คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) 00 05

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 05

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้มาลีวัลย์ไม่มาโรงเรียนในวันพฤหัสบดี ด้วยเหตุผลอะไรคงทราบ เด็กหญิงเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวในห้องนอนร่วมหนึ่งวันเต็ม ไม่ว่าใครจะเคาะประตูหรือเรียกหา มาลีวัลย์ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองทั้งนั้น

วันนี้เป็นวันศุกร์ วันสุดท้ายของการเรียน พงพีออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋านักเรียนจาคอปสีดำเมี่ยมแวววาว เด็กชายปิดประตูห้องนอนของตนเองก่อนจะยืนมองห้องตรงข้ามของน้องสาวด้วยใบหน้าเหงาหงอย บานประตูยังคงปิดสนิทเหมือนเมื่อวานไม่เปลี่ยน เขาไม่รู้เลยว่าน้องสาวที่อยู่ภายในจะได้ทานอาหารบ้างแล้วหรือยัง ถ้ายัง คงจะหิวจนปวดท้องไปหมดแล้วแน่ ๆ ยิ่งคิด พงพียิ่งใจเสีย นึกละอายใจขึ้นมาที่ตนเองหมางเมินน้องสาวเมื่อคราวก่อน เด็กชายกัดริมฝีปาก เดินเข้าไปใกล้ประตูบานนั้นอย่างระมัดระวังและยืนคิด ทว่ายืนอยู่นานทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดพงพีก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเคาะประตู เด็กชายมองห้องของน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย สายตาปวดร้าว ก่อนจะเดินจากไป

ลับจากหลังของพงพีที่ห่างออกไป อินทรชิตยืนเฝ้ามองทุกอย่างอยู่ที่หน้าห้องของตนเอง เด็กหนุ่มถอนใจแผ่วเบาก่อนจะก้าวเดินไปหยุดตรงประตูบานนั้น อินทรชิตยกหลังมือขึ้นและเคาะลงบนผิวไม้จนเกิดเป็นเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง ทว่าก็ยังคงเงียบกริบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเช่นเดิม

“มะลิ” เขาเรียกน้องสาวเสียงนุ่ม เอาหน้าแนบไปกับบานประตู

“พี่ไปเรียนก่อนนะคะ อย่าลืมออกมาทานข้าวเช้าด้วย เลิกเรียนค่อยกลับมาคุยกัน”

ยังคงไม่มีเสียงใดตอบกลับมา อินทรชิตเองก็จนปัญญาจะทำอะไรได้ เด็กหนุ่มลูบบานประตูอีกครั้งอย่างแผ่วเบาก่อนจะกระชับกระเป๋าจาคอปในมือและเดินจากไปอีกคน

ระหว่างทางลงบันได เด็กหนุ่มก็เจอเข้ากับคุณพฤกษ์ที่เดินลงมาจากชั้นสาม คุณเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการติดกระดุมแขนเสื้อ เด็กหนุ่มมองใบหน้าสวยหยดที่ยังมีความง่วงงุนอยู่ หัวใจก็พลันเต้นระรัว เมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านหน้า อินทรชิตก็ยกมือทักทายทันที

“สวัสดีครับ”

คุณพฤกษ์หยุดชะงักเพียงเล็กน้อยเพราะไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครอยู่ตรงชานพักบันไดชั้นสอง ร่างโปร่งหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่มีความอินังขังขอบใด ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบหนึ่งครั้ง

อินทรชิตหัวใจแทบหยุด มือที่จับหูหิ้วกระเป๋าอยู่เหมือนจะอ่อนแรงไปเสียดื้อ ๆ เด็กหนุ่มรีบเดินตามหลังอีกฝ่ายไปทันทีโดยไม่ลืมเรื่องการรักษาระยะห่าง

“ตื่นเช้าจัง วันนี้คุณพฤกษ์ไม่มีเรียนไม่ใช่หรือครับ” เด็กหนุ่มรวบเอาความกล้าหาญทั้งหมดในชีวิตเปิดบทสนทนากับคุณพฤกษ์ คุณเขาปรายตามามองอินทรชิตที่ศรีษะเพิ่งพ้นช่วงไหล่เพียงเล็กน้อยก่อนจะพูด

“แล้วแกรู้ตารางเรียนฉันด้วยหรือไง” อินทรชิตกัดริมฝีปากกลั้นไม่ใช่ตนเองหลุดยิ้มแทบตาย ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าคุณเขาจะตอบคำถามเลยสักครั้ง ถึงแม้คำตอบนั้นจะดูเหมือนเป็นการถามประชดเด็กหนุ่มอีกทีแต่แค่นี้อินทรชิตก็มีความสุขในอกจนล้นปรี่

“เปล่า เปล่าครับ ผมไม่รู้” โกหกไปคำโต อย่าว่าแต่ตารางเรียนของคุณพฤกษ์เลย แม้แต่ตารางชีวิต เวลาตื่นนอน เวลาหลับ เวลาว่าง อินทรชิตก็จดจำได้หมดเกือบทุกอย่าง

“แค่จำได้ว่าวันศุกร์คุณมักจะตื่นสาย”

“อ้อ นี่แกว่าฉันตื่นสายอย่างนั้นสิ” คิ้วสวยของคุณเขาเลิกขึ้น น้ำเสียงก็ติดจะหงุดหงิด

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ! ”

“ไม่ใช่อะไร แกเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าฉันตื่นสาย”

“ผม..” อินทรชิตพูดอะไรไม่ออกอีก ขืนพูดไปก็พาลแต่จะทำให้คุณพฤกษ์หงุดหงิดตนเองขึ้นอีก เด็กหนุ่มเลยได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ทำเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ได้แต่เดินก้มหน้าทำปากขมุบขมิบอยู่คนเดียว

เมื่อเท้าแตะลงบนชั้นล่าง อินทรชิตที่กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องอาหารก็หยุดชะงักเมื่อเห็นคุณเขาไม่ได้เลี้ยวเขามาด้วยแต่กำลังจะเดินออกไปหน้าประตูใหญ่

“คุณพฤกษ์ไม่ทานข้าวเช้าหรือครับ” เด็กหนุ่มพูดรั้ง น้ำเสียงเว้าวอนคุณเขาอยู่ในที

“ฉันรีบ” คุณพฤกษ์ว่าอย่างนั้น พลางก้มใส่รองเท้า “ไปเอางานที่คณะ เสร็จแล้วจะกลับมานอนต่อ”

ร่างโปร่งยืดตัวขึ้น เคาะสันรองเท้าของตนให้เข้าที่ก่อนจะกดกุญแจรถและเปิดประตูออก วินาทีนั้นอินทรชิตทิ้งกระเป๋าจาคอปไว้ตรงพื้น รีบถลามายืนที่หน้าประตูใหญ่ ยกมือประนมและพูดขึ้น

“สวัสดีครับ ขับรถดี ๆ นะครับคุณพฤกษ์”

คุณพฤกษ์ชะงักอีกครั้ง ดวงตาคมสีดำขลับหรี่ลงพร้อมมุมปากที่แสยะขึ้นราวกับตัวร้าย

“ไอ้เขี้ยว วันหนึ่งแกจะสวัสดีฉันสักกี่รอบหา”

 

 

พฤกษ์มาถึงมหาวิทยาลัยในตอนแปดโมงครึ่ง แม้จะยังเช้าอยู่สำหรับนักศึกษาบางคนแต่ใต้ตึกคณะก็เริ่มมีคนมานั่งจับจองกันให้เห็นเป็นหย่อม ๆ เขารู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง เมื่อหยิบออกมาดูก็เป็นฉัตรตะวันที่ส่งข้อความมาหา

Khun. Chat :

อยู่ไหนครับ?

 

ใต้คณะ

แล้วคุณ?

Khun. Chat :

ข้างบนครับ

ไม่ต้องขึ้นมา เดี๋ยวผมเอาลงไปให้

 

ขอบคุณครับ

 

พฤกษ์ส่งข้อความสุดท้ายไปก่อนจะกดปิดหน้าจอและมองหาที่นั่งดี ๆ เขาเห็นโต๊ะหินอ่อนอยู่มุมหนึ่ง มันเงียบสงบและไม่ค่อยมีใครอยู่ พฤกษ์กำลังจะเดินไปยังที่หมายแต่สายตากลับไปเห็นหลี่เหมาเหมาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ที่โต๊ะตัวยาวอีกฝั่ง พฤกษ์ทิ้งความคิดที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อน สองขาเพรียวยาวตรงดิ่งไปยังโต๊ะตัวยาวทันที

“ทำอะไรอยู่” เขาสอดตัวลงนั่งและเอ่ยทักทายน้องรหัสด้วยท่าทางสบาย ๆ หลี่เหมาเหมาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็สะดุ้งโหยง แก้มนวลมีสีแดงเรื่อขึ้นมา

“อ่านหนังสือค่ะ ..” เธอตอบ

“งั้นหรือ กินข้าวหรือยังล่ะ”

“กิน ..กินแล้วค่ะ ร้านหน้ามหาลัย ข้าวหมูแดงอร่อยมากค่ะ”

“เหรอ อร่อยขนาดนั้นเลย แล้วไข้เธอเป็นอย่างไรบ้าง วันก่อนขอโทษนะที่ไม่ได้ไปส่งด้วยตัวเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ! ความจริงเหมาเหมาต้องขอบคุณพี่พฤกษ์มากกว่า ..ถ้า ถ้าไม่ได้พี่พฤกษ์ช่วย วันนั้นคง..” หลี่เหมาเหมายิ้มบาง ดวงตามีความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้

“คงเป็นวันที่แย่มาก ๆ ”

“ไม่เป็นไร” พฤกษ์พูดเสียงนุ่มทุ้ม “มันเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”

หลี่เหมาเหมาได้ยินอย่างนั้นก็รีบก้มหน้างุดมองตัวหนังสือ แต่น่าแปลกที่อ่านต่ออย่างไรก็อ่านไม่เข้าหัวเธอเลยสักประโยค จิตใจของเธอว้าวุ่นไปหมดพร้อมกับคำถามมากมายที่มีในหัว

“พี่ ..ดูเปลี่ยนไปนะคะ”

“หือ” พฤกษ์ร้องในคอ เปลี่ยนมาเท้าแขนมองหน้าหญิงสาว

“อ้อ ..ใช่ ฉันเปลี่ยนไป” เขายิ้มบาง ทำเอาใจคนมองไขว้เขว

“มันไม่ดีหรือไง หรือเธอชอบให้ฉันร้ายกาจ”

เธอส่ายหัว “มันปรับตัวไม่ถูกค่ะ”

พฤกษ์หัวเราะกับคำตอบ

“เดี๋ยวก็ชิน”

หลี่เหมาเหมากัดริมฝีปากล่าง มองใบหน้านุ่มนวลของอีกฝ่าย ดวงตาภายใต้กรอบแว่นที่เคยเฉยชากับทุกสิ่งเริ่มทอประกายความอ่อนโยนออกมาทีละน้อย

“เธอไม่ได้ใส่แว่นแล้วหรือ” พฤกษ์ถามเพราะเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อครู่ว่าใบหน้าอีกฝ่ายมีสิ่งผิดปกติไป

“อันเก่าถูกเขวี้ยงหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะเลยเปลี่ยนมาใช้คอนแทคเลนส์รายเดือนไปก่อน เหมาเหมาคิดว่าค่อยไปตัดใหม่ตอนเงินเดือนออก”

“อืม งั้นหรือ” พฤกษ์รับคำ พูดต่อว่า “ใส่คอนแทคเลนส์นาน ๆ ตาจะแห้งเอานะ วิธีล้างดูแลก็ละเอียดอ่อน”

เขาเคาะนิ้วไปบนโต๊ะไม้ ท่าทางเหมือนใช้ความคิด เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมจับต้นแขนข้างหนึ่งของหญิงสาว

“พี่พฤกษ์จะไปไหนคะ” หลี่เหมาเหมาหน้าตาตื่น

“ไปตัดแว่น เดี๋ยวฉันออกเงินให้ เอาห้างใกล้ ๆ นี่แหละ” เขาชะงัก ครั้งนี้เหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออกอีกอย่าง

“ลืมไปเลยว่าท็อปเจริญเปิดสิบโมง” พฤกษ์ปล่อยแขนเธอให้เป็นอิสระแล้วนั่งลงกับที่ หลี่เหมาเหมาทำหน้าเหลอหลา เป็นอีกครั้งแล้วที่หญิงสาวตามพี่รหัสของตนเองไม่เคยจะทันเสียที คิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เดาใจไม่ออกเลย

“งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนฉันพาไปดีไหม วันนี้ว่าง มาเอางานเฉย ๆ ”

“เหมาเหมามีสอบค่ะพี่พฤกษ์” พฤกษ์ขมวดคิ้ว ท่าทางไม่พอใจขึ้นมา เห็นพี่รหัสเป็นอย่างนั้นแล้วเธอจึงรีบพูดต่อ “สอบเสร็จต้องกลับไปอ่านหนังสือต่ออีก”

“ก็ตามใจ” พฤกษ์ยอมแพ้ในที่สุด “ว่างเมื่อไหร่ก็บอกฉัน เบอร์มีแล้วใช่ไหม จะไลน์มาก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เหมาเหมาเกรงใจพี่”

“ทำไมต้องเกรงใจด้วย ไม่ดีหรือไง ประหยัดเงินเธอ”

“ประหยัดเงินเหมาเหมาแต่เสียเงินพี่พฤกษ์โดยเปล่าประโยชน์นี่คะ”

“ตัดแว่นไม่มีประโยชน์ตรงไหน” พฤกษ์ดันศีรษะน้องรหัสไปด้านข้างเบา ๆ

“สมองทึบจริง ฉันรวยออกขนาดนี้ แว่นอันเดียวไม่สะเทือนขนอ่อนสักนิด”

“แต่ แต่..” หลี่เหมาเหมายกมือขึ้นกุมตรงที่โดนมือเรียวผลักเมื่อครู่ เธอหน้าแดงจัด พยายามจะเถียงออกไปให้ได้เพียงสักคำแต่พี่พฤกษ์ก็ชิงฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะและปิดตาลงหนีเธอไปเสียแล้ว

“พี่ง่วงหรือคะ” เธอชวนคุย หลังจากที่นั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ มาได้ห้านาที เห็นพี่พฤกษ์เขานอนพลิกหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง คาดว่าคงนอนไม่ถนัด

“นอนตีสี่ ดูซีรีส์หนักไปหน่อย แถมปกติวันนี้ไม่มีเรียน”

“อ๋อ”

“นัดกับคุณฉัตรไว้ใต้ตึก ช้ามาก ป่านนี้ยังไม่ลงมาอีก” พฤกษ์บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว หลี่เหมาเหมาเงี่ยหูฟังและยกยิ้มก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา ข้างในเป็นเสื้อแจ็คเก็ตที่พฤกษ์สวมให้เธอวันก่อน

“พี่พฤกษ์คะ เสื้อแจ็คเก็ตวันก่อนเหมาเหมาซักรีดให้อย่างดีเลยค่ะ ขอคืนให้พี่เลยแล้วกันนะคะ ขอบคุณมาก”

“หื้ม..” พฤกษ์ผงกหน้าขึ้นมาจากวงแขนที่ใช้รองแทนหมอน ท่าทางงัวเงียเอาเรื่อง

“ไม่ใช่เสื้อฉันเสียหน่อย ..ของคุณฉัตร”

“...”

 

คุณฉัตรที่ว่าเพิ่งออกมาจากลิฟต์ ในมือของชายหนุ่มถือรายงานที่ตรวจเสร็จแล้วสองเล่ม เขากระวีกระวาดมองหาคุณพฤกษ์ไปทั่ว จนไปเห็นอีกฝ่ายนอนฟุ่บหน้าอยู่ที่โต๊ะตัวยาว แค่เพียงแผ่นหลังเพรียวบาง ฉัตรตะวันก็จำได้โดยทันทีว่านั่นคือเพื่อนของเขา ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนและก้าวเดินไปหา แต่ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นคู่อริเก่าอย่างริต้าที่เดินเข้ามาในใต้ถุนคณะพร้อมด้วยเพื่อนของเธออีกเป็นกลุ่ม ริต้าเองก็มองไปทางเดียวกับฉัตรตะวันแต่เธอไม่ได้มองเห็นพฤกษ์ที่นอนอยู่ เหมือนเขาที่มองไม่เห็นหลี่เหมาเหมาที่นั่งอยู่เช่นเดียวกัน

ฉัตรตะวันเห็นริต้ากำลังตรงไปที่โต๊ะของพฤกษ์ เขาเข้าใจว่าเธอกำลังจะไปหาเรื่องเหมือนคราวนั้น ฉัตรตะวันก้าวขาไปขวางหน้าเธอทันที เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขัดขวางการนอนหลับของคุณพฤกษ์เด็ดขาด

“จะไปไหนหรือครับพี่ริต้า” ริต้ายั้งส้นสูงหัวเกือบคว่ำ ดีที่เพื่อนเธอพยุงหลังไว้ได้ทันท่วงที หญิงสาวเงยหน้ามองชายตรงหน้า ฉัตรตะวันยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนฉายเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ แต่เธอกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ใครต่อใครเฝ้าฝันถึงของเดือนปีสองคนนี้ไม่ต่างอะไรกับยาพิษชนิดร้ายกาจ

“ฉะ ฉัตร” เธอหน้าซีด ท่าทีดุดันเมื่อครู่หดหายไม่ไหนไม่ทราบได้ ฉัตรตะวันเอียงคอมองเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ของหญิงสาว แต่ทว่ากลับเรียกเสียงกรีดร้องเบา ๆ จากกลุ่มเพื่อนที่คลั่งไคล้คนหล่อเหลาของเธอแทน

“ลิฟต์อยู่ทางนี้นะครับ”

ฉัตรตะวันผายมือไปที่ลิฟต์ตัวหนึ่ง แม้มุมปากจะยังมีรอยยิ้มประดับอยู่แต่สายตากลับเย็นเยือกจนน่าหวาดกลัว

 

 

“อ้ะ.. พี่ฉะ…”

“ชู่ว..” ฉัตรตะวันเอานิ้วแตะริมฝีปากและชี้ไปยังคนหลับ เขาค่อย ๆ วางรายงานลงบนโต๊ะและนั่งลงข้าง ๆ พฤกษ์อย่างเงียบเชียบ

“...”

เขานั่งมองพฤกษ์ที่หลับอยู่ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงแว่นสายตาออก พับขาเก็บและวางไว้บนปกรายงาน มือข้างหนึ่งยื่นไปอีกครั้งเพื่อปัดปอยผมออกให้ สายตาของฉัตรตะวันตอนนี้ช่างดูอ่อนโยนเหลือเกิน

หลี่เหมาเหมามองการกระทำนั้นด้วยความรู้บางอย่าง

“มองอะไร หน้าผมมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” หลี่เหมาเหมาที่ถูกจับได้ว่ากำลังเสียมารยาท เธอรีบเก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นของตนเองกลับไปยังตัวหนังสือตรงหน้า ก้มอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเงยขึ้นมาอีกจนกระทั่งถึงเวลาใกล้สอบ

พฤกษ์สะลึมสะลือตื่นมาอีกครั้งด้วยเพราะความรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใครสักคนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ด้านข้าง พฤกษ์มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง โลกทัศน์มึนเบลอไปหมด เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของชายที่นั่งอยู่ พฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ ภาพตรงหน้าก็ยังคงเบลอไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เมื่อยกมือขึ้นจับใบหน้าก็ได้รู้ว่าตนเองไม่ได้สวมแว่นตา

“อยู่นี่ครับ” ฉัตรตะวันพูดขึ้นพร้อมกับประคองแว่นสายตาใส่ให้อย่างนุ่มนวล พฤกษ์กลับมาเห็นชัดอีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาทำคือมองหาหลี่เหมาเหมา

เพียงเท่านั้นฉัตรตะวันก็แสดงความไม่พอใจผ่านสายตาออกมาทันที พูดขึ้นอย่างแข็งกระด้างว่า

“เธอไปแล้ว” เอาเข้าจริง เป็นฉัตรตะวันที่นั่งแผ่รังสีอำมหิตใส่จนเธออึดอัดและขอตัวออกไปเองต่างหาก

“ไปไหน” พฤกษ์ก็นึกได้ทันที “อ้อ ..สอบ”

พูดจบเขาก็บิดคอตนเองไปมาไล่ความเมื่อยล้าแต่ความปวดหนึบก็จุดวาบขึ้นที่บริเวณท้ายทอย มันเจ็บจนพฤกษ์ต้องทำหน้าเหยเก

“ฮื้อออ”

“เป็นอะไรไป”

“ผมปวดตรงนี้” เขาชี้ “สงสัยเพราะนอน”

“ตรงนี้หรือ” ฉัตรตะวันเอื้อมมือไปลูบตรงท้ายทอยของเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำให้พฤกษ์แอบขนลุกเกรียวไปทั่วสรรพางค์แต่ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นฉัตรตะวันเขาเลยไม่ได้คิดอะไร

“ขวาหน่อย ครับ ตรงนั้น” พฤกษ์บิดตัวด้วยความรู้สึกดีเมื่อถูกอีกฝ่ายใช้มือนวดคลึงบริเวณที่ปวดให้ ผ่านไปสักพักเขาเริ่มดีขึ้นมาก แต่รู้สึกว่านิ้วมือเรียวยาวของฉัตรตะวันจะไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวซอกคอแทนเสียแล้ว

พฤกษ์ย่นคอ ห่อไหล่หนีบมือชายหนุ่มทันที

“อ๊ะ..” เขาหลุดเสียงครางแปลก ๆ ออกมา ในตอนนั้นฉัตรตะวันจึงได้สติว่าตนเองเผลอทำอะไรไป ชายหนุ่มชักมือกลับ ใบหน้าหล่อคมเริ่มมีสีแดงเรื่อปรากฏ

“ผมจั๊กจี้นะ” พฤกษ์พูดยิ้ม ๆ “ตรงนั้นมันเป็นจุดอ่อนไหวน่ะ”

 

 

ฉัตรตะวันมาส่งเขาที่ลานจอดรถเพราะตนเองยังคงมีธุระบางอย่างกับอาจารย์ เมื่อเดินมาถึงรถยนต์ พฤกษ์ก็กดเปิดประตู โยนสัมภาระที่ถือมาลงที่นั่งข้างคนขับก่อนออกมานอกรถเพื่อนบอกลาฉัตรตะวัน ทว่าสายตาคมเหลือบไปเห็นรถยนต์อีกคันที่จอดเทียบอยู่ด้านข้าง ด้วยความสงสัยเขาจึงพูดขึ้นอย่างติดตลก

“บางทีผมก็สงสัย ทำไมคุณฉัตรถึงหาที่จอดรถอยู่ข้าง ๆ รถผมได้ทุกวันเลยนะ”

เจ้าของรถที่ว่ายิ้ม “นั่นสิ บังเอิญจริง ๆ ”

“คอยดู คราวหลังผมจะแอบไปจอดที่อื่น”

“เดี๋ยวผมก็ตามไปเจออยู่ดีนั่นแหละ”

พฤกษ์หัวเราะก่อนจะยกมือลาเพื่อนสนิทเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทว่าฉัตรตะวันกลับรั้งเขาไว้ด้วยการจับข้อมือ พฤกษ์หันกลับมาทั้งตัว มองอีกฝ่ายด้วยความใคร่รู้

“ครับ? ”

ฉัตรตะวันค่อย ๆ ปล่อยมือ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง

“คุณพฤกษ์ไม่โกรธผมใช่ไหม”

เขาฟังคำถาม เอียงคอมอง

“เรื่องวันก่อน เอ่อ .. ยังไงดี วันนั้นคุณดูโมโหมาก ๆ ผมเลยค่อนข้างกลัวนิดหน่อย”

พฤกษ์นึกย้อนไปเมื่อวันก่อน บางอย่างที่เกือบลืมไปเสียสนิทผุดขึ้นมาในหัว เขากลับเข้าไปในรถ หยิบเอาถุงกระดาษออกมาและยื่นให้

ฉัตรตะวันรับมันมาถือและใจเต้นอย่างประหลาด เขาไม่รู้ว่าข้างในนั้นคืออะไรและพฤกษ์ให้เขาเนื่องในโอกาสไหน

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ บางทีผมก็ใจร้อนเกินกว่าเหตุไปไกล ในถุงนั่นเป็นแจ็คแก็ตของคุณฉัตรนะ เหมาเหมาเขาซักมาคืน”

“....”

“ผมกลับก่อน ง่วงมาก อยากไปนอนต่อแล้ว” พฤกษ์โบกมือให้ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถ เพียงไม่นาน รถยนต์คันงามก็ขับออกไป ฉัตรตะวันยืนมองตามหลังจนแน่ใจว่าพฤกษ์จะไม่กลับมาอีก เขาก้มลงมองถุงกระดาษในมือด้วยแววตาว่างเปล่า

ครู่ต่อมา ถุงกระดาษใบนั้นกลับไปอยู่ในถังขยะใบหนึ่ง

 

 

ราว ๆ ช่วงสี่โมงเย็นเกือบจะห้า เป็นเวลาที่พฤกษ์ตื่นขึ้นมาหลังจากที่นอนหลับไปเต็มอิ่มหลายชั่วโมง เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ช่วงนี้หน้าร้อน แม้สภาพอากาศจะแปรปรวนมีฝนตกแทรกซ้อนไปบ้าง แต่นิสัยของพฤกษ์นั้นขี้ร้อน เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำแค่ไหนก็ชอบที่จะถอดเสื้อนอนตัวเปล่าแบบนี้อยู่ตลอด เขาคว้าเอาเสื้อคลุมผ้าซาตินเนื้อนิ่มสีน้ำเงินเข้มที่พาดกับเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวมอย่างหละหลวม ผูกเชือกส่ง ๆ และเดินลงไปหาอะไรทานรองท้องด้านล่าง

อินทรชิตที่นั่งสอนการบ้านพงพีอยู่ที่ห้องโถงถึงกับทำปากกาในมือร่วงเพราะเชือกที่ผูกไว้มันหลุดหล่นจนเผยให้เห็นแผ่นอกขาวและหน้าท้องราบเรียบวับ ๆ แวม ๆ เด็กหนุ่มวัยกลัดมันนิ่งค้างไม่ไหวติง รู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ในตอนที่คุณเขาเดินผ่านเพื่อไปยังห้องครัว

“พี่อินทร์.. พีร์เติมแบบนี้ถูกไหม ..พี่อินทร์ พี่เป็นอะไรเนี่ย” พงพีโบกมือไปมาตรงหน้าพี่ชาย แต่ดูเหมือนอินทรชิตจะตกอยู่ในภวังค์บางอย่างที่ยากจะถอนตัว

“ขาว..”

 

ในห้องครัว ป้าเมียมและต่ายต่างง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น พฤกษ์เดินย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบและเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรสักอย่างหรือขนมสักชิ้นรองท้อง

“แม่พลอยล่ะครับ” พฤกษ์พูดในขณะที่กำลังเทน้ำผลไม้ใส่แก้ว ข้างกันนั้นมีขนมปังสองแผ่น ป้าเมียมที่ยืนหั่นหมูอยู่หันกลับมาพูด

“ที่ห้องค่ะคุณ เห็นแกบอกจะอาบน้ำ”

พฤกษ์ร้องอ้อในคอ ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ถูกเรียกไว้โดยต่าย

“เมื่อตอนบ่ายมีพัสดุส่งถึงคุณพฤกษ์ด้วยนะคะ แต่ต่ายไม่กล้าขึ้นไปกวน ของวางไว้ที่โต๊ะในโถงค่ะ ใกล้ ๆ กับที่คุณ ๆ เขานั่งทำการบ้านอยู่”

เขายกขนมปังขึ้นกัดหนึ่งคำก่อนจะเดินถือทั้งหมดออกไปจากห้องครัว

อินทรชิตหายใจติดขัด คุณพฤกษ์เขาเดินมาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะที่ตนเองใช้ทำการบ้าน ร่างโปร่งเดินไปหยิบกล่องอะไรสักอย่างและกลับมานั่งข้าง ๆ เด็กหนุ่มในโซฟาตัวเดียวกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำหอมที่คุณเขาใช้ประพรมเป็นประจำลอยละล่องบางเบาออกมาให้ได้กลิ่น

“หอมจัง ..กลิ่นอะไร อ้าว นั่นคุณพฤกษ์”

“เงียบนะพีร์ ทำการบ้านไป! ” อินทรชิตเอ็ดน้องเสียงเบาพลางกดศีรษะของพงพีจนหน้าแนบไปกับหนังสือบนโต๊ะ

“พี่อินทร์! เจ็บนะ! ”

“บอกให้เงียบ ๆ ”

“พี่ก็เลิกกดหัวพีร์สิ! ”

 

“เล่นอะไรกัน เสียงดัง” พฤกษ์ที่นั่งอยู่หันไปพูดทั้งที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ในปากจนแก้มตุ่ย ด้วยสายตาที่คมปลาบเหมือนจะตำหนิทุกคนบนโลกอยู่ตลอดเวลาทำให้เด็กหนุ่มและเด็กชายพากันเงียบกริบและทำตัวสงบเสงี่ยมโดยพร้อมเพรียง

“พะ พี่อินทร์ สอนข้อนี้หน่อยสิ”

“อะ อือ ไหน ข้อไหนเหรอ”

ว่าแล้วทั้งสองหน่อก็จับตัวกันเป็นก้อนนั่งทำการบ้านเอาหัวชนกันโดยไม่มีการส่งเสียงดังให้คุณเขาเอ็ดอีกเป็นรอบที่สอง

พฤกษ์กลืนขนมปังลงไปจนหมดตามด้วยน้ำผลไม้ เมื่อรับประทานทั้งหมดเสร็จจึงยกกล่องพัสดุนั้นขึ้นมามอง จ่าหน้าถึงเขาและผู้ส่งที่เป็นชื่อสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่งทำให้ พฤกษ์รู้ได้ทันทีว่าหนังสือชุดที่เขาสั่งในเว็บไซต์ไปเมื่อวันก่อนมาถึงแล้ว

พฤกษ์แกะเทปสีน้ำตาลบนกล่องออก พบหนังสือชุดสองเล่มที่แพคห่อบับเบิลมาอย่างดีหลายชั้น เขาจัดการแกะมันออกจนเหลือแต่ตัวเล่ม มันคือวรรณกรรมเยาวชนชื่อเรื่อง เรื่องของม่าเหมี่ยว และ ม่าเหมี่ยวและเพื่อน ปกนี้เป็นปกที่ใช้ลายเส้นภาพประกอบเวอร์ชั่นเก่า ค่อนข้างหายากแต่ก็ไม่ยากเกินกำลังทรัพย์ที่พฤกษ์จะไขว่คว้าหามาได้ เขาพลิกมองมันซ้ำไปมาพลางนึกถึงหนังสือเล่มแรกที่ฉัตรตะวันให้มาก่อนหน้านี้เมื่อหลายวันก่อน อย่างนี้เท่ากับว่าเขามีเล่มแรกซ้ำอยู่ถึงสองเล่มด้วยกัน

“พงพี” พฤกษ์เรียก “ทำอะไรอยู่ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือไง”

พงพีชะโงกหน้าออกไป ตอบเสียงดังฉะฉาน

“ได้ยินครับ! ”

“ดี เอานี่ไป” พฤกษ์เลื่อนหนังสือเล่มแรกไปหาพงพี เด็กชายเบิกตาโพลนอย่างเหลือเชื่อแต่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนกับอยากจะร้องไห้

“อะ อะไรน่ะครับ ให้ผมทำไม ไม่เอา ไม่อยากได้หนังสือเสียหน่อย” พงพีไม่ชอบอ่านหนังสือ ให้ตายก็ไม่ชอบ เขาเกลียดทุกอย่างที่มีตัวอักษรเยอะแยะละลานสายตาแบบนี้

“แกมันพวกสมาธิสั้น” คุณพฤกษ์เก็บหนังสืออีกเล่มใส่กล่อง รวบมาถือไว้และลุกขึ้นยืน “หัดอ่านอะไรง่าย ๆ เสียบ้างจะได้จดจ่อ”

 

 

อินทรชิตมองคุณพฤกษ์เดินขึ้นบันไดไปจนลับสายตา เด็กหนุ่มหันขวับมามองน้องชายที่นั่งซึมกะทือไร้วิญญาณ

“พีร์.. พีร์” เขาเขย่าตัวน้อง กระซิบบอกบางอย่างด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“หนังสือนั่นพี่ขอแลกได้ไหม พีร์ยังอยากได้ฟิกเกอร์ตัวนั้นอยู่อีกหรือเปล่า แลกกันนะ พี่ให้หมดเลย เราไม่ชอบอ่านหนังสือไม่ใช่หรือ ไม่ต้องอ่านหรอก เดี๋ยวพี่อ่านเอง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา