แมวน้อยของข้าช่างดุยิ่งนัก
-
เขียนโดย จมปลัก
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.58 น.
4 บท
0 วิจารณ์
3,237 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 13.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) แช่แข็ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
แช่แข็ง
เกือบแล้ว...
เกือบจะได้เป็นแมวต้มแล้ว
ดีนะที่แค่ถอนขนถึงจะแหว่งไปข้างหนึ่งก็ดีกว่าไปถอนหมดตัว องค์จักรพรรดิรีบอุ้มแมวน้อยลู่ซือหลิงไปหาหมอหลวงที่กำลังนั่งชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ “หมอหลวงรักษาเขาที” องค์จักรพรรดิกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน จนหมอหลวงเป็นกังวลตามนายเหนือหัวของตนจะเป็นอะไรไป “เกิดเหตุใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิวางแมวขนสีขาวลงบนตั่ง “แมวเราถูกอวี่จ้านถอนขน กว่าขนแมวจะงอกใช้เวลาเท่าใด”
แมวน้อยเลียขนที่ถูกดึงจนแหว่ง เห็นผิวหนังสีชมพูขึ้นรอยแดงจากการกระทำที่รุนแรงขององครักษ์ สีหน้าขององค์จักรพรรดิดูเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวแมวน้อยขนขาวเสียอีก เขาคอยลูบไล้ประคบประหงมปลอบโยนแมวน้อยตลอดมา แถมยังลงโทษทหารบ้านั่น ทำเอาลู่ซือหลิงสะใจยิ่งนัก
หมอหลวงเปิดตำราก่อนกล่าว “ประมาณสองสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าสีหน้าของฝ่าบาทไม่ดีขึ้นสักนิด “นานไป มีเร็วกว่านี้หรือไม่”
หมอหลวงเปิดกระดาษหาไปทีละหน้า เขาเงยหน้าขึ้น “เรียนฝ่าบาท ตำราเล่มนี้ได้กล่าวไว้ หากแมวอยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นพิเศษจะทำให้แมวขนยาวเร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ สายตามองไปยังแมวน้อยที่เลียลำตัวที่ขนหายไปครึ่งหนึ่ง เขาอุ้มแมวน้อยขึ้นมาในอ้อมอกของตนก่อนโยนตำลึงทองไปให้หมอหลวง
หมอหลวงมีสีหน้างงงวยแต่เขาก็มิคิดที่จะปฏิเสธเงินนั้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท” หมอหลวงสะบัดแขนโค้งตัว
หลังจากนั้นแมวน้อยลู่ซือหลิงก็ถูกพาไปยังสถานที่ใหม่ไม่คุ้นตา กล่องไม้สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลางเรือนห้อง ไอเย็นหนาวเหน็บออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมใบนั้น องค์จักรพรรดิเดินไปหายังขุนนางคนหนึ่งที่กำลังพยายามจะเปิดกล่องใบนั้นออกมา ขุนนางท่านนั้นยืนขึ้นทำความเคารพองค์จักรพรรดิ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“สิ่งที่เราสั่งเตรียมการเสร็จหรือยัง”
เตรียมการอะไรหว่า คงมิใช่ขังเขาเข้าไปในกล่องใบนั้นหรอกนา แต่ฮ่องเต้คงมิทำอย่างนั้นหรอก ความคิดของลู่ซือหลิงตีกันไปกันมา ในใจก็รู้สึกกลัว แต่เท่าที่อยู่ร่วมกันมา 1 คืน 2 วันก็มิเห็นฮ่องเต้จะทำอะไรเขาเลย มีแต่คอยเอาอกใจเขาเท่านั้น
ขุนนางเดินไปเปิดกล่องสี่เหลี่ยมใบนั้นปรากฏไอเย็นรอยขึ้นตามอากาศ ลู่ซือหลิงชะโงกใบหน้าไปดูพบว่ามันเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ถูกบรรจุไว้อย่างดี สมองพลางคิดถึงคำพูดของหมอหลวง ‘เรียนฝ่าบาท ตำราเล่มนี้ได้กล่าวไว้ หากแมวอยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นพิเศษจะทำให้แมวขนยาวเร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ’
ใบหน้าลู่ซือหลิงเริ่มขาวซีดเป็นแมวในหม้อต้มมิพอ ยังต้องเป็นแมวแช่แข็งอีก ให้ตายเถอะใครก็ได้พาเขาออกไปจากที่นี่ที!
ขาเล็กสี่ข้างเกาะแขนเสื้อสีทองอร่ามขององค์จักรพรรดิแน่นมิยอมปล่อย ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะปล่อยตัวเขาแล้วก็ตาม เขาก็จะไม่ลงไปเป็นอันขาด
“แมวน้อยเป็นอันใดไป” องค์จักรพรรดิถามเมื่อเห็นอากัปกิริยาที่แปลกไปจากปกติ เล็บแมวยิ่งจิกเข้าไปที่เสื้อผ้าขององค์จักรพรรดินั้นเริ่มขาดหลุดลุ่ยลงมา
“เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่าแมวเป็นสัตว์ไม่ชอบน้ำ บางทีอาจจะกลัวก้อนน้ำแข็งนี้” สิ่งที่ขุนนางท่านนี้พูดเป็นการช่วยชีวิตเขาไว้มาก พระคุณนี้เขาจะไม่มีวันลืม ใบหน้าน่ารักสีขาวผงกหัวขึ้นลงเป็นการเห็นด้วย
“แต่นี่มันเป็นก้อนแล้ว อย่าได้กังวลแมวน้อยอีก 2 วันข้าจะกลับมา”
อีก 2 วัน!?! ลู่ซือหลิงคล้ายจะเป็นลม เขาเอนกายนอนบนอกแกร่งหลับตาพริ้มแสร้งว่าเป็นกลัวน้ำจนตกใจเป็นลมไป
“แมวน้อย ๆ เจ้าเป็นอะไร!!!” องค์จักรพรรดิตกอกตกใจเขาเขย่าร่างอวบนุ่มให้ตื่นขึ้นมา แน่นอนว่าลู่ซือหลิงไม่ตื่นหรอก หากเขาตื่นเขาก็โดนจับไปเป็นแมวแช่แข็งน่ะสิ “มิได้การ ต้องรีบใส่เข้าไปในถังปิงเจี้ยน1 โดยด่วน!”
ตาสีฟ้าเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด เขาเตะขาคู่ถีบไปบนใบหน้าสวรรค์ประทานก่อนรีบวิ่งหนีออกมา สีหน้าขุนนางมีท่าทีตกตะลึกกับการกระทำของแมวน้อยและต้องคอยมาพะวงฝ่าบาทว่าจะเป็นอันใดหรือไม่ เขามิรู้ว่าต้องทำสิ่งใด จะตามแมวขาวตัวนั้นไป แต่องค์จักรพรรดิก็โดนทำร้าย “ฝ่าบาท…” ขุนนางเข้าไปประคอง
องค์จักรพรรดิยกมือปรามเชิงมิต้องเข้ามาช่วยเขา “ตามแมวตัวนั้นไป”
โอกาสจะหนีออกจากวังของลู่ซือหลิงอีกเพียงแค่เอื้อมมือเดียว หากเขาออกจากรั้ววังได้เขาก็จะเป็นอิสระและรีบกลับไปสหายของตนที่ตอนนี้ก่นด่าเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ขาเล็กทั้งสี่วิ่งตรงไปยังหน้าประตูมุ่งหมายจะออกไป ทว่าแทนที่จะเป็นเรือนของพวกชาวบ้านแต่เหตุไฉนกลับเป็นตำหนักสีแดงได้กัน หรือว่า…เขาจะมาผิดทาง
โธ่เอ๊ย ลู่ซือหลิงเจ้ามันโง่จริง ๆ โอกาสหนีอยู่ไม่ไกลแต่เจ้ากลับมาผิดทางซะได้
เขาใช้ขาเล็กสองข้างจับเสาหินไว้และทึ่งหัวตัวเองมิยั้ง สายตาฟ้าน้ำทะเลเหลือบไปเห็นสตรีงามที่ดูมีอายุแต่กลับยังมีใบหน้างดงามชวนน่ามอง แต่ก็รู้สึกถึงความดุดันแปลก ๆ สายตาคมดุจ้องมองมายังตัวเขาที่เกาะเสาไม้แดงไว้ เขารีบหลบสายตาไม่กล้าเผชิญหน้า
สตรีงามนั้นเดินลงจากบันไดแดง ท่าทางที่ดูสง่างามและน่าเกรงขามทำเอาลู่ซือหลิงรู้สึกหวั่นเกรง ในใจเขาคิดจะหนีแต่ขาเล็กของตนกลับก้าวขามิออกได้แต่ยืนเกาะเสาตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
“ทูลฮ่องเต้ ข้าจะไปเสวยพระกายาหารร่วมด้วย” สตรีผู้นั้นกล่าวกับองครักษ์ของตนที่ติดตามหลังมากันยกใหญ่ “พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ขานรับ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสตรีนางนี้อาจจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ไม่สิพระสนมยังเทียบเท่ามิได้ ฮองเฮาสิจะเหมาะกว่า
ลู่ซือหลิงได้แต่ตกตะลึงกับความงามของสตรีตรงหน้า ในใจพลางนึกอิจฉาองค์จักรพรรดิที่มีหญิงงามเช่นนี้ไว้ครอบครอง เขาก็อยากจะมีบ้างเช่นกัน แต่ทุกวันนี้เขามัวแต่ขลุกตัวอยู่ในสำนักทั้งวัน อย่าว่าหญิงงามเลย ทุกวันนี้จะขึ้นคลานจนแก่เฒ่าอยู่แล้ว
สตรีผู้นั้นจ้องมองมายังแมวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสา “แมวตัวนั้น…” นางกล่าวด้วยความสงสัย ในพระราชวังมิเคยเห็นคนเลี้ยงแมวก่อน เหตุใดถึงมีแมวอยู่ภายในรั้ววังได้
อวี่จ้านรีบทูลกล่าว “เรียนฮองไทเฮา แมวตัวนี้เป็นแมวจรแอบลักลอบเข้ามาในวังพ่ะย่ะค่ะ”
โถ่เอ๊ย นึกว่าเป็นพระชายาที่ไหนได้เป็นพระมารดาขององค์จักรพรรดินี่เอง แต่เหตุใดถึงไม่มีความคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย ทั้งนิสัยและหน้าตาคงมิใช่เหมือนบิดาหมดหรอกนา
พระชนนีพันปีหลวงเบือนหน้าหนีมิสนใจแก่แมวจรธรรมดา สีหน้าขยะแขยงและรังเกียจแสดงออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน นางกล่าวด้วยถ้อยคำดุร้าย “เอาไปทิ้งไว้ไกล ๆ อย่าให้เห็นมาแตะต้องตำหนักฉู่ชิวกงของข้า!”
อวี่จ้านสายตาแวววาวเป็นประกาย เขาตอบรับด้วยความดีใจ “พ่ะย่ะค่ะ”
ตัวเขานั้นมีองค์จักรพรรดิคอยหนุนหลัง ส่วนเสาหินนั่นก็มีพระชนนีขององค์จักรพรรดิคอยหนุนหลัง ดูแววตาเจ้าเสาหินนั่นสิ พอมีคนหนุนหลังกลับได้ใจ เข้ามาจับตัวพร้อมส่งสายตาเย้ยหยันมาทางเขาอีก นี่เอาคืนเขาชัด ๆ ได้! รอวันที่เขาเอาคืนแล้วกัน ลู่ซือหลิงได้แต่ส่งสายตาแค้นเคืองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่หิ้วพาเขาไปไหนก็มิรู้
ร่างแมวน้อยขนสีขาวถูกอวี่จ้านจะพาข้างนอกวัง ลู่ซือหลิงกล่าวในใจ ดีมาก! เจ้าพาข้าออกนอกวังเดี๋ยวนี้!
“อาจ้าน” บุรุษร่างอรชรนุ่มนวลสวมเสื้อขันทีสีเทาวิ่งตรงมายังพวกอวี่จ้านที่จะพาแมวไปปล่อยป่า เขาหอกแฮก ๆ เหนื่อยอ่อน “ฝ่าบาทมีรับสั่งไว้ให้แมวน้อยตัวนี้อยู่ในวังตลอดชีวิต”
…
หา จะบ้าหรือไง! งานการเขาก็มีจะอยู่นอนเล่นนั่งเล่นไปตลอดไม่ได้หรอกนะ!
“ฮองไทเฮาตรัสไว้ รังเกียจแมวตัวนี้อยากพาไปไกล ๆ” อวี่จ้านไม่ลดละพยายามที่จะเอาแมวตัวนี้ออกไป ตอนนี้เขามิเกรงกลัวอะไรแล้ว มีพระชนนีพันปีหลวงหนุนหลังซะอย่าง
สีหน้าขันทีน้อยดูกังวล ใบหน้าน่ารักมุ่ยหน้าลงน่าเอ็นดู “อาจ้าน เจ้าอยากโดนไล่ออกจากวังหลวงหรือ”
อวี่จ้านไม่เข้าใจ “หมายความอย่างไร”
“หากเจ้ายังเอาแมวตัวนี้ไปปล่อย ฝ่าบาทจะปลดเจ้าออกจากการเป็นแม่ทัพไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน” ขันทีกล่าว
“…” อวี่จ้านพูดไม่ออก เขาได้แต่คิดไม่ตก เหตุใดแมวจรตัวนี้ถึงสำคัญกับองค์จักรพรรดิยิ่งนัก หรือว่ามันจะทำยาเสน่ห์ใส่องค์จักรพรรดิ ไม่ได้การละ มีแต่ต้องฆ่าทิ้งเท่านั้น
อวี่จ้านหันหลังหนีแก่ขันที เขารีบเดินไปด้วยความว่องไว ก้าวขาฉับ ๆ มุ่งตรงเดินสอดส่องหาหมอหลวงทุกสารทิศ เดินไปตรงมุมนั้นไม่มี ทางซ้ายก็ไม่มี ทางขวาก็เจอองค์จักรพรรดิดักทางรอ หันหลังกลับแทบจะไม่ทัน แมวในมือเมื่อเห็นเจ้านายที่คอยสนับสนุนก็ส่งเสียงร้องเรียกเมี๊ยว ๆ ซะเสียงดัง จนอวี่จ้านต้องมือป้องปากแมวน้อยไว้พลัน แมวน้อยก็มิยอมประทับรอยฟันเข้าไปยังมือซ้ายอวี่จ้าน คนโดนกัดสะดุ้งตกใจสะบัดมือตบหน้าแมวขนขาวไปหนึ่งที แมวน้อยร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดขู่ขนฟ่อตั้งตัวสู้กับคนตรงหน้า การฟัดระหว่างคนกับแมวเริ่มขึ้น สู้กันไปสู้กันมา แมวก็กัดไม่ปล่อย ข่วนเล็บไปตามแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยบาดแผล อวี่จ้านรีบหิ้วแมวตัวนั้นออกให้ห่างจากตน แมวน้อยวาดกรงเล็บไปกลางอากาศ แขนขาเขาสั้นห่างแค่หนึ่งช่วงแขนแต่ขาเขาก็ไปไม่ถึง ด้วยความหมั่นไส้หรือสิ่งใดสักอย่าง เขาไม่เข้าใจการกระทำของอวี่จ้าน เขี้ยวฟันมนุษย์ฝังไปบนร่างกายแดงไร้ขนของแมวตัวขาวนั่น
เอาคืนกันชัดๆ
“อวี่จ้านอย่ากินแมวเรา”
แม่ทัพใหญ่หันมองไปยังต้นเสียงด้านหลัง องค์จักรพรรดิยืนกอดอกสายดุคมจ้องมองมายังเขาที่นั่งกัดแมวอยู่ เขารีบปล่อยแมวขนขาวให้เป็นอิสระ รีบลุกขึ้นจัดทรงจัดเสื้อให้เป็นระเบียบ เข้าโค้งตัวทำความเคารพองค์จักรพรรดิ “ถวายบังคมบาท”
ลู่ซือหลิงหลังจากที่ได้รับอิสระ เขาพยายามก้าวเท้าให้เบาเสียงที่สุดมุ่งตรงไปยังหน้าประตูที่อยู่ห่างแค่ไม่กี่จั้ง2 แต่ก็ต้องถอยหลังออกมาเมื่อเจอคนดาบจ่อมาทางที่คอเขา
องค์จักรพรรดิเดินมาหาแมวตัวขาว เขาจัดการอุ้มขึ้นมาในวงแขน “ตัวน้อย อย่าซนนักสิ”
สรรพนามที่ดูเปลี่ยนไป เรียกเขาเยี่ยงเด็กเล็กทำเอาเจ้าสำนักอี้ซวนไม่พอใจ แต่พอจะขอความช่วยเหลือจากผู้คนอื่น ทางเสาหินนั่นก็จ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น กองทัพพวกนั้นก็มองมาด้วยสายอิจฉาริษยา เขาถึงเหงื่อตกเอนตัวเข้าไปซบอกแกร่ง ก่อนทำสีหน้ากวนไปหนึ่งที
‘รู้ไว้เสียบ้างว่าใครคือผู้ชนะ’
ตำหนักเฉียนชิงสถานที่เดิมสถานที่เก่าที่คอยคุมขังเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งเฝ้าองค์จักรพรรดิทำงานเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ผู้คนข้างนอกอยากจะฆ่าเขาอยู่แล้วนี่ เฮ้อ เบื่อเสียจริง มังกรหน้ายิ้มก็ลูบไล้ขนเขาไม่หยุด หยิบน้ำแข็งในถังมาลูบยังบริเวณผิวหนังของตน ความเย็นเฉียบแทรกซึมจึงอยากจะหันหนี เขาพยายามดิ้นออกจากมือแกร่งที่โอบอุ้มเขาไว้ไม่ให้ไปไหน
เย็นโว้ยยยย
“เย็นรึ งั้นเอาผ้าพันหน่อยก็แล้วกัน” แขนเสื้อขาดจากการกระทำของแมวน้อยขนขาวถูกฉีกออกอย่างไม่ไยดี ไม่มีคำว่าเสียดาย ก็คนมันรวยอยู่แล้วเสื้อผ้าแค่นี้สามารถซื้อใหม่เมื่อใดก็ได้ เห็นแล้วก็อิจฉา
ตาฮ่องเต้บ้าฉีกนำน้ำแข็งที่ห่อหุ้มไปด้วยผ้าค่อยประคบประหงมตรงบริเวณผิวหนังชมพูที่เริ่มขึ้นริ่วรอยแดงจากความเย็นเฉียบของน้ำแข็งก้อน เริ่มละ… เริ่มทนไม่ไหวแล้ว! ขาหลังสองข้างถีบไปที่หน้าขององค์จักรพรรดิก่อนวิ่งหนีลงจากโต๊ะใช้ขาหน้าทั้งสองผลักประตูอย่างสุดกำลัง มองดูหาร่างขององครักษ์ชุดดำน้ำเงินที่ตอนนี้หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ปัดโธ่ ทีตอนต้องการหายหัว ทีตอนไม่อยากจะเจอเสนอหน้าออกมาจัง
เริ่มหงุดหงิดละ หันมองด้านหลังองค์จักรพรรดิก็กุมหน้าตัวเองจากการโดนถีบจนเซล้มลงไป เขาลูบไล้ใบหน้าที่เลือดซึมไหลออกมาจากแผลที่แมวขนขาวได้กระทำอีกแล้ว แผลเก่ายังไม่หายแผลใหม่ก็มาเพิ่ม จนตัวเขานั้นรู้สึกผิดที่จริงองค์จักรพรรดิก็ดีกับเขาตลอดมาแม้เขาจะเป็นแมวที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยังปฏิบัติตนดูแลอย่างดี ให้ข้าวให้ที่นอน จะว่าไปแล้วตัวเขานั้นดุร้ายเกินไปไหม
ขาสั้นละออกจากประตูเดินเข้าไปหาบุคคลที่แสนดีกับตนตลอดมา ขาเล็กกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะเดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิที่มีแววตาสงสัยในการกระทำของแมวน้อยขนขาวนี้ ลู่ซือหลิงกระโจนขึ้นไปบนไหล่กว้างของเจ้านายของตน หัวทุยขาวนั้นออดอ้อนด้วยความเชื่องและน่ารัก ลิ้นสากเลียไปยังตรงคอ สีหน้ารู้สึกผิดและการกระทำอันน่ารักนี้จนทำให้องค์จักรพรรดิใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มกว้างอ่อนโยนยกยิ้มมาทางแมวน้อยมือขวาก็ลูบแมวน้อยบนไหล่ไปพลาง ๆ
แค่วันนี้…ทำดีกับเขาสักวัน ลู่ซือหลิงคิด เขายอมอยู่เฉย ๆ เป็นตุ๊กตาให้อีกคนลูบเล่นอยู่อย่างนั้น ส่วนมือหน้าทั้งสองข้างก็เข้าไปกอดคอใช้หัวนุ่มนั้นออดอ้อนอีกฝ่ายจนคนที่โดนกระทำนั้นตัวแข็งค้างปล่อยให้เจ้าแมวน้อยนั้นออดอ้อนอย่างงั้นไป
ผ่านไป 2 เค่อ3 เมื่อเห็นร่างแข็งทื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายก็หน้าเสีย ในใจมีความคิดลบ ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหรือ เห็นปกติอยากได้ความรักจากเขาพอเขาออดอ้อนใส่ก็ตัวแข็งทื่อซะงั้น ด้วยความอารมณ์เสียจึงกระโดดลงมาเป็นจังหวะพอดีที่ประตูไม้ถูกเปิดออก ร่างของอวี่จ้านที่ตอนนี้เหงื่อไหลซกจนทนดูไม่ได้ หอบแฮก ๆ ด้วยความเหนื่อย แข้งขาสั่นระริกแทบทรงตัวไม่อยู่ต้องอาศัยการเกาะบานประตูไว้
“ฝ่าบาท แฮก ๆ ไทเฮามีรับสั่งให้ไปเสวยอาหาร แฮก ๆ กับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” อวี่จ้านกล่าวไปก็หอบเหนื่อยไป
“เจ้าวิ่งรอบวังหลวงครบ 50 รอบหรือยัง” องค์จักรพรรดิถาม
อวี่จ้านส่ายหน้า เขาเหนื่อยเกินไปจะตอบไหว
“งั้นไปวิ่งให้ไปครบเสีย” ไม่มีความปรานีองค์จักรพรรดิ เขาเดินออกไปโดยไม่สนร่างกายขององครักษ์ที่แทบจะล้มตึงไป
ลู่ซือหลิงตกตะลึง ตั้ง 50 รอบในวังก็ไม่ใช่พื้นที่น้อย ๆ อย่างงี้เขาไม่เป็นเหนื่อยตายไปก่อนหรือ สายตาฟ้าครามมองร่องอวี่จ้านที่ค่อย ๆ พยุงตนเองเพื่อจะไปวิ่งต่อ ก่อนจะไปไม่วายหันมามองค้อนใส่เขาอีก ความสงสารหายไปชั่วพริบตา วิ่งต่อไปนะพ่อหนุ่ม
ทางด้านขององค์จักรพรรดิที่เสวยพระกายาหารร่วมกับพระมารดาของตนไม่ได้เสวยอะไรเข้าไปกลับมีความสุขจนยิ้มไม่หยุด ยิ้มจนไทเฮารู้สึกกลัวมองซ้ายมองขวาดูว่าบุตรชายของตนนั้นยิ้มให้กับอะไร
“น่ารัก” พูดเสร็จก็ยิ้มต่อ
จนน้ำชาในมือไทเฮานั้นสั่นคลอน บ้าไปแล้ว ลูกชายเขาบ้าไปแล้ว! ต้องไปตามหมอหลวง…รีบลุกจากเก้าอี้ไม่เหลือความเป็นสตรีที่สูงส่ง ด้วยความเป็นแม่จิตใจกลัวลูกจะไม่หายจึงละทิ้งความเป็นผู้ดีหรือบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ วิ่งแจ้นไปหาหมอหลวง
“หมอหลวงตรวจอาการฮ่องเต้ที!”
ในใจหมอหลวงถอนหายใจ เฮ้อ ลาออกดีไหมเผื่อชีวิตจะดีขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เป็นแม่ลูกกัน คนลูกแมว คนแม่ลูก อืม…ต้องเริ่มสอดส่องหางานแล้วกระมัง
ถังปิงเจี้ยน1 = ถังใส่น้ำแข็ง
1 จั้ง2 = 3.33 เมตร
1 เค่อ = 15 นาที
แช่แข็ง
เกือบแล้ว...
เกือบจะได้เป็นแมวต้มแล้ว
ดีนะที่แค่ถอนขนถึงจะแหว่งไปข้างหนึ่งก็ดีกว่าไปถอนหมดตัว องค์จักรพรรดิรีบอุ้มแมวน้อยลู่ซือหลิงไปหาหมอหลวงที่กำลังนั่งชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ “หมอหลวงรักษาเขาที” องค์จักรพรรดิกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน จนหมอหลวงเป็นกังวลตามนายเหนือหัวของตนจะเป็นอะไรไป “เกิดเหตุใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิวางแมวขนสีขาวลงบนตั่ง “แมวเราถูกอวี่จ้านถอนขน กว่าขนแมวจะงอกใช้เวลาเท่าใด”
แมวน้อยเลียขนที่ถูกดึงจนแหว่ง เห็นผิวหนังสีชมพูขึ้นรอยแดงจากการกระทำที่รุนแรงขององครักษ์ สีหน้าขององค์จักรพรรดิดูเป็นกังวลยิ่งกว่าตัวแมวน้อยขนขาวเสียอีก เขาคอยลูบไล้ประคบประหงมปลอบโยนแมวน้อยตลอดมา แถมยังลงโทษทหารบ้านั่น ทำเอาลู่ซือหลิงสะใจยิ่งนัก
หมอหลวงเปิดตำราก่อนกล่าว “ประมาณสองสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าสีหน้าของฝ่าบาทไม่ดีขึ้นสักนิด “นานไป มีเร็วกว่านี้หรือไม่”
หมอหลวงเปิดกระดาษหาไปทีละหน้า เขาเงยหน้าขึ้น “เรียนฝ่าบาท ตำราเล่มนี้ได้กล่าวไว้ หากแมวอยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นพิเศษจะทำให้แมวขนยาวเร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ สายตามองไปยังแมวน้อยที่เลียลำตัวที่ขนหายไปครึ่งหนึ่ง เขาอุ้มแมวน้อยขึ้นมาในอ้อมอกของตนก่อนโยนตำลึงทองไปให้หมอหลวง
หมอหลวงมีสีหน้างงงวยแต่เขาก็มิคิดที่จะปฏิเสธเงินนั้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท” หมอหลวงสะบัดแขนโค้งตัว
หลังจากนั้นแมวน้อยลู่ซือหลิงก็ถูกพาไปยังสถานที่ใหม่ไม่คุ้นตา กล่องไม้สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลางเรือนห้อง ไอเย็นหนาวเหน็บออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมใบนั้น องค์จักรพรรดิเดินไปหายังขุนนางคนหนึ่งที่กำลังพยายามจะเปิดกล่องใบนั้นออกมา ขุนนางท่านนั้นยืนขึ้นทำความเคารพองค์จักรพรรดิ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“สิ่งที่เราสั่งเตรียมการเสร็จหรือยัง”
เตรียมการอะไรหว่า คงมิใช่ขังเขาเข้าไปในกล่องใบนั้นหรอกนา แต่ฮ่องเต้คงมิทำอย่างนั้นหรอก ความคิดของลู่ซือหลิงตีกันไปกันมา ในใจก็รู้สึกกลัว แต่เท่าที่อยู่ร่วมกันมา 1 คืน 2 วันก็มิเห็นฮ่องเต้จะทำอะไรเขาเลย มีแต่คอยเอาอกใจเขาเท่านั้น
ขุนนางเดินไปเปิดกล่องสี่เหลี่ยมใบนั้นปรากฏไอเย็นรอยขึ้นตามอากาศ ลู่ซือหลิงชะโงกใบหน้าไปดูพบว่ามันเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ถูกบรรจุไว้อย่างดี สมองพลางคิดถึงคำพูดของหมอหลวง ‘เรียนฝ่าบาท ตำราเล่มนี้ได้กล่าวไว้ หากแมวอยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเย็นพิเศษจะทำให้แมวขนยาวเร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ’
ใบหน้าลู่ซือหลิงเริ่มขาวซีดเป็นแมวในหม้อต้มมิพอ ยังต้องเป็นแมวแช่แข็งอีก ให้ตายเถอะใครก็ได้พาเขาออกไปจากที่นี่ที!
ขาเล็กสี่ข้างเกาะแขนเสื้อสีทองอร่ามขององค์จักรพรรดิแน่นมิยอมปล่อย ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะปล่อยตัวเขาแล้วก็ตาม เขาก็จะไม่ลงไปเป็นอันขาด
“แมวน้อยเป็นอันใดไป” องค์จักรพรรดิถามเมื่อเห็นอากัปกิริยาที่แปลกไปจากปกติ เล็บแมวยิ่งจิกเข้าไปที่เสื้อผ้าขององค์จักรพรรดินั้นเริ่มขาดหลุดลุ่ยลงมา
“เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยเคยได้ยินมาว่าแมวเป็นสัตว์ไม่ชอบน้ำ บางทีอาจจะกลัวก้อนน้ำแข็งนี้” สิ่งที่ขุนนางท่านนี้พูดเป็นการช่วยชีวิตเขาไว้มาก พระคุณนี้เขาจะไม่มีวันลืม ใบหน้าน่ารักสีขาวผงกหัวขึ้นลงเป็นการเห็นด้วย
“แต่นี่มันเป็นก้อนแล้ว อย่าได้กังวลแมวน้อยอีก 2 วันข้าจะกลับมา”
อีก 2 วัน!?! ลู่ซือหลิงคล้ายจะเป็นลม เขาเอนกายนอนบนอกแกร่งหลับตาพริ้มแสร้งว่าเป็นกลัวน้ำจนตกใจเป็นลมไป
“แมวน้อย ๆ เจ้าเป็นอะไร!!!” องค์จักรพรรดิตกอกตกใจเขาเขย่าร่างอวบนุ่มให้ตื่นขึ้นมา แน่นอนว่าลู่ซือหลิงไม่ตื่นหรอก หากเขาตื่นเขาก็โดนจับไปเป็นแมวแช่แข็งน่ะสิ “มิได้การ ต้องรีบใส่เข้าไปในถังปิงเจี้ยน1 โดยด่วน!”
ตาสีฟ้าเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด เขาเตะขาคู่ถีบไปบนใบหน้าสวรรค์ประทานก่อนรีบวิ่งหนีออกมา สีหน้าขุนนางมีท่าทีตกตะลึกกับการกระทำของแมวน้อยและต้องคอยมาพะวงฝ่าบาทว่าจะเป็นอันใดหรือไม่ เขามิรู้ว่าต้องทำสิ่งใด จะตามแมวขาวตัวนั้นไป แต่องค์จักรพรรดิก็โดนทำร้าย “ฝ่าบาท…” ขุนนางเข้าไปประคอง
องค์จักรพรรดิยกมือปรามเชิงมิต้องเข้ามาช่วยเขา “ตามแมวตัวนั้นไป”
โอกาสจะหนีออกจากวังของลู่ซือหลิงอีกเพียงแค่เอื้อมมือเดียว หากเขาออกจากรั้ววังได้เขาก็จะเป็นอิสระและรีบกลับไปสหายของตนที่ตอนนี้ก่นด่าเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ขาเล็กทั้งสี่วิ่งตรงไปยังหน้าประตูมุ่งหมายจะออกไป ทว่าแทนที่จะเป็นเรือนของพวกชาวบ้านแต่เหตุไฉนกลับเป็นตำหนักสีแดงได้กัน หรือว่า…เขาจะมาผิดทาง
โธ่เอ๊ย ลู่ซือหลิงเจ้ามันโง่จริง ๆ โอกาสหนีอยู่ไม่ไกลแต่เจ้ากลับมาผิดทางซะได้
เขาใช้ขาเล็กสองข้างจับเสาหินไว้และทึ่งหัวตัวเองมิยั้ง สายตาฟ้าน้ำทะเลเหลือบไปเห็นสตรีงามที่ดูมีอายุแต่กลับยังมีใบหน้างดงามชวนน่ามอง แต่ก็รู้สึกถึงความดุดันแปลก ๆ สายตาคมดุจ้องมองมายังตัวเขาที่เกาะเสาไม้แดงไว้ เขารีบหลบสายตาไม่กล้าเผชิญหน้า
สตรีงามนั้นเดินลงจากบันไดแดง ท่าทางที่ดูสง่างามและน่าเกรงขามทำเอาลู่ซือหลิงรู้สึกหวั่นเกรง ในใจเขาคิดจะหนีแต่ขาเล็กของตนกลับก้าวขามิออกได้แต่ยืนเกาะเสาตัวสั่นอยู่อย่างนั้น
“ทูลฮ่องเต้ ข้าจะไปเสวยพระกายาหารร่วมด้วย” สตรีผู้นั้นกล่าวกับองครักษ์ของตนที่ติดตามหลังมากันยกใหญ่ “พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ขานรับ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสตรีนางนี้อาจจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ไม่สิพระสนมยังเทียบเท่ามิได้ ฮองเฮาสิจะเหมาะกว่า
ลู่ซือหลิงได้แต่ตกตะลึงกับความงามของสตรีตรงหน้า ในใจพลางนึกอิจฉาองค์จักรพรรดิที่มีหญิงงามเช่นนี้ไว้ครอบครอง เขาก็อยากจะมีบ้างเช่นกัน แต่ทุกวันนี้เขามัวแต่ขลุกตัวอยู่ในสำนักทั้งวัน อย่าว่าหญิงงามเลย ทุกวันนี้จะขึ้นคลานจนแก่เฒ่าอยู่แล้ว
สตรีผู้นั้นจ้องมองมายังแมวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสา “แมวตัวนั้น…” นางกล่าวด้วยความสงสัย ในพระราชวังมิเคยเห็นคนเลี้ยงแมวก่อน เหตุใดถึงมีแมวอยู่ภายในรั้ววังได้
อวี่จ้านรีบทูลกล่าว “เรียนฮองไทเฮา แมวตัวนี้เป็นแมวจรแอบลักลอบเข้ามาในวังพ่ะย่ะค่ะ”
โถ่เอ๊ย นึกว่าเป็นพระชายาที่ไหนได้เป็นพระมารดาขององค์จักรพรรดินี่เอง แต่เหตุใดถึงไม่มีความคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย ทั้งนิสัยและหน้าตาคงมิใช่เหมือนบิดาหมดหรอกนา
พระชนนีพันปีหลวงเบือนหน้าหนีมิสนใจแก่แมวจรธรรมดา สีหน้าขยะแขยงและรังเกียจแสดงออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน นางกล่าวด้วยถ้อยคำดุร้าย “เอาไปทิ้งไว้ไกล ๆ อย่าให้เห็นมาแตะต้องตำหนักฉู่ชิวกงของข้า!”
อวี่จ้านสายตาแวววาวเป็นประกาย เขาตอบรับด้วยความดีใจ “พ่ะย่ะค่ะ”
ตัวเขานั้นมีองค์จักรพรรดิคอยหนุนหลัง ส่วนเสาหินนั่นก็มีพระชนนีขององค์จักรพรรดิคอยหนุนหลัง ดูแววตาเจ้าเสาหินนั่นสิ พอมีคนหนุนหลังกลับได้ใจ เข้ามาจับตัวพร้อมส่งสายตาเย้ยหยันมาทางเขาอีก นี่เอาคืนเขาชัด ๆ ได้! รอวันที่เขาเอาคืนแล้วกัน ลู่ซือหลิงได้แต่ส่งสายตาแค้นเคืองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่หิ้วพาเขาไปไหนก็มิรู้
ร่างแมวน้อยขนสีขาวถูกอวี่จ้านจะพาข้างนอกวัง ลู่ซือหลิงกล่าวในใจ ดีมาก! เจ้าพาข้าออกนอกวังเดี๋ยวนี้!
“อาจ้าน” บุรุษร่างอรชรนุ่มนวลสวมเสื้อขันทีสีเทาวิ่งตรงมายังพวกอวี่จ้านที่จะพาแมวไปปล่อยป่า เขาหอกแฮก ๆ เหนื่อยอ่อน “ฝ่าบาทมีรับสั่งไว้ให้แมวน้อยตัวนี้อยู่ในวังตลอดชีวิต”
…
หา จะบ้าหรือไง! งานการเขาก็มีจะอยู่นอนเล่นนั่งเล่นไปตลอดไม่ได้หรอกนะ!
“ฮองไทเฮาตรัสไว้ รังเกียจแมวตัวนี้อยากพาไปไกล ๆ” อวี่จ้านไม่ลดละพยายามที่จะเอาแมวตัวนี้ออกไป ตอนนี้เขามิเกรงกลัวอะไรแล้ว มีพระชนนีพันปีหลวงหนุนหลังซะอย่าง
สีหน้าขันทีน้อยดูกังวล ใบหน้าน่ารักมุ่ยหน้าลงน่าเอ็นดู “อาจ้าน เจ้าอยากโดนไล่ออกจากวังหลวงหรือ”
อวี่จ้านไม่เข้าใจ “หมายความอย่างไร”
“หากเจ้ายังเอาแมวตัวนี้ไปปล่อย ฝ่าบาทจะปลดเจ้าออกจากการเป็นแม่ทัพไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน” ขันทีกล่าว
“…” อวี่จ้านพูดไม่ออก เขาได้แต่คิดไม่ตก เหตุใดแมวจรตัวนี้ถึงสำคัญกับองค์จักรพรรดิยิ่งนัก หรือว่ามันจะทำยาเสน่ห์ใส่องค์จักรพรรดิ ไม่ได้การละ มีแต่ต้องฆ่าทิ้งเท่านั้น
อวี่จ้านหันหลังหนีแก่ขันที เขารีบเดินไปด้วยความว่องไว ก้าวขาฉับ ๆ มุ่งตรงเดินสอดส่องหาหมอหลวงทุกสารทิศ เดินไปตรงมุมนั้นไม่มี ทางซ้ายก็ไม่มี ทางขวาก็เจอองค์จักรพรรดิดักทางรอ หันหลังกลับแทบจะไม่ทัน แมวในมือเมื่อเห็นเจ้านายที่คอยสนับสนุนก็ส่งเสียงร้องเรียกเมี๊ยว ๆ ซะเสียงดัง จนอวี่จ้านต้องมือป้องปากแมวน้อยไว้พลัน แมวน้อยก็มิยอมประทับรอยฟันเข้าไปยังมือซ้ายอวี่จ้าน คนโดนกัดสะดุ้งตกใจสะบัดมือตบหน้าแมวขนขาวไปหนึ่งที แมวน้อยร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดขู่ขนฟ่อตั้งตัวสู้กับคนตรงหน้า การฟัดระหว่างคนกับแมวเริ่มขึ้น สู้กันไปสู้กันมา แมวก็กัดไม่ปล่อย ข่วนเล็บไปตามแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยบาดแผล อวี่จ้านรีบหิ้วแมวตัวนั้นออกให้ห่างจากตน แมวน้อยวาดกรงเล็บไปกลางอากาศ แขนขาเขาสั้นห่างแค่หนึ่งช่วงแขนแต่ขาเขาก็ไปไม่ถึง ด้วยความหมั่นไส้หรือสิ่งใดสักอย่าง เขาไม่เข้าใจการกระทำของอวี่จ้าน เขี้ยวฟันมนุษย์ฝังไปบนร่างกายแดงไร้ขนของแมวตัวขาวนั่น
เอาคืนกันชัดๆ
“อวี่จ้านอย่ากินแมวเรา”
แม่ทัพใหญ่หันมองไปยังต้นเสียงด้านหลัง องค์จักรพรรดิยืนกอดอกสายดุคมจ้องมองมายังเขาที่นั่งกัดแมวอยู่ เขารีบปล่อยแมวขนขาวให้เป็นอิสระ รีบลุกขึ้นจัดทรงจัดเสื้อให้เป็นระเบียบ เข้าโค้งตัวทำความเคารพองค์จักรพรรดิ “ถวายบังคมบาท”
ลู่ซือหลิงหลังจากที่ได้รับอิสระ เขาพยายามก้าวเท้าให้เบาเสียงที่สุดมุ่งตรงไปยังหน้าประตูที่อยู่ห่างแค่ไม่กี่จั้ง2 แต่ก็ต้องถอยหลังออกมาเมื่อเจอคนดาบจ่อมาทางที่คอเขา
องค์จักรพรรดิเดินมาหาแมวตัวขาว เขาจัดการอุ้มขึ้นมาในวงแขน “ตัวน้อย อย่าซนนักสิ”
สรรพนามที่ดูเปลี่ยนไป เรียกเขาเยี่ยงเด็กเล็กทำเอาเจ้าสำนักอี้ซวนไม่พอใจ แต่พอจะขอความช่วยเหลือจากผู้คนอื่น ทางเสาหินนั่นก็จ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น กองทัพพวกนั้นก็มองมาด้วยสายอิจฉาริษยา เขาถึงเหงื่อตกเอนตัวเข้าไปซบอกแกร่ง ก่อนทำสีหน้ากวนไปหนึ่งที
‘รู้ไว้เสียบ้างว่าใครคือผู้ชนะ’
ตำหนักเฉียนชิงสถานที่เดิมสถานที่เก่าที่คอยคุมขังเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ถึงจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งเฝ้าองค์จักรพรรดิทำงานเช่นนี้ แต่ทำอย่างไรได้ ผู้คนข้างนอกอยากจะฆ่าเขาอยู่แล้วนี่ เฮ้อ เบื่อเสียจริง มังกรหน้ายิ้มก็ลูบไล้ขนเขาไม่หยุด หยิบน้ำแข็งในถังมาลูบยังบริเวณผิวหนังของตน ความเย็นเฉียบแทรกซึมจึงอยากจะหันหนี เขาพยายามดิ้นออกจากมือแกร่งที่โอบอุ้มเขาไว้ไม่ให้ไปไหน
เย็นโว้ยยยย
“เย็นรึ งั้นเอาผ้าพันหน่อยก็แล้วกัน” แขนเสื้อขาดจากการกระทำของแมวน้อยขนขาวถูกฉีกออกอย่างไม่ไยดี ไม่มีคำว่าเสียดาย ก็คนมันรวยอยู่แล้วเสื้อผ้าแค่นี้สามารถซื้อใหม่เมื่อใดก็ได้ เห็นแล้วก็อิจฉา
ตาฮ่องเต้บ้าฉีกนำน้ำแข็งที่ห่อหุ้มไปด้วยผ้าค่อยประคบประหงมตรงบริเวณผิวหนังชมพูที่เริ่มขึ้นริ่วรอยแดงจากความเย็นเฉียบของน้ำแข็งก้อน เริ่มละ… เริ่มทนไม่ไหวแล้ว! ขาหลังสองข้างถีบไปที่หน้าขององค์จักรพรรดิก่อนวิ่งหนีลงจากโต๊ะใช้ขาหน้าทั้งสองผลักประตูอย่างสุดกำลัง มองดูหาร่างขององครักษ์ชุดดำน้ำเงินที่ตอนนี้หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ปัดโธ่ ทีตอนต้องการหายหัว ทีตอนไม่อยากจะเจอเสนอหน้าออกมาจัง
เริ่มหงุดหงิดละ หันมองด้านหลังองค์จักรพรรดิก็กุมหน้าตัวเองจากการโดนถีบจนเซล้มลงไป เขาลูบไล้ใบหน้าที่เลือดซึมไหลออกมาจากแผลที่แมวขนขาวได้กระทำอีกแล้ว แผลเก่ายังไม่หายแผลใหม่ก็มาเพิ่ม จนตัวเขานั้นรู้สึกผิดที่จริงองค์จักรพรรดิก็ดีกับเขาตลอดมาแม้เขาจะเป็นแมวที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยังปฏิบัติตนดูแลอย่างดี ให้ข้าวให้ที่นอน จะว่าไปแล้วตัวเขานั้นดุร้ายเกินไปไหม
ขาสั้นละออกจากประตูเดินเข้าไปหาบุคคลที่แสนดีกับตนตลอดมา ขาเล็กกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะเดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิที่มีแววตาสงสัยในการกระทำของแมวน้อยขนขาวนี้ ลู่ซือหลิงกระโจนขึ้นไปบนไหล่กว้างของเจ้านายของตน หัวทุยขาวนั้นออดอ้อนด้วยความเชื่องและน่ารัก ลิ้นสากเลียไปยังตรงคอ สีหน้ารู้สึกผิดและการกระทำอันน่ารักนี้จนทำให้องค์จักรพรรดิใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มกว้างอ่อนโยนยกยิ้มมาทางแมวน้อยมือขวาก็ลูบแมวน้อยบนไหล่ไปพลาง ๆ
แค่วันนี้…ทำดีกับเขาสักวัน ลู่ซือหลิงคิด เขายอมอยู่เฉย ๆ เป็นตุ๊กตาให้อีกคนลูบเล่นอยู่อย่างนั้น ส่วนมือหน้าทั้งสองข้างก็เข้าไปกอดคอใช้หัวนุ่มนั้นออดอ้อนอีกฝ่ายจนคนที่โดนกระทำนั้นตัวแข็งค้างปล่อยให้เจ้าแมวน้อยนั้นออดอ้อนอย่างงั้นไป
ผ่านไป 2 เค่อ3 เมื่อเห็นร่างแข็งทื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายก็หน้าเสีย ในใจมีความคิดลบ ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหรือ เห็นปกติอยากได้ความรักจากเขาพอเขาออดอ้อนใส่ก็ตัวแข็งทื่อซะงั้น ด้วยความอารมณ์เสียจึงกระโดดลงมาเป็นจังหวะพอดีที่ประตูไม้ถูกเปิดออก ร่างของอวี่จ้านที่ตอนนี้เหงื่อไหลซกจนทนดูไม่ได้ หอบแฮก ๆ ด้วยความเหนื่อย แข้งขาสั่นระริกแทบทรงตัวไม่อยู่ต้องอาศัยการเกาะบานประตูไว้
“ฝ่าบาท แฮก ๆ ไทเฮามีรับสั่งให้ไปเสวยอาหาร แฮก ๆ กับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” อวี่จ้านกล่าวไปก็หอบเหนื่อยไป
“เจ้าวิ่งรอบวังหลวงครบ 50 รอบหรือยัง” องค์จักรพรรดิถาม
อวี่จ้านส่ายหน้า เขาเหนื่อยเกินไปจะตอบไหว
“งั้นไปวิ่งให้ไปครบเสีย” ไม่มีความปรานีองค์จักรพรรดิ เขาเดินออกไปโดยไม่สนร่างกายขององครักษ์ที่แทบจะล้มตึงไป
ลู่ซือหลิงตกตะลึง ตั้ง 50 รอบในวังก็ไม่ใช่พื้นที่น้อย ๆ อย่างงี้เขาไม่เป็นเหนื่อยตายไปก่อนหรือ สายตาฟ้าครามมองร่องอวี่จ้านที่ค่อย ๆ พยุงตนเองเพื่อจะไปวิ่งต่อ ก่อนจะไปไม่วายหันมามองค้อนใส่เขาอีก ความสงสารหายไปชั่วพริบตา วิ่งต่อไปนะพ่อหนุ่ม
ทางด้านขององค์จักรพรรดิที่เสวยพระกายาหารร่วมกับพระมารดาของตนไม่ได้เสวยอะไรเข้าไปกลับมีความสุขจนยิ้มไม่หยุด ยิ้มจนไทเฮารู้สึกกลัวมองซ้ายมองขวาดูว่าบุตรชายของตนนั้นยิ้มให้กับอะไร
“น่ารัก” พูดเสร็จก็ยิ้มต่อ
จนน้ำชาในมือไทเฮานั้นสั่นคลอน บ้าไปแล้ว ลูกชายเขาบ้าไปแล้ว! ต้องไปตามหมอหลวง…รีบลุกจากเก้าอี้ไม่เหลือความเป็นสตรีที่สูงส่ง ด้วยความเป็นแม่จิตใจกลัวลูกจะไม่หายจึงละทิ้งความเป็นผู้ดีหรือบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ วิ่งแจ้นไปหาหมอหลวง
“หมอหลวงตรวจอาการฮ่องเต้ที!”
ในใจหมอหลวงถอนหายใจ เฮ้อ ลาออกดีไหมเผื่อชีวิตจะดีขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เป็นแม่ลูกกัน คนลูกแมว คนแม่ลูก อืม…ต้องเริ่มสอดส่องหางานแล้วกระมัง
ถังปิงเจี้ยน1 = ถังใส่น้ำแข็ง
1 จั้ง2 = 3.33 เมตร
1 เค่อ = 15 นาที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ