คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.37K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
40) 00 40
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 40
หนึ่งอาทิตย์มานี้อินทรชิตรู้สึกว่าตนเองมีความสุข อิ่มเอมและมีชีวิตชีวามากกว่าครั้งไหน ๆ นั่นก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพฤกษ์ดีขึ้นมากถึงมากที่สุด อีกฝ่ายยอมเปิดใจให้เขาถึงเนื้อถึงตัวโดยไม่มีท่าทีอึดอัด ถึงขนาดที่ว่าแอบย่องเข้าไปนอนด้วยกลางดึกก็ไม่บ่นหรือผลักไสเลยสักคำ แม้คืนแรก ๆ จะไม่ให้เขานอนกอดเลยก็เถอะ แต่อินทรชิตไม่ใช่คนโง่ คุณพฤกษ์เป็นคนขี้ร้อนก็จริงแต่ก็หลับลึกไม่แพ้กัน เมื่อไม่ให้กอด เขาก็แค่รอให้อีกฝ่ายหลับ พอหลับแล้วเขาจะทำอะไร จะกอดจะหอมคุณเขาก็แทบจะไม่รู้สึกตัวสักนิด
“มะลิไม่ค่อยเห็นพี่อินทร์ผิวปาก” มาลีวัลย์เอ่ยทักขณะที่ยืนใส่รองเท้านักเรียนอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาหันกลับมาก่อนจะยิ้มกว้าง
“คงเพราะพี่อารมณ์ดีมั้งคะ”
“พี่อินทร์มีแฟนหรือครับ” พงพีเยี่ยมหน้าออกมาจากรถตู้ถามเสียงดัง อินทรชิตถึงกับหูแดงก่ำ รีบหัวเราะกลบเกลื่อนทันที
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“แหม” พงพีหรี่ตา “ดูมีลับลมคมในจริงจริ๊ง”
“ยุ่ง” อินทรชิตทำเสียงขู่น้อง เขาหันมาหามาลีวัลย์ “ตั้งใจเรียนนะคะ”
“รับทราบ! ” หญิงสาวตะเบ๊ะท่าก่อนจะกระโดดหอมพี่ชายฟอดใหญ่ ขณะนั้นเองก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามา มาลีวัลย์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอ พูดลอย ๆ ว่า
“พี่ฉัตรนี่เขาก็ไม่เบื่อเนาะ ขยันมาหาคุณพฤกษ์ได้ทุกวี่ทุกวัน” ส่วนคุณพฤกษ์ก็ใช่ย่อย ขยันไม่อยู่ติดบ้านทุกครั้งที่ฉัตรตะวันมาหา มาลีวัลย์ไม่รู้หรอกว่าระหว่างพี่ ๆ มีปัญหาอะไรกัน แต่ต้องเป็นเรื่องที่เด็กอย่างเธอไม่เข้าใจแน่นอน พี่ฉัตรคงไปอะไรให้คุณพฤกษ์ของเธอโกรธ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่เข้าข้างคนที่ทำให้คุณพฤกษ์เสียใจเป็นอันขาด
“ไปขึ้นรถเถอะ” เขาสั่ง ทว่าหญิงสาวกลับหันมาทำตาดุ
“ไม่ค่ะ” เธอว่า “ขืนปล่อยให้อยู่กันสองคนเดี๋ยวก็ต่อยกันอีกหรอก”
อินทรชิตลูบศีรษะน้องสาวก่อนจะทอดสายตามองรถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ทุกทีเห็นจะมาก็แค่ตอนบ่าย ๆ หรือช่วงค่ำเท่านั้นทว่แต่ดันเล่นมาดักรอตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้คุณพฤกษ์ของเขาคงไม่มีทางหนีหน้าฉัตรตะวันพ้นแน่ ๆ
“คุณพฤกษ์ตื่นหรือยัง” ฉัตรตะวันลงจากรถยนต์มาก็ถามมาลีวัลย์เป็นคนแรก อีกฝ่ายทำราวกับเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย
“คุณพฤกษ์ไม่อยู่” อินทรชิตเป็นฝ่ายตอบคำถาม ฉัตรตะวันหันขวับมามองเขาตาขวางทันที
“ไม่มีทาง! ฉันยังเห็นรถจอดอยู่”
“คุณพฤกษ์ไม่ได้มีรถแค่คันเดียว”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฉันไม่เชื่อ”
“จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะนะ” อินทรชิตยักไหล่ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มยียวนชวนให้อีกฝ่ายคิ้วกระตุกอยู่เป็นพัก ๆ เมื่อเห็นว่าถามเอาความจากเขาแล้วไม่ได้คำตอบ ฉัตรตะวันก็ไปรบเร้าเอากับมาลีวัลย์
“จริงหรือเปล่ามะลิ”
“จริงค่ะ” หญิงสาวผสมโรง “คุณพฤกษ์ไม่อยู่จริง ๆ พี่ฉัตรกลับไปเถอะ”
“อย่าโกหกพี่นะ” ฉัตรตะวันกดเสียงขู่พร้อมกับจับแขนบางเอาไว้แน่น “คุณพฤกษ์อยู่ใช่ไหม? ”
คราวนี้เป็นมาลีวัลย์ที่เริ่มหน้าถอดสี พงพีที่เห็นท่าจะไม่ดีจึงกระโดดออกมาจากประตูรถบ้านที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มคว้าแขนของฉัตรตะวันเอาไว้อย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าอินทรชิตที่กำลังคิดจะทำสิ่งเดียวกันเสียอีก
“ปล่อย” เสียงทุ้มว่า จ้องตาคนที่อายุมากกว่าอย่างแข็งกร้าว “พี่กำลังทำให้น้องผมกลัว”
ฉัตรตะวันเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้ทำกิริยาเสียมารยาทกับหญิงสาวลงไป กำลังจะเอ่ยปากขอโทษอย่างจริงใจ ทว่ามาลีวัลย์ก็ถูกดันให้ไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นพี่เสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจ พูดว่า
“พี่จะขึ้นไปดูที่ห้อง”
“หยุด” อินทรชิตกางแขนขวางไว้ได้ทันควัน ดวงตาคมกริบอัดแน่นไปด้วยความไม่พึงพอใจ
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านคุณ” เขาว่า “อย่าทำอะไรตามใจตัวเอง”
“ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านแกเหมือนกัน”
“แต่ที่นี่เป็นบ้านผม” พงพีพูดขึ้น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลอกเลียนน้ำเสียงราบเรียบและท่าทางหยิ่งทะนงของคุณพฤกษ์มาใช้ข่มขู่อีกฝ่าย
ชายหนุ่มกุมมือน้องสาวไว้แน่นและเชิดหน้าขึ้นมองฉัตรตะวัน
“ในฐานะเจ้าบ้านผมขอให้พี่กลับไปเดี๋ยวนี้! ”
อินทรชิตเหมือนจะโล่งใจที่เห็นฉัตรตะวันกลับออกไปทันทีที่พงพีใช้อำนาจเด็ดขาด ทว่าไม่นานนักเขาก็ถูกอีกฝ่ายขับรถปาดหน้าจนล้มลงจากจักรยานยนต์
“มึงจะหาเรื่องกูให้ได้เลยใช่ไหมวะ” อินทรชิตกัดฟันกรอดขณะที่พยุงดูคาติลูกรักของตนเองขึ้นมาจากบนพื้น ฉัตรตะวันที่เพิ่งลงจากรถยนต์ก็เปิดคำถามใส่เขาเป็นอย่างแรกแทนที่จะถามว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“บอกมาตามตรง คุณพฤกษ์เป็นอะไรกันแน่”
“อยากรู้ก็ไปถามเอาเองดิวะ” ชายหนุ่มฉุนเฉียว
“ฉันไปแน่ถ้าไม่มีหมาบางตัวมาคอยกันท่าเสียก่อน” หมาบางตัวที่ว่าหันมามองฉัตรตะวันตาขวาง
“อยากรู้นักใช่ไหม” เขาถามน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ใช่” ฉัตรตะวันตอบ “มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์เจอคุณพฤกษ์อีก”
“คำตอบง่ายมาก..” อินทรชิตยิ้มระรื่น ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นชาน่าขนลุก คำตอบต่อมาของเขาทำให้ฉัตรตะวันถึงกับเสียการทรงตัวไปอย่างดื้อ ๆ
“เขาเขี่ยคุณทิ้งแล้วคุณฉัตร”
“หมาย..” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “หมายความว่ายังไง”
“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ลองไปถามกับแม่ของคุณดูสิ”
พอได้ยินคำว่าแม่ ฉัตรตะวันก็ถึงกับเซไปด้านหลัง ร่างสูงพิงกับรถยนต์ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ อย่างหมดแรง สีหน้าก็ย่ำแย่จนคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ คนฉลาดอย่างฉัตรตะวันมีหรือจะเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับคุณพฤกษ์มันได้ขาดสะบั้นลงแล้วด้วยฝีมือของผู้เป็นแม่
อินทรชิตที่ยืนมองอยู่ก็รู้สึกสังเวชปนสะใจเมื่อได้เห็นสภาพน่าสมเพชของอีกฝ่าย ทว่าชั่ววูบหนึ่งเขาก็เผลอคิดขึ้นมาว่าในอนาคตข้างหน้าคนที่มีสภาพแบบนี้อาจจะเป็นตัวเขาก็ได้
เผลอ ๆ เขาคงจะน่าสมเพชและใจสลายยิ่งกว่าฉัตรตะวันในตอนนี้เสียอีก
วันนี้เป็นวันศุกร์ ฉะนั้นคืนนี้อินทรชิตจึงมาหาคุณพฤกษ์ที่ห้องตั้งแต่สี่ทุ่มแทนที่จะเป็นเที่ยงคืนดังเช่นทุกวัน คุณพฤกษ์นอนคว่ำอยู่บนเตียง กำลังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์เรื่องเดิมที่ดูค้างต่อจากเมื่อคืน ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็กระตุกยิ้ม ค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้และขึ้นคร่อมบั้นงามงอนอย่างใจเย็น มือใหญ่ข้างหนึ่งสอดเข้าไปในชุดคลุมผ้าซาติน ส่วนอีกข้างก็บีบคลึงแกนกายที่อยู่ภายใต้กางเกงของตนเองเบา ๆ ไปพลาง
เสียงถอนหายใจดังขึ้น อินทรชิตถึงกับหยุดมือ คุณพฤกษ์เหลือบสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดูหน้าจอไอแพดดังเดิม เสียงนุ่มเอ่ยเตือน
“อย่าให้เลอะ” และ “ถ้าเลอะก็ทำความสะอาดให้เกลี้ยงเลยนะ”
ชายหนุ่มกู่ร้องอยู่ในใจอย่างเปรมปรีดิ์ก่อนจะเลิกชุดคลุมสีชมพูอ่อนขึ้นโชว์แผ่นหลังขาวผุดผ่องกระจ่างสายตา ทว่ามันยังไม่ใช่ทั้งหมด ขณะที่นิ้วเรียวหนาเกี่ยวเอากางเกงและชั้นในของคุณพฤกษ์ลง แก้มก้นงามสวยก็ดีดเด้งออกมาให้เห็นทันที อินทรชิตกลืนน้ำลายลงคอ ชายหนุ่มโน้มตัวลงต่ำ ใช้ริมฝีปากหนาจูบลงบนก้อนนุ่มหยุ่นกลมกลึง ลิ้นร้อนสีแดงสดแลบออกมาลามเลียสลับกับดูดเม้มอย่างคลั่งไคล้
“อ๊ะ..” เมื่อกระทำจนหนำใจก็ใช้ฟันคมขบลงไปจนเกิดรอยเป็นการปิดท้าย เรียกเสียงนุ่มให้ครวญหาได้เป็นอย่างดี
“ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาไล่ระดมจูบขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง กระทั่งร่างสูงซ้อนทับอยู่ด้านบน อินทรชิตจึงซุกจมูกลงบนกลุ่มเส้นผม สูดเอาความหอมละมุนเข้าปอดและเริ่มใช้ริมฝีปากคลอเคลียลงมาเรื่อย ๆ จนถึงซอกคอ
“อืม” ชายหนุ่มครวญขึ้นในลำคอขณะขยับสะโพกสอบเสียดสีกลางกายที่แข็งตึงเข้ากับร่องก้นนุ่ม เขาขบและเลียที่ใบหูเย็นเฉียบ พูดว่า
“สนใจผมหน่อย”
“สนใจอยู่” เสียงนุ่มว่า ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าของคริส อีแวนส์ที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอ อินทรชิตกัดฟันกรอด เขาขมวดคิ้วแน่น นึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจที่เห็นคุณพฤกษ์สนใจนักแสดงในดวงใจมากกว่าตนเอง ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นนั่งและล้วงเอาแกนกายที่ตอนนี้กำลังขยายใหญ่เต็มที่ออกมาสูดอากาศ เอาสิ ในเมื่อไม่สนใจเขานักก็จะทำให้สนใจให้ได้เลยคอยดูสิ
ว่าแล้วมือใหญ่ก็วางลงบนก้นงามงอนทั้งสองก่อนจะออกแรงขยำเสียจนเนื้อนุ่มบวมขึ้นมาตามง่ามนิ้วทั้งสิบ อินทรชิตกัดริมฝีปากตนเองขณะที่เบะแก้มก้นทั้งสองออกจากกัน รอยจีบสีชมพูอ่อน ๆ ปรากฏเด่นชัดตัดกับผิวสีขาวผุดผ่อง เขาไม่รั้งรอที่จะใช้ปลายหัวมนทู่ถูไถกับช่องทางสีอ่อนระเรื่อที่ปิดแนบสนิท
“อ่ะ.. ซี๊ด” เขาสูดปากขึ้นเพราะรู้สึกเสียวแปลบตรงส่วนหัวบาน กระนั้นคุณพฤกษ์ก็ยังคงนอนนิ่งและจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้า การกระทำนั้นสร้างความขุ่นเคืองปนน้อยใจให้แก่อินทรชิตเป็นอย่างมาก ชั่วครู่หนึ่งที่เขาก้มลงมองเบื้องล่างก็นึกอยากจะแกล้งว่าโดนผีผลักแล้วกระแทกแกนกายใหญ่โตที่คุณเขากลัวนักกลัวหนาเข้าไปข้างในจนมิดลำเสียให้รู้แล้วรู้รอด อ่า.. แค่คิดอะไรหยาบช้านิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็พลันมีอารมณ์กำหนัดเพิ่มมากขึ้นจนส่วนหัวมีเมือกสีใสเอ่อล้นออกมาเปียกชุ่ม
“คุณพฤกษ์.. ผม” เขาหายใจติดขัด พูดต่อไปว่า “ผมเสียว”
“แกเสียวหรือ” ใบหน้านุ่มนวลละจากหน้าจอหันหลังกลับมามอง จู่ ๆ คุณพฤกษ์ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก ก่อนที่มือบางจะเอื้อมมากุมแกนกายของเขาเอาไว้ อินทรชิตกำลังเครื่องร้อน จิตใจงุ่นง่านใคร่หาแต่ราคะ เมื่อเห็นว่าคุณเขาไม่ยอมใช้ฝ่ามือรูดรั้งให้สักทีก็เริ่มขยับเอวสอบเพื่อให้แกนกายขยับเข้าออกเสียเอง
“ลามก” คุณพฤกษ์ว่า “ในหัวคิดแต่เรื่องต่ำ ๆ กับฉันทุกวันเลยสิท่า”
เสียงนุ่มเย้ยหยัน แต่แปลกนักที่กลับทำให้เขาเสียวกระสันเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเก่าเสียอีก คุณพฤกษ์ปล่อยแกนกายของเขาทิ้งและใช้มือแหวกแก้มก้นของตนออกจากกันเล็กน้อย
“มาสิ” เสียงนุ่มเชื้อเชิญ
“ถ้าทำแบบนี้แกจะเสียว”
อินทรชิตสติหลุดเดี๋ยวนั้น ชายหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากจนชุ่มก่อนจะค่อย ๆ ถูไถแกนกายที่ปวดตึงผ่านเข้าไปในร่องก้น คุณพฤกษ์ช่วยใช้มือบีบแก้มก้นให้รัดท่อนเอ็นของเขาแน่นขึ้นอีกแรง
“แน่นจังครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะที่วางมือลงบนบั้นเอวทั้งสอง
“รู้หรือเปล่าว่าของจริงแน่นกว่านี้”
“ไม่รู้ครับ” เขาพูดปด “แต่อีกไม่นานคงได้รู้”
“ช้า ๆ ..” คุณพฤกษ์พูดขณะที่เขากระแทกสะโพกใส่ก่อนจะหันกลับไปสนใจภาพยนตร์ตรงหน้าต่อ อินทรชิตที่ร้อนรุ่มไปทั้งกายยื่นมือข้างหนึ่งไปคว่ำหน้าจอไอแพดลงกับเตียง เสียงเข้มพูดอย่างเอาแต่ใจ
“สนใจแค่ผมคนเดียวก็พอ”
ก่อนจะกลับมาจับบั้นเอวให้มั่นมือและกระแทกกระทั้นแกนกายเข้ากับร่องนุ่มอย่างรุนแรงจนแทบจะบ้าคลั่ง
“แม่ง..” อินทรชิตสบถ “เสียวฉิบหาย”
ชายหนุ่มพูดคำหยาบอีกหลายต่อหลายคำที่ไม่อาจเอาออกอากาศได้ ร่างสูงโหมกระหน่ำสวนท่อนเอ็นเสียดสีไปมากับร่องก้อนบีบแน่น ความเสียวกระสันค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาจากต่ำจนสูงสุดและจวนเจียนจะสำลักออกมาในไม่ช้า คุณพฤกษ์ถูกเขาชำเรารุนแรงจนตัวสั่นตัวคลอนขึ้นลงไม่หยุด ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่คุณพฤกษ์นอนคว่ำอยู่แบบนี้ ไม่อย่างนั้นคุณเขาคงจะได้เห็นว่าสิ่งที่คร่อมทับอยู่บนตัวตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่กำลังติดสัดเลยสักนิด
“อ๊า” เขาครวญหา “..คุณพฤกษ์”
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความกระสันมากระจุกรวมกันที่ปลายหัวมน เขาจึงถอนแกนกายออกจากร่องก้นอย่างรวดเร็วและพลิกร่างโปร่งที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น อินทรชิตขยับขึ้นมาคร่อมอยู่บนอกบาง ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถอดแว่นสายตาออก ส่วนอีกข้างก็รูดรั้งขึ้นลงสุดชีวิต กระทั่งชายหนุ่มเสร็จสม หยาดน้ำสีขาวขุ่นก็อัดฉีดและพวยพุ่งออกมาโดนใบหน้าสวยจนเปรอะเปื้อนไปด้วยราคีอันมัวหมอง
“บ้าจริง” คุณพฤกษ์ลูบแก้มและยกขึ้นดูสิ่งที่เปื้อนติดปลายนิ้วมา
“อาทิตย์นี้แกแตกใส่หน้าฉันห้าครั้งแล้วนะ”
อินทรชิตถอยร่นกลับไปก่อนรีดเค้นของเหลวอีกบางส่วนที่คั่งค้างรดกับเป้ากางเกงจนเปียกเป็นคราบ เมื่อหนำใจแล้วชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด รู้สึกปลอดโปร่งและหัวสมองโล่งไปหมด
“คุณพฤกษ์จะเอาคืนผมก็ได้นะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดทว่าสีหน้าและแววตากลับเปรมปรีดิ์สุด ๆ จนน่าหมั่นไส้
“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น” คุณพฤกษ์ว่าพลางยกฝ่าเท้าขึ้นมายันหน้าท้องแกร่งให้หงายหลังล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง อินทรชิตยิ้มมุมปากเมื่อร่างโปร่งขยับขึ้นมาคร่อมทับช่วงหน้าอก คุณเขาล้วงเอาท่อนเอ็นที่แข็งตัวออกมาและใช้ส่วนหัวถูไถไปมากับริมฝีปากของเขาอย่างยั่วยวน
“ถ้าผมแข็งขึ้นมาอีกรอบคุณพฤกษ์ต้องรับผิดชอบนะครับ”
“อ้าปาก” คุณเขาเอื้อมมือมาขยุ้มเส้นผม “ฉันจะแตกในปากแก”
อินทรชิตน้อมรับแต่โดยดี ชายหนุ่มอ้าริมฝีปากทันที ทว่ายังไม่ทันที่จะส่งลิ้นร้อนออกไปทักทายสิ่งที่จ่ออยู่ตรงหน้า เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ร้องขึ้นมาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น
“ใคร” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหงุดหงิด อินทรชิตที่อยู่ใกล้จึงอาสาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดูให้แทน ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะแสร้งตีสีหน้าเป็นกังวลตอบคุณพฤกษ์เสียงหงอย ๆ ไปว่า
“สายจากคุณฉัตร..”
อีกฝ่ายสวนกลับ “ปล่อยไว้นั่นแหละ”
“จะไม่รับหรือครับ บางทีคุณฉัตรอาจจะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ก็ได้”
ดวงตาคมหรี่ลงมอง ไม่ใช่เพราะนึกสงสัยในตัวชายหนุ่มแต่เพราะตอนนี้ไม่ได้สวมแว่นสายตาแล้วต่างหาก อินทรชิตที่เห็นดังนั้นจึงคว้าแว่นสายตาที่ตกอยู่ไม่ไกลส่งคืนให้เจ้าของได้สวมใส่
“แกพูดอะไรนะ” คุณเขาทวนคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในมือเขากลับมา
“ผมอยากให้คุณพฤกษ์ลองคุยกับคุณฉัตรดูสักครั้ง”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะคุย”
“แล้วจะปล่อยให้ยืดเยื้ออยู่แบบนี้หรือครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
เมื่อคุณเขาพูดคำนั้นออกมา อินทรชิตที่ไม่รู้ว่าหาญกล้ามาจากไหนถึงมาแย่งโทรศัพท์ไปและกดรับสายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ชายหนุ่มรู้ว่าคุณพฤกษ์ต้องโมโหที่เขาทำลงไปโดยพลการ เราอาจจะมีปากมีเสียงกันหลังจากนี้ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลยคุณพฤกษ์ก็ไม่มีทางตัดสัมพันธ์กับฉัตรตะวันจริง ๆ จัง ๆ เสียที
กว่าจะได้คุณพฤกษ์มาก็เลือดตาแทบกระเด็น เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่ไขว่คว้าหามาทั้งชีวิตให้หลุดหายไปเด็ดขาด!
“ฮัลโหล..” เสียงเข้มพูดและหันมาสบตากับอีกฝ่ายที่มีสีหน้ามืดครึ้ม คุณพฤกษ์ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกระชากโทรศัพท์ไปพูดเอง
(คุณพฤกษ์..)
“...” เกือบจะเหวี่ยงใส่ปลายสายทว่าก็ถูกหยุดเอาไว้โดยน้ำเสียงที่สั่นเครือปนสะอื้น
..ฉัตรตะวันกำลังร้องไห้
ขณะที่พฤกษ์กำลังสับสน อินทรชิตก็ฉวยโอกาสนั้นรีบอ้าปากและงับแกนกายเข้าไปครึ่งลำด้วยเพราะกลัวว่ามันจะอ่อนตัวลงทั้งที่เขายังไม่ได้เป็นผู้ปลดปล่อย
“อึ่ก..” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า ไม่ใช่เพราะเคร่งเครียดในสิ่งที่ฉัตรตะวันกำลังพูดกับตนแต่เป็นเพราะลิ้นร้อนลวกกำลังตวัดเลียหัวมนที่คับแน่นอยู่ในโพรงปากนั่นต่างหาก
(ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าคุณแม่รู้เรื่องของเราแล้ว)
จากที่เสียวจนแทบจะกลั้นเสียงเอาไว้ไม่อยู่ก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ อารมณ์กำหนัดที่ฟุ้งขึ้นมาถูกดับลงทันทีเพราะคำพูดตัดพ้อและน้ำเสียงโศกเศร้าของฉัตรตะวัน
“คุณแม่คุณบอกแล้วหรือ”
(อินทรชิตเป็นคนบอกให้ผมไปถามคุณแม่)
พอได้ยินชื่อของคนที่กำลังออรัลเซ็กซ์ให้เขาอยู่ตรงหน้า พฤกษ์ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมา ชายหนุ่มใช้มือจิกเส้นผมขึ้นมากลุ่มหนึ่งและทึ้งศีรษะของอีกฝ่ายไปด้านหลังเพื่อให้สิ่งที่อมอยู่ในปากหลุดออกมา
“โอเค” พฤกษ์พูดน้ำเสียงเย็นเยียบขณะที่จ้องหน้าอินทรชิตนิ่ง ๆ “ได้ ผมจะไปถึงไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
ติ๊ด!
พฤกษ์กดวางสายและโยนโทรศัพท์ทิ้งก่อนจะปล่อยศีรษะของอินทรชิตให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อ นึกว่าเขายังคงต้องการให้ทำต่อจึงโน้มหน้าเข้าใกล้และจูบลงบนลำเอ็นอย่างรักใคร่
“พอ” เขาว่าพลางพลางดันอีกคนออก พฤกษ์ลงมายืนบนพื้นข้างเตียง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่วีนแตกขึ้นมา
“ฉันไม่ต้องการแกแล้ว กลับห้องไปซะ”
..ไม่ต้องการแกแล้ว เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้อินทรชิตใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ชายหนุ่มเหมือนถูกของแข็งฟาดเข้ากลางกระหม่อม เขากระพริบตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม” อินทรชิตเสียงสั่น “ผมทำอะไรผิด”
พฤกษ์สูดหายใจลึก ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
ชายหนุ่มพูดจบก็หันหลังจะเดินไปทางห้องน้ำ อินทรชิตที่ยังมีความสงสัยอยู่จึงลงจากเตียงมาคว้าข้อมือเอาไว้แต่ก็ถูกสะบัดทิ้งทันทีราวกับถูกรังเกียจ
“ออกไป” พฤกษ์พยายามใจเย็น “ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวแล้วตบหน้าแกสักที”
“ผมยอมให้คุณพฤกษ์ตบดีกว่าถูก— เพี๊ยะ!! ”
ยังไม่ทันที่อินทรชิตจะพูดให้จบประโยคด้วยซ้ำ ฝ่ามือเรียวสวยก็ฟาดลงมาที่แก้มข้างหนึ่งอย่างแรงทันที ชายหนุ่มแข็งค้างไปเพราะความตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาพร้อมรอยแดงรูปฝ่ามือบนหน้า
“แกยุ่งเรื่องของฉันมากไปแล้ว”
ดูเหมือนอินทรชิตก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ชายหนุ่มเลิกตีหน้าซื่อ ดวงตาคมกริบฉายแววดุดันขึ้นมา น้ำเสียงเข้มพูดขึ้นอย่างไม่หวั่นเกรง
“ถ้าผมไม่ทำแล้วเมื่อไหร่คุณพฤกษ์จะเขี่ยเขาออกไปสักที” อินทรชิตว่า เขาเองก็รู้สึกโกรธขึ้นมาไม่แพ้กัน
“หรือว่าอยากจะควบสอง”
เพี๊ยะ!!
“ค่าที่แกปากดี พูดอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง”
อินทรชิตหันหน้ากลับมา ตอนนี้แก้มทั้งซ้ายและขวาต่างมีรอยมือครบทั้งสิบนิ้ว
“ปากดี? ” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก พยายามกรอกตาขึ้นเพื่อซ่อนสิ่งที่เอ่อคลออยู่ภายใน
“คุณพฤกษ์ทำเหมือนผมเป็นของเล่น รู้ว่าผมรักก็คิดจะทำยังไงกับผมก็ได้ คุณบอกว่าไม่เคยคิดกับเขาเกินเพื่อนแต่สุดท้ายก็เสียดาย ขนาดกับไอ้อัครก็ยังไปเล่นหูเล่นตาด้วยเลย! คนใจร้าย โลเลที่สุด! ผมอยากจะเกลียดคุณจริง ๆ! ”
พฤกษ์ง้างมือขึ้นอีกรอบหวังจะฟาดอินทรชิตเพื่อเรียกสติ ทว่าก็ต้องกำมือลงเพราะใบหน้าหล่อเหลากลับมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเสียอย่างนั้น
มันอะไรกันผู้ชายพวกนี้ ทำไมมันร้องไห้กันเก่งนัก!
“ไปทำให้ตัวเองใจเย็นก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
สุดท้ายแล้วพฤกษ์ก็ใจอ่อน ทว่าอีกฝ่ายกับดื้อดึง
“ไม่! ผมจะคุยตอนนี้”
“แกใจร้อน มันจะยิ่งเลวร้าย ไปสงบสติอารมณ์ซะ เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วเราค่อยคุยกัน”
“ไม่เอา! ”
“อินทรชิต”
“แล้ว..” ชายหนุ่มยกมือป้ายน้ำตาออกจากตา จากที่ดุดันอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนมาเชื่องเหมือนไม่เคยถูกตบถูกตีมาก่อน “คุณพฤกษ์จะไปไหนครับ”
“ไปหาคุณฉัตร”
อินทรชิตน้ำตาร่วงเผาะลงมาทันทีที่ได้ยินราวกับสั่งได้ดังใจ พฤกษ์สุดจะอับจน เขายกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
“อย่าร้อง” เสียงนุ่มว่า
“ฉันจะจัดการเรื่องคุณฉัตรอย่างที่แกต้องการ”
“อัคร นั่นแกจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ? ”
อัคราที่กำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นถึงกับชะงักเพราะเสียงแหลมของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ขณะที่สิรีลุกขึ้นเดินมาหาลูกชายเพียงคนเดียว
“โอ๊ย” ชายหนุ่มโอดครวญและก้มลงมองโทรศัพท์ที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง “สาววัยทองยังไม่นอนอีกหรือป่านนี้”
สิรีมองลูกชายตาเขียว มือเรียวฟาดไปที่แขนแกร่งอย่างรุนแรง “เจ็บนะแม่! ”
“ฉันไม่ตบปากแกก็ดีเท่าไหร่แล้วไอ้ลูกบ้า”
“รักหรอกจึงหยอกนะ” อัคราทำหน้าทะเล้น
“แกว่าแม่แก่” เธอหยิกแก้มลูกชายจนหน้าโย้
“โอ๊ยๆๆๆๆๆ แม่คุณเอ๊ย! แก่แต่แซ่บไง กระดังงาลนไฟไม่รู้จักหรือแม่”
สิรีปล่อยมือจากลูกชาย พูดว่า “ไม่ต้องมาปลิ้นปล้อน ฉันรู้นิสัยแกดี แกมันกะล่อน”
“ใจร้ายจริง” ชายหนุ่มลูบแก้มตนป้อย ๆ “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนอีก”
ผู้เป็นแม่ไม่ตอบทว่ายืนมองออกไปด้านนอก อัคราจึงมองตามไปแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
“แม่รอพ่ออยู่หรือ? ”
“เปล่า” เธอว่า “ทำไมฉันต้องรอผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นด้วย”
“อ่า รอพ่อสินะ”
“ไม่ได้รอ! ”
“ปากแข็ง”
“ฉันเปล่า”
“อย่าโกหกหัวใจตัวเองเลยคนสวย”
“ตาอัคร–”
“นั่นไง พ่อกลับมาแล้ว! ”
สิรีหันขวับไปตามคำของลูกชายแต่มันกลับเป็นเพียงถ้อยคำหลอกลวง เธอโกรธจนหน้าง้ำหน้างอ ง้างกำปั้นทุบหลังอัคราเสียดังแอ่กก่อนจะเดินหนีขึ้นบันไดกลางไปเสียดื้อ ๆ
ขณะเดียวกันนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ ชายหนุ่มจึงวิ่งไปที่หัวบันได ตะโกนขึ้นไปว่า
“คนสวย! คราวนี้สามีคุณกลับมาจริง ๆ แล้วนะ”
“ไปตายซะ! ”
อัครายืนหัวเราะอยู่ลำพังก่อนจะหันไปเห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
“แม่ของลูกล่ะ” สิงหลถามขณะคลายเนคไทที่รัดแน่นตลอดทั้งวันลง
“เพิ่งกลับขึ้นไปก่อนพ่อมาเมื่อกี้เอง”
“อืม”
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าอะ”
“ไม่ได้ทะเลาะกัน”
“ปากแข็งอีกคนละ”
“หมายความว่ายังไง”
“แม่มานั่งรอพ่อกลับบ้านทุกวันเลยรู้ไหม”
สิงหลหลุดยิ้มก่อนจะมีสีหน้าที่ค่อย ๆ เศร้าหมองลง
“อย่างนั้นหรือ” เขาว่า “แล้วคุณพ่อล่ะ”
“ปู่ไม่อยู่” อัคราตอบ “ไปไหนไม่รู้เหมือนกัน ถามเลขาก็ไม่บอก”
“คุณพ่อคงไปตามสืบเรื่องของรณพักตร์อีกนั่นแหละ”
อัคราที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รณพักตร์คือชื่อที่ตัวเขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นชื่อของลูกพี่ลูกน้องที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ระเบิดเมื่อสิบกว่าปีก่อนพร้อมกับสิงหาและมินตราผู้เป็นลุงแท้ ๆ และป้าสะใภ้ของเขา แต่เพราะผลสุดท้าย ตำรวจกลับพบศพที่ไหม้เกรียมของลูกชายคนโตและลูกสะใภ้เหลืออยู่บนเบาะรถยนต์ที่กลายเป็นตอตะโกเพียงแค่สองศพ ปู่ของเขาจึงเชื่ออย่างสุดใจว่าหลานชายอีกคนยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนจึงออกสืบเสาะตามหามาตลอดจนถึงทุกวันนี้
ทว่า.. ไม่ว่าสิงขรจะใช้เส้นสาย เงินจำนวนมากหรือวิธีใดก็ไม่อาจตามหาหลานชายที่หายไปจนพบได้ ราวกับว่ามีใครบางคนได้ปกปิดและกลบร่องรอยที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดทิ้งไปจนหมด
“พ่อก็เชื่อหรือว่าเขายังไม่ตาย”
สิงหลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบลูกชายไปว่า
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“แล้วถ้าสมมติวันหนึ่งเขากลับมาอ่ะ พ่อจะทำยังไง? ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงขณะที่มองสีหน้าลูกชาย
“พ่อสิต้องถามเรา” เขาว่า “ถ้าพี่ชายของลูกยังมีชีวิตอยู่และกลับมาที่นี่ลูกจะทำยังไง? ”
ชายหนุ่มยืนนิ่งและทำหน้าคิดหนัก สิงหลวางมือลงบนบ่าลูกชาย พูดว่า
“ลูกรู้ใช่ไหมว่าคุณปู่ไม่เคยลำเอียง ..ไม่ว่ากับใคร”
“...”
“เรามีทุกอย่าง ..มากเกินและเหลือเฟือโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนหรือต้องไปแก่งแย่งกับใคร และลูก อัครา ลูกมีต้นทุนชีวิตที่ดีอยู่แล้ว รู้ใช่ไหม? อนาคตต่อจากนี้ก็จะได้รับทุกอย่างที่ลูกควรจะได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ลูกไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เข้าใจที่พ่อกำลังบอกใช่ไหม? ”
“พ่ออย่ามองผมแบบนั้นดิ” อัคราทำหน้าเหยเก “ทำอย่างกับผมเป็นตัวร้ายในละครหลังข่าวไปได้”
“นี่กำลังจริงจังอยู่นะ” สิงหลทำหน้าเครียด
“แล้วผมไม่จริงจังตรงไหน” เขาหัวเราะ “นี่พ่อคงกลัวผมอิจฉาเขาล่ะสิถ้าสมมติเขายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ..ตลกน่า นี่ชีวิตจริงนะพ่อไม่ใช่ละคร เรารวยกันตั้งขนาดนี้ มีกินมีใช้อีกกี่สิบชาติก็คงไม่หมดแล้วทำไมผมต้องไปอิจฉาคนอื่นด้วยล่ะ โอเค ถ้าเขากลับมาจริง ๆ ผมอาจจะไม่คุ้น นั่นมันเรื่องปกติหรือเปล่าเพราะเราไม่เคยเจอหน้ากันเลย ผมกับเขาคงรู้สึกเหมือนคนแปลกแค่นั้นแหละถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม ผมว่าพ่อคิดมากเกินไปแล้วอะ อ้อ ถ้าจะห่วงจริง ๆ พ่อไปห่วงแม่เถอะ รายนั้นน่ะหวงสมบัติบ้านนี้ยิ่งกว่าปู่โสมเสียอีก”
ผู้เป็นพ่อถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “นั่นสินะ”
“แล้วนี่จะไปไหน”
“กินเหล้าฮับ”
สิงหลหรี่ตามอง “รู้กฎใช่ไหม”
“ห้ามเล่นยา เมาห้ามขับ มีเซ็กส์ใส่ถุงยาง”
“ดีมาก” เขาพยักหน้า “ไปได้ ขับรถดี ๆ ”
สี่ทุ่มครึ่งโดยประมาณ อัคราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง หากเป็นวันปกติแล้วเขามักจะเลือกผับหรู ๆ ที่มีผู้คนหนาแน่นไปด้วยเหล่าไฮโซเซเลบมากกว่าร้านนั่งชิลล์ยามค่ำคืนแบบนี้ สาเหตุก็เป็นเพราะอยากแกล้งบังเอิญมาเจอใครบางคนที่มักจะมานั่งหน้าหงอยอยู่ที่นี่เป็นประจำทุกวันศุกร์
ชายหนุ่มเช็คเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน พนักงานคนเดิมที่เห็นกันทุกวันศุกร์ยิ้มและทักทายให้เขาอย่างคนคุ้นเคย
“วันนี้มาช้านะน้อง”
“ได้ไง เพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่งเอง” อัคราหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบ “เขามายัง”
“นั่งอยู่ชั้นสอง มาตั้งแต่สองทุ่ม” ชายหนุ่มตอบ “มาถึงเฮียแกก็ซัดของหนักเลย ป่านนี้หน้าทิ่มกับโต๊ะแล้วมั้ง”
“จริงดิ”
“จริง ทะเลาะกับแฟนมาหรือเปล่าไม่รู้” พนักงานคนเดิมถอนหายใจ “แต่เมื่อกี้รู้สึกจะมีเพื่อนมานั่งด้วยแล้วนะ เพิ่งมาก่อนน้องสักห้านาทีได้”
“เพื่อน? ” อัคราเลิกคิ้ว เพราะอีกฝ่ายที่กำลังพูดถึงอยู่ไม่เคยพาใครมานั่งในร้านนี้เลยสักครั้ง “หน้าตาเป็นยังไง”
‘สูง ขาว ตัวหอม หล่อมากด้วย เด็กในร้านมองกันตาค้าง’
ใครกันนะ? ชายหนุ่มได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้และตั้งใจจะเดินขึ้นไปให้เห็นกับตา แต่พอโผล่หัวขึ้นมาบนชั้นสองได้หน่อยเดียวก็ต้องเบรกหัวเกือบทิ่มพื้นทันที อัครารีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้น อาศัยโต๊ะเก้าอี้เป็นเครื่องกำบังก่อนจะค่อย ๆ เยี่ยมหน้าโผล่ออกไปมองอย่างระมัดระวัง
ชั้นสองเป็นชั้นลอยที่สามารถให้ลูกค้ามานั่งดื่มและมองลงไปด้านล่างได้โดยมีกระจกใสกั้นเอาไว้ ลูกค้าปกติที่มานั่งดื่มและฟังดนตรีสดไปด้วยก็จะรวมกันอยู่ข้างล่างเป็นส่วนมาก ส่วนชั้นสองจะเป็นพื้นที่นั่งดื่มหรือรับประทานสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการเสียงรบกวนจากวงดนตรีที่อยู่ด้ายล่าง อัครามองไปยังโต๊ะบาร์ไม้ขนาดยาวที่ติดอยู่กับฝั่งกระจกที่แยกออกมาจากโต๊ะอาหารโต๊ะอื่น ๆ เขาเห็นผู้ชายชายสองกำลังนั่งหันหลังอยู่ คนแรกเขามั่นใจแน่นอนว่าคือพี่ฉัตรที่มักจะมานั่งดื่มอยู่ตรงนั้นเป็นประจำทุกวันศุกร์
ส่วนอีกคนนี่สิ ..เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตกใจถึงขั้นลงไปกอดกับขาโต๊ะแบบนี้
‘คุณพฤกษ์! ’
‘อะไร! ’
‘มาได้ยังไง! ’
‘รู้จักกันด้วยเร้อออ!! ’
จะโอดครวญไปก็เท่านั้นเพราะสิ่งที่อัคราสงสัยมากกว่าเรื่องที่ทั้งสองรู้จักกันคือเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ต่างหาก พี่ฉัตรเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่างยาวเหยียดด้วยสีหน้าที่กำลังร้องไห้ มือหนึ่งยกเหล้าซดอย่างกับน้ำเปล่าส่วนมือหนึ่งหยิบถั่วลิสงคั่วเกลือเข้าปากเคี้ยวไม่หยุด ในขณะที่คุณพฤกษ์กำลังนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ สีหน้าราบเรียบสวนทางกันอย่างถึงที่สุด ..ช่างเป็นภาพที่ดูแปลกตา ประหลาด พิลึกพิลั่น น่าพิศวงและชวนให้รู้สึกสงสัย
อัคราเป็นคนที่ถือคติว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ถึงที่สุด ดังนั้นแล้วเขาจึงเดินย่องเข้าไปนั่งข้าง ๆ เสียเลย เดชะบุญที่โต๊ะบาร์มีฉากกั้นอยู่จึงทำให้ทั้งสองคนไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่
‘เชี่ย.. นี่มันเรื่องอะไรกัน’
ชายหนุ่มเบิกตาโพลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองหลังจากที่จับใจความจากสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด …
“น้ำตาไม่ช่วยอะไรหรอกนะคุณฉัตร”
เสียงนุ่มเอ่ยทักทันทีที่มาถึง ฉัตรตะวันเงยหน้าจากแก้วเหล้าขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ผมรู้” เขาตอบขณะที่น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย “อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”
พฤกษ์เลื่อนเก้าอี้ทรงสูงออกและหย่อนกายลงนั่ง เขากวักมือเรียกพนักงานที่เดินอยู่มาสั่งเครื่องดื่มเสร็จสรรพ
“คุณแม่บอกทุกอย่างแล้ว..” ฉัตรตะวันกระดกเหล้า “เพราะแบบนี้หรือคุณถึงหลบหน้าผม”
“อันที่จริงไม่รู้ว่าจะบอกคุณยังไงดี”
“ก็เลยหลบหน้า”
“มันเป็นวิธีที่ไม่ถูก.. ผมรู้ ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ”
ฉัตรตะวันไม่ตอบ เขาเอาแต่ดื่มเหล้าและทานกับแกล้มบนโต๊ะไปเรื่อย ๆ ผ่านไปราวสิบนาทีถึงจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“คุณพฤกษ์เคยรักผมบ้างไหม”
“อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะครับ”
“แบบที่คุณพฤกษ์อยากตอบ”
“ไม่เคยรัก”
“เจ็บ” ฉัตรตะวันคว่ำหน้าลงกับโต๊ะและเริ่มสะอื้นออกมาอย่างคนหมดท่า พฤกษ์ที่เห็นอย่างนั้นก็รู้อ่อนใจ ยกมือขึ้นและลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม
“ผมไม่อยากให้เรื่องเราจบแบบนี้เลย อึ่ก.. ผมรักคุณพฤกษ์ ผมไม่อยากเสียคุณไป”
“ผมนึกว่าคุณจะเตรียมใจไว้แล้วเสียอีก”
“ไม่มีใครเตรียมใจกับเรื่องแบบนี้หรอก”
ฉัตรตะวันยืดตัวขึ้นนั่ง ประจวบเหมาะกับเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ชายหนุ่มจัดการชงเหล้าผสมโซดาสองแก้ว ยื่นให้พฤกษ์หนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้วกระดกเข้าปากรวดเดียวหมดแล้วคอพับลงกับโต๊ะทันที
“คุณโอเคนะ”
ฉัตรตะวันเอียงศีรษะมาซบตรงที่หัวไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงเมามายว่า
“คุณพฤกษ์จะเลิกคบผมหรือเปล่า” คนเมาถามตาเยิ้ม
“คุณยังเป็นเพื่อนสนิทผมตลอดไป”
“คุณแม่อคติกับคุณไปแล้ว ท่านไม่เอ็นดูคุณเหมือนแต่ก่อน อึ่ก.. อีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ห่างกันสักพักก่อน”
“ไม่เอา..”
“อย่าเอาแต่ใจ” พฤกษ์ดันศีรษะอีกคนออกและพยุงให้นั่งดี ๆ ชายหนุ่มพอตั้งตัวได้ก็คว้าแก้วขึ้นมาชงเหล้าต่ออย่างบ้าคลั่ง กะจะกินให้เมาหัวทิ่มกันไปข้างเลยทีเดียว
“อึ่ก ..รู้ไหมเวลาที่อยู่กับคุณผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีชีวิต ตลกดี ทำอย่างกับว่าผมตายไปแล้วอย่างนั้นแหละ ฮะฮะ ” ชายหนุ่มหัวเราะสักพักก็เปลี่ยนมาร้องไห้แทน “ที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดสำหรับคุณสินะ ..แต่มันเป็นความสุขอย่างเดียวของผมเลยรู้ไหม”
“....” พฤกษ์ไม่ตอบ เขากระดกเหล้าในมือเข้าปากทันที
“ชีวิตผมเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ประกอบขึ้นจากความคาดหวังของคุณแม่ ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ทุกอย่าง ถ้าทำอะไรผิดพลาดก็จะถูกกดรีเซ็ตแล้วเริ่มโปรแกรมใหม่ทั้งหมด สั่งให้ไปซ้ายห้ามไปขวา สั่งให้ไปข้างหน้าห้ามถอยหลังกลับ มันเป็นแบบนี้มาตลอด ..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชีวิตผมไม่เคยเป็นของผมสักครั้ง ไอ้ที่พอจะแหกกรอบออกมาได้ก็ถูกลากกลับเข้าไปใหม่ทุกที ผมไม่มีความฝันเลยคุณรู้ไหม ไม่มีเลย ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหรือชอบอะไรด้วยซ้ำแต่แปลกที่คุณแม่ดันรู้ทุกอย่างดีกว่าผมเสียอีก ผมไม่เคยเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ได้แต่เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น น่าสมเพช ชีวิตโคตรห่วยแตก อึ่ก ...อยากจะตายจริง ๆ ”
“อย่าพูดว่าจะตายออกมาง่าย ๆ เลยคุณฉัตร”
“อึ่ก..” ชายหนุ่มสะอึก
“รู้ไหมว่าความตายมันน่ากลัวมากเลยนะ โดยเฉพาะถ้าต้องตายโดยที่ไม่รู้แม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดเป็นยังไง ที่คุณบอกว่าชีวิตไม่เป็นของคุณเลยนั่นมันผิดนะ ชีวิตคุณเป็นของคุณมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่ยอมให้ใครมาบงการเสียอย่างแล้วใครจะมาทำอะไรได้ ผมว่าลึก ๆ คุณรู้อยู่แล้วว่าถ้าคุณจะไม่ยอมก็ได้ คุณจะดิ้นรนหรือลองขัดขืนก็ทำได้ง่าย ๆ แต่เพราะอะไรที่คุณยังยอมอยู่? เพราะคน ๆ เป็นแม่ใช่ไหมล่ะ? ผมพูดถูกไหม? ”
ฉัตรตะวันน้ำตาไหลพรากขณะมือกำลังชงเหล้าอยู่ พฤกษ์รีบกระดกเหล้าที่เหลืออยู่ลงคอทันทีและพูดต่อไปว่า
“รู้หรือเปล่าว่าครอบครัวเป็นสิ่งแรกที่ทำร้ายเรามากที่สุด”
“ชีวิตเป็นของคุณไม่ใช่ของแม่คุณ” และ “ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิต อยากเป็นแบบคุณฉายกับคุณปานหรือเปล่าล่ะ? ถ้าไม่ก็ต้องทำอะไรสักอย่างได้แล้ว”
หนึ่งอาทิตย์มานี้อินทรชิตรู้สึกว่าตนเองมีความสุข อิ่มเอมและมีชีวิตชีวามากกว่าครั้งไหน ๆ นั่นก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพฤกษ์ดีขึ้นมากถึงมากที่สุด อีกฝ่ายยอมเปิดใจให้เขาถึงเนื้อถึงตัวโดยไม่มีท่าทีอึดอัด ถึงขนาดที่ว่าแอบย่องเข้าไปนอนด้วยกลางดึกก็ไม่บ่นหรือผลักไสเลยสักคำ แม้คืนแรก ๆ จะไม่ให้เขานอนกอดเลยก็เถอะ แต่อินทรชิตไม่ใช่คนโง่ คุณพฤกษ์เป็นคนขี้ร้อนก็จริงแต่ก็หลับลึกไม่แพ้กัน เมื่อไม่ให้กอด เขาก็แค่รอให้อีกฝ่ายหลับ พอหลับแล้วเขาจะทำอะไร จะกอดจะหอมคุณเขาก็แทบจะไม่รู้สึกตัวสักนิด
“มะลิไม่ค่อยเห็นพี่อินทร์ผิวปาก” มาลีวัลย์เอ่ยทักขณะที่ยืนใส่รองเท้านักเรียนอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาหันกลับมาก่อนจะยิ้มกว้าง
“คงเพราะพี่อารมณ์ดีมั้งคะ”
“พี่อินทร์มีแฟนหรือครับ” พงพีเยี่ยมหน้าออกมาจากรถตู้ถามเสียงดัง อินทรชิตถึงกับหูแดงก่ำ รีบหัวเราะกลบเกลื่อนทันที
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“แหม” พงพีหรี่ตา “ดูมีลับลมคมในจริงจริ๊ง”
“ยุ่ง” อินทรชิตทำเสียงขู่น้อง เขาหันมาหามาลีวัลย์ “ตั้งใจเรียนนะคะ”
“รับทราบ! ” หญิงสาวตะเบ๊ะท่าก่อนจะกระโดดหอมพี่ชายฟอดใหญ่ ขณะนั้นเองก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามา มาลีวัลย์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอ พูดลอย ๆ ว่า
“พี่ฉัตรนี่เขาก็ไม่เบื่อเนาะ ขยันมาหาคุณพฤกษ์ได้ทุกวี่ทุกวัน” ส่วนคุณพฤกษ์ก็ใช่ย่อย ขยันไม่อยู่ติดบ้านทุกครั้งที่ฉัตรตะวันมาหา มาลีวัลย์ไม่รู้หรอกว่าระหว่างพี่ ๆ มีปัญหาอะไรกัน แต่ต้องเป็นเรื่องที่เด็กอย่างเธอไม่เข้าใจแน่นอน พี่ฉัตรคงไปอะไรให้คุณพฤกษ์ของเธอโกรธ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่เข้าข้างคนที่ทำให้คุณพฤกษ์เสียใจเป็นอันขาด
“ไปขึ้นรถเถอะ” เขาสั่ง ทว่าหญิงสาวกลับหันมาทำตาดุ
“ไม่ค่ะ” เธอว่า “ขืนปล่อยให้อยู่กันสองคนเดี๋ยวก็ต่อยกันอีกหรอก”
อินทรชิตลูบศีรษะน้องสาวก่อนจะทอดสายตามองรถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ทุกทีเห็นจะมาก็แค่ตอนบ่าย ๆ หรือช่วงค่ำเท่านั้นทว่แต่ดันเล่นมาดักรอตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้คุณพฤกษ์ของเขาคงไม่มีทางหนีหน้าฉัตรตะวันพ้นแน่ ๆ
“คุณพฤกษ์ตื่นหรือยัง” ฉัตรตะวันลงจากรถยนต์มาก็ถามมาลีวัลย์เป็นคนแรก อีกฝ่ายทำราวกับเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย
“คุณพฤกษ์ไม่อยู่” อินทรชิตเป็นฝ่ายตอบคำถาม ฉัตรตะวันหันขวับมามองเขาตาขวางทันที
“ไม่มีทาง! ฉันยังเห็นรถจอดอยู่”
“คุณพฤกษ์ไม่ได้มีรถแค่คันเดียว”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฉันไม่เชื่อ”
“จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะนะ” อินทรชิตยักไหล่ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มยียวนชวนให้อีกฝ่ายคิ้วกระตุกอยู่เป็นพัก ๆ เมื่อเห็นว่าถามเอาความจากเขาแล้วไม่ได้คำตอบ ฉัตรตะวันก็ไปรบเร้าเอากับมาลีวัลย์
“จริงหรือเปล่ามะลิ”
“จริงค่ะ” หญิงสาวผสมโรง “คุณพฤกษ์ไม่อยู่จริง ๆ พี่ฉัตรกลับไปเถอะ”
“อย่าโกหกพี่นะ” ฉัตรตะวันกดเสียงขู่พร้อมกับจับแขนบางเอาไว้แน่น “คุณพฤกษ์อยู่ใช่ไหม? ”
คราวนี้เป็นมาลีวัลย์ที่เริ่มหน้าถอดสี พงพีที่เห็นท่าจะไม่ดีจึงกระโดดออกมาจากประตูรถบ้านที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มคว้าแขนของฉัตรตะวันเอาไว้อย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าอินทรชิตที่กำลังคิดจะทำสิ่งเดียวกันเสียอีก
“ปล่อย” เสียงทุ้มว่า จ้องตาคนที่อายุมากกว่าอย่างแข็งกร้าว “พี่กำลังทำให้น้องผมกลัว”
ฉัตรตะวันเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้ทำกิริยาเสียมารยาทกับหญิงสาวลงไป กำลังจะเอ่ยปากขอโทษอย่างจริงใจ ทว่ามาลีวัลย์ก็ถูกดันให้ไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นพี่เสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจ พูดว่า
“พี่จะขึ้นไปดูที่ห้อง”
“หยุด” อินทรชิตกางแขนขวางไว้ได้ทันควัน ดวงตาคมกริบอัดแน่นไปด้วยความไม่พึงพอใจ
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านคุณ” เขาว่า “อย่าทำอะไรตามใจตัวเอง”
“ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านแกเหมือนกัน”
“แต่ที่นี่เป็นบ้านผม” พงพีพูดขึ้น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลอกเลียนน้ำเสียงราบเรียบและท่าทางหยิ่งทะนงของคุณพฤกษ์มาใช้ข่มขู่อีกฝ่าย
ชายหนุ่มกุมมือน้องสาวไว้แน่นและเชิดหน้าขึ้นมองฉัตรตะวัน
“ในฐานะเจ้าบ้านผมขอให้พี่กลับไปเดี๋ยวนี้! ”
อินทรชิตเหมือนจะโล่งใจที่เห็นฉัตรตะวันกลับออกไปทันทีที่พงพีใช้อำนาจเด็ดขาด ทว่าไม่นานนักเขาก็ถูกอีกฝ่ายขับรถปาดหน้าจนล้มลงจากจักรยานยนต์
“มึงจะหาเรื่องกูให้ได้เลยใช่ไหมวะ” อินทรชิตกัดฟันกรอดขณะที่พยุงดูคาติลูกรักของตนเองขึ้นมาจากบนพื้น ฉัตรตะวันที่เพิ่งลงจากรถยนต์ก็เปิดคำถามใส่เขาเป็นอย่างแรกแทนที่จะถามว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“บอกมาตามตรง คุณพฤกษ์เป็นอะไรกันแน่”
“อยากรู้ก็ไปถามเอาเองดิวะ” ชายหนุ่มฉุนเฉียว
“ฉันไปแน่ถ้าไม่มีหมาบางตัวมาคอยกันท่าเสียก่อน” หมาบางตัวที่ว่าหันมามองฉัตรตะวันตาขวาง
“อยากรู้นักใช่ไหม” เขาถามน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ใช่” ฉัตรตะวันตอบ “มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมฉันถึงไม่มีสิทธิ์เจอคุณพฤกษ์อีก”
“คำตอบง่ายมาก..” อินทรชิตยิ้มระรื่น ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นชาน่าขนลุก คำตอบต่อมาของเขาทำให้ฉัตรตะวันถึงกับเสียการทรงตัวไปอย่างดื้อ ๆ
“เขาเขี่ยคุณทิ้งแล้วคุณฉัตร”
“หมาย..” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “หมายความว่ายังไง”
“ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ลองไปถามกับแม่ของคุณดูสิ”
พอได้ยินคำว่าแม่ ฉัตรตะวันก็ถึงกับเซไปด้านหลัง ร่างสูงพิงกับรถยนต์ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ อย่างหมดแรง สีหน้าก็ย่ำแย่จนคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ คนฉลาดอย่างฉัตรตะวันมีหรือจะเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับคุณพฤกษ์มันได้ขาดสะบั้นลงแล้วด้วยฝีมือของผู้เป็นแม่
อินทรชิตที่ยืนมองอยู่ก็รู้สึกสังเวชปนสะใจเมื่อได้เห็นสภาพน่าสมเพชของอีกฝ่าย ทว่าชั่ววูบหนึ่งเขาก็เผลอคิดขึ้นมาว่าในอนาคตข้างหน้าคนที่มีสภาพแบบนี้อาจจะเป็นตัวเขาก็ได้
เผลอ ๆ เขาคงจะน่าสมเพชและใจสลายยิ่งกว่าฉัตรตะวันในตอนนี้เสียอีก
วันนี้เป็นวันศุกร์ ฉะนั้นคืนนี้อินทรชิตจึงมาหาคุณพฤกษ์ที่ห้องตั้งแต่สี่ทุ่มแทนที่จะเป็นเที่ยงคืนดังเช่นทุกวัน คุณพฤกษ์นอนคว่ำอยู่บนเตียง กำลังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์เรื่องเดิมที่ดูค้างต่อจากเมื่อคืน ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็กระตุกยิ้ม ค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้และขึ้นคร่อมบั้นงามงอนอย่างใจเย็น มือใหญ่ข้างหนึ่งสอดเข้าไปในชุดคลุมผ้าซาติน ส่วนอีกข้างก็บีบคลึงแกนกายที่อยู่ภายใต้กางเกงของตนเองเบา ๆ ไปพลาง
เสียงถอนหายใจดังขึ้น อินทรชิตถึงกับหยุดมือ คุณพฤกษ์เหลือบสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดูหน้าจอไอแพดดังเดิม เสียงนุ่มเอ่ยเตือน
“อย่าให้เลอะ” และ “ถ้าเลอะก็ทำความสะอาดให้เกลี้ยงเลยนะ”
ชายหนุ่มกู่ร้องอยู่ในใจอย่างเปรมปรีดิ์ก่อนจะเลิกชุดคลุมสีชมพูอ่อนขึ้นโชว์แผ่นหลังขาวผุดผ่องกระจ่างสายตา ทว่ามันยังไม่ใช่ทั้งหมด ขณะที่นิ้วเรียวหนาเกี่ยวเอากางเกงและชั้นในของคุณพฤกษ์ลง แก้มก้นงามสวยก็ดีดเด้งออกมาให้เห็นทันที อินทรชิตกลืนน้ำลายลงคอ ชายหนุ่มโน้มตัวลงต่ำ ใช้ริมฝีปากหนาจูบลงบนก้อนนุ่มหยุ่นกลมกลึง ลิ้นร้อนสีแดงสดแลบออกมาลามเลียสลับกับดูดเม้มอย่างคลั่งไคล้
“อ๊ะ..” เมื่อกระทำจนหนำใจก็ใช้ฟันคมขบลงไปจนเกิดรอยเป็นการปิดท้าย เรียกเสียงนุ่มให้ครวญหาได้เป็นอย่างดี
“ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาไล่ระดมจูบขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง กระทั่งร่างสูงซ้อนทับอยู่ด้านบน อินทรชิตจึงซุกจมูกลงบนกลุ่มเส้นผม สูดเอาความหอมละมุนเข้าปอดและเริ่มใช้ริมฝีปากคลอเคลียลงมาเรื่อย ๆ จนถึงซอกคอ
“อืม” ชายหนุ่มครวญขึ้นในลำคอขณะขยับสะโพกสอบเสียดสีกลางกายที่แข็งตึงเข้ากับร่องก้นนุ่ม เขาขบและเลียที่ใบหูเย็นเฉียบ พูดว่า
“สนใจผมหน่อย”
“สนใจอยู่” เสียงนุ่มว่า ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าของคริส อีแวนส์ที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอ อินทรชิตกัดฟันกรอด เขาขมวดคิ้วแน่น นึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจที่เห็นคุณพฤกษ์สนใจนักแสดงในดวงใจมากกว่าตนเอง ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นนั่งและล้วงเอาแกนกายที่ตอนนี้กำลังขยายใหญ่เต็มที่ออกมาสูดอากาศ เอาสิ ในเมื่อไม่สนใจเขานักก็จะทำให้สนใจให้ได้เลยคอยดูสิ
ว่าแล้วมือใหญ่ก็วางลงบนก้นงามงอนทั้งสองก่อนจะออกแรงขยำเสียจนเนื้อนุ่มบวมขึ้นมาตามง่ามนิ้วทั้งสิบ อินทรชิตกัดริมฝีปากตนเองขณะที่เบะแก้มก้นทั้งสองออกจากกัน รอยจีบสีชมพูอ่อน ๆ ปรากฏเด่นชัดตัดกับผิวสีขาวผุดผ่อง เขาไม่รั้งรอที่จะใช้ปลายหัวมนทู่ถูไถกับช่องทางสีอ่อนระเรื่อที่ปิดแนบสนิท
“อ่ะ.. ซี๊ด” เขาสูดปากขึ้นเพราะรู้สึกเสียวแปลบตรงส่วนหัวบาน กระนั้นคุณพฤกษ์ก็ยังคงนอนนิ่งและจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้า การกระทำนั้นสร้างความขุ่นเคืองปนน้อยใจให้แก่อินทรชิตเป็นอย่างมาก ชั่วครู่หนึ่งที่เขาก้มลงมองเบื้องล่างก็นึกอยากจะแกล้งว่าโดนผีผลักแล้วกระแทกแกนกายใหญ่โตที่คุณเขากลัวนักกลัวหนาเข้าไปข้างในจนมิดลำเสียให้รู้แล้วรู้รอด อ่า.. แค่คิดอะไรหยาบช้านิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็พลันมีอารมณ์กำหนัดเพิ่มมากขึ้นจนส่วนหัวมีเมือกสีใสเอ่อล้นออกมาเปียกชุ่ม
“คุณพฤกษ์.. ผม” เขาหายใจติดขัด พูดต่อไปว่า “ผมเสียว”
“แกเสียวหรือ” ใบหน้านุ่มนวลละจากหน้าจอหันหลังกลับมามอง จู่ ๆ คุณพฤกษ์ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก ก่อนที่มือบางจะเอื้อมมากุมแกนกายของเขาเอาไว้ อินทรชิตกำลังเครื่องร้อน จิตใจงุ่นง่านใคร่หาแต่ราคะ เมื่อเห็นว่าคุณเขาไม่ยอมใช้ฝ่ามือรูดรั้งให้สักทีก็เริ่มขยับเอวสอบเพื่อให้แกนกายขยับเข้าออกเสียเอง
“ลามก” คุณพฤกษ์ว่า “ในหัวคิดแต่เรื่องต่ำ ๆ กับฉันทุกวันเลยสิท่า”
เสียงนุ่มเย้ยหยัน แต่แปลกนักที่กลับทำให้เขาเสียวกระสันเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเก่าเสียอีก คุณพฤกษ์ปล่อยแกนกายของเขาทิ้งและใช้มือแหวกแก้มก้นของตนออกจากกันเล็กน้อย
“มาสิ” เสียงนุ่มเชื้อเชิญ
“ถ้าทำแบบนี้แกจะเสียว”
อินทรชิตสติหลุดเดี๋ยวนั้น ชายหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากจนชุ่มก่อนจะค่อย ๆ ถูไถแกนกายที่ปวดตึงผ่านเข้าไปในร่องก้น คุณพฤกษ์ช่วยใช้มือบีบแก้มก้นให้รัดท่อนเอ็นของเขาแน่นขึ้นอีกแรง
“แน่นจังครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะที่วางมือลงบนบั้นเอวทั้งสอง
“รู้หรือเปล่าว่าของจริงแน่นกว่านี้”
“ไม่รู้ครับ” เขาพูดปด “แต่อีกไม่นานคงได้รู้”
“ช้า ๆ ..” คุณพฤกษ์พูดขณะที่เขากระแทกสะโพกใส่ก่อนจะหันกลับไปสนใจภาพยนตร์ตรงหน้าต่อ อินทรชิตที่ร้อนรุ่มไปทั้งกายยื่นมือข้างหนึ่งไปคว่ำหน้าจอไอแพดลงกับเตียง เสียงเข้มพูดอย่างเอาแต่ใจ
“สนใจแค่ผมคนเดียวก็พอ”
ก่อนจะกลับมาจับบั้นเอวให้มั่นมือและกระแทกกระทั้นแกนกายเข้ากับร่องนุ่มอย่างรุนแรงจนแทบจะบ้าคลั่ง
“แม่ง..” อินทรชิตสบถ “เสียวฉิบหาย”
ชายหนุ่มพูดคำหยาบอีกหลายต่อหลายคำที่ไม่อาจเอาออกอากาศได้ ร่างสูงโหมกระหน่ำสวนท่อนเอ็นเสียดสีไปมากับร่องก้อนบีบแน่น ความเสียวกระสันค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาจากต่ำจนสูงสุดและจวนเจียนจะสำลักออกมาในไม่ช้า คุณพฤกษ์ถูกเขาชำเรารุนแรงจนตัวสั่นตัวคลอนขึ้นลงไม่หยุด ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่คุณพฤกษ์นอนคว่ำอยู่แบบนี้ ไม่อย่างนั้นคุณเขาคงจะได้เห็นว่าสิ่งที่คร่อมทับอยู่บนตัวตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่กำลังติดสัดเลยสักนิด
“อ๊า” เขาครวญหา “..คุณพฤกษ์”
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความกระสันมากระจุกรวมกันที่ปลายหัวมน เขาจึงถอนแกนกายออกจากร่องก้นอย่างรวดเร็วและพลิกร่างโปร่งที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น อินทรชิตขยับขึ้นมาคร่อมอยู่บนอกบาง ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถอดแว่นสายตาออก ส่วนอีกข้างก็รูดรั้งขึ้นลงสุดชีวิต กระทั่งชายหนุ่มเสร็จสม หยาดน้ำสีขาวขุ่นก็อัดฉีดและพวยพุ่งออกมาโดนใบหน้าสวยจนเปรอะเปื้อนไปด้วยราคีอันมัวหมอง
“บ้าจริง” คุณพฤกษ์ลูบแก้มและยกขึ้นดูสิ่งที่เปื้อนติดปลายนิ้วมา
“อาทิตย์นี้แกแตกใส่หน้าฉันห้าครั้งแล้วนะ”
อินทรชิตถอยร่นกลับไปก่อนรีดเค้นของเหลวอีกบางส่วนที่คั่งค้างรดกับเป้ากางเกงจนเปียกเป็นคราบ เมื่อหนำใจแล้วชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด รู้สึกปลอดโปร่งและหัวสมองโล่งไปหมด
“คุณพฤกษ์จะเอาคืนผมก็ได้นะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดทว่าสีหน้าและแววตากลับเปรมปรีดิ์สุด ๆ จนน่าหมั่นไส้
“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น” คุณพฤกษ์ว่าพลางยกฝ่าเท้าขึ้นมายันหน้าท้องแกร่งให้หงายหลังล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง อินทรชิตยิ้มมุมปากเมื่อร่างโปร่งขยับขึ้นมาคร่อมทับช่วงหน้าอก คุณเขาล้วงเอาท่อนเอ็นที่แข็งตัวออกมาและใช้ส่วนหัวถูไถไปมากับริมฝีปากของเขาอย่างยั่วยวน
“ถ้าผมแข็งขึ้นมาอีกรอบคุณพฤกษ์ต้องรับผิดชอบนะครับ”
“อ้าปาก” คุณเขาเอื้อมมือมาขยุ้มเส้นผม “ฉันจะแตกในปากแก”
อินทรชิตน้อมรับแต่โดยดี ชายหนุ่มอ้าริมฝีปากทันที ทว่ายังไม่ทันที่จะส่งลิ้นร้อนออกไปทักทายสิ่งที่จ่ออยู่ตรงหน้า เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ร้องขึ้นมาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น
“ใคร” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหงุดหงิด อินทรชิตที่อยู่ใกล้จึงอาสาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดูให้แทน ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะแสร้งตีสีหน้าเป็นกังวลตอบคุณพฤกษ์เสียงหงอย ๆ ไปว่า
“สายจากคุณฉัตร..”
อีกฝ่ายสวนกลับ “ปล่อยไว้นั่นแหละ”
“จะไม่รับหรือครับ บางทีคุณฉัตรอาจจะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ก็ได้”
ดวงตาคมหรี่ลงมอง ไม่ใช่เพราะนึกสงสัยในตัวชายหนุ่มแต่เพราะตอนนี้ไม่ได้สวมแว่นสายตาแล้วต่างหาก อินทรชิตที่เห็นดังนั้นจึงคว้าแว่นสายตาที่ตกอยู่ไม่ไกลส่งคืนให้เจ้าของได้สวมใส่
“แกพูดอะไรนะ” คุณเขาทวนคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในมือเขากลับมา
“ผมอยากให้คุณพฤกษ์ลองคุยกับคุณฉัตรดูสักครั้ง”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะคุย”
“แล้วจะปล่อยให้ยืดเยื้ออยู่แบบนี้หรือครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
เมื่อคุณเขาพูดคำนั้นออกมา อินทรชิตที่ไม่รู้ว่าหาญกล้ามาจากไหนถึงมาแย่งโทรศัพท์ไปและกดรับสายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ชายหนุ่มรู้ว่าคุณพฤกษ์ต้องโมโหที่เขาทำลงไปโดยพลการ เราอาจจะมีปากมีเสียงกันหลังจากนี้ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลยคุณพฤกษ์ก็ไม่มีทางตัดสัมพันธ์กับฉัตรตะวันจริง ๆ จัง ๆ เสียที
กว่าจะได้คุณพฤกษ์มาก็เลือดตาแทบกระเด็น เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่ไขว่คว้าหามาทั้งชีวิตให้หลุดหายไปเด็ดขาด!
“ฮัลโหล..” เสียงเข้มพูดและหันมาสบตากับอีกฝ่ายที่มีสีหน้ามืดครึ้ม คุณพฤกษ์ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกระชากโทรศัพท์ไปพูดเอง
(คุณพฤกษ์..)
“...” เกือบจะเหวี่ยงใส่ปลายสายทว่าก็ถูกหยุดเอาไว้โดยน้ำเสียงที่สั่นเครือปนสะอื้น
..ฉัตรตะวันกำลังร้องไห้
ขณะที่พฤกษ์กำลังสับสน อินทรชิตก็ฉวยโอกาสนั้นรีบอ้าปากและงับแกนกายเข้าไปครึ่งลำด้วยเพราะกลัวว่ามันจะอ่อนตัวลงทั้งที่เขายังไม่ได้เป็นผู้ปลดปล่อย
“อึ่ก..” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า ไม่ใช่เพราะเคร่งเครียดในสิ่งที่ฉัตรตะวันกำลังพูดกับตนแต่เป็นเพราะลิ้นร้อนลวกกำลังตวัดเลียหัวมนที่คับแน่นอยู่ในโพรงปากนั่นต่างหาก
(ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าคุณแม่รู้เรื่องของเราแล้ว)
จากที่เสียวจนแทบจะกลั้นเสียงเอาไว้ไม่อยู่ก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ อารมณ์กำหนัดที่ฟุ้งขึ้นมาถูกดับลงทันทีเพราะคำพูดตัดพ้อและน้ำเสียงโศกเศร้าของฉัตรตะวัน
“คุณแม่คุณบอกแล้วหรือ”
(อินทรชิตเป็นคนบอกให้ผมไปถามคุณแม่)
พอได้ยินชื่อของคนที่กำลังออรัลเซ็กซ์ให้เขาอยู่ตรงหน้า พฤกษ์ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมา ชายหนุ่มใช้มือจิกเส้นผมขึ้นมากลุ่มหนึ่งและทึ้งศีรษะของอีกฝ่ายไปด้านหลังเพื่อให้สิ่งที่อมอยู่ในปากหลุดออกมา
“โอเค” พฤกษ์พูดน้ำเสียงเย็นเยียบขณะที่จ้องหน้าอินทรชิตนิ่ง ๆ “ได้ ผมจะไปถึงไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
ติ๊ด!
พฤกษ์กดวางสายและโยนโทรศัพท์ทิ้งก่อนจะปล่อยศีรษะของอินทรชิตให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อ นึกว่าเขายังคงต้องการให้ทำต่อจึงโน้มหน้าเข้าใกล้และจูบลงบนลำเอ็นอย่างรักใคร่
“พอ” เขาว่าพลางพลางดันอีกคนออก พฤกษ์ลงมายืนบนพื้นข้างเตียง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่วีนแตกขึ้นมา
“ฉันไม่ต้องการแกแล้ว กลับห้องไปซะ”
..ไม่ต้องการแกแล้ว เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้อินทรชิตใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ชายหนุ่มเหมือนถูกของแข็งฟาดเข้ากลางกระหม่อม เขากระพริบตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม” อินทรชิตเสียงสั่น “ผมทำอะไรผิด”
พฤกษ์สูดหายใจลึก ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
ชายหนุ่มพูดจบก็หันหลังจะเดินไปทางห้องน้ำ อินทรชิตที่ยังมีความสงสัยอยู่จึงลงจากเตียงมาคว้าข้อมือเอาไว้แต่ก็ถูกสะบัดทิ้งทันทีราวกับถูกรังเกียจ
“ออกไป” พฤกษ์พยายามใจเย็น “ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวแล้วตบหน้าแกสักที”
“ผมยอมให้คุณพฤกษ์ตบดีกว่าถูก— เพี๊ยะ!! ”
ยังไม่ทันที่อินทรชิตจะพูดให้จบประโยคด้วยซ้ำ ฝ่ามือเรียวสวยก็ฟาดลงมาที่แก้มข้างหนึ่งอย่างแรงทันที ชายหนุ่มแข็งค้างไปเพราะความตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาพร้อมรอยแดงรูปฝ่ามือบนหน้า
“แกยุ่งเรื่องของฉันมากไปแล้ว”
ดูเหมือนอินทรชิตก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ชายหนุ่มเลิกตีหน้าซื่อ ดวงตาคมกริบฉายแววดุดันขึ้นมา น้ำเสียงเข้มพูดขึ้นอย่างไม่หวั่นเกรง
“ถ้าผมไม่ทำแล้วเมื่อไหร่คุณพฤกษ์จะเขี่ยเขาออกไปสักที” อินทรชิตว่า เขาเองก็รู้สึกโกรธขึ้นมาไม่แพ้กัน
“หรือว่าอยากจะควบสอง”
เพี๊ยะ!!
“ค่าที่แกปากดี พูดอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง”
อินทรชิตหันหน้ากลับมา ตอนนี้แก้มทั้งซ้ายและขวาต่างมีรอยมือครบทั้งสิบนิ้ว
“ปากดี? ” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก พยายามกรอกตาขึ้นเพื่อซ่อนสิ่งที่เอ่อคลออยู่ภายใน
“คุณพฤกษ์ทำเหมือนผมเป็นของเล่น รู้ว่าผมรักก็คิดจะทำยังไงกับผมก็ได้ คุณบอกว่าไม่เคยคิดกับเขาเกินเพื่อนแต่สุดท้ายก็เสียดาย ขนาดกับไอ้อัครก็ยังไปเล่นหูเล่นตาด้วยเลย! คนใจร้าย โลเลที่สุด! ผมอยากจะเกลียดคุณจริง ๆ! ”
พฤกษ์ง้างมือขึ้นอีกรอบหวังจะฟาดอินทรชิตเพื่อเรียกสติ ทว่าก็ต้องกำมือลงเพราะใบหน้าหล่อเหลากลับมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเสียอย่างนั้น
มันอะไรกันผู้ชายพวกนี้ ทำไมมันร้องไห้กันเก่งนัก!
“ไปทำให้ตัวเองใจเย็นก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
สุดท้ายแล้วพฤกษ์ก็ใจอ่อน ทว่าอีกฝ่ายกับดื้อดึง
“ไม่! ผมจะคุยตอนนี้”
“แกใจร้อน มันจะยิ่งเลวร้าย ไปสงบสติอารมณ์ซะ เดี๋ยวฉันกลับมาแล้วเราค่อยคุยกัน”
“ไม่เอา! ”
“อินทรชิต”
“แล้ว..” ชายหนุ่มยกมือป้ายน้ำตาออกจากตา จากที่ดุดันอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนมาเชื่องเหมือนไม่เคยถูกตบถูกตีมาก่อน “คุณพฤกษ์จะไปไหนครับ”
“ไปหาคุณฉัตร”
อินทรชิตน้ำตาร่วงเผาะลงมาทันทีที่ได้ยินราวกับสั่งได้ดังใจ พฤกษ์สุดจะอับจน เขายกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
“อย่าร้อง” เสียงนุ่มว่า
“ฉันจะจัดการเรื่องคุณฉัตรอย่างที่แกต้องการ”
“อัคร นั่นแกจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ? ”
อัคราที่กำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นถึงกับชะงักเพราะเสียงแหลมของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ขณะที่สิรีลุกขึ้นเดินมาหาลูกชายเพียงคนเดียว
“โอ๊ย” ชายหนุ่มโอดครวญและก้มลงมองโทรศัพท์ที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง “สาววัยทองยังไม่นอนอีกหรือป่านนี้”
สิรีมองลูกชายตาเขียว มือเรียวฟาดไปที่แขนแกร่งอย่างรุนแรง “เจ็บนะแม่! ”
“ฉันไม่ตบปากแกก็ดีเท่าไหร่แล้วไอ้ลูกบ้า”
“รักหรอกจึงหยอกนะ” อัคราทำหน้าทะเล้น
“แกว่าแม่แก่” เธอหยิกแก้มลูกชายจนหน้าโย้
“โอ๊ยๆๆๆๆๆ แม่คุณเอ๊ย! แก่แต่แซ่บไง กระดังงาลนไฟไม่รู้จักหรือแม่”
สิรีปล่อยมือจากลูกชาย พูดว่า “ไม่ต้องมาปลิ้นปล้อน ฉันรู้นิสัยแกดี แกมันกะล่อน”
“ใจร้ายจริง” ชายหนุ่มลูบแก้มตนป้อย ๆ “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนอีก”
ผู้เป็นแม่ไม่ตอบทว่ายืนมองออกไปด้านนอก อัคราจึงมองตามไปแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
“แม่รอพ่ออยู่หรือ? ”
“เปล่า” เธอว่า “ทำไมฉันต้องรอผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นด้วย”
“อ่า รอพ่อสินะ”
“ไม่ได้รอ! ”
“ปากแข็ง”
“ฉันเปล่า”
“อย่าโกหกหัวใจตัวเองเลยคนสวย”
“ตาอัคร–”
“นั่นไง พ่อกลับมาแล้ว! ”
สิรีหันขวับไปตามคำของลูกชายแต่มันกลับเป็นเพียงถ้อยคำหลอกลวง เธอโกรธจนหน้าง้ำหน้างอ ง้างกำปั้นทุบหลังอัคราเสียดังแอ่กก่อนจะเดินหนีขึ้นบันไดกลางไปเสียดื้อ ๆ
ขณะเดียวกันนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดอยู่หน้าประตูใหญ่ ชายหนุ่มจึงวิ่งไปที่หัวบันได ตะโกนขึ้นไปว่า
“คนสวย! คราวนี้สามีคุณกลับมาจริง ๆ แล้วนะ”
“ไปตายซะ! ”
อัครายืนหัวเราะอยู่ลำพังก่อนจะหันไปเห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
“แม่ของลูกล่ะ” สิงหลถามขณะคลายเนคไทที่รัดแน่นตลอดทั้งวันลง
“เพิ่งกลับขึ้นไปก่อนพ่อมาเมื่อกี้เอง”
“อืม”
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าอะ”
“ไม่ได้ทะเลาะกัน”
“ปากแข็งอีกคนละ”
“หมายความว่ายังไง”
“แม่มานั่งรอพ่อกลับบ้านทุกวันเลยรู้ไหม”
สิงหลหลุดยิ้มก่อนจะมีสีหน้าที่ค่อย ๆ เศร้าหมองลง
“อย่างนั้นหรือ” เขาว่า “แล้วคุณพ่อล่ะ”
“ปู่ไม่อยู่” อัคราตอบ “ไปไหนไม่รู้เหมือนกัน ถามเลขาก็ไม่บอก”
“คุณพ่อคงไปตามสืบเรื่องของรณพักตร์อีกนั่นแหละ”
อัคราที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย รณพักตร์คือชื่อที่ตัวเขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นชื่อของลูกพี่ลูกน้องที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ระเบิดเมื่อสิบกว่าปีก่อนพร้อมกับสิงหาและมินตราผู้เป็นลุงแท้ ๆ และป้าสะใภ้ของเขา แต่เพราะผลสุดท้าย ตำรวจกลับพบศพที่ไหม้เกรียมของลูกชายคนโตและลูกสะใภ้เหลืออยู่บนเบาะรถยนต์ที่กลายเป็นตอตะโกเพียงแค่สองศพ ปู่ของเขาจึงเชื่ออย่างสุดใจว่าหลานชายอีกคนยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนจึงออกสืบเสาะตามหามาตลอดจนถึงทุกวันนี้
ทว่า.. ไม่ว่าสิงขรจะใช้เส้นสาย เงินจำนวนมากหรือวิธีใดก็ไม่อาจตามหาหลานชายที่หายไปจนพบได้ ราวกับว่ามีใครบางคนได้ปกปิดและกลบร่องรอยที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดทิ้งไปจนหมด
“พ่อก็เชื่อหรือว่าเขายังไม่ตาย”
สิงหลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบลูกชายไปว่า
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“แล้วถ้าสมมติวันหนึ่งเขากลับมาอ่ะ พ่อจะทำยังไง? ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงขณะที่มองสีหน้าลูกชาย
“พ่อสิต้องถามเรา” เขาว่า “ถ้าพี่ชายของลูกยังมีชีวิตอยู่และกลับมาที่นี่ลูกจะทำยังไง? ”
ชายหนุ่มยืนนิ่งและทำหน้าคิดหนัก สิงหลวางมือลงบนบ่าลูกชาย พูดว่า
“ลูกรู้ใช่ไหมว่าคุณปู่ไม่เคยลำเอียง ..ไม่ว่ากับใคร”
“...”
“เรามีทุกอย่าง ..มากเกินและเหลือเฟือโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนหรือต้องไปแก่งแย่งกับใคร และลูก อัครา ลูกมีต้นทุนชีวิตที่ดีอยู่แล้ว รู้ใช่ไหม? อนาคตต่อจากนี้ก็จะได้รับทุกอย่างที่ลูกควรจะได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ลูกไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เข้าใจที่พ่อกำลังบอกใช่ไหม? ”
“พ่ออย่ามองผมแบบนั้นดิ” อัคราทำหน้าเหยเก “ทำอย่างกับผมเป็นตัวร้ายในละครหลังข่าวไปได้”
“นี่กำลังจริงจังอยู่นะ” สิงหลทำหน้าเครียด
“แล้วผมไม่จริงจังตรงไหน” เขาหัวเราะ “นี่พ่อคงกลัวผมอิจฉาเขาล่ะสิถ้าสมมติเขายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ..ตลกน่า นี่ชีวิตจริงนะพ่อไม่ใช่ละคร เรารวยกันตั้งขนาดนี้ มีกินมีใช้อีกกี่สิบชาติก็คงไม่หมดแล้วทำไมผมต้องไปอิจฉาคนอื่นด้วยล่ะ โอเค ถ้าเขากลับมาจริง ๆ ผมอาจจะไม่คุ้น นั่นมันเรื่องปกติหรือเปล่าเพราะเราไม่เคยเจอหน้ากันเลย ผมกับเขาคงรู้สึกเหมือนคนแปลกแค่นั้นแหละถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม ผมว่าพ่อคิดมากเกินไปแล้วอะ อ้อ ถ้าจะห่วงจริง ๆ พ่อไปห่วงแม่เถอะ รายนั้นน่ะหวงสมบัติบ้านนี้ยิ่งกว่าปู่โสมเสียอีก”
ผู้เป็นพ่อถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “นั่นสินะ”
“แล้วนี่จะไปไหน”
“กินเหล้าฮับ”
สิงหลหรี่ตามอง “รู้กฎใช่ไหม”
“ห้ามเล่นยา เมาห้ามขับ มีเซ็กส์ใส่ถุงยาง”
“ดีมาก” เขาพยักหน้า “ไปได้ ขับรถดี ๆ ”
สี่ทุ่มครึ่งโดยประมาณ อัคราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง หากเป็นวันปกติแล้วเขามักจะเลือกผับหรู ๆ ที่มีผู้คนหนาแน่นไปด้วยเหล่าไฮโซเซเลบมากกว่าร้านนั่งชิลล์ยามค่ำคืนแบบนี้ สาเหตุก็เป็นเพราะอยากแกล้งบังเอิญมาเจอใครบางคนที่มักจะมานั่งหน้าหงอยอยู่ที่นี่เป็นประจำทุกวันศุกร์
ชายหนุ่มเช็คเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน พนักงานคนเดิมที่เห็นกันทุกวันศุกร์ยิ้มและทักทายให้เขาอย่างคนคุ้นเคย
“วันนี้มาช้านะน้อง”
“ได้ไง เพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่งเอง” อัคราหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบ “เขามายัง”
“นั่งอยู่ชั้นสอง มาตั้งแต่สองทุ่ม” ชายหนุ่มตอบ “มาถึงเฮียแกก็ซัดของหนักเลย ป่านนี้หน้าทิ่มกับโต๊ะแล้วมั้ง”
“จริงดิ”
“จริง ทะเลาะกับแฟนมาหรือเปล่าไม่รู้” พนักงานคนเดิมถอนหายใจ “แต่เมื่อกี้รู้สึกจะมีเพื่อนมานั่งด้วยแล้วนะ เพิ่งมาก่อนน้องสักห้านาทีได้”
“เพื่อน? ” อัคราเลิกคิ้ว เพราะอีกฝ่ายที่กำลังพูดถึงอยู่ไม่เคยพาใครมานั่งในร้านนี้เลยสักครั้ง “หน้าตาเป็นยังไง”
‘สูง ขาว ตัวหอม หล่อมากด้วย เด็กในร้านมองกันตาค้าง’
ใครกันนะ? ชายหนุ่มได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้และตั้งใจจะเดินขึ้นไปให้เห็นกับตา แต่พอโผล่หัวขึ้นมาบนชั้นสองได้หน่อยเดียวก็ต้องเบรกหัวเกือบทิ่มพื้นทันที อัครารีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้น อาศัยโต๊ะเก้าอี้เป็นเครื่องกำบังก่อนจะค่อย ๆ เยี่ยมหน้าโผล่ออกไปมองอย่างระมัดระวัง
ชั้นสองเป็นชั้นลอยที่สามารถให้ลูกค้ามานั่งดื่มและมองลงไปด้านล่างได้โดยมีกระจกใสกั้นเอาไว้ ลูกค้าปกติที่มานั่งดื่มและฟังดนตรีสดไปด้วยก็จะรวมกันอยู่ข้างล่างเป็นส่วนมาก ส่วนชั้นสองจะเป็นพื้นที่นั่งดื่มหรือรับประทานสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการเสียงรบกวนจากวงดนตรีที่อยู่ด้ายล่าง อัครามองไปยังโต๊ะบาร์ไม้ขนาดยาวที่ติดอยู่กับฝั่งกระจกที่แยกออกมาจากโต๊ะอาหารโต๊ะอื่น ๆ เขาเห็นผู้ชายชายสองกำลังนั่งหันหลังอยู่ คนแรกเขามั่นใจแน่นอนว่าคือพี่ฉัตรที่มักจะมานั่งดื่มอยู่ตรงนั้นเป็นประจำทุกวันศุกร์
ส่วนอีกคนนี่สิ ..เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตกใจถึงขั้นลงไปกอดกับขาโต๊ะแบบนี้
‘คุณพฤกษ์! ’
‘อะไร! ’
‘มาได้ยังไง! ’
‘รู้จักกันด้วยเร้อออ!! ’
จะโอดครวญไปก็เท่านั้นเพราะสิ่งที่อัคราสงสัยมากกว่าเรื่องที่ทั้งสองรู้จักกันคือเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ต่างหาก พี่ฉัตรเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่างยาวเหยียดด้วยสีหน้าที่กำลังร้องไห้ มือหนึ่งยกเหล้าซดอย่างกับน้ำเปล่าส่วนมือหนึ่งหยิบถั่วลิสงคั่วเกลือเข้าปากเคี้ยวไม่หยุด ในขณะที่คุณพฤกษ์กำลังนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ สีหน้าราบเรียบสวนทางกันอย่างถึงที่สุด ..ช่างเป็นภาพที่ดูแปลกตา ประหลาด พิลึกพิลั่น น่าพิศวงและชวนให้รู้สึกสงสัย
อัคราเป็นคนที่ถือคติว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ถึงที่สุด ดังนั้นแล้วเขาจึงเดินย่องเข้าไปนั่งข้าง ๆ เสียเลย เดชะบุญที่โต๊ะบาร์มีฉากกั้นอยู่จึงทำให้ทั้งสองคนไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่
‘เชี่ย.. นี่มันเรื่องอะไรกัน’
ชายหนุ่มเบิกตาโพลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองหลังจากที่จับใจความจากสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด …
“น้ำตาไม่ช่วยอะไรหรอกนะคุณฉัตร”
เสียงนุ่มเอ่ยทักทันทีที่มาถึง ฉัตรตะวันเงยหน้าจากแก้วเหล้าขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ผมรู้” เขาตอบขณะที่น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย “อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”
พฤกษ์เลื่อนเก้าอี้ทรงสูงออกและหย่อนกายลงนั่ง เขากวักมือเรียกพนักงานที่เดินอยู่มาสั่งเครื่องดื่มเสร็จสรรพ
“คุณแม่บอกทุกอย่างแล้ว..” ฉัตรตะวันกระดกเหล้า “เพราะแบบนี้หรือคุณถึงหลบหน้าผม”
“อันที่จริงไม่รู้ว่าจะบอกคุณยังไงดี”
“ก็เลยหลบหน้า”
“มันเป็นวิธีที่ไม่ถูก.. ผมรู้ ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ”
ฉัตรตะวันไม่ตอบ เขาเอาแต่ดื่มเหล้าและทานกับแกล้มบนโต๊ะไปเรื่อย ๆ ผ่านไปราวสิบนาทีถึงจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“คุณพฤกษ์เคยรักผมบ้างไหม”
“อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะครับ”
“แบบที่คุณพฤกษ์อยากตอบ”
“ไม่เคยรัก”
“เจ็บ” ฉัตรตะวันคว่ำหน้าลงกับโต๊ะและเริ่มสะอื้นออกมาอย่างคนหมดท่า พฤกษ์ที่เห็นอย่างนั้นก็รู้อ่อนใจ ยกมือขึ้นและลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม
“ผมไม่อยากให้เรื่องเราจบแบบนี้เลย อึ่ก.. ผมรักคุณพฤกษ์ ผมไม่อยากเสียคุณไป”
“ผมนึกว่าคุณจะเตรียมใจไว้แล้วเสียอีก”
“ไม่มีใครเตรียมใจกับเรื่องแบบนี้หรอก”
ฉัตรตะวันยืดตัวขึ้นนั่ง ประจวบเหมาะกับเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ชายหนุ่มจัดการชงเหล้าผสมโซดาสองแก้ว ยื่นให้พฤกษ์หนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้วกระดกเข้าปากรวดเดียวหมดแล้วคอพับลงกับโต๊ะทันที
“คุณโอเคนะ”
ฉัตรตะวันเอียงศีรษะมาซบตรงที่หัวไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงเมามายว่า
“คุณพฤกษ์จะเลิกคบผมหรือเปล่า” คนเมาถามตาเยิ้ม
“คุณยังเป็นเพื่อนสนิทผมตลอดไป”
“คุณแม่อคติกับคุณไปแล้ว ท่านไม่เอ็นดูคุณเหมือนแต่ก่อน อึ่ก.. อีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ห่างกันสักพักก่อน”
“ไม่เอา..”
“อย่าเอาแต่ใจ” พฤกษ์ดันศีรษะอีกคนออกและพยุงให้นั่งดี ๆ ชายหนุ่มพอตั้งตัวได้ก็คว้าแก้วขึ้นมาชงเหล้าต่ออย่างบ้าคลั่ง กะจะกินให้เมาหัวทิ่มกันไปข้างเลยทีเดียว
“อึ่ก ..รู้ไหมเวลาที่อยู่กับคุณผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีชีวิต ตลกดี ทำอย่างกับว่าผมตายไปแล้วอย่างนั้นแหละ ฮะฮะ ” ชายหนุ่มหัวเราะสักพักก็เปลี่ยนมาร้องไห้แทน “ที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดสำหรับคุณสินะ ..แต่มันเป็นความสุขอย่างเดียวของผมเลยรู้ไหม”
“....” พฤกษ์ไม่ตอบ เขากระดกเหล้าในมือเข้าปากทันที
“ชีวิตผมเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ประกอบขึ้นจากความคาดหวังของคุณแม่ ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ทุกอย่าง ถ้าทำอะไรผิดพลาดก็จะถูกกดรีเซ็ตแล้วเริ่มโปรแกรมใหม่ทั้งหมด สั่งให้ไปซ้ายห้ามไปขวา สั่งให้ไปข้างหน้าห้ามถอยหลังกลับ มันเป็นแบบนี้มาตลอด ..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชีวิตผมไม่เคยเป็นของผมสักครั้ง ไอ้ที่พอจะแหกกรอบออกมาได้ก็ถูกลากกลับเข้าไปใหม่ทุกที ผมไม่มีความฝันเลยคุณรู้ไหม ไม่มีเลย ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหรือชอบอะไรด้วยซ้ำแต่แปลกที่คุณแม่ดันรู้ทุกอย่างดีกว่าผมเสียอีก ผมไม่เคยเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ได้แต่เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น น่าสมเพช ชีวิตโคตรห่วยแตก อึ่ก ...อยากจะตายจริง ๆ ”
“อย่าพูดว่าจะตายออกมาง่าย ๆ เลยคุณฉัตร”
“อึ่ก..” ชายหนุ่มสะอึก
“รู้ไหมว่าความตายมันน่ากลัวมากเลยนะ โดยเฉพาะถ้าต้องตายโดยที่ไม่รู้แม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดเป็นยังไง ที่คุณบอกว่าชีวิตไม่เป็นของคุณเลยนั่นมันผิดนะ ชีวิตคุณเป็นของคุณมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่ยอมให้ใครมาบงการเสียอย่างแล้วใครจะมาทำอะไรได้ ผมว่าลึก ๆ คุณรู้อยู่แล้วว่าถ้าคุณจะไม่ยอมก็ได้ คุณจะดิ้นรนหรือลองขัดขืนก็ทำได้ง่าย ๆ แต่เพราะอะไรที่คุณยังยอมอยู่? เพราะคน ๆ เป็นแม่ใช่ไหมล่ะ? ผมพูดถูกไหม? ”
ฉัตรตะวันน้ำตาไหลพรากขณะมือกำลังชงเหล้าอยู่ พฤกษ์รีบกระดกเหล้าที่เหลืออยู่ลงคอทันทีและพูดต่อไปว่า
“รู้หรือเปล่าว่าครอบครัวเป็นสิ่งแรกที่ทำร้ายเรามากที่สุด”
“ชีวิตเป็นของคุณไม่ใช่ของแม่คุณ” และ “ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิต อยากเป็นแบบคุณฉายกับคุณปานหรือเปล่าล่ะ? ถ้าไม่ก็ต้องทำอะไรสักอย่างได้แล้ว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ