คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) 00 06

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 06

 

เช้าตรู่วันเสาร์ ในที่สุดมาลีวัลย์ก็ยอมแพ้และเลิกขังตนเองให้อยู่ในห้อง เด็กหญิงอาบน้ำแต่งตัวอย่างดีก่อนจะใส่สลีปเปอร์ลายกระต่ายฟูฟ่องออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบที่สุด

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมง คนในบ้านคงกำลังวุ่นวายอยู่กับงานเช้า ระหว่างทางลงไปยังชั้นล่าง เด็กหญิงได้ยินเสียงเปียโนดังกังวานไปทั่วบริเวณ คิ้วสวยเลิกขึ้นพร้อมดวงตาเบิกโพลง ความใคร่รู้นำพาให้สองขาเรียวเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อไปยังต้นตอของเสียง มาลีวัลย์เห็นพี่อินทร์ของตนในชุดนอนสีดำ กำลังยืนเหม่อมองอะไรบางอย่างอยู่ข้างเสาสลักโรมันตรงทางเดินหน้าห้องหนังสือ เด็กหญิงเลี่ยงหลบไปยืนอีกด้าน เป็นมุมที่สามารถมองเห็นภายในห้องหนังสือได้และอินทรชิตก็ไม่สามารถมองเห็นเธอ

เสียงเปียโนแสนนุ่มนวลและอ่อนโยนดังผะแผ่วออกมาจากห้องนั้น เด็กหญิงชะโงกหน้าออกไปดูก็พบกับคุณพฤกษ์ในสภาพเปลือยท่อนบนกำลังนั่งอยู่หน้าเปียโนที่เคยถูกปิดตายหลังนั้น นิ้วมือทั้งสิบกรีดกรายไปมาบนคีย์บอร์ดทั้งแปดสิบแปดคีย์ แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านกระทบลงบนผิวขาวผ่องดูสว่างไสว คุณพฤกษ์ยามนี้ช่างราวกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ราวกับฑูตสวรรค์รูปโฉมงดงามที่มาโปรดเหล่าคนบาปอย่างไรอย่างนั้น

ตึง..

เสียงเปียโนหยุดลงแล้ว คุณเขาขยับตัวเหมือนรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังจ้องมอง มาลีวัลย์เห็นท่าไม่ดีและกลัวมีความผิดจึงถอยร่นออกไปจากตรงนั้น

เหลือเอาเพียงอินทรชิตที่ยังคงอยู่ตรงที่เดิม เด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างเสาสลักโรมันต้นใหญ่ สายตาเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล แม้บทเพลงจะจบลงแล้วแต่ทุกเสียงที่คุณพฤกษ์กดนิ้วลงไปยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจเสมอ

“นั่นใคร ? มีคนอยู่ตรงนั้นใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ ไม่มีเรี่ยวแรงจะหันหนี สมองสั่งการให้หลบหลีกแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง เสียงฝีเท้าของคุณพฤกษ์เริ่มใกล้เข้ามา กระทั่งร่างสูงโปร่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ไร้ซึ่งหนทางจะบ่ายเบี่ยง

“นี่แก.. ” คุณเขาขมวดคิ้ว เท้าแขนกับเสาสลักโรมันต้นนั้น “มาทำบ้าอะไรตรงนี้”

อินทรชิตถอยร่นไปด้านหลัง ก่อนสายตาไม่รักดีจะเลื่อนลงมองท่อนบนเปล่าเปลือยของคุณเขาเข้าไปเต็มสองตา หัวใจของเขาสูญเสียการควบคุมเมื่อความขาวผ่องของคุณพฤกษ์เจิดจ้าเสียจนต้องหยีตามอง

“แกไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไงไอ้เขี้ยว”

อินทรชิตไม่ได้ยินอะไรอย่างที่อีกฝ่ายพูด หูของเด็กหนุ่มอื้ออึง ดวงตาเองก็พร่ามัว แถมหัวใจก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมากองที่แทบเท้าของคุณเขา

ไม่ดีเลย ..ระยะเพียงเท่านี้แต่อันตรายเหลือเกิน

เด็กหนุ่มสะดุดสายตากับแผลเป็นประหลาดคล้ายรอยหลุมขนาดเล็กบนแผ่นอกเบี่ยงไปทางด้านซ้ายของคุณพฤกษ์ อินทรชิตมองมันราวกับมีอะไรบางอย่างดึงดูด

…!!!!!

ฉับพลัน! หัวใจที่เต้นระรัวเพราะความเก้อเขินกลับกลายเป็นการบีบรัดจนทรมานแสนสาหัส อินทรชิตทรุดฮวบลงไปกับพื้นตรงนั้นแทบจะทันทีหลังจากที่เห็นรอยแผลเป็นบนอกคุณพฤกษ์ เด็กหนุ่มนั่งคุดคู้ตัวงอเป็นกุ้งถูกลวกจนสุก ใช้ฝ่ามือกดลงที่หัวใจอย่างแรง มันเจ็บแปลบคล้ายกำลังถูกของมีคมกรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเริ่มหายใจติดขัด หอบรุนแรง รู้สึกราวกับกำลังจมน้ำอย่างไรอย่างนั้น

“เฮ้ย.. เขี้ยว ไอ้เขี้ยว..” คุณเขาย่อตัวลงเสมอกับอินทรชิต

“คุณ ..คุณ”

ภาพเหตุการณ์บางอย่างไหลพรั่งพรูเข้ามาในสมอง อินทรชิตได้ยินเสียงดัง ปัง! และภาพต่อมาก็เห็นร่างกายของคุณพฤกษ์หงายเอนไปด้านหลังพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ทะลักออกมาจากอก เขามองเห็นแขนแข็งแรงที่ยืดออกและในมือนั้นกำลังถือกระบอกปืนสีดำ

ภาพมุมมองแบบนั้น.. มันคือตัวของเขาเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนเหนี่ยวไก

“แกเป็นอะไร เฮ้ย ตอบฉันสิ”

มือเรียวยาววางลงหัวไหล่ก่อนจะออกแรงเขย่าเบา ๆ ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างตบลงบนแก้มนุ่มหลายที กลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจายออกมาจากร่างกายคนตรงหน้าพลันช่วยปัดเป่าเอาความเจ็บปวดที่อกค่อย ๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งสุดท้ายที่ตนเห็นคือใบหน้านุ่มนวลและดวงตาแสนเย็นชาคู่นั้นของคุณพฤกษ์กำลังทอดมองลงมาก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลงพร้อมกับโถมร่างของตนเข้าหาอกของคนตรงหน้า 

 

 

“วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะคะคุณพฤกษ์” เสียงนุ่มนวลของหญิงชราทำให้นิ้วเรียวทั้งสิบที่เคลื่อนไหวเหนือคีย์บอร์ดสีขาวสลับดำหยุดชะงัก พฤกษ์หันกลับมามองแม่พลอยก่อนจะตอบ

“นอนไม่ค่อยหลับครับ ..สงสัยเพราะติดกินกาแฟก่อนนอน” เป็นเพราะตัวเขาจากกาลก่อนที่มักจะทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่ทุกวัน คาเฟอีนจึงเป็นดั่งส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว รู้ตัวอีกที ตัวเขาที่อยู่ในกาลนี้ก็มักจะเผลอลงมาชงกาแฟดื่มในตอนดึก ๆ คนเดียวในครัวอย่างลืมตัว

เมื่อคืนก็เช่นกัน..

แม่พลอยเดินเข้ามาใกล้พร้อมถาดของว่างในมือ หญิงชราก้มลงพินิจร่างกายที่เปลือยท่อนบนของเจ้านายหนุ่มก่อนจะพบสิ่งผิดปกติบนอกซ้าย ผิวที่เคยราบเรียบไม่มีแม้แต่จุดด่างพร้อยหรือรอยฝ้ากระ ตอนนี้กลับมีแผลเป็นปรากฏอยู่ เธอหรี่ตาลง นึกใคร่รู่จึงถามออกไปตรง ๆ

“ยายไม่เคยเห็นแผลบนอกคุณพฤกษ์เลย ได้มายังไงหรือคะ” พฤกษ์ชะงัก เขาไม่ได้คิดข้อแก้ต่างเรื่องนี้เลยเพราะไม่เคยมีใครถาม ชายหนุ่มกระแอมในคอ พยายามนึกอะไรก็ได้ที่คิดออกและตอบส่ง ๆ ไป

“แม่พลอยจำไม่ได้หรือครับ แผลเนี่ยได้มาตั้งแต่มัธยมแล้ว ผมไปตีกับโรงเรียนฝั่งตรงข้ามไง ไปกับพวกคุณฉัตร อะไรกัน เรื่องแค่นี้ก็ลืมไปแล้วหรือ สงสัยแม่พลอยจะแก่จนเลอะเลือนไปเสียแล้ว ไม่ไหวเลยนะเนี่ย” พฤกษ์พูดรัวและเร็วจนแม่พลอยที่ยืนอยู่ฟังตามไม่ทัน หญิงชราทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเออออตามเจ้านายหนุ่มไปทั้งที่ไม่เข้าใจเลยสักกระผีกเดียว คุณพฤกษ์เธอว่าอย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้น เอาเถิด คนแก่ขี้เกียจเถียง

เถียงอย่างไรก็เถียงไม่ชนะคุณพฤกษ์เขาหรอก รายนี้น่ะหัวดื้อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยอมแพ้ไม่ได้ต้องให้คุณเขาชนะ

“เสื้อคลุมไปไหนเสียล่ะคะ ทำไมแก้ผ้าแบบนี้อีกแล้ว”

“ร้อนเลยถอดครับ” พฤกษ์ยิ้ม ฮัมเพลงเบา ๆ ขณะบรรเลงเปียโนไปตามดั่งใจนึก

“ทีหลังต้องใส่นะคะ แขกไปใครมาจะได้ไม่หัวใจวายเอา”

“โธ่.. ใครจะมา บ้านนี้เคยรับแขกใครด้วยหรือ”

“อย่างน้อยก็คนแก่แบบยายนี่ไงคะที่จะหัวใจวาย”

แม่พลอยวางถาดของว่างลงบนโต๊ะไม้ฉลุลายตัวหนึ่ง เมื่อหันกลับมาก็พบเด็กหนุ่มกำลังนอนเหยียดตรงบนโซหาหลุยส์สีแดงเข้มโดยมีชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มห่มทับอยู่

อ้อ ที่แท้เสื้อคลุมคุณพฤกษ์..

“..ทำไมคุณอินทร์เธอถึงมานอนตรงนี้ได้ล่ะคะ”

“ไม่รู้ครับ” พฤกษ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะจดจ่ออยู่กับการเล่นเปียโนต่อไป เขารู้สึกได้ว่าหญิงชรากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาจับผิดบางอย่าง แต่เรื่องนี้พฤกษ์ไม่ได้เป็นคนผิด เขายังไม่ได้ทำอะไรเด็กเขี้ยวนี่เลยสักนิด ถึงจะทำก็ทำแค่อุ้มมันที่สลบไม่ได้สติจากพื้นขึ้นมานอนบนโซฟาดี ๆ ก็เท่านั้นเอง

“คุณพฤกษ์” แม่พลอยกดเสียงต่ำ

“ผมไม่ได้แกล้งนะ” พฤกษ์หยุดเล่นเปียโน หันกลับมาพูด

“เห็นไอ้เขี้ยวมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ข้างนอก พอผมออกไปดูมันก็เป็นลมล้มพับไปเลย”

“เห็นไหมคะ” หญิงชราตีดังเพี้ยะที่หัวไหล่เปลือย “เพราะคุณพฤกษ์ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าดี ๆ คุณอินทร์เลยเป็นลมเอาน่ะ  ความผิดคุณแท้ ๆ เลยเชียว”

“เอาเถอะ” พฤกษ์ถอนใจ พูดว่า “แต่ยังไงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมันเลยนะครับ”

“จริงหรือคะ” แม่พลอยหรี่ตา ยกยิ้มที่มุมปากด้วยความเอ็นดู

“สาบานเลยครับ” พฤกษ์เอื้อมไปจับมือเหี่ยวย่นนั้นมากอบกุมเอาไว้ “ด้วยความสัตย์จริง”

หญิงชราพยักหน้าในที่สุด เธอยิ้มบางและมีสายตาอ่อนโยน

“แม่พลอยนั่งสิ” พฤกษ์ขยับไปอีกด้านของเก้าอี้ตัวยาว

“ผมเล่นให้ฟังสักเพลงเป็นไง”

หญิงชรานั่งลงข้าง ๆ พลางรวบผ้าไหมสีเหลืองนวลที่นุ่งอยู่อย่างระมัดระวัง แม่พลอยวางมือลงบนเปียโน นิ้วที่เหี่ยวย่นลูบไล้ไปตามคีย์บอร์ดเพียงแผ่วเบาไม่กล้ากดแรงลงไป

รอยยิ้มหนึ่งจุดวาบพร้อมกับแววตาที่ประกายความวูบไหว

นึกถึงอดีตอันยาวไกล.. นานแสนนานแค่ไหนกันนะ

“คุณพฤกษ์เล่นเปียโนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กันนะคะ ยายจำไม่ค่อยได้แล้ว”

“...”

พฤกษ์รู้สึกว่านิ้วมือของตนเองที่วางระไว้กับคีย์บอร์ดพลันสั่นเทา ความขมขื่นในอดีตหวนกลับมาในคิดถึงอย่างเลือนลาง

“ห้าปี ..หรือแปดปีกันคะ ตั้งแต่ที่คุณแก้วตาจากไป เปียโนตัวนี้ก็ไม่เคยถูกคุณพฤกษ์เล่นอีกเลย มันถูกผ้าดิบสีขาวคลุมทับเอาไว้ให้ปิดตาย หลบพ้นจากแสงแดดและแห้งเหี่ยวอยู่ในห้องนี้มานานแสนนาน”

“...”

“เมื่อก่อน ..ยายจะเห็นคุณพฤกษ์กับคุณแก้วตานั่งเคียงคู่และเล่นเปียโนไปเรื่อย ๆ ส่งเสียงเพลงเพราะ ๆ ให้ได้ยินไปทั่ว ทั้งเสียงเปียโนและเสียงหัวเราะ บ้านหลังนี้ไม่เคยเงียบเหงาเลยสักครั้ง..”

“...”

“แต่ตอนนี้มันเงียบจนคนแก่อย่างยายไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยล่ะค่ะ ..จะได้ยินก็แต่เสียงจากความโศกเศร้าของคุณทุกคน”

พฤกษ์นิ่ง สายตาที่ไร้อารมณ์อยู่เสมอฉายความปวดร้าวออกมาจนปิดไม่มิด ร่างโปร่งเอนศีรษะไปซบกับไหล่ของหญิงชราราวกับนั่นคือที่พักพิงเดียวในยามนี้

“สิบปีต่างหาก ..มันผ่านมาสิบปีแล้วครับแม่พลอย”

“สิบปีแล้ว ..ในใจคุณพฤกษ์ปล่อยวางมันได้บ้างหรือยังคะ”

“ก็อาจ” พฤกษ์จุกในลำคอ ความรู้สึกที่สุมอยู่ในอกคอยสะกิดแผลเก่าขึ้นมาอีกระลอก

“ก็อาจจะนะครับ ..ไม่รู้สิ ผมกำลังพยายามอยู่”

แม่พลอยยิ้ม ยกมือของเธอขึ้นลูบแผ่วเบาที่เส้นผมดำขลับเพื่อปลอบโยนจิตใจที่แตกสลายของเจ้านายหนุ่ม

“แค่พยายามก็ดีมากแล้วค่ะ คุณพฤกษ์ของยายเป็นคนเก่ง สักวันต้องทำได้แน่ ๆ มาเถิดค่ะ ยายอยากฟังเพลงแล้ว ไหนคุณพฤกษ์จะเล่นอะไรให้ยายฟัง”

 

 

อินทรชิตตื่นมาอีกครั้งในตอนเจ็ดโมงครึ่งเพราะเสียงเปียโน เด็กหนุ่มหลับไปราวหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนโซฟาหลุยส์ในห้องหนังสือเสียแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาคือแผ่นหลังเปล่าเปลือยของคุณพฤกษ์ที่ยังคงจดจ่อกับการเล่นเปียโนไม่เปลี่ยนแปลง

เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค้นพบว่าผ้าห่มที่ตนเองห่มนอนอยู่ตลอดนั้นคือเสื้อคลุมผ้าซาตินตัวยาวที่คุณเขาสวมใส่อยู่เป็นประจำ อินทรชิตใจเต้นรัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มหันกลับไป ยังคงเห็นคุณพฤกษ์บรรเลงบทเพลงโดยไม่รู้ตัวว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้วสลับกับมองเสื้อคลุมนั้นบนตัก อินทรชิตลังเลคล้ายกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกดีชั่วของตนเอง ณ ขณะความคิดหนึ่งเขาอยากลองสูดดมมันดูสักครั้ง อยากสัมผัสถึงกลิ่นกายหอมละมุนของคุณเขาอย่างใกล้ชิด  อีกความคิดหนึ่งก็คอยฉุดรั้งว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด

สุดท้ายแล้ว.. สิ่งที่เด็กหนุ่มตัดสินใจกระทำคือการเดินเข้าไปข้างหลังและค่อย ๆ กางเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มนั้นสวมทับบนหัวไหล่ทั้งสองและถอยร่นออกมา

“หือ” คุณพฤกษ์รู้สึกตัวในที่สุดก่อนจะหยุดเล่นเปียโน คุณเขาเหลือบตามองชุดคลุมที่ถูกสวมทับจากด้านหลังพลางเอี่ยวหน้ามามองอินทรชิตที่ยืนอยู่

“ตื่นแล้วหรือ”

“ครับ ..ตื่นแล้ว” อินทรชิตทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงส่วนใด เขาไม่เคยถูกคุณพฤกษ์พูดคุยหรือเปิดบทสนทนาด้วยหัวข้อธรรมดาแบบคนทั่วไปเลยสักครั้ง คำพูดปกติที่คุณเขาพูดด้วยก็เห็นจะมีแต่คำติเตียน ดุด่าและกระแนะกระแหนเสียเป็นส่วนมาก

แบบนี้ไม่เคยชินเท่าไหร่เลย..

“ทำไมแกเป็นลมไปได้ นอนไม่พอหรือไง” พฤกษ์ถามออกไปแต่ในหัวก็ยังเก็บเอาคำพูดของแม่พลอยมาคิด หรือที่เจ้าเด็กเขี้ยวมันเป็นลมใส่ก็เพราะเห็นเขาแก้ผ้า แต่ผู้ชายปกติทั่วไปด้วยกันเห็นอย่างนี้ก็คงจะรู้สึกดาษดื่นออกไม่ใช่หรือ

หรือว่าไอ้เด็กนี่มันเริ่มจะสนใจเพศเดียวกันขึ้นมานะ

ช่างเถอะ ..เด็กหนุ่มอายุขนาดเท่ามันคงมีบ้างนั่นแหละที่หลงผิดลองถูก เรื่องรสนิยมคงต้องคอยดูกันไปนาน ๆ บางทีมันอาจจะแค่ความรู้สึกชั่ววูบของวัยรุ่นที่ได้เห็นเรือนร่างของคนอื่นก็เป็นไปได้ พฤกษ์คิดเรื่องพวกนี้ในหัวก่อนจะจัดการสวมเสื้อคลุมและผูกเชือกให้แน่นดีและแน่ใจว่ามันจะไม่หลุดออกจากกันเหมือนคราวก่อน

“แกนี่ชอบเหม่อนะ เวลาฉันถาม ทำอะไรก็เลิ่กลั่กไปหมด” พฤกษ์พูดก่อนจะหันทั้งตัวกลับมาประจันหน้ากัยเด็กหนุ่ม

“ว่าไง? ”

อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ ลังเลที่จะพูดความจริงตอบคุณเขาออกไป

“หรือว่าติดเกมส์จนนอนไม่พอ? อ้อ เดี๋ยวนี้แกชักทำตัวเหลวไหลล่ะสินะ”

“ไม่ใช่ครับ! ” อินทรชิตโพล่งออกไป เมื่อรู้ตัวว่าเผลอเสียงดังใส่คุณเขาก็รีบทำหน้าสำนึกผิดโดยทันที

พฤกษ์ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้าง ในใจพลันสงสัย ไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรือเปล่าที่เห็นเจ้าเด็กเขี้ยวนี่เป็นหมาตัวโตและตอนนี้หมาตัวนั้นกำลังยืนมองเขาตาละห้อย พฤกษ์เหมือนจะเห็นหางและหูของมันลู่ลงเหมือนยอมศิโรราบให้

บ้าไปแล้ว 

เขาขยี้ตา ..ชักจะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่ หลังจากนี้คงต้องหักห้ามใจไม่ให้ดื่มกาแฟตอนดึก ๆ อีกเป็นอันขาด

“ไม่ใช่แล้วมันอะไร เฮอะ” คุณพฤกษ์เขาส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ท่าทางเย็นชาหวนกลับมาอีกครั้ง “ช่างเถอะ ไม่อยากบอกก็เรื่องของแก ฉันไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย”

“บอกครับ ผมจะบอกคุณพฤกษ์เดี๋ยวนี้”

“แกนี่ลีลา ..ก็บอกว่าฉันไม่ได้อยาก—”

“แผลบนอก”

พฤกษ์นิ่งค้างทันทีที่เด็กหนุ่มพูดขึ้น เขาเผลอตื่นตระหนกจนกำมือที่วางอยู่บนหน้าตักเข้าหากัน อินทรชิตยืนมองเขาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคุณพฤกษ์เขาไม่ได้ว่าอะไรแถมยังนิ่งฟังก็ยิ่งใจชื้น จึงรีบพูดต่อโดยทันทีว่า

“คุณพฤกษ์อาจจะไม่เชื่อ ผมเองก็ยังรู้สึกว่ามัน.. ค่อนข้างแปลก แต่ที่ผมสลบไปก็เพราะเห็นรอยแผลเป็นบนอกของคุณพฤกษ์นะครับ”

คุณเขาไม่ได้ตอบอะไรได้แต่นั่งนิ่งราวกับถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว ใบหน้านั้นก็เรียบเฉยเย็นชา แววตาไร้ความรู้สึกจนน่ากลัว อินทรชิตไม่สามารถเดาได้เลยว่าคุณพฤกษ์กำลังคิดอะไรอยู่

“อย่างนั้นหรอกหรือ” เงียบไปครู่ใหญ่ คล้ายว่าคุณเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่างกับตนเองแล้วจึงตัดสินใจพูดออกมา

“แล้วแกรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นมันล่ะ? ”

แววตาไร้ความรู้สึกนั้นจับจ้องมาที่เด็กหนุ่ม อินทรชิตกัดริมฝีปากล่างเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ตนได้รับหลังจากที่ได้เห็นรอยแผลเป็นของคุณพฤกษ์เมื่อครู่นี้

“ทรมานครับ”

“...”

“เจ็บเหมือนจะตายให้ได้เลย”

แววตาของคุณพฤกษ์มีประกายบางอย่างวูบไหวอยู่ คล้ายกับความรู้สึกบางอย่างแต่อินทรชิตไม่ทราบว่ามันคืออะไร คุณพฤกษ์นั้นลึกเกินกว่าที่เด็กหนุ่มอย่างเขาจะหยั่งถึงได้

คุณเขาเงียบไปอีกครั้งก่อนจะหัวเราะเยาะเด็กหนุ่มอยู่ในคอ อินทรชิตถอนหายใจ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคุณพฤกษ์คงไม่มีทางมาเชื่อคำพูดของคนอย่างไอ้เขี้ยวหรอก

“แกนี่เพ้อเจ้อ” คุณเขาว่ามาแบบนั้นก่อนจะโบกมือไล่

“ถึงเวลาข้าวเช้าแล้ว แกน่ะรีบ ๆ ไปให้พ้นหน้าฉันสักที อ้อ ฝากบอกแม่พลอยด้วยว่าจะลงมาทานตอนสาย ๆ ”

อินทรชิตรับฟังคำพูดนั้นอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินคอตกออกไปจากห้องหนังสือในที่สุด เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าคุณพฤกษ์นั้นได้มองตามแผ่นหลังของตนอยู่นานเลยทีเดียว

เจ้าเด็กคนนั้นออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่พฤกษ์ที่ยังนั่งอยู่หน้าเปียโน มือเรียวข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาและแหวกสาบเสื้อคลุมผ้าซาตินให้เปิดออก เขาแตะนิ้วลงบนรอยแผลเป็นที่อกซ้าย ลูบสัมผัสมันเพียงแผ่วเบาพร้อมกับรำลึกถึงการตายของตนเอง

“ตอนที่ยิงฉัน ..แกรู้สึกแบบไหนอยู่นะ”

 

 

อินทรชิตเอาแต่นั่งใจลอยคิดถึงความขาวบนอก ไม่สิ.. คิดถึงรอยแผลเป็นบนอกของคุณพฤกษ์ตลอดทั้งช่วงเช้า กว่าจะรู้ตัวว่าปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เข้าช่วงสิบโมงของวันแล้ว เด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมหนังสือและสมุดการบ้านของมาลีวัลย์ที่เขาอาสาไปตามงานค้างกับคุณครูประจำชั้นด้วยตนเอง ร่างโปร่งเดินไปหยุดยังหน้าห้องของน้องสาวก่อนจะเคาะหลังมือลงไปหลายครั้ง

“มะลิ” อินทรชิตเรียก แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เด็กหนุ่มแนบหูกับบานประตูและเรียกน้องสาวอีกครั้ง

“มะลิ อยู่ไหมคะ”

ป้าเมียมที่บังเอิญเดินลงมาจากชั้นสามพอดีจึงชะโงกหน้าบอกเสียงใส

“คุณมะลิไม่อยู่หรอกค่า ป้าเห็นเธอนั่งเล่นอยู่ในสวนทางปีกซ้ายนู่นแหน่ะค่ะ”

 

 

อินทรชิตเดินมาตามคำบอกเล่าของป้าเมียมจนมาหยุดอยู่ที่สวนหย่อมขนาดกว้างทางด้านปีกซ้ายของคฤหาสน์ เด็กหนุ่มมองเห็นแผ่นหลังเล็ก ๆ ของน้องสาวอยู่ไม่ไกล ยายหนูน้อยของบ้านกำลังนั่งแกว่งเท้าเล่นไปมาบนม้านั่งหินอ่อน ดูอ้างว้าง เหม่อลอยและเหงาหงอยเสียจนรู้สึกสงสาร

เขาเดินเข้าไปใกล้จากทางด้านหลัง วางสัมภาระที่ถือติดมือลงบนโต๊ะหินอ่อนก่อนจะค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ อีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ

“ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะคะ วันเสาร์มะลิไม่ดูการ์ตูนหรือ”

มาลีวัลย์ตัวกระตุกทันทีที่ได้ยินเสียง ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะพุ่งตัวหนีตามสัญชาตญาณความกลัว

“ห้ามหนีอีกนะคะ! ” อินทรชิตประกาศกร้าว เสียงที่ดังและเครียดตึงมีผลให้ข้อเท้าเล็กชะงัก มาลีวัลย์หยุดนิ่ง ทว่ายืนอยู่อย่างนั้นไม่หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา

“มะลิ” เด็กหนุ่มเอ่ย “หันมามองหน้าพี่สิคะ พี่พูดกับเราอยู่นะ”

เมื่อเห็นว่าคำพูดไม่มีผล น้องสาวของเขายังคงยืนกำชายกระโปรงตนเองไว้แน่นจนมือสั่น อินทรชิตจึงเอื้อมไปคว้าไหล่ของเด็กหญิงและจับหันตัวกลับมาแต่โดยดี

“เป็นอะไรคะ? ” เด็กหนุ่มเกลี่ยปอยผมของน้องที่ตกล้อมกรอบหน้าขึ้นไปทัดหู

“มะลิยังโกรธพี่อยู่อีกหรือ”

มาลีวัลย์ส่ายหัวจนคลอนไปมา

“มะลิต่างหาก”

“...”

“ทุกคนโกรธหนูกันหมดเลย” เด็กหญิงเบะปากน้ำตาคลอหน่วย นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น

อินทรชิตถอนหายใจปลดปลง เห็นน้องสาวเป็นแบบนี้ก็จนปัญญาจะดุด่าอะไรได้ ส่วนที่ทำได้ก็เพียงแค่เอื้อมมือไปลูบศีรษะและปลอบโยนเท่านั้น

“มานี่มา” เด็กหนุ่มตบแปะ ๆ ลงบนม้านั่งหินอ่อน “คุยกันหน่อย”

ได้ยินดังนั้นมาลีวัลย์ก็เม้มริมฝีปากแน่นจนแก้มพองตัวพร้อมกับจำยอมนั่งลงตามที่พี่ชายบอก

“พี่อินทร์โกรธมะลิไหมคะ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมอง อินทรชิตเห็นน้ำตามากมายของน้องหยดแหมะลงมา ทั้งน่าสงสารทั้งน่าเอ็นดูผสมปนเปกัน เด็กหนุ่มยิ้มบาง ยกหัวแม่มือปาดน้ำตาน้องออกและพูดว่า

“โกรธค่ะ”

มาลีวัลย์น้ำตาหยดแหมะอีกรอบทันทีพร้อมจมูกแดงรื้นมีน้ำมูกใส

“ฮืออออออ” เด็กหนุ่มปล่อยให้น้องสาวร้องไห้อยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่ามาลีวัลย์สงบลงบ้างจึงบีบมือน้องและค่อย ๆ พูดในสิ่งที่ตนเรียบเรียงในหัวมาหลายวัน

“ที่พี่โกรธ ..เพราะมะลิถูกแกล้งแต่ไม่เคยเอามาเล่าให้พี่หรือพีร์ฟังเลยต่างหาก”

“ฮึก ..หนู หนู”

“ห้ามเถียง” เขายื่นมือแตะริมฝีปากเด็กหญิงทันที “ฟังพี่ก่อนนะคะ”

“...”

“มะลิทำไม่ถูก รู้ตัวใช่ไหม? ” อินทรชิตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่กระนั้นก็ยังมีความผ่อนคลายอยู่ในที เด็กหนุ่มกอบกุมเอาฝ่ามือเล็กของน้องสาวมาครองไว้พร้อมกับใช้นิ้วของตนนวดคลึงไปมาไม่ให้มาลีวัลย์รู้สึกกดดันจนเกินไป

“พี่ไม่รู้ว่าทำไมมะลิถึงทำแบบนี้ การที่ถูกเพื่อนแกล้งแต่ก็ยังเลือกที่จะอยู่เฉยมันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำนะคะ ถ้าให้เดา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม? ถูกแกล้งบ่อยแค่ไหนคะ? ทุกวันเลยหรือเปล่า? ”

เด็กหญิงสูดน้ำมูก ท่าทางหลุกหลิกไม่ยอมสบตาจนผู้เป็นพี่ต้องเอ็ด

“พูดความจริงค่ะ พี่ไม่ชอบเด็กนิสัยแบบนี้เลยนะ”

“ถ้าบอกแล้วมันจะช่วยได้หรือคะ ..หนะ หนูกลัว”

“เพราะมะลิกลัวนี่ไงคะ เขาถึงแกล้งเราได้ คนดี พูดความจริงมาเถอะ อย่างน้อยพี่ก็อยู่ข้างเรา”

มาลีวัลย์เงยหน้ามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ดวงตากลมโตที่เคยสดใสเปล่งปลั่งคู่นั้นกลับเหงาหงอยเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวมาเนิ่นนาน

“พี่อินทร์จะอยู่ข้างมะลิจริง ๆ หรือคะ”

อินทรชิตยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบ มาลีวัลย์ที่เห็นท่าทางอย่างนั้นจากผู้เป็นพี่ก็พลันน้ำตารื้นขึ้นมาเป็นรอบที่สาม เด็กหญิงสะอื้นเพียงแผ่วเบาก่อนจะตัดสินใจเล่าทุกอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจดวงน้อย ๆ ของตนต่อหน้าพี่ชายบุญธรรม

“มะลิแค่อยากมีเพื่อน..” เด็กหญิงเหม่อมองออกไปยังสวนกว้างอย่างไม่มีจุดหมายใด

“แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงถูกทุกคนแกล้งอยู่เรื่อย มะลิไม่รู้ ไม่รู้เลย..”

“...”

“ตอนใบข้าวบอกว่าจะเป็นเพื่อนด้วย มะลิก็ดีใจจนร้องไห้ออกมาเลย ยอมทำทุกอย่าง ข้าวสั่งอะไรก็ยอมหมด มะลิไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากนั่งเรียนอยู่มุมห้องคนเดียว ไม่อยากทำงานกลุ่มคนเดียว แล้วก็ไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียวอีกแล้ว”

“...”

“มะลิก็แค่อยากมีคนสนใจ อยากให้ทุกคนรู้ว่ามะลิก็เป็นเพื่อนที่ดี มะลิทำการบ้านให้ได้ ไปซื้อขนมให้ได้ รับผิดแทนได้ ถึงจะถูกแกล้งไปบ้างแต่ก็ยังมีเพื่อนอยู่” อินทรชิตกุมมือน้องแน่นก่อนจะดึงร่างเล็ก ๆ เข้าสู่อ้อมกอด ใบหน้าของเด็กหญิงซบอยู่ตรงอกคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกไปไกลแสนไกล เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผะผ่าวและความเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่าย

“ใครจะไปอยากอยู่คนเดียว ฮือ.. ไม่มีเพื่อนมันเหงานะ ฮึก ฮือ.. ”

“เพราะอยากพิสูจน์ว่าเป็นเพื่อนที่ดีเลยยอมเขางั้นหรือคะ” อินทรชิตพูดในที่สุด เด็กหนุ่มปล่อยวางความขุ่นเคืองทิ้งไปเมื่อรู้ความจริงจากปากน้องสาว

สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือความเห็นใจอีกฝ่ายที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้คนเดียวในขณะที่เขาไม่เคยรับรู้หรือช่วยเหลืออะไรได้เลยสักอย่าง

“เราไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างเลยหรือคะเวลาถูกเพื่อนแกล้ง ไม่รู้สึกสงสัยบ้างหรือว่าสิ่งที่เขาทำกับเรามันผิด ลึก ๆ แล้วมะลิก็คิดใช่ไหม เพื่อนกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะคะ”

“มะลิคิด ..คิดว่าเขาเป็นเพื่อน” ในตอนนั้นที่อยู่ในห้องปกครอง วิชุดาเองก็บอกกับปาก ..บอกว่าเห็นตนเองเป็นเพื่อน

‘ทำไมมะลิทำกับใบข้าวแบบนี้ล่ะ อึก ..ฮือ เป็นเพื่อนกันทำไมทำแบบนี้’

ใช่ ..เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ ทำไมถึงบอกคนอื่นไปแบบนั้นล่ะ

“แล้วเขาคิดว่ามะลิเป็นเพื่อนไหมคะ”

“...”

“ตอนที่ถูกแกล้ง คนที่บอกมะลิว่าเป็นเพื่อนเขาทำอะไรอยู่คะ? ”

“...”

“วันนั้นพี่เห็นเขาก็แกล้งมะลิร่วมกับคนอื่นไม่ใช่หรือไง นี่หรือคะที่มะลิเรียกว่าเพื่อน? ”

“พี่อินทร์ค้า ..ฮือ” มาลีวัลย์พูดเสียงอู้อี้ทั้งน้ำหูน้ำตาอยู่ในอกเสื้อของพี่ชาย “หนู ..จริง ๆ แล้ว หนูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย”

“อืม มันแย่ใช่ไหม” เด็กหนุ่มพูดพลางกดจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มลื่น ตบฝ่ามือเรียวลงบนแผ่นหลังของน้องเบา ๆ

“มะลิขอโทษ” มาลีวัลย์เอ่ยขณะที่ผละออกจากอ้อมอกของผู้เป็นพี่ เสื้อเชิ้ตสีครีมของเด็กหนุ่มเปียกแฉะเป็นวงไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกใส ยายหนูน้อยคงจะเผลอใช้เสื้ออินทรชิตสั่งน้ำมูกแน่ ๆ

ให้ตายสิ.. แล้วดูมาทำหน้าพะเน้าพะนอ ทำตาใส ๆ ใส่ เห้อ อินทรชิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนปัญหาจะดุอะไรน้องสาวอีกตามเคย

“ขอโทษอะไรหรือคะ? ขอโทษที่สั่งน้ำมูกใส่เสื้อ? ”

มาลีวัลย์ส่ายหัวดิก ๆ จนผมหน้าม้าปลิวว่อน

“วันนั้น.. ขอโทษนะคะ” เด็กหญิงหลุบตาต่ำ ดวงหน้าหม่นหมอง มุมปากของอินทรชิตสูงขึ้น ฝ่ามือเรียวทาบลงมาบนศีรษะอีกครั้ง

“มะลิจำที่คุณพฤกษ์พูดเอาไว้ได้ไหมคะ”

มาลีวัลย์พยักหน้า

“แล้วเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า”

ครั้งนี้เด็กหญิงลังเล พยักหน้าหงึก ๆ ในตอนแรกแต่แล้วก็เปลี่ยนมาส่ายหัวไปมาเสียอย่างนั้น

“คุณพฤกษ์บอกว่า.. คุณพฤกษ์ช่วยมะลิไม่ได้ถ้ามะลิไม่ช่วยเหลือตัวเองบ้าง”

“มะลิเข้าใจถูกแล้วค่ะ ขอแค่เรากล้าที่ยืนหยัดว่าตัวเองถูก ทุกคนพร้อมก็จะช่วยเหลือมะลิอยู่แล้วทั้งพี่และพีร์ ...หรือแม้แต่คุณพฤกษ์”

“คุณพฤกษ์หรือคะ …”

“อย่างคุณพฤกษ์ ..พี่เองก็ไม่แน่ใจ แต่ก็รู้สึกบางอย่างได้ ในตอนที่คุณเขาถามว่าสิ่งที่เพื่อนพูดมันจริงไหม พี่ว่าคุณพฤกษ์เขาถามเพื่อเป็นการยืนยันน่ะ”

“ยืนยัน? ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับมุมปากที่ยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงคุณพฤกษ์

 

‘ขี้ขลาดเกินไป ถ้าตอนนั้นแกพูดออกมาสักคำเดียวว่าไม่ ฉันนี่แหละจะช่วยฉุดแกออกมาจากตรงนั้นเอง แต่นี่แกไม่พูด! ไม่แม้แต่ต่อสู้เพื่อตัวเองเลย! ’

 

“ไม่แน่ว่าถ้าตอนนั้นมะลิกล้าพอที่จะพูดความจริงออกมา คุณพฤกษ์อาจจะทำในสิ่งที่พวกเราเองก็คาดไม่ถึงก็ได้นะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา