แมวน้อยของข้าช่างดุยิ่งนัก

-

เขียนโดย จมปลัก

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.58 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  3,228 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 13.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) อาหาร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 3

อาหารสูตรพิเศษ

 

ผ่านไปหนึ่งวัน เป็นหนึ่งวันที่ไร้ค่า เงินสักตำลึงก็ไม่มี แถมยังต้องมาติดในพระราชวังบ้า ๆ นี่อีก อยากจะหนีก็หนีไม่ได้ ตัวการที่ทำให้เขาออกไปไม่ได้คงมิพ้นคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา

 

ร่างแมวน้อยของลู่ซือหลิงจมอยู่กับอ้อมอกแกร่งขององค์จักรพรรดิ เขาพยายามจะผลักไสหน้าอกแกร่งตรงหน้านั้นออกไปจากใบหน้าแมวของตน แต่ก็ไร้ผลมือเล็กแค่นี้จะไปสู้บุคคลข้าง ๆ ได้อย่างไร มือปลาหมึกขององค์จักรพรรดิเริ่มย้วยเยี้ย เกาะแข้งเกาะขาไปหมด บุรุษที่นอนข้าง ๆ ดันร่างแมวของลู่ซือหลิงเข้าไปหาตนแน่นขึ้นเหมือนกับกอดตุ๊กตาก็มิปาน เฮ้ย ฝ่าบาทพระองค์โตแล้วนา จะมากกกอดข้าเหมือนกอดตุ๊กตาเน่ามิได้

 

แมวน้อยยังไม่ละทิ้งความพยายาม เขาข่วนไปที่อกแกร่งจนมีเลือดไหลซึมออกมา แต่ก็ต้องมารู้สึกผิดกับการกระทำของตน เมื่อคิดได้ว่าบุรุษผู้นี้ช่วยเขาไว้จากอันตรายที่เป็นองครักษ์ของพระองค์แถมยังทำแผลที่หางให้ตนอีก เขาลูบแผลที่ปรากฏเป็นรอยเล็บข่วนของเขาเอง ลิ้นสากเลียเข้าไปที่แผลที่อยู่บนอกแกร่ง หวังว่าแผลนั้นจะหายโดยเร็วพลัน

 

แต่ความเป็นห่วงนั้นก็ต้องมลายหายไปจนสูญสิ้น บุคคลตรงหน้าพยายามลูบไล้เขาให้เขาสยิวเล่น จนเขานั้นเผลอครวญครางออกมาด้วยความรู้สึกดี แต่ความผิดชอบชั่วดีก็ยังคงอยู่ในจิตใจ เขากัดมือแกร่งที่ลวนลามเขาแรง ๆ จนอีกคนร้องโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

ฮ่องเต้ตัวนี้แอบกินเต้าหู้ [1] ข้า!

 

ลู่ซือหลิงในร่างแมวขู่ฟ่อด้วยความระแวง เกรงว่าพระองค์จะแอบลวนลามตนอีกครา จนเข้าสู่ยามเหม่า [2]  สุริยันส่อประกายทอแสง ตาลู่ซือหลิงก็ยังเบิกกว้าง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ง่วง แต่เขากลัวบุคคลที่นอนอยู่ข้าง ๆ แต่ความกลัวก็ต้องสิ้นสุดแทนที่ไปด้วยความมืดมิด เปลือกตาของเขาปิดลงอย่างง่ายดาย อาจเพราะวันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แถมอยู่ในร่างแมวพลังงานมันจึงต่ำกว่าปกติ

 

เฮ้อ เมื่อไรจะได้กลับสำนักเสียที ศิษย์และฉินเชียนเฉียวจะคิดถึงเขาเหมือนกับที่เขาคิดถึงบ้างไหม คงกำลังสาปแช่งนินทาเขาอยู่ล่ะสิ ช่างเถอะ เขาจะรีบหาเงินแล้วรีบกลับไปทำหน้าที่ของตนให้เร็วที่สุด

 

ยามเฉิน [3]  เขาตื่นมาด้วยความงัวเงีย มิรู้ว่าตนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่รู้ว่าภาพตรงหน้าว่าเขาติดอยู่ในพระตำหนักเฉียนชิงก็ยังคงมิใช่ความฝัน ถึงรู้ว่าหนีความจริงก็ไม่พ้น เขาหลับตาปี๋ใช้อุ้งเท้าเล็กจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวก่อนจะครวญครวญหาอ้อมอกเมื่อคืน แต่ก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มตา ยามนี้องค์จักรพรรดิมิอยู่ก็ได้เวลาที่ตัวเขาจะเอาสิ่งที่ขโมยมาไปขายเสียที

 

ก้าวขาเล็กยังทันเดินพ้นจากห้องนี้ ตาสีฟ้าน้ำทะเลก็ไปสะดุดกับหลังกว้างที่สวมชุดสีแดงปักด้วยรอยเย็บลวดลายมังกรดูน่าเกรงขาม ดูเหมือนการหนีครั้งนี้คงมิง่ายแล้วสิ

 

ด้วยความสงสัยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะมองดูโอรสของสรวงสวรรค์กำลังนั่งเขียนบางสิ่งบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่พอเห็นแมวน้อยเท่านั้นแหละเขากลับคลี่ยิ้มกว้างออกมา “ตื่นแล้วหรือ”

 

ลู่ซือหลิงไม่ส่งเสียงตอบองค์จักรพรรดิ เขานั่งชะเง้อมองว่าอีกคนเขียนสิ่งใดอยู่ เหมือนอีกฝ่ายรู้ว่าลู่ซือหลิงอยากอ่านเพียงใด เขาวางพู่กันลงบนถาดรอง ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เป็นการอนุญาตว่าเชิญดูได้เต็มที่

 

องค์จักรพรรดิมิกลัวหรือว่าข่าวภายในมันจะรั่วไหลออกมา หรือเห็นเขาเป็นแค่แมวจึงไม่ใส่ใจอะไรมาก

 

แมวน้อยขนขาวใช้สายตาสีฟ้านั้นก้มอ่านดูก่อนจะเบ้ปากออกมาด้วยความเบื่อหน่าย การค้าอีกแล้วหรือ แคว้นนี้น่าเบื่อเสียจริงมิมีการสู้รบกับเขาบ้างเลยหรือไง

 

ลู่ซือหลิงเป็นคนชอบศึกษาวิทยายุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคนห้าว ๆ ชอบตบตีกับคนอื่นเขา จนโดนพวกชาวบ้านร้องเรียนให้ทำเรื่องย้ายเขาให้ออกจากหมู่บ้านไปเสีย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครบอกให้เขาย้ายได้ ก็เขาจะอยู่แล้วจะทำไม ถึงจะอยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ไม่มีสิทธิ์มาย้ายเขาออกจากหมู่บ้านนะ!

 

หลังจากรู้ว่าองค์จักรพรรดิเขียนสิ่งใดลงไปในกระดาษแล้ว เขาก็เดินจะกลับไปยังมุมโต๊ะเพื่อเฝ้าอีกคนทำงาน แต่หางเจ้ากรรมดันแกว่งไปโดนถาดหมึกหกเลอะเอกสารสำคัญที่องค์จักรพรรดิพึ่งได้ทำการเขียนลงไป

 

องค์จักรพรรดิมองมาทางเขาด้วยจิตสังหาร รอยยิ้มที่แตกต่างจากคราวแรกส่งมาให้กับเขาช่างดูน่าขนลุก ขนสีขาวฟูฟ่องของแมวน้อยลู่ซือหลิงตั้งขึ้นอย่างรู้สึกกลัว “แมวน้อยทางที่ดีเจ้าควรอยู่ข้างล่างโต๊ะเสียจะดีกว่านา”

 

แมวน้อยส่งเสียงเหมียวเหมียวเป็นการขานรับ ก่อนจะรีบกระโดดลงไปข้างล่างโต๊ะและนั่งอย่างสงบนิ่งมิยอมขยับเลย จนแทบนึกว่าเป็นรูปปั้นหิน เขากลัวว่าตนเองจะไปทำอะไรพังอีก ทางที่ดีนิ่งไว้จะดีกว่า

 

ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วโอรสสวรรค์กลับไม่คิดจะลุกไปกินข้าวหน่อยหรือ เขาหิวจะตายอยู่แล้ว แต่องค์จักรพรรดิก็ยังคงนั่งอยู่กับที่มิมีท่าทีจะลุกไปไหนเลยสักนิด ด้วยความหิวเจียนตาย เขาเรียกร้องความสนใจด้วยการใช้เล็บอันแหลมคมนั้นข่วนประตูไม้ราคาแพงจนไม่เหลือเค้าโครงลวดลายวิจิตรศิลป์เสียสักนิดมีแต่รอยเล็บแมวขูดขีดเต็มบานประตูไปหมด แต่ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะไม่สนใจเขาเลย

 

และแน่นอนว่าลู่ซือหลิงเป็นคนเอาแต่ใจที่จริงเขาก็ไม่ชอบนิสัยนี้ของตนสักเท่าไหร่ แต่มิเป็นไรเพื่อปากท้องของเขาเขาทำได้เสมอ ด้วยความโกรธาจากความหิว แมวน้อยลู่ซือหลิงเตะไปที่กองงานจนมันกลิ้งตกไปนอนกองลงกับพื้น

 

หวังว่าองค์จักรพรรดิจะมิโกรธเขานะ

 

เหมือนว่าการกระทำครั้งนี้จะเป็นผล องค์จักรพรรดิเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัยก่อนเอ่ยถามอย่างมิเข้าใจ “มีอะไรหรือแมวน้อย” ลู่ซือหลิงมิรู้จะตอบอย่างไรดี การที่เขากลายร่างเป็นแมวทำให้เขาไม่สามารถเปล่งคำพูดเยี่ยงมนุษย์มนาได้ เขาพยายามจะสื่อสารกับอีกฝ่ายด้วยความออดอ้อนซุกไปที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายและเลียไปที่แขนของอีกฝ่ายจนเปียกชุ่ม

 

องค์จักรพรรดิมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนตอบด้วยความรู้สึกผิด “ข้าต้องขออภัยแมวน้อยที่เราละเลยเวลาอาหารของเจ้า” ลู่ซือหลิงเอื้อนเอ่ยขานรับด้วยความดีใจในที่สุดก็ได้กินข้าวเสียที และเขาก็ยังวางแผนไว้แล้วด้วยหากเมื่อเขาทานอาหารเสร็จแล้ว เขาจะรีบกระโดดปีนกำแพงหนี มิมีใครสามารถจับตัวเขาได้แน่นอน รอให้เขาออกไปจากห้องทำงานที่มิต่างอะไรจากเรือนจำนี่ก่อนเถอะ เจ้านี่มันฉลาดจริง ๆ ลู่ซือหลิง

 

แต่สิ่งที่องค์จักรพรรดิทำก็ทำให้ลู่ซือหลิงถึงกับอ้าปากค้าง มิคิดว่าองค์จักรพรรดิจะมาแปลกสั่งให้ขันทียกอาหารมาที่ห้องทำงานของตน ลู่ซือหลิงมองดูกลุ่มขันทีที่เข้ามาวางอาหารทีละคนสองคนจนอาหารเต็มโต๊ะไปหมด อาหารมากมายหลายชนิดมากกว่าร้อยอย่างที่เรียงรายจัดระเบียบอย่างสวยงาม กลิ่นหอมระทวยของอาหารส่งกลิ่นเชื้อเชิญให้ลู่ซือหลิงเข้าไปกินมัน แต่ยังมิทันที่แมวน้อยจะเข้าไปชิมอาหารตรงหน้า ร่างก็ถูกยกลอยละหิ้วเสียก่อน เขาส่งสายตาโกรธแค้นไปทางอวี่จ้านที่ขัดเวลาความสุขของเขากับเหล่าอาหารตรงหน้า

 

“เป็นแค่แมวริบังอาจกินอาหารเทียบเคียงกับองค์จักรพรรดิ” ร่างของลู่ซือหลิงถูกปล่อยลงสู่พื้นไม้ อวี่จ้านชี้ไปยังชามอาหารใบเก่าที่มีรอยแตกอยู่บางส่วน ข้างในมีแค่ก้างปลาเล็ก ๆ หนึ่งตัวที่ไร้เนื้อหนังให้ได้กัดกินเล่น “ของเจ้าอันนั้น” ลู่ซือหลิงจิ๊ปากด้วยความมิพอใจ ถึงแม้ร่างกายเขายังเป็นแมวแต่จิตวิญญาณของเขายังเป็นมนุษย์อยู่ เจ้าจะให้ข้ามาแทะก้างปลาเล่นมิได้!

 

ลู่ซือหลิงส่งเสียงประท้วงไม่พอใจ เขาพยายามจะไล่กัดคนตรงหน้าที่ส่งสีหน้าเยาะเย้ยมาทางเขา ด้วยความที่ขาเขาสั้นวิ่งไล่ตามอีกคนไม่ทันเสียที อวี่จ้านเอ่ย “ขาแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้”

 

ข่วนหน้าเจ้าเป็นรอยได้ก็แล้วกัน

 

องค์จักรพรรดิทนเห็นคนกับแมวกัดกันมิได้ เขายกสำรับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะมาวางเรียงรายหน้าแมวน้อยขนสีขาว ลู่ซือหลิงตาเป็นประกายกับอาหารสีสันงดงามตรงหน้า แต่ก็ไม่ลืมขยิบตากวนองครักษ์ทีหนึ่งให้รู้เอาไว้บ้างว่าใครคือผู้ชนะและใครคือผู้แพ้

 

ในเมื่อกำจัดแมวด้วยตนเองมิได้ เขาจึงต้องหันไปพึ่งเจ้านายของตนที่เป็นคนนำมาเลี้ยง “เรียนฝ่าบาท ขันทีมากมายยอมเสียสละชีวิตเพื่อพิสูจน์อาหารพวกนี้ว่ามีพิษหรือไม่ หากพระองค์เอาไปให้แมวจรเช่นนี้จะเป็นการเสียน้ำใจแก่ขันทีที่ยอมสละชีพเพื่อพระองค์” อวี่จ้านมองเหยียดไปทางแมวขนสีขาวตรงหน้ากินอาหารอย่างสำราญใจ

 

สงสัยคงอยากมีเรื่อง สักวันข้าจะใช้เล็บของข้าไปประทับรอยบนใบหน้าเจ้าเองอวี่จ้าน

 

“มิเป็นไร สำรับอาหารมากมายขนาดนี้เป็นเราเราก็ทานไม่หมด ดีเสียอีกมีคนช่วยทาน หวังว่าแมวน้อยคงไม่กินชามเข้าไปด้วยกระมัง”

 

ลู่ซือหลิงสะดุ้ง เขาดูกองชามยี่สิบกว่าชามที่ว่างเปล่าไร้เศษอาหารโดยฝีมือของตัวเขาเอง เขาที่รู้ตัวว่ากินเยอะเกินไปแล้วรีบเดินออกจากอาหารตรงหน้าก่อนที่เขาจะเผลอกินเข้าไปอีก เขาเดินเข้าไปหาพรมสีฟ้านุ่มก่อนจะยืดตัวและนอนขดตัวลงไป

 

“ฝ่าบาทแน่ใจจริง ๆ หรือว่าจะเลี้ยงแมวตัวนี้” อวี่จ้านถาม เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าแมวตัวนี้ผิดแปลกไปจากแมวธรรมดา แถมเมื่อวานห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิก็ถูกขโมยจนมิเหลือสักชิ้น เป็นไปได้หรือเปล่าว่าแมวตัวนี้จะเป็นคนขโมย

 

“แน่ใจสิ แมวน้อยตัวนี้ก็ดูเป็นแมวน้อยธรรมดาดูไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร”

 

อวี่จ้านขมวดคิ้ว ‘ไม่มีพิษไม่มีภัย’ เขาชะเง้อมองแมวขนสีขาวที่กระตุกตาเย้ยหยันเขา รู้สึกอยากเอาแมวไปย่างกินเสียสักทีและต้องแมวขนสีขาวที่อยู่กับองค์จักรพรรดิเพียงเท่านั้น!

 

“เราอิ่มแล้ว เจ้าบอกให้ขันทียกสำรับไปเก็บเถอะ”

 

อวี่จ้านละสายตามาจากแมวน้อยที่อยู่ตรงพรมก่อนจะโค้งตัวคำนับน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะออกจากห้องไป มินานก็มีเหล่าขันทีตามมาเป็นโขยงยกสำรับไปเก็บไว้

 

องค์จักรพรรดิเดินเข้าไปหาแมวน้อยที่นอนขดตัวหลับตาปี๋อยู่ ด้วยความเอ็นดูเขาใช้มือไปลูบเกาพุ่งป่อง ๆ จากอาหารที่พึ่งรับประทานเข้าไป ลู่ซือหลิงในร่างแมวสีขาวเพลิดเพลินไปกับสัมผัสนั้นมันทั้งรู้สึกดีและจักจี้ในเวลาเดียวก่อน เขากลิ้งตัวไปมาเหมือนเป็นการหยอกเล่นกับบุรุษที่มีฐานะสูงส่ง ลิ้นสากเลียหยอกล้อเล่นกับฝ่ามือหนาของอีกฝ่าย ก่อนจะต้องหยุดชะงักกับกระทำนั้นลง เป็นอีกครั้งที่ลูซือหลิงลืมตัวทำให้มีความรู้สึกเยี่ยงแมว หากเป็นอย่างนี้ต่อไปจิตใจมนุษย์ของเขาอาจจะกู่ไม่กลับ

 

“เจ้าคงเบื่อหน่ายกับการนอนเล่นอุดอู้ในพระตำหนักเฉียนชิง” คำพูดขององค์จักรพรรดิเรียกความสนใจให้แมวน้อยอย่างเขาเป็นอย่างมาก หมายความว่าพระองค์จะปล่อยข้าเป็นอิสระใช่ไหม

 

“เจ้าลองออกไปเดินเล่นในวังหลวงแก้เบื่อไปก่อนแล้วกัน”

 

ถึงแม้จะไม่ได้ปล่อยเขาให้เป็นอิสระอย่างจริงจัง แต่อย่างน้อยก็พอมีหนทางหนีอยู่บ้าง ซะเมื่อไหร่ล่ะ

 

ฝูงทหารมากมายเดินตามเขาต้อย ๆ คอยจับผิดเขาอยู่ตลอดเพลาว่าเขาจะไปทำสิ่งของภายในวังพังหรือไม่ ทำไมรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ หรือบางทีเขาควรจะวิ่งหลบหนีทหารพวกนี้ดี เขาเริ่มออกตัววิ่ง แน่นอนวิ่งไม่ทันไรร่างของเขาถูกช้อนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอวี่จ้านที่มิรู้มาจากทางไหน เขากล่าวอย่างดุ ๆ “ห้ามวิ่งเผล้นพล่านในวัง”

 

คิดหรือว่าคนอย่างลู่ซือหลิงจะยอมฟังใคร เขาเตรียมตัวที่จะวิ่งอีกรอบหนึ่งแต่ร่างแมวก็ถูกโยนไปให้ทหารอีกคน “ถือมันไว้ อย่าให้มันวิ่งชนข้าวของจนพัง”

 

“ขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารที่ถือแมวอยู่ขานรับ

 

สรุปแล้วลู่ซือหลิงในร่างแมวก็ยังถูกอุ้มอยู่อย่างนั้น ขาเล็กของเขาไม่ได้แตะพื้นเลยสักครั้ง โถ องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ให้เขาออกมาเดินเล่นก็จริง แต่นี่เขาเดินตั้งแต่ตอนไหนกัน ขาเขาเหยียบพื้นเพียงนิดเดียวเอง

 

“นี่ข้าต้องเฝ้าแมวจรนี่ไปถึงเมื่อไหร่กัน”

 

“เจ้านี่ปากเสียจริง แมวตัวนี้เป็นถึงแมวเลี้ยงของฝ่าบาท เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกว่าแมวจร”

 

ทหารหยิบแมวน้อยขึ้นมาดูใกล้ ๆ “เจ้านี่เก่งกาจเสียจริงที่ทำให้ฝ่าบาทรักและเอ็นดูเจ้าได้”

 

“เรียกว่ามีโชคเสียมากกว่าที่ดันเข้าห้องบรรทมของฝ่าบาท แต่แปลกที่เครื่องใช้ในห้องต่างหายไปหมด”

 

“หรือว่าแมวตัวนี้จะเป็นคนทำ” ทหารจ้องเขม็งไปที่แมวน้อย ลู่ซือหลิงรีบหลบสายตาของทหารอย่างรวดเร็ว ฉลาดดีนี่

 

“ไม่หรอกมั้ง แมวตัวเดียวมันจะขโมยข้าวของไปหมดได้อย่างไร ตัวก็ตัวแค่นี้” ทหารฟัดพุงแมวด้วยความเอ็นดู ส่วนที่เปราะบางของลู่ซือหลิงถูกรุกล้ำ เขาจิกไปที่หัวทหารคนนั้นแล้วรีบวิ่งหนีออกมา

 

“เจ้าแมวบ้า! ข้าอุตส่าห์เอ็นดูเจ้าแล้วดูสิ่งที่เขาทำกับข้าสิ” ทหารกุมหัวอย่างเจ็บปวด เขาวิ่งไล่ตามแมวที่พยายามวิ่งหนีเขาไป

 

ลู่ซือหลิงใช้ขีดจำกัดร่างกายของตนวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาหันมองไปข้างหลังตนสภาพไม่ต่างจากหมาฝูงหนึ่งกำลังวิ่งไล่กัดแมวตัวน้อยอย่างเขาอยู่ เขาเร่งขาเล็กให้เร็วขึ้นก่อนจะหยุดกะทันหันเมื่อเจอใบหน้าที่คุ้นเคย ดวงตาคมกริบหันไปทางเหล่าทหารให้พวกเขาหวั่นเกรงจนถอยกรูดไปหลายจั้ง [4] 

 

“แค่แมวตัวเดียวยังจับไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปปกป้องฝ่าบาทได้อย่างไร!” เสียงดุดันเอ่ยตะคอกไปทางเหล่าทหาร ทำให้เหล่าทหารต้องหดคอหนีด้วยความกลัว พวกเขาก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด

 

“หึ ส่วนไอ้ตัววุ่นวายมานี่” คอของลู่ซือหลิงถูกอวี่จ้านหิ้วขึ้นไป

 

ถ้าอุ้มแมวไม่เป็นต้องอุ้มก็ได้นา เขาเจ็บ! ลู่ซือหลิงกล่าวบ่นในใจ เขารู้สึกเจ็บเหมือนโดนบีบคออยู่เลย

 

เขาโดนพามาที่เรือนแห่งหนึ่งคาดว่าจะเป็นห้องครัว ก่อนที่ร่างแมวของลู่ซือหลิงถูกโยนลงเข้าหมอดินเผา น้ำเดือดร้อนแทบจะเผาร่างเขาให้ตายทั้งเป็น ที่นี่แทบไม่ต่างจากดินแดนน้ำพุเหลือง [5] เลย ลู่ซือหลิงตะเกียกตะกายพยายามขึ้นจากหม้อ แต่ด้วยความลึกของหม้อทำให้ขาน้อย ๆ ของตนเอื้อมมิถึง

 

เจ้าจะกินข้า เจ้าก็ถอนขนข้าก่อนสิ เจ้าไม่กลัวขนข้าเข้าไปติดคอเจ้าเลยหรือไง!

 

สมุนไพรมากมายหลายชนิดถูกโปรยปรายลงบนหัวของลู่ซือหลิง บางส่วนก็เข้าปากเขาแทนที่จะตกลงสู่น้ำในหม้อ

แหวะ ขมชะมัด

 

มือแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยแผลวักน้ำขึ้นมาลูบไล้เส้นขนนุ่มให้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำร้อนที่ร้อนเกินไปจนเนื้อแมวของเขาเริ่มเปื่อย

คลุกเคล้าส่วนผสมแน่เลย ฮั่นแน่ ไม่อยากให้มีกลิ่นคาวของเนื้อใช่ไหมล่ะ ฉลาด ๆ

 

แต่สิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาก็ทำให้แมวน้อยตัวขาวรู้สึกประหลาดใจ ตลับใส่จ้าวเจี๋ย [6] ถูกเปิดออกก่อนจะหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมาถูทำความสะอาดตามตัวของเขา

 

“…”

 

บิดาเจ้าสั่งเจ้าสอนให้เจ้าอาบน้ำแมวในหม้อต้มหรือไง!

 

ปัดโธ่ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะกินข้าเสียแล้ว ลู่ซือหลิงกล่าวบ่นในใจ

 

กำลังการถูแบบบุรุษนักรบทำให้เขาเจ็บปวดคล้ายหนังจะถลอกหลุดออกมา เจ้าขัดร่างกายตนเองแบบนี้หรือไงกัน! เขาทนมิไหวใช้ขาตนเตะน้ำอัดเข้าตาอีกคน

 

อวี่จ้านลูบน้ำที่สาดใส่หน้าตัวเองลง เขาจ้องแมวน้อยลู่ซือหลิงด้วยจิตสังหาร ครั้งนี้เขากลับคิดว่าตนเองน่าจะโดนไปต้มกินจริง ๆ แล้วล่ะ อวี่จ้านหยิบเชือกที่อยู่ใกล้ ๆ พยายามมัดขาทั้งสี่ข้างของลู่ซือหลิง เขาพยายามดิ้นและเตะอีกคน และแน่นอนกำลังของอีกคนมีมากกว่าเขาในร่างนี้ สุดท้ายขาของลู่ซือหลิงก็ถูกมัดติดกับเชือกฟางไว้แน่นจนเขาพลิกเท้าไปมาไม่ได้

 

ร่างที่ถูกยึดติดกับไม้ถูกพามายังสถานที่คุ้นเคยนั่นคือพระตำหนักเฉียนชิงสถานที่คุมขังเขาไว้ อวี่จ้านเคาะประตูห้องเบา ๆ จนมีคำเชื้อเชิญออกมาจากคนในห้อง ทำให้เขาผลักประตูเข้าไปข้างใน

 

“เข้ามา”

 

องค์จักรพรรดินั่งกุมหัวเคร่งเครียดกับกองงานมากมองที่ล้นอยู่เต็มโต๊ะ เขาพยายามรีบเร่งทำงานให้เสร็จจนไม่ได้หันหน้าขึ้นมองคนฆาตกรที่จะต้มแมวของตนเลยสักนิด

 

“เรียนฝ่าบาท ห้องเครื่องหลวงจะจัดเตรียมพระกระยาหารสูตรพิเศษให้ในยามเว่ย [7] 

 

องค์จักรพรรดิทำหน้าฉงน แต่ก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษสีขาว “อาหารสูตรพิเศษ? ทำมาเถอะเรากินได้หมด”

 

“พ่ะย่ะค่ะ” อวี่จ้านขานรับด้วยแววตาดุร้าย ก่อนจะเดินออกไป

 

องค์จักรพรรดิยังไม่คลายความสงสัย เขาเงยหน้าขึ้นมามองดูก่อนจะเจอแมวของตนถูกห้อยโตงเตงติดกับไม้ องค์จักรพรรดิมีสีหน้าตกใจเขากล่าวเอ่ยอย่างเร่งรีบ “เดี๋ยวก่อนอวี่จ้าน เจ้าคงไม่ได้เอาแมวเราไปต้มกินใช่ไหม”

 


กินเต้าหู้ [1] = ลวมลาม แต๊ะอั๋ง

ยามเหม่า [2] = ช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น.

ยามเฉิน [3] = ช่วงเวลา 07.00 – 08.59 น.

จั้ง [4] = มาตราวัดระยาทางจีน 1 จั้งมีค่าเท่ากับ 3.33 เมตร

น้ำพุเหลือง [5] = ปรโลก

จ้าวเจี๋ย [6] = พืชดอกสมุนไพรของจีนที่ถูกนำมาใช้ทำเป็นสบู่

ยามเว่ย [7] = ช่วงเวลา 13.00 – 14.59 น.

 

TBC

ชะตาแมวต้มอยู่ไม่ไกลแล้วน้องลู่ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา