คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) 00 07
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 07
บ่ายวันเดียวกันนั้น ขณะที่กำลังช่วยมาลีวัลย์ทำการบ้านที่ค้างคาอยู่ในสวน อินทรชิตก็เห็นรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอด ลุงแสงรีบพุ่งเข้าไปช่วยเปิดประตูทันทีและส่งยิ้มทักทายแขกผู้มาเยือนอย่างคุ้นเคย
ชายหนุ่มที่ลงมาจากรถมีรูปร่างสูงโปร่งและกำยำ ผิวพรรณขาวนวล ใบหน้าหล่อเหลาและเกลี้ยงเกลาราวเทพบุตร ดวงตาประกายความอ่อนโยนพร้อมมุมปากที่มักมีรอยยิ้มอบอุ่นเผื่อแผ่คนทั้งโลก แต่กระนั้น.. อินทรชิตกลับคิดว่ารอยยิ้มและท่าทางของผู้ชายคนนี้มันช่างดูปลอมเปลือกและมีบางอย่างแอบแฝงอย่างไรอย่างนั้น
โดยเฉพาะเวลาเจ้าตัวอยู่ใกล้ ๆ คุณพฤกษ์ อินทรชิตรับรู้ได้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่ต่างกันออกไป ทั้งสีหน้าที่ผ่อนคลายอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง แววตาหรือก็ดูจะแพรวพราวเป็นประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา มันจะเป็นอะไรไปได้นอกเสียจากคุณฉัตรอะไรนั่นน่ะ ..คิดไม่ซื่อกับคุณพฤกษ์
“พี่ฉัตรมาหรือคะ ว้า.. มาหาคุณพฤกษ์แน่ ๆ”
อินทรชิตไม่ฟังที่น้องสาวพูด เด็กหนุ่มยืดคอชะเง้อมองไปยังประตูใหญ่ เห็นหลังไว ๆ ของคุณฉัตรเดินล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าชื่นมื่น
“หมั่นไส้” อินทรชิตสบถฮึในคอ “มันคงคิดว่าเท่แล้ว”
“คะ? ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นจากการบ้าน ดวงตากลมโตที่จ้องมาเต็มไปด้วยความใคร่รู้
“พี่อินทร์ว่าไงนะ”
“เปล่าค่ะ” อินทรชิตยิ้มระรื่น แสร้งโบกมือตรงหน้าไหว ๆ
“พี่ก็บ่นแมลงหวี่แมลงวันแถวนี้ไปเรื่อย น่ารำคาญ อยากจะฉีดไบกอนใส่ให้ตาย ๆ ไปเสียจะได้ไม่มาเกาะแกะอีก”
“...” มาลีวัลย์ขมวดคิ้ว เด็กหญิงไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดเลยสักกระผีกเดียว
ฉัตรตะวันถอดรองเท้าหนังของตนเองออกและเปลี่ยนมาสวมใส่สลีปเปอร์แทนก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่
ชายหนุ่มเข้ามายังห้องรับแขก ดวงตาคมกวาดมองไปโดยรอบ ทั้งบ้านเงียบสงบเหมือนไม่มีใครอยู่ สักพักจึงพบเข้ากับป้าเมียมที่เดินยิ้มแย้มออกมาจากห้องอาหาร
“สวัสดีค่ะคุณฉัตร” ฉัตรตะวันยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา
“ไม่มีคนอยู่หรือครับ” เขาชะเง้อมอง “บ้านเงียบเชียว.. แล้วคุณพฤกษ์ล่ะ? ”
“คุณพฤกษ์เธอนอนอยู่บนห้องค่ะ เดี๋ยวป้าไปเรียนให้นะคะว่าคุณฉัตรมาหา” ป้าเมียมพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นท้วง
“ป้าเมียมขึ้นไปดูก็พอครับ ถ้าเขาตื่นอยู่ให้บอกว่าผมมาหา ถ้าเขาหลับอยู่ก็ปล่อยให้นอนไปเถอะ ผมไม่อยากรบกวน”
“แหม” ป้าเมียมหัวเราะ “ไม่รบกวนหรอกค่ะ เดี๋ยวป้ามานะคะ คุณฉัตรคอยสักครู่”
ฉัตรตะวันยกยิ้มอย่างทุกทีและมองตามหลังหญิงวัยกลางคนเดินจากไปจนลับตา เขานั่งคอยอยู่เพียงชั่วครู่ ร่างโปร่งในชุดนอนตัวเดิมก็ถือแว่นสายตาเดินงัวเงียจับราวบันไดลงมา
ทันทีที่มาถึง พฤกษ์ก็ทิ้งตัวลงนอนเอกเขนกบนโซฟาตัวยาวอีกตัวทันทีก่อนจะควานหาหมอนอิงใบใหญ่ที่อยู่ใกล้มือมากกกอดเอาไว้ในอก ชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ส่วนฉัตรตะวันเองก็นั่งมองการกระทำของอีกฝ่ายอยู่อย่างใจเย็นเหมือนทุกครั้ง ..กระทั่งเวลาผ่านไปราวสิบนาที พฤกษ์ก็หยัดตัวลุกขึ้นนั่ง ฉัตรตะวันเหลือบมองนิ้วเรียวสวยยามเมื่อคลี่ขาแว่นสายตาออกและนำขึ้นสวมประดับไว้บนใบหน้า ทุกท่วงท่าของพฤกษ์ตรึงสายตาของเขาได้อย่างอยู่หมัด ใบหน้าที่นุ่มนวล ผิวพรรณที่ขาวเนียน ร่างกายที่งดงาม สรีระที่ไม่ผอมจนเกินไปและไม่แข็งแรงจนดูบึกบึนเกินไป กิริยาอาการหรือก็ดูสะโอดสะอง ฉัตรตะวันคิด ..คงจะมีเพียงความสูงร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรนี่ล่ะมั้งที่ทำให้พฤกษ์ดูโดดเด่นสมเป็นผู้ชายเหมือนคนอื่น
“อื้อออ..” ในตอนที่พฤกษ์บิดตัวเพื่อไล่ความง่วงงุน เสื้อคลุมผ้าซาตินก็เคลื่อนออกจากกันอย่างหมิ่นเหม่ แผ่นอกขาวเนียนที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้าเผยโฉมออกมาอวดสายตาคนที่เฝ้ามอง
อึก.. ฉัตรตะวันตาแทบแตก ความขาวสว่างที่สาดส่งมาทำเอาต้องหยุดหายใจ นิ้วมือที่ประสานกันบนตักจิกเบา ๆ ลงบนเนื้อผ่านผิวกางเกง ซ้ำยังพลั้งตัวเผลอกลืนน้ำลายดังอึก จู่ ๆ ปากและลำคอของตนเองแห้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ
อ้อ ...สาเหตุน่ะมีอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ
“ง่วงแล้วทำไมไม่นอนต่อ ลงมาทำไมครับ” ฉัตรตะวันเลียริมฝีปากตนเองและพยายามคงสติตนเองให้เป็นปกติ ชายหนุ่มพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากแผ่นอกขาว
พฤกษ์หาวหวอด ๆ ตอบไปว่า
“ตื่นตั้งนานแล้ว ..ตั้งแต่เช้านู่น”
“จริงหรือ” ฉัตรตะวันหัวเราะ พร้อมกับเคลื่อนสายตาที่จับจ้องร่างกายขึ้นไปมองใบหน้านุ่มนวลของเจ้าตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ..และแนบเนียนจนน่ากลัว
“คุณดูเหมือนคนถูกปลุกให้ตื่นมากกว่านะ ผมรบกวนหรือเปล่า รู้สึกผิดจัง”
“บ้าน่า..” เขาโบกมือ “ผมนอนเล่นหรอก วันหยุดทั้งทีก็อยากกลิ้งไปกลิ้งมาบ้าง ไม่ได้รบกวนอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มหาวขึ้นมาอีกรอบก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้า
“ว่าแต่คุณฉัตรเถอะ มีอะไรหรือเปล่า? ”
ฉัตรตะวันหันมามองเพื่อนสนิท ดวงตาของเขามีความเปล่งประกายจนปิดไม่มิด พฤกษ์เห็นความนัยจากแววตาคู่นั้น
เขาหรี่ตาลงและรอให้อีกฝ่ายพูด
“ไปเดทกันไหมครับ”
“มะลิอยากไปคุยกับคุณพฤกษ์ไหมคะ? ” อินทรชิตพูดขึ้นขณะที่สายตายังคงเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่
“ฮื่ออออ” มาลีวัลย์ผงกหัวขึ้นจากการบ้านที่ทำอยู่ตรงหน้า เด็กหญิงส่งเสียงในคอพร้อมกับส่ายหน้าพัลวัน
“ทำไมหรือคะ พี่ว่าคุณพฤกษ์เขาก็คงอยากคุยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เอาอย่างนี้ไหม มะลิก็เข้าไปขอโทษคุณพฤกษ์เหมือนที่ขอโทษพี่สิคะ อย่าลืมว่าวันนั้นเราเองก็ทำให้คุณพฤกษ์เสียหน้านะคะ”
มาลีวัลย์เอาชายผูกโบว์มาอมเล่น พูดว่า
“มะลิกลัวนี่คะ คุณพฤกษ์ชอบดุ ชอบตี ชอบใจร้ายด้วย”
“แต่พักนี้พี่ไม่เห็นคุณพฤกษ์เขาเป็นอย่างนั้นเลย”
“อื้อ! ” มาลีวัลย์ร้อง คายชายผูกโบว์ออกจากปาก
“เดี๋ยวนี้ก็ไม่ดุอะไรมะลิแล้วล่ะ เห็นเจอกันทีไรก็นิ่งใส่ตลอด กับพี่พีร์วันก่อนก็ยังให้หนังสือมาอ่าน พี่พีร์ตกใจจนช็อคใหญ่เลย ตลกดีค่ะ สงสัยผีออกแล้วมั้งคะ แต่ทำไมออกช้าจัง”
อินทรชิตหัวเราะและมะเหงกใส่หน้าผากน้องสาวไปที
“แล้วกับพี่อินทร์ล่ะคะ คุณพฤกษ์ยังตีไหม”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า หันกลับไปมองตัวคฤหาสน์พลางจินตนาการถึงคุณพฤกษ์ที่อาจจะนั่งอยู่กับคุณฉัตรในห้องใดห้องหนึ่ง
“พี่ว่าคุณพฤกษ์เปลี่ยนไป”
“...”
“อาจจะเปลี่ยนไปไม่มาก ถ้าไม่สังเกตคงดูไม่ออก ถึงจะเล็กน้อยแต่พี่รู้สึกได้”
“พี่อินทร์” เด็กหญิงกระพริบตาปริบ ๆ มองผู้เป็นพี่อย่างตั้งใจและจริงจัง จู่ ๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มก็พูดขึ้นอย่างใคร่รู้
“พี่ชอบคุณพฤกษ์หรือคะ”
อินทรชิตหายใจสะดุดไปเมื่อได้ยินมาลีวัลย์ถามออกมาทั้ง ๆ ใบหน้าใสซื่อ ดูไม่ประสีประสาสมวัย
“ชะ ชอบ ..หมายถึง”
“ตอนเด็ก ๆ มะลิชอบคุณพฤกษ์นะคะ เพราะคุณพฤกษ์ซ้วยสวย” มาลีวัลย์พูดพลางปิดสมุดและหนังสือ พร้อมกับเก็บดินสอเข้ากระเป๋า เด็กหญิงเท้าคาง ทำตาเพ้อฝันมองไปบนท้องฟ้า พูดว่า
“คุณพ่อบอกว่าคุณพฤกษ์คือพี่ชายคนโต เป็นพี่น้องต้องรักกัน แต่พอมะลิกับพี่พีร์เรียกคุณพฤกษ์ว่าพี่ มะลิก็ถูกคุณพฤกษ์ตีจนน่องเขียวไปหมด ส่วนพี่พีร์ถูกหยิกค่ะ ทั้งเจ็บทั้งจำจนถึงวันนี้เลย ตั้งแต่นั้นมามะลิกับพี่พีร์ก็ไม่เคยเรียกคุณพฤกษ์ว่าพี่อีก พวกเรากลัวถูกตีค่ะ”
“อืม ..คุณพฤกษ์เวลาโกรธก็น่ากลัว พี่เองก็โดนมาตลอด”
“พี่อินทร์ดูไม่โกรธคุณพฤกษ์เลยสักครั้ง แต่มะลิกับพี่พีร์โกรธตลอดแหละ เวลาถูกคุณพฤกษ์แกล้ง”
อินทรชิตยิ้ม เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาระใบหน้าของน้องออก
“มะลิไม่รู้นี่คะว่าคุณพฤกษ์เกลียดอะไรพวกเราสองคนนักหนา แค่เพราะมะลิกับพี่พีร์เกิดมาคนละแม่กับคุณพฤกษ์หรือคะ ไม่เห็นต้องโกรธเลย ทำไมไม่โกรธคุณพ่อล่ะคะ คุณพ่อทำให้มะลิกับพี่พีร์เกิดมานี่ มาลงกับพวกเราแบบนี้พวกเราก็โกรธนะคะ ทั้งโกรธ ทั้งกลัว ฮึ่ย.. คุณพฤกษ์ตีเจ็บจะตายไป”
“เห็นไหมคะ ขนาดถูกคุณพฤกษ์ตีมะลิยังโกรธคุณพฤกษ์เลย แล้วทีกับเพื่อนทำไมมะลิไม่โกรธให้ได้สักครึ่งที่โกรธคุณพฤกษ์บ้างล่ะคะ”
“ต่อไปนี้จะโกรธแล้วค่ะ! ” มาลีวัลย์ยู่ปาก ถึงจะเพิ่งพูดออกไปว่าจากนี้จะโกรธแล้วแต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเพื่อนร่วมชั้นต่อจากนี้ ใบหน้าของเด็กหญิงก็พลันเหงาหงอยขึ้นมาอีกครั้ง
“จะพยายามค่ะ..”
อินทรชิตเห็นน้องสาวซึมกะทือไปก็ถอนหายใจ ดูท่าเรื่องนี้คงจัดการเองไม่ได้เสียแล้ว
“มะลิ! ” เด็กหนุ่มคว้ามือน้องสาวจนร่างเล็กลอยหวืด “ไปหาคุณพฤกษ์กัน! ”
พฤกษ์ขมวดคิ้วกับคำว่าไปเดทของอีกฝ่าย มันฟังดูคล้ายกับคู่รักที่ถูกชวนไปใช้เวลาส่วนตัวในวันหยุดด้วยกันที่ไหนสักแห่ง ทว่ากรณีของเขากับฉัตรตะวันคงเป็นการชวนไปเที่ยวกันตามประสาเพื่อนสนิทอีกนั่นแหละ เพียงแต่อีกฝ่ายชอบใช้คำพูดหยอกล้อเขา
..เหมือนกับว่าเราทั้งคู่เป็นคนรักกันอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมคุณพฤกษ์ทำหน้าประหลาดแบบนั้น ปกติผมก็ชวนไปไหนมาไหนตลอดนี่นา หรือว่าเบื่อ? ”
พฤกษ์กระพริบตาปริบ ๆ ดูเหมือนเขาจะคิดมากไปเอง อะไรกัน.. ก็แค่ชวนไปเที่ยวปกตินี่นา
“เปล่า ..ไม่ใช่” พฤกษ์ยกมือนวดสันจมูก นอนเยอะไปท่าจะเบลอ
“เอาสิ ไปที่ไหนกันดี คราวก่อนคุณฉัตรบอกว่าอยากไปดูหนังใช่ไหม”
ฉัตรตะวันส่ายหัว
“เอาไว้ก่อน ผมอยากอวดคอนโดใหม่น่ะ”
“ไปซุ่มซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกกันเลย” พฤกษ์ขยับตัวกระแทกไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ
“แหน่ะ ” เขาหยอก “..พาสาวขึ้นห้องสบายล่ะสิคราวนี้”
“ผมไม่สนใจใครหรอก” ฉัตรตะวันยิ้มกริ่ม ดวงตาของอีกฝ่ายคล้ายจะมีความวูบไหวบางอย่างขณะที่มองเขา
“..มีเพื่อนแบบคุณพฤกษ์ก็พอ”
พฤกษ์รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ กับคำพูดนั้นของฉัตรตะวันจนต้องแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนพร้อมพูดว่า
“ผมไปอาบน้ำดีกว่า ..ชักอยากเห็นห้องคุณฉัตรไว ๆ ”
“ค้างสักคืนสิ พรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้”
“ผม..” พฤกษ์คล้ายจะคิดหาคำพูดบางอย่างขึ้นมาเป็นข้อบอกปัดเพื่อนสนิท ความจริงแล้วเขาชอบนอนที่บ้านมากกว่าค้างคืนที่อื่น แถมพฤกษ์เองก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องไปนอนที่ห้องของฉัตรตะวันเลยสักข้อ
ไม่เอาล่ะ .. ขี้เกียจนอนที่อื่น
ทว่าความเกรงใจยังคงมีอยู่ จะให้เขาปฏิเสธคำชักชวนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทมันก็จะแปลก ๆ สักหน่อย พฤกษ์ควรหาคำพูดดี ๆ เพื่อไกล่เกลี่ยให้อีกฝ่ายฟังแล้วไม่รู้สึกแย่ต่อตน
ในตอนนั้นเอง อินทรชิตพร้อมด้วยมาลีวัลย์ก็เข้ามาอยู่ในกรอบสายตา พฤกษ์หรี่ตามองเด็กทั้งสองครู่หนึ่ง อินทรชิตทำทีราวกับมีบางอย่างที่ต้องการพูดคุยกับเขาเดี๋ยวนั้นเสียให้ได้ ในมือของเด็กหนุ่มกุมมือของมาลีวัลย์ไว้แน่น พฤกษ์คิดออกในทันใด สองคนนี้คงอยากคุยกับเขาถึงเรื่องราววันนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“หืม ..เขี้ยว แกมีอะไร” พฤกษ์ตะเบ็งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองไม่กล้าย่างกรายเข้ามาใกล้
ฉัตรตะวันที่ได้ยินชื่อนั้นก็หันไปมองทันที ดูเหมือนน้องสาวและน้องชายบุญธรรมคงมีบางอย่างที่จะคุย ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก ถอนสายตาหันกลับมาและเตรียมรอฟังเสียงหวานทุ้มของพฤกษ์สบถด่าเด็กทั้งสองเหมือนอย่างเช่นทุกที
“เอ่อ ..มะลิอยากคุยด้วยครับ” อินทรชิตเอ่ยขึ้น ท่าทางหวาดหวั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของฉัตรตะวันที่นั่งอยู่
“คุณพฤกษ์สะดวกไหมครับ”
พฤกษ์เอามือล้วงกระเป๋าชุดเสื้อคลุม แสร้งทำเป็นครุ่นคิด ดวงตาคู่สวยมองฉัตรตะวันสลับกับเด็กทั้งสอง ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“คุณฉัตรช่วยรอก่อนได้ไหมครับ ดูแล้วคงคุยยาว” ฉัตรตะวันที่เห็นอย่างนั้นก็พลันประหลาดใจขึ้นมา หน้าทั้งหน้าชาวูบวาบโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นไปได้หรือที่คุณพฤกษ์จะไม่พูดส่อเสียดหรือตะคอกอะไรใส่เด็กพวกนี้เลย
...แถมยังให้เขาเป็นฝ่ายรออีก
“ฮึ” เขาเป็นฝ่ายสบถในคอขึ้นมาเสียงเอง ร่างสูงกำยำลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งยิ้มเย็น
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่คุณเลือกคนอื่น”
ฉัตรตะวันพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนพูดเรื่องทั่วไป ทว่าสายตาที่จ้องมองมายังเด็กทั้งสองนั้นช่างน่ากลัวจนมาลีวัลย์ต้องหลบหน้าลงต่ำ เหลือทิ้งไว้เพียงแต่อินทรชิตที่ยังกล้าสบตากับฉัตรตะวันตรง ๆ โดยไร้สิ้นท่าทีหวาดกลัว กลับกัน แววตาของเด็กหนุ่มมีความแข็งกร้าวบางอย่าง เป็นความไม่สบอารมณ์อย่างเดียวกับที่ฉัตรตะวันใช้มองอีกฝ่าย
เปรี๊ยะ..
คล้ายจะมีประจุไฟฟ้าหรือเมฆสีดำทมิฬปกคลุมไปทั่วระหว่างฉัตรตะวันและอินทรชิต มาลีวัลย์ที่แอบมองอยู่รู้สึกคล้ายว่าตนเองกำลังเห็นเสือและสิงโตคำรามใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างในการ์ตูน ทว่าในสายตาของพฤกษ์กลับเห็นแค่สุนัขตัวโตสองตัวกำลังขู่แง่ง ๆ ใส่กัน
ตัวหนึ่งเป็นไซบีเรียฮัสกี้ อีกตัวเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์
เอากับเขาสิ กัดกันไปเลย ..อยากจะบ้า
ฉัตรตะวันกลับไปแล้ว กลับไปด้วยอาการหัวเสียอย่างรุนแรง พฤกษ์สังเกตได้จากท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่กลับไปโดยไม่ยอมบอกกล่าวอะไรแบบนั้นคงจะหนีไม่พ้นถูกอีกฝ่ายโกรธเอาเป็นแน่
เขาคิดถึงฉัตรตะวันที่เคยรู้จักในกาลก่อน เพื่อนสนิทของเขาคนนี้นิสัยไม่ได้ต่างอะไรจากเจ้าตัวในกาลนี้เลยสักเท่าใด ภายนอกถึงดูเหมือนคนที่ยิ้มแย้มและทำหน้ามีความสุขเผื่อคนทั้งโลกอยู่ตลอดเวลา ทว่าความจริงเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่ใช่เรื่องของตนเองก็จะไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ดูเหมือนคนใจเย็น ทว่าคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจเสมอแถมยังเอาแต่ใจที่หนึ่งเชียวล่ะ
แต่ทั้งหมดนั่น ..พฤกษ์ได้เห็นอีกฝ่ายในวัยมัธยมแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลับกันในกาลนี้ ฉัตรตะวันในวัยหนุ่มแสดงออกมาให้เขาเห็นอยู่ตลอดจนพฤกษ์คิดว่านิสัยไม่เอาใครและไม่เห็นหัวใครมันหยั่งรากลึกจนติดนิสัยประจำตัวไปเสียแล้ว
เห็นฉัตรตะวันที่เป็นอย่างนั้นพฤกษ์ก็อดนึกไม่ได้ว่าตัวเขาในกาลนี้ยังเป็นเช่นไร แต่เอาเถิด ..ฉัตรตะวันเป็นเช่นไร ตัวเขาก็คงมีนิสัยไม่ต่างกันหรอก ไม่อย่างนั้นจะคบเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
พฤกษ์ยืนมองรถยนต์คันหรูขับออกไปจนสุดสายตาก่อนจะหันกลับมาเจออินทรชิตและมาลีวัลย์ที่ยืนคอยอยู่
เขาถอนหายใจและทิ้งตัวนั่งบนโซฟาโดยแรง พูดว่า
“มีอะไร”
อินทรชิตกระตุกมือน้องสาวแต่เด็กหญิงกลับส่ายหน้าจนเส้นผมนุ่มสลวยบิดพลิ้วก่อนจะหนีไปหลบอยู่ด้านหลัง โผล่ออกมาเพียงศีรษะและดวงตากลมโต เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เป็นพี่ชายจึงต้องกัดฟันพูดขึ้นมาเสียเอง
“คุณพฤกษ์พอจะมีวิธีช่วยมะลิไหมครับ? ”
“ช่วย? ” พฤกษ์ทวน ก่อนที่เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ
“จะให้ฉันช่วยอะไร..” เขาลากเสียง ดวงตางดงามคมกริบหรี่ลงมองเด็กทั้งสองตรงหน้า
“อะไรก็ได้ครับ ..ขอแค่ไม่ให้มะลิถูกแกล้งแบบเดิมอีก ..ลำพังแค่ผมคงดูแลตลอดไม่ได้ ผมสงสารน้อง ไม่อยากให้น้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก”
“ทำไมฉันต้องช่วยพวกแกด้วยไม่ทราบ”
อินทรชิตสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินน้ำเสียงนิ่งเรียบ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากด้วยความประหม่า ดูเหมือนเรื่องที่คิดว่าคุณพฤกษ์เปลี่ยนไปจะเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงเสียแล้ว
คุณพฤกษ์ยังเย็นชาและโหดร้ายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน..
“แต่ ..แต่ว่าวันนั้น” คุณพฤกษ์ยังทำทีราวกับว่าจะปกป้องมะลิไม่ใช่หรือ
“ช่างเถอะ” พฤกษ์ยกมือขึ้นปราม อินทรชิตจึงไม่ได้โต้เถียงสิ่งใดออกไป เด็กหนุ่มก้มหน้างุดและเหลือบมองน้องสาวที่หลบอยู่ด้านหลังด้วยแววตารู้สึกผิดอยู่เต็มอกที่ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว
พฤกษ์ตวัดขาขึ้นมาไขว่ห้างและลูบคางอย่างใช้ความคิด เขาไม่ได้พูดอะไรตอบ ปล่อยให้เวลาผ่านไปจากตรงนั้นราวห้านาที ในที่สุดจึงพูดตอบออกไปโดยแสร้งทำทีเป็นดูแคลนเด็กทั้งสอง
“ฉันจะช่วย” พฤกษ์กระตุกยิ้มร้าย “ฉันจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้แกเอง..”
มาลีวัลย์ตัวสั่นงันงกเมื่อถูกเรียกชื่อ เด็กหญิงได้แต่มุดเอาพี่ชายไม่กล้าสบสายตาคมกริบที่กำลังจ้องมองตนเอง
“ถือเสียว่าสงเคราะห์เด็กตาดำ ๆ”
“ขะ ขอบคุณครับ.. คุณพฤกษ์” อินทรชิตไปต่อไม่ถูก เด็กหนุ่มคาดการณ์ผิดไปแล้วอีกหน เขาไม่สามารถเดาใจหรือเดาการกระทำของคุณพฤกษ์ได้เลย ด้วยเพราะท่าทีของอีกฝ่าย ประเดี๋ยวก็นิ่งใส่ ประเดี๋ยวก็ร้ายใส่ ทำเอาจิตใจไขว้เขวสับสนไปหมด
ทว่าในความสับสนนั้น อินทรชิตยังมีความดีใจแฝงเอาไว้อยู่ ในทีแรก เด็กหนุ่มไม่คิดหรอกว่าคุณพฤกษ์เขาจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วย เพียงแต่ความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกว่าคนใจร้ายอย่างคุณเขามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อินทรชิตจึงหยิบยกเอาความรู้สึกนั้นเป็นที่ตั้งและรวบรวมความกล้าหาญที่มีทั้งหมดร้องขอความช่วยเหลือออกไป
...ผลลัพธ์นั้นออกมาไม่แย่ทีเดียว ถึงคุณพฤกษ์จะทำทีราวกับเกลียดแสนเกลียดพวกเขาอยู่ก็ตาม
“มะลิ ..โผล่หน้าโง่ ๆ ของแกออกมาให้ฉันเห็นหน่อยซิ”
มาลีวัลย์ยิ่งสั่นกลัวใหญ่ เด็กหญิงไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนหรือแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำพูดของพฤกษ์เลย
“มะลิ ..” อินทรชิตเรียกน้อง “คุณพฤกษ์เขาพูดกับเรานะคะ”
“พี่อินทร์ค้า..” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมโตแดงรื้นและมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอให้เห็น
“เขี้ยว” อินทรชิตหันกลับไปตามคำเรียกพร้อมกับสบสายตาคมกริบดูเย็นชาไร้อารมณ์ของคุณพฤกษ์ด้วยหัวใจที่สั่นไหว
“ทิ้งมะลิไว้นี่แหละ ฉันมีเรื่องต้องคุย ส่วนแกมีอะไรก็ไปทำเสีย อยู่ไปก็เกะกะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกถึงแรงยื้อจากมาลีวัลย์ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นน้องสาวส่ายหน้าระรัวปนร้องไห้
“แต่..” อินทรชิตอยากจะขอต่อรองคุณพฤกษ์อีกสักหน่อย เผื่อคุณเขาใจดียอมให้อยู่ต่อเป็นเพื่อนน้องสาว
“แกอยากช่วยมันหรือเปล่าล่ะ? ” คุณพฤกษ์เอียงหน้า สายตาเย็นเยียบจนเด็กหนุ่มไม่อาจขัดขืน
“...”
“ถ้าอยากก็ทิ้งไว้ตรงนี้แล้วไปให้พ้นหูพ้นตา”
“...”
ดวงตาคมกริบหรี่ลงมองเด็กหญิงก่อนจะพูดขึ้นเพียงแผ่วเบาคล้ายรำพึงรำพันกับตนเอง
“ ..ฉันจะไม่ตีแกอีกแล้ว”
เกร๊ง..
บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบเสียจนน่าหวาดหวั่น กระทั่งต่ายที่ขันอาสายกชุดน้ำชาและของว่างยามบ่ายมาเสิร์ฟให้เจ้านายยังรู้สึกเสียวสันหลังปลาบ หญิงสาวจัดแจงวางถ้วยชา กาน้ำและจานขนมที่บรรจุเค้กผลไม้ชิ้นเล็กพอดีคำลงบนโต๊ะอย่างประณีตก่อนจะก้มตัวต่ำและรีบเดินออกมาจากบริเวณนั้นโดยเร็ว
“ฮือ” มาลีวัลย์ยังคงร้องไห้อย่างเงียบเชียบอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับพฤกษ์ ตั้งแต่ที่อินทรชิตกลับออกไปตามคำสั่ง เด็กหญิงก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาได้แต่ก้มหน้าร้องไห้และมองมือของตนเองอยู่อย่างนั้น กระทั่งของว่างถูกนำมาวาง ดวงตาที่ฉ่ำน้ำจึงเปล่งประกายออกมาอย่างมีชีวิตชีวา แต่กระนั้นเด็กหญิงก็ยังคงความหวาดกลัวบุคคลตรงหน้า ส่งผลให้มือเล็กขาวผ่องไม่กล้าแม้แต่จะยื่นออกไปหยิบเค้กผลไม้ที่วางล่อตาล่อใจขึ้นมารับประทาน
พฤกษ์ยกชาขึ้นดมกลิ่นก่อนจะจิบรับรสเพียงเล็กน้อย ความหอมหวานปนเปรี้ยวช่วยให้ประสาทสัมผัสของเขาตื่นตัวพร้อมสำหรับเรื่องน่าปวดหัวต่อจากนี้
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ทำอย่างกับฉันจะฆ่าแกอย่างนั้นแหละ ประสาทหรือเปล่า ยังไม่ได้ทำอะไรแท้ ๆ ”
เขาวางถ้วยชาลงบนจานรองแก้ว สังเกตเห็นดวงตากลมโตที่มีประกายระยิบระยับจึงพูดค่อนแคะต่อไปว่า
“จะกินก็กิน ..อย่าท่าเยอะ เห็นแล้วขัดลูกตา”
มาลีวัลย์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อย ๆ ก่อนจะหยิบส้อมสีเงินวาวจ้วงตักเอาเค้กผลไม้ตรงหน้าใส่ปากโดยเร็ว เด็กหญิงกินไปพลาง สะอึกสะอื้นไปพลาง ดูน่าสงสารและน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน
“เล่ามาให้หมด ..เรื่องของแกน่ะ” พฤกษ์พูดขึ้นขณะที่หยิบเค้กชิ้นหนึ่งขึ้นมาพินิจดู
มาลีวัลย์รับประทานขนมหวานอยู่เต็มปากจนแก้มกลม เมื่อได้ยินประโยคนั้นก็พลอยรับประทานอะไรต่อไม่ลง เด็กหญิงกลืนทั้งหมดที่เคี้ยวอยู่ในปากลงคอ ดวงตากลมโตค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
ริมฝีปากจิ้มลิ้มสั่นระริกพูดว่า
“คุณพฤกษ์.. จะช่วยมะลิจริง ๆ หรือคะ”
พฤกษ์วางเค้กชิ้นนั้นที่เดิม ตอบว่า
“ฉันจะช่วย”
มาลีวัลย์คล้ายเหมือนภายในใจมีลูกโป่งลอยละล่องอยู่นับร้อยหลังได้ยินคำตอบนั้นออกจากปากของคนที่ได้ชื่อเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว ฉับพลันน้ำตาเม็ดเป้งก็ร่วงเผาะลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เด็กหญิงปาดน้ำตานั้นออกและเริ่มเปิดใจเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยไม่อิดออด
“สรุปเรื่องมันก็เป็นเพราะแกไม่มีเพื่อนคบเลยต้องยอมเป็นกระสอบทรายให้เด็กพวกนั้นรุมสกรัมทุกวี่ทุกวัน ฉันเข้าใจถูกไหม? ”
มาลีวัลย์พยักหน้าหงึกหงัก แม้จะไม่เข้าใจความหมายของกระสอบทรายหรือรุมสกรัมเลยก็ตาม
“น่าสงสาร” พฤกษ์พึมพำกับตนเอง พูดต่อว่า
“แล้วแกคิดจะเอายังไงต่อ ยังอยากเป็นเพื่อนกับพวกมันอยู่อีกหรือเปล่า”
“มะลิยังไม่รู้เลยค่ะ.. พี่อินทร์บอกว่าสิ่งที่พวกนั้นทำมันไม่เรียกว่าเพื่อน”
“ถูก” เขาพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันคิดว่าแกคงมีคำตอบในใจแล้วล่ะว่าจะคบคนแบบนั้นเป็นเพื่อนต่อหรือเปล่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้แต่คือการใช้ชีวิตในโรงเรียนของแกต่อจากนี้ต่างหาก ฉันพนันได้เลยว่าแกต้องถูกไอ้เด็กเวรนั่นรังแกอีกนั่นแหละ ..และอาจจะแรงขึ้นด้วย”
“ฮื้ออออออ” เด็กหญิงคร่ำครวญ “ไม่มีทางแก้เลยหรือคะ”
“วิธีแก้มันมีแต่แกไม่ยอมทำต่างหาก ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่มีใครช่วยแกได้ถ้าแกไม่ยอมช่วยตัวเองก่อนน่ะ”
“...”
“ในเมื่อวันนั้นแกยืนยันกับปากว่านั่นคือการเล่นกันแบบเด็ก ๆ แล้วใครที่ไหนจะไปช่วยอะไรได้ ไอ้ฉันที่ออกหน้าไปหรือก็เสียหมากลับมาอีก ไหนจะไอ้พีร์ไอ้เขี้ยว ทั้งหมดนั่นก็เพราะแก”
“มะลิขอโทษค่ะ ..ถ้าวันนั้นมะลิกล้าพอ” เด็กหญิงเม้มริมฝีปาก
“เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้..”
“เฮ้อออ” พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด จ้วงเอาเค้กที่อยู่ตรงหน้าขึ้นเคี้ยวหนุบหนับ
“มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าเกิดแกพูดความจริงไป วันต่อมาไปโรงเรียน เพื่อนแกไม่เหม็นขี้หน้าแย่หรือ ..สรุปก็คือแกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีต่างหาก”
“สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี..” มาลีวัลย์ทวนคำอย่างใคร่รู้ พฤกษ์เองก็ไม่ได้ใส่ใจจะมานั่งอธิบายให้กระจ่างไปเสียทุกเรื่องจนปล่อยให้เด็กหญิงครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นต่อไป
“ปีนี้แกปอหกแล้วใช่ไหม สอบปลายภาคเมื่อไหร่? ”
“มะลิไม่แน่ใจ ..คงจะเป็นเดือนหน้าค่ะ”
“มอหนึ่งล่ะ ..แกต่อที่ไหน ที่เดิมหรือ? ”
มาลีวัลย์พยักหน้าหงึกหงัก เป็นคำตอบที่ทำเอาพฤกษ์ต้องถอดแว่นสายตาออกและนวดคลึงสันจมูกไปมา
“ไปเรียนต่อที่อื่นซะ” เขาชี้นิ้วสั่ง “ห้ามเรียนที่เดิม”
“ทะ ทำไมหรือคะ”
“ฉันเพิ่งบอกอยู่หลัด ๆ ว่าแกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่ไง ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ย้ายโรงเรียนไปเสีย ไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ เจอเพื่อนร่วมชั้นใหม่ ฉันจะให้คุณพ่อจัดการหาโรงเรียนดี ๆ ให้แก”
“แต่ว่า.. แบบนี้เหมือนกับกำลังหนีอยู่เลยนี่คะ”
“หนี? ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน ครู่หนึ่งพฤกษ์จึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย ตอบเด็กหญิงไปว่า
“แกจะคิดว่ามันคือการหนีก็ได้นะ แต่ฉันแค่คิดว่าที่ไหนที่อยู่แล้วมันไม่มีความสุข แกก็ไม่จำเป็นต้องทนอยู่ ทำไมต้องทนหรือ? เพราะเพื่อนงั้นหรือ? ฉันจะบอกอะไรให้ บนโลกนี้มีคนอีกเป็นล้าน คนที่สามารถเป็นเพื่อนกับแกได้มีอยู่ในทุก ๆ ที่ เมื่อไหร่ที่แกเอาตัวเองไปอยู่ถูกที่ เมื่อนั้นแกก็จะมีตัวตนเองนั่นแหละ ..เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
เด็กหญิงพยักหน้าน้อย ๆ รับคำและนิ่งไปเพื่อใคร่ครวญถึงคำพูดเมื่อครู่
“แล้ว ..จนกว่าจะสอบเสร็จ มะลิควรทำอย่างไรดีคะ? ”
“อดทน”
พฤกษ์รินชาชั้นดีใส่ถ้วยก่อนจะยกขึ้นเป่าไล่ความร้อน ดวงตาคมกริบจ้องมองเด็กหญิงผ่านกลุ่มควันที่ลอยขึ้นอย่างแผ่วเบาเหนือปากถ้วย
“แต่แกไม่จำเป็นต้องอดทนก็ได้”
“...”
“รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกไป โกรธก็แสดงออกไปว่าโกรธ ไม่ชอบก็แสดงออกไปเลยว่าไม่ชอบ แกไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เพื่อให้คนอื่นกดขี่ข่มเหง แกเป็นมนุษย์เหมือนพวกมัน เป็นเพียงแค่เด็ก ควรใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไม่ควรต้องเจอเรื่องแบบนี้”
เขาบรรจงวางถ้วยชานั้นลงกับโต๊ะและลุกขึ้นยืน ร่างโปร่งเดินไปหยุดอยู่ข้างตัวเด็กหญิง มาลีวัลย์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยตากลมโตใสแจ๋วก่อนจะต้องตกใจเมื่อฝ่ามือเรียวสวยทำท่าจะวางลงมาบนศีรษะ
เด็กหญิงหลับตาหยี
“ขอโทษด้วย ..ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แกเป็นอย่างทุกวันนี้”
ทว่า ..จนแล้วจนรอดก็ไม่มีสัมผัสใดทาบลงมาที่กลางศีรษะ พฤกษ์ชักมือกลับและกำมันไว้อย่างนั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องรับแขกในที่สุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ