็มีนิสัยแค้นฝั่งหุ่นเหมือนกันกับผมอยู่ หลังจากที่ตัวเองโดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว โซ่ตรวนที่คอยฉุดรั้งรูริเอาไว้คือไล่
ออกพอโดนไล่ออกแล้วรูริก็เลยตั้งใจที่จะรวบรวมทุกอย่างเพื่อแก้แค้น
พนง บาร์-นี่พี่ชายทำงานอะไรกันแน่เนี้ย เป็นนักสืบงั้นหรอ
ผม-มาสเตอร์ขอเหล้าแรงๆอีกสักแก้วได้มั้ย
พนงบาร์- ทราบแล้วครับ
หลังจากนั้นผมก็ยกแก้วเหล้าที่ได้มาใหม่กินจนหมด
ผม-ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ
พนงบาร์-5840เยนครับ
ผมก็วางเงินไว้10000เยนพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกจากที่นั่ง
พนงบาร์-พะ..พี่ชายเงินถอน
ผม-เงินที่เหลือถือว่าเลี้ยงเหล้ารูริซังล่ะกันครับ ช่วยหาเหล้าดีๆให้เธอดื่มด้วยนะครับจริงสิรูริซัง ผมว่านะตอนนี้เรื่องความเหนื่อยของรูริ
ซังที่ทำงานหนักมาตลอดเนี้ยคงจะดังไปถึงใครสักคนแล้วล่ะมั้งครับ เพราะงั้นอย่าพึ่งยอมแพ้นะครับ
และผมก็เดินออกจากร้านนั้นมาบอกตามตรงเรื่องในตอนนี้ต่างจากที่ผมคิดในตอนแรกมากๆจะให้ผมปล่อยผ่านในเรื่องนี้ผมเองก็ทำ
ไม่ได้ ยากูซ่าแก๊งเคียวยะงั้นหรอ ดูท่าจะเป็นปัญหาใหญ่ซะแล้วแฮะ ผมเดินคิดไปเรื่อยๆก็ดันไปเดินชนเข้ากับกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้าย
ยากูซ่า
ยากูซ่า1-โอ้ยย!! ผมไหล่หลุดแล้วคร้าบบบลูกพี่!
ยากูซ่า2-เห้ยเป็นยังไงบ้าง!ยากูซ่า3-พี่ชาย ช่วยจ่ายค่ารักษาให้หน่อยสิ ก่อเรื่องไว้ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบใช่มั้ยละ
ผม-เฮ้ออ ผมแค่ชนนิดเดียวเองนะครับ
ยากูซ่า3-จะนิดหน่อยหรือจะชนแรง ไหล่หลุดก็คือไหล่หลุดโว้ย!!!
ผม-ขอร้องล่ะครับ ตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีอยู่ อย่ามากวนกันจะได้มั้ยครับ
ทันทีที่ผมพูดจบไอ้ยากุซ่า2มันก็วิ่งเข้ามาต่อยผม แน่นอนว่าผมไม่อยู่นิ่งๆให้มันต่อยอยู่แล้วผมเบี่ยงตัวหลบหมัดพร้อมกับต่อยหมัด
ฮุกขวาเข้าที่ปลายคาง ยากูซ่าหมายเลข2ล้มลงทันที
ผม-ก็บอกว่าไม่มีอารมณ์เล่นด้วยไงไม่เข้าใจภาษาคนหรอวะ! ถ้าอยากจะนอนแบบไอ้เบอร์2ล่ะก็เข้ามาเลย
หลังจากที่ผมพูดจบไอ้พวกบ้านั่นมันก็วิ่งใส่มาที่ผมแปปเดียวเท่านั้นผมก็ทำให้พวกมันลงไปนอนกองกับพื้น
ยากูซ่า3-กะ..แก!!!! คิดว่าหาเรื่องพวกเราแก๊งเคียวยะแล้วคิดว่าจะรอดไปได้งั้นหรอวะ
ผมหันไปถีบเข้าลิ้นปี่ของมันจนตัวเบอร์3กระเด็นไปกระแทกกับถังขยะและลงไปนั่งกองกับพื้น ผมก็เดินเข้าไปหามันแทนที่จะเดินตามหา
ที่อยู่ของพวกแก๊งบ้านี่ สู้เค้นคอมันน่าจะง่ายกว่ากันเยอะ
ผม-ไม่ต้องเสียเวลาตามหาหรอกนะ เพราะข้ากำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดีไปด้วยกันหน่อยได้มั้ย
หลังจากนั้นผมก็ลากคอมันมาพอเดินออกมาถึงถนนใหญ่ก็เจอพวกรถตู้และรถเก๋งสีดำจอดเลียงกันอยู่หลายคันพร้อมกันนั้นประตูรถก็
เปิดออกและมีคนทยอยลงมาจากรถไม่ใช่ใครที่ไหนมาคิชิมะนั่นเอง การที่ต้องมาเจอกันในครั้งนี้ค่อนข้างทำให้ผมโมโหและหงุดหงิด
สุดๆเพราะตอนที่เจอกันในครั้งแรกนั้นผมก็บอกไปหมดแล้วว่าผมต้องการอะไรและไม่ชอบอะไร
ผม-ผมบอกไปแล้วใช่มั้ยครับว่าอย่าเข้ามาขวางงานของผม
มาคิชิมะ-ท่านบิกคุพวกกระผมเองก็ได้รับงานมาจากนายใหญ่ให้จัดการแก๊งเคียวยะเหมือนกัน ถะ..ถ้าพวกเราจะขอตามท่านบิกคุไป
ด้วยได้รึป่าวครับ
ผม-เฮ้ออ!!ได้ แต่อย่ามาขวางทางผมล่ะกัน
มาคิชิมะ-งั้นเชิญท่านบิกคุขึ้นรถเถอะครับ
ผม-อืม
ผมก็เดินไปที่รถเก๋งสีดำด้านคนขับพอผมเดินไปถึงทางคนขับรถก็เปิดกระจกรถ
ผม-เห้ย!!ลุกออกจากตรงนั้นซะ
คนขับรถ-ห๊า! เป็นแค่เพื่อนนายน้อยอย่ามาทำซ่า
มันยังพูดไม่ทันจบผมต่อยหมัดขวาเข้าที่หน้าของมันและเปิดประตูกระชากคอเสื้อมันลงมาจากรถพร้อมกันนั้นผมทั้งต่อยทั้งกระทืบ
อย่างไม่ยั้งใส่คนขับรถของมาคิชิมะ จนมาคิชิมะต้องเข้ามาห้ามผมอย่างกล้าๆกลัวๆ
มาคิชิมะ-ทะ..ท่านบิกคุได้โปรดใจเย็นลงก่อนครับ
ผม-มีอะไร!!!
มาคิชิมะ-ตะ..ตอนนี้พวกเรามีงานที่ต้องไปถล่มแก๊งเคียวยะอยู่นะครับ
ผม-ชิ!! ทีหลังอบรมสั่งสอนลูกน้องให้มันดีๆหน่อย
มาคิชิมะ-ระ..รับทราบแล้วครับท่านบิกคุ
ผม-ขึ้นรถ!!
หลังจากนั้นผมก็ขึ้นไปขับรถมาคิชิมะก็รีบวิ่งมาขึ้นรถข้างๆผมส่วนพวกลูกน้องคนอื่นก็ช่วยกันหิ้วปีกไอ้คนที่ผมยำไปขึ้นรถและขับรถ
ตามหลังผมมา ขับมาไม่นานก็ถึงตึกสำนักงานของไอ้พวกบ้านั่นพวกผมก็ลงไปยืนรวมตัวกัน
มาคิชิมะ-ท่านบิกคุ พวกเราจะเคลื่อนไหวกันยังไงดีครับ
ผม-แบ่งไป3กลุ่ม ซ้าย ขวา และ ด้านหลัง เพื่อปิดทางหนี
มาคิชิมะ-ละ…แล้วทางด้านหน้าล่ะครับ
ผม-ผมจะเป็นคนไปเอง
มาคิชิมะ-แบบนั้นมันเสี่ยงเกินไปนะครับท่านบิกคุ
ผม-เห้ย แกตรงนั้นอะ เอาดาบมา ส่วนแกอยู่ที่นี่ คอยดูแลมันและดูแลรถพวกเราเอาไว้!!!
ไอ้คนที่ผมชี้ก็เดินเอาดาบมาให้ผม ผมรับดาบมาก็ดึงดาบออกมาดู เช๊คความคมหลังจากนั้นก็เอาดาบเก็บ
มาคิชิมะ-ถึงจะมีดาบแต่ให้ท่านบิกคุไปคนเดียวมันเสี่ยงเกินไปอยู่ดีนะครับ ขอกระผมติดตามไปด้วยได้รึป่าวครับ
ผม-เออๆรู้แล้ว เรื่องมากจริงๆเลยนะ
มาคิชิมะ-ขอบพระคุณมากครับท่านบิกคุ
ผม-ได้เวลาแยกย้ายไปทำงานได้ละ!!! จัดการให้หมดทุกคน จะฆ่าทิ้งก็ได้นะ
มาคิชิมะ-ไม่ได้นะครับ!! ท่านบิกคุคนเดียวเท่านั้นที่ห้ามฆ่าคน
ผม-มันก็แล้วแต่สถานการณ์
หลังจากนั้นพวกเราก็กระจายตัวกันไปตามตำแหน่งของตัวเอง ส่วนผมกับมาคิชิมะก็มารอที่ด้านหน้า
มาคิชิมะ-ได้เวลาบุกแล้วครับ ท่านบิกคุ พวกเราจะเข้าไปกันยังไงดีครับ ไม่มีช่องให้เราแอบเข้าไปได้เลย
ผม-ถ้าไม่มีทางแอบให้เข้าไปงั้นเราก็แค่เข้าทางที่เค้าทำเอาไว้ให้ก็พอแล้ว
มาคิชิมะ-ห๊ะ!!
ผมพูดเสร็จก็เดินเข้าไปกดกริ่งที่หน้าประตูแบบหน้าด้านๆ ไม่นานนักก็มีคนตัวใหญ่ท่าทางหน้ากลัวมาเปิดประตูให้ผม
ยากูซ่า-เห้ยแกเป็นใครมาหาใครเวลานี้
ทันทีที่ประตูเปิดออกผมไม่รอที่จะฟังจนจบประโยคด้วยซ้ำผมก็ได้ชักดาบฟันเข้าที่แขนของคนมาเปิดประตู ขาดกระเด็นพร้อมกับ
ต่อยไปอีกหลายหมัดผลสรุปคือไอ้คนเปิดระตูล้มลงไปนอน หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปโดยที่ไม่ได้สนใจมาคิชิมะที่ยืนอึ้งกับการกระ
ทำของผมอยู่ด้านหลังในระหว่างนั้นผมก็รีบวิ่งขึ้นไปเพื่อจัดการเรื่องให้จบก่อนที่ตำรวจจะมา เสียงในตึกดังไปด้วยเสียงคนตะโกน
โวยวายและเสียงต่อสู้กันแบบไม่หยุดหลังจากที่ผมฝ่าขึ้นมาจนถึงห้องทำงานของหัวหน้าเปิดประตูเข้าไปก็เจอกลุ่มคนอยู่5คน
หัวหน้ายากูซ่า-ไง ขอชมเลยที่พวกแกฝ่าขึ้นมาถึงที่นี่ได้
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่หันกลับไปพูดกับมาคิชิมะแทน
ผม-ข้าจะยกให้2ตัว ส่วนอีก3ตัวรวมถึงหัวหน้าของมันเป็นของข้า!!!
มาคิขิมะ-ตะ แต่ว่ามันเยอะกว่านะครับท่านบิกคุจะไหวหรอ
ผม-กำลังดูถูกข้าอยู่หรอกับอีแค่ คนตัวสูงแต่ผอมบางอย่างกับกระดาษนั่นไม่ได้ครึ่งของชิโระหรอกนะ
มาคิชิมะ-ทะ ทราบแล้วครับ
ผมพูดจบก็วิ่งใส่ก่อนด้วยหมัดขวาตรงโดนไปที่เต็มๆหน้าของไอ้คนตัวสูงกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงห้องทีเดียวสลบ แน่นอน
ว่าผมไม่รอให้คนอื่นตั้งตัวและส่วนผมกลับทัน ในระหว่างที่ผมกำลังกระทืบอีกคนอยู่ มาคิชิมะก็มากระแทกผมพร้อมกับมีเสียงปืน
มาคิชิมะ-ท่านบิกคุระวังครับ
ปัง!!!
ผมหันไปดูมาคิชิมะที่ล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้นและมีเลือดไหลออกมาภาพนั้นทำให้ผมโกรธจนถึงขีดสุดผมชักดาบออกมาตัดมือที่ถือปืนอยู่
ของหัวหน้าแก๊งเคียวยะ ขาดกระเด็นไปหลังจากนั้นผมก็คุมตัวเองไม่ได้ทั้งกระทืบทั้งต่อยหัวหน้าแก๊งเป็นเหมือนอย่างหมูอย่างหมาหลัง
จากที่ผมเริ่มอารมณ์เย็นลงผมก็เริ่มมีสติคิดว่าอะไรสำคัญที่สุดผมจึงเค้นคอถามหาหลักฐานเรื่องที่มันสั่งให้คนของแก๊งไปก่อกวนใน
โรงแรมรวมถึงเรื่องที่ใครเป็นคนสั่งให้ทำ ในระหว่างที่ผมค้นห้องก็เจอตู้เซฟเล็กๆอยู่หลังรูปภาพแขวนผนัง ผมก็ไปกระชากคอมันมา
เปิดเซฟ หลังจากเซฟเปิดออกก็เจอทั้งปืนทั้งเงินและเอกสารผมหยิบเอกสารทั้งหมดมาใส่กระเป๋าหลังจากนั้นผมก็ปล่อยตัวหัวหน้าแก๊ง
เคียวยะที่กลัวจนตัวสั่น
ผม-เอาละหมดหน้าทีของแกแล้ว จะทำให้สบายล่ะกันนะหัวหน้าแก๊งเคียวยะ-มะ..ไม่ ชะ…ช่วยด้วยใครก็ได้ข้ายังไม่อยากตาย!!!
ผม-ลาก่อน
หลังจากนั้นผมก็ฝันดาบลงไปหมายมั่นที่จะตัดคอของมันแต่เสี่ยววินาทีนั้นก็มีคนเอาดาบมารับดาบของผมเอาไว้ ทำให้เสียงดาบที่
กระทบกันดังกังวานไปทั้งห้อง
แกร๊ง!!!!
มาคิชิมะ-ทะ ท่านบิกคุได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะครับ
ผม-โฮ่!! ใจกล้าไม่เบานี่หรือว่าคิดจะมาขวางทางของข้าอย่างงั้นหรอ
มาคิชิมะ-ต้องขอประทานโทษเป็นอย่างสูงครับท่านบิกคุ ตัวกระผมนั้นไม่มีความคิดที่จะขวางทางท่านแม้แต่น้อย
ผม-คำพูดกับการกระทำมันสวนทางกันเลยนะ ข้าว่าทางทีดีแกผ่อนแรงจากดาบและไปพักผ่อนซะ
มาคิชิมะ-ทะ…ท่านบิกคุได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะนะครับ!! และนึกถึงสิ่งที่ท่านปรารถนามาตลอดสิครับ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ
ไม่ใช่หรอครับท่านบิกคุ!!
ผม-คิดจะมาสั่งสอนข้าอย่างงั้นหรอ
หลังจากนั้นผมก็ออกแรงกดดาบลงไปมากขึ้นกว่าเดิมถ้ามาคิชิมะไม่คิดจะหลบทาง ผมก็ตั้งใจที่จะฝันลงไปทั้งคู่นี่แหละ
มาคิชิมะ-อั๊ก!!!ท่านฮารุกำลังรอท่านบิกคุกลับบ้านอยู่นะครับ ท่านบิกคุได้โปรดใจเย็นลงด้วยเถอะครับ!!!
ใบดาบผมที่กดลงไปจนถึงคอขอมาคิชิมะนั้นทำให้ที่คอของมาคิชะมีเลือดไหลออกมา
ไม่ว่ามาคิชิมะจะพูดอะไรออกมาผมก็ไม่คิดจะเปลื่ยนใจที่จะฆ่าไอ้หัวหน้าของแก๊งเคียวยะทิ้งซะ
มาคิชิมะ-ทะ..ท่านฮารุร้องไห้ติดกันมา2คืนแล้วนะครับ ท่านบิกคุ!!!! ได้โปรดมีสติสักทีเถอะครับ!!
หลังจากที่ผมได้ยินที่มาคิชิมะบอกว่าฮารุกำลังร้องไห้อยู่ที่บ้าน ผมก็เริ่มได้สติอีกครั้งใช่ผมได้ทิ้งชีวิตแบบนี้ไปแล้วและได้มาเริ่มใหม่
กับฮารุที่ผมรักที่นี่แต่ในตอนนี้สิ่งที่ผมทำอยู่มันกำลังจะทำลายความสุขของผมทั้งหมดที่ผมอุตส่าห์ทำมาตลอดหลายปี หลังจากที่ผม
เริ่มคิดได้ผมก็ปล่อยดาบออกจากมือลงและทิ้งลงพื้น พวกลูกน้องของมาคิชิมะที่มากันตอนไหนก็ไม่รู้ก็ได้รีบลุมเข้าไปช่วยมาคิชิมะ
และหัวหน้าแก๊งเคียวยะ
มาคิชิมะ-ทะ..ท่านบิกคุ ตรงนี้ปล่อยให้พวกผมเป็นคนจัดการเถอะนะครับ ท่านบิกคุได้โปรดกลับบ้านด้วยเถอะนะครับ!!!
ผม-อืม
มาคิชิมะ-เห้ย แก พาท่านบิกคุไปทำแผลซะ!!
หลังจากนั้นพวกผมก็เดินออกจากที่นั่นมาอย่างเงียบๆเพื่อไปโรงพยาบาลถือว่าโชคดีที่มาคิชิมะไม่ได้โดนกระสุนเข้าตรงๆและแน่นอน
ว่าไอ้พวกเด็กของมาคิชิมะก็ได้เอาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลื่ยนและพาผมกลับไปส่งที่โรงแรมหลังจากนั้นผมก็นั่งพักนั่งคิดทบทวนเรื่อง
ทั้งหมดดูเหมือนในครั้งนี้ผมปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนเกือบจะพังสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาทั้งหมดที่นี่ในตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกที่จะกลัวตัวเอง
ขึ้นมาบ้างแล้วตอนนี้เวลาเกือบจะตี5แล้วผมคิดว่าฮารุน่าจะยังไม่ตื่นแต่ผมก็รู้สึกคิดถึงมากจนไม่รู้จะทำยังไงเลยกดมือถือโทรไปหาฮา
รุ แต่สิ่งที่ผมคิดผิดหมดผมโทรเพียงแค่แปปเดียวฮารุก็กดรับสายพร้อมกับพูดไปด้วยและร้องไห้ไปด้วยโดยที่ผมไม่รู้ว่าฮารุกำลังพูด
ถึงอะไรอยู่ ผมปลอบฮารุอยู่นานกว่าฮารุจะเริ่มมีสติอีกครั้ง
ผม-เรื่องทุกอย่างใก้ลจะเสร็จหมดแล้วและผมคิดว่าจะนั่งรถไฟกลับวันนี้
ฮารุ-ที่รักกลับมาตอนนี้เลยไม่ได้หรอคะ
ผม-ขอโทษนะแต่ผมยังมีอีกเรื่องที่ยังต้องทำให้เสร็จอยู่
ฮารุ-ที่รัก……สัญญากับฮารุแล้วไม่ใช่หรอคะว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้อีก
ผม-ขอโทษด้วยนะครับที่ผมผิดสัญญานั้นกับฮารุ
ฮารุ-ที่รักสัญญาอีกครั้งได้มั้ยคะว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้อีก
ผมไม่ได้ตอบอะไรฮารุออกไปเพราะผมรู้ว่าในวันข้างหน้าผมคงหนีไม่พ้นเรื่องเสี่ยงๆแบบนี้อยู่แล้วเพราะเรื่องของยักษ์ม่วงก็ยังไม่จบ
ฮารุ-สัญญากับฮารุสิคะ….ที่รัก
ฮารุก็เริ่มเสี่ยงสั่นเหมือนจะเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ฮารุ-ถ้าฮารุเสียที่รักไปฮารุจะอยู่ยังไงคะ!!! ใครจะเป็นคนช่วยงานที่บริษัทใครจะเป็นคนดูแลทุกคนในบ้านกันคะ ที่รักสัญญากับฮารุสิ
คะ!!!
ผมไม่รู้จะตอบฮารุออกไปยังไงจะให้สัญญาไปทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ต้องมีสักวันที่ผิดสัญญานั้นอยู่ดีอย่างงั้นหรอ
ฮารุ-ที่รักน่าจะคิดถึงลูกของเราในอณาคตบ้างนะ ลูกจะอยู่ยังไงถ้าลูกไม่มีพ่อ!!
ผม-ฮารุ!! หรือว่า
ฮารุ-ฮารุจะไม่บอกอะไรทั้งนั้นถ้าคุณไม่สัญญากับฮารุ!!
ผม-…………คะ…ครับ ผมสัญญากับคุณครับที่รัก
ฮารุ-สัญญากันแล้วนะคะ งั้นก็รีบกลับบ้านได้แล้วค่ะฮารุจะให้คนไปรอรับที่สถานีรถไฟชินคันเซ็นนะคะ
ผม-ทะ..ทราบแล้วครับ
หลังจากนั้นฮารุก็กดวางสายผมไปเลยทั้งๆที่ยังไม่ได้ตอบคำถามผม เอาเถอะยังไงก็จบไปอีกเรื่อง
ในเวลาเดียวกันนั้นเองทางฝั่งมาคิชิมะก็ได้โทรไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับทาเคดะซัง
ทาเคดะ-ว่าไงเป็นยังไงบ้าง
มาคิชิมะ-ตอนนี้ทางเราจัดการแก๊งเคียวยะได้หมดแล้วครับ
ทาเคดะ-เฮ้ออ บิกคุคุงปลอดภัยแล้วสินะ
มาคิชิมะ-คะ..ครับ
ทาเคดะ-งั้นก็กลับบ้านมาพักผ่อนเถอะ เรื่องในครั้งนี้ต้องขอบใจแกมากนะมาคิชิมะ
มาคิชิมะ-ทะ..ท่านหัวหน้า กระผมคิดว่าท่านบิกคุคือตัวอันตรายครับ
ทาเคดะ-อืม…ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ บิกคุคุงน่ะไม่ใช่คนที่ใครจะไปล้อเล่นด้วยได้หรอกนะ ก็ดีแล้วล่ะนะที่แกไม่ไปขวางทา
งบิกคุคุง ก่อนหน้านี้บิกคุคุงเคยบอกว่าคนแบบบิกคุคุงเนี่ยยังมีอีกตั้ง6คน คนพวกนี้ถึงจะเป็นแค่เด็กวัยรุ่นแต่กลับทำอะไรที่ใหญ่โต
แบบเราได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นบิกคุคุงพูดโกหกสักเท่าไหร่หรอกนะ
มาคิชิมะ-คนแบบท่านบิกคุคุงยังมีอีกจริงๆหรอครับท่านหัวหน้า!!
ทาเคดะ-อ่า ในตอนนี้บิกคุคุงก็กำลังตามล่า1ใน6คนนั้นอยู่ ชื่อยักษ์ม่วง เหมือนว่ายักษ์ม่วงคนนั้นจะมาตั้งฐานที่มั่นในประเทศญี่ปุ่นแล้วล่ะนะ ฮ่ะๆ!!
มาคิชิมะ-นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกแล้วนะครับท่านหัวหน้า!! ในวันนี้ท่านบิกคุยิ่งกว่ายักษ์ที่ท่านหัวหน้าพูดอีกนะครับ ไม่ใช่ท่านบิกคุที่
กระผมเคยเจอ
ทาเคดะ-แกหมายความว่าไง
มาคิชิมะ-จะบอกว่าท่านบิกคุเป็นคนใจเย็นหรือเป็นคนทำอะไรไม่คิดดีกันบละครับ ในวันนี้ท่านบิกคุบุกเข้าไปทางประตูเข้าด้านหน้าของ
ตึกสำนักงานแก๊งเคียวยะเลยนะครับ
ทาเคดะ-ก็สมกับเป็นบิกคุคุงดีนะ ไม่คิดอะไรให้มันเยอะแค่ลุยเข้าไปก็พอ
มาคิชิมะ-นะ…ในวันนี้……..
ทาเคดะ-ในวันนี้มันทำไมเห้ย!! มาคิชิมะอย่าเงียบสิวะ!!
มาคิชิมะ-.............วะ..วันนี้ท่านบิกคุ ได้ตัดแขนคนไป1ข้างและตัดมือของหัวหน้าแก๊งเคียวยะอีก1ข้าง
ทาเคดะ-นี่แกพูดเรื่องจริงงั้นหรอมาคิชิมะ!!!มาคิชิมะ-เรื่องจริงครับ
ทาเคดะ-ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าบิกคุคุงคนนั้นจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ปกติเห็นใจดีอยู่ตลอด
มาคิชิมะ-ถะ..ถ้าเรื่องมันจบแค่นั้นก็ดีน่ะสิครับทาเคดะ-ยังมีต่ออีกเร๊อะ!!
มาคิชิมะ-หลังจากที่ท่านบิกคุได้เอกสาร ท่านบิกคุตั้งใจที่จะตัดคอหัวหน้าแก๊งเคียวยะทิ้ง
ทาเคดะ-เห้ยๆ มาคิชิมะแกจะล้อเล่นอะไรก็ให้มันเบาๆหน่อยบิกคุคุงเนี้ยนะ!!
มาคิชิมะ-ท่านบิกคุนี่แหละครับ!!! ดีที่กระผมเข้าไปรับดาบทัน กระผมพยายามห้ามท่านบิกคุแล้วแต่ท่านบิกคุกลับเพิ่มแรงกดใบดาบ
ลงมาที่คอผมไปด้วยอีกคนนะครับ ที่ท่านบิกคุบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครมาขวางทาง ก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกันนะครับท่านหัวหน้า!!
ทาเคดะ-เฮ้ออ!!!ถึงจะเป็นแกพูดเองก็เถอะนะมาคิชิมะ แต่ข้านึกภาพที่บิกคุคุงทำแบบนั้นไม่ออกเลย ยังไงบิกคุคงก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่น
ไม่ต่างอะไรกับพวกชิโระหรอกนะ
มาคิชิมะ-ที่คอของกระผมยังมีแผลอยู่เลยนะครับท่านหัวหน้า!! และสายตาท่านบิกคุในตอนนั้นผมจำได้ไม่มีวันลืมเลยครับ สายตา
แบบนั้นไม่มีความลังเลเหลืออยู่แม้แต่น้อยเลยนะครับท่านหัวหน้า!!
ทาเคดะ-ข้าเข้าใจแล้วล่ะแกกลับมาพักผ่อนเถอะนะ
มาคิชิมะ-ทะ..ทราบแล้วครับ
ทาเคดะก็วางสายไปส่วนทางมาคิชิมะก็นั่งรถกลับโตเกียวต่อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ