คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

37) 00 37

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 37

 

“เพื่อนกลับไปแล้วงั้นหรือ”

คุณพฤกษ์ถามเขาทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ดูท่าจะเข้ามารออยู่สักพักแล้ว อินทรชิตตกใจเล็กน้อยก่อนจะแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นท่าทางร้อนรนกระสับกระส่ายจนผิดสังเกตของคุณเขาแต่ทว่าภายในใจก็กลับหวาดหวั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“กลับไปแล้วครับ” เขาว่าพลางเดินเข้าไปใกล้ ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดต่อมาที่มันเสียดแทงเข้าไปในอก

“แกน่าจะชวนให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน”

“พวกมันมีธุระ” ไม่ใช่ เขาเป็นคนไล่ตะเพิดกลับไปเองทันทีที่คุยธุระจบ จะปล่อยให้มันมาระเกะระกะสายตาไม่ได้ เขาไม่ยอมให้อัคราได้เข้าใกล้คุณพฤกษ์หรอก

“แล้วคุยอะไรกัน”

ชายหนุ่มยืนพิงโต๊ะทำงานเพราะเก้าอี้ถูกคุณเขายึดครองไปเสียแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่มาเยี่ยมแล้วก็คุยกันเรื่องงานแสดง”

“หืม” คุณพฤกษ์เลิกคิ้ว มือเรียวยกขึ้นมาลูบปลายคาง ดูให้ความสนอกสนใจ “นิทรรศการแสดงผลงานนักเรียนที่แกชวนฉันวันก่อนน่ะหรือ? ”

อินทรชิตพยักหน้า

“ตอนนั้นคุณพฤกษ์บอกว่าขอดูก่อน”

“งั้นฉันไป” คุณเขาตอบทันควัน “ศิษย์เก่าไปได้ใช่ไหม”

“เข้างานได้ทุกคนครับ” เขายิ้มร่าก่อนจะโน้มตัวเท้ามือลงกับที่พักแขนเก้าอี้ ดวงตาเฉี่ยวคมหลังเลนส์ใสช้อนสายตาขึ้นมองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าคุณพฤกษ์ไม่ได้มีท่าทางปฏิเสธหรือขัดขืนจึงถามออกไปว่า

“มารอผมถึงในห้องแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่าง”

ริมฝีปากแดงเรื่อเชิดขึ้น “ฉันมีบางอย่างจะถามแก”

“ได้ทุกอย่างทูนหัว” พูดจบก็ก้มลงจูบบนริมฝีปากนั้นเบา ๆ หนึ่งครั้งตามด้วยจมูกเรื่อยไปจนถึงหน้าผากมนที่มีผมสีดำปรกอยู่ ต่อเมื่อเขาจูบจนหนำใจคุณพฤกษ์จึงเอ่ยปาก

“เด็กคนนั้นเป็นใคร ไปรู้จักกันได้ยังไง”

“คนไหนครับ”

“คนที่ผมแดง มารยาทเลว ชื่อนายอัคราคนนั้น”

อินทรชิตหายใจกระฟัดกระเฟียดทันทีที่ได้ยินชื่อเพื่อนสนิทออกมาจากริมฝีปากสวย

“ไม่ใช่ว่ารู้จักกันอยู่แล้วหรือครับ” เขาตอบคำถามด้วยการย้อนถามคุณพฤกษ์

“ทำไมแกถึงคิดว่าฉันรู้จักเขา”

“มันบอกว่ารู้จักคุณพฤกษ์”

“ถ้าอย่างนั้นแกก็คงได้ยินที่เขาบอกว่าเพิ่งเคยเจอฉันครั้งนี้เป็นครั้งแรก”

“จริงหรือครับ”

“ทำไมจะไม่จริง” คุณพฤกษ์เป็นคนฉลาด เลือกที่จะสบตาทั้งที่ปากกำลังพูดโกหกได้อย่างแนบเนียน และแม้จะเจ็บสุดหัวใจ แต่เขาก็ทำเพียงยิ้มแย้มราวกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คุณเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร คนที่คุณรักและเพ้อถึงอยู่ตลอดไม่ใช่อัคราคนนี้หรือไง

“แกไม่เชื่อฉัน”

“ผมเชื่อคุณพฤกษ์อยู่แล้ว” อินทรชิตยิ้มทว่าดวงตากลับว่างเปล่า หลังมือใหญ่ถูกยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มขาวก่อนจะถูกปัดทิ้งลงอย่างนุ่มนวล

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เสียงนุ่มว่า “แกยังไม่ตอบคำถามเลยนะ”

“อ้อ” อินทรชิตร้องในคอ เปลี่ยนมากอดอกทิ้งสะโพกพิงขอบโต๊ะทำงาน

“ไอ้อัคร ..มันเป็นเพื่อนผมเองแหละ เจอกันตอนเกรดสิบ”

คุณพฤกษ์หรี่ตาสงสัย “สนิทกันมากเลยหรือ”

“สนิท ..มากครับ”

“นายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรแกหรือ หาเรื่องแกหรือเปล่า ดูอันธพาลนะ”

“ก็ไม่นี่ครับ” เขาตอบเสียงเรียบ “เห็นมันดูกร่าง ๆ ไปบ้างแต่จริง ๆ ก็นิสัยดีใช้ได้”

“งั้นหรือ ..แล้ว ..ตอนอยู่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”

ดวงตาคู่สวยเป็นประกายระยิบระยับเสียจนเขานึกริษยาอยู่ในอก

“เรียนเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลแล้วก็ ..สาวตรึม

“สาวตรึม? ” คุณเขาทวนคำ “มีแฟนแล้วงั้นหรือ”

“เปลี่ยนผู้หญิงอาทิตย์ละไม่ซ้ำหน้า ไม่ซ้ำโรงเรียน”

“...” ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ทุกสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับอัคราล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งนั้น ในกาลก่อน สันดานมันเจ้าชู้รักสนุกอย่างไร ในกาลนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด เขาอยากให้คุณพฤกษ์สำนึกรู้ถึงเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ จดจำเอาไว้ให้ดีว่าตนเองเคยช้ำอกช้ำใจและร้องไห้ไปแล้วกี่สิบครั้งเพราะผู้ชายสันดานมักมาก

‘ผมกำลังเตือนคุณทางอ้อมอยู่นะ หวังว่าคุณจะรู้สึกตัวและไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีก ผมไม่อยากเห็นคุณต้องร้องไห้เพราะมัน’

คุณพฤกษ์กัดริมฝีปากแน่น สีหน้าดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ชอบให้คุณพฤกษ์เป็นแบบนี้เลย แต่ถ้าไม่พูดสะกิดหรือทำอะไรให้รู้สึกรู้สาบ้างก็น่ากลัวว่าคุณเขาจะกลับไปเจ็บตัวปวดใจเหมือนเดิม

“แล้วยังไงต่อ”

“คุณพฤกษ์หมายถึง? ” อินทรชิตเหวอ นึกไม่ถึงว่าคุณเขายังมีกะใจถามความถึงคนรักเก่าต่อ

“อะไรก็ได้เล่ามาเถอะ”

“คุณพฤกษ์สนใจอะไรมันนักหรือครับ”

เขากลั้วหัวเราะ แต่ท่าทีเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“เปล่าสนใจ” โกหก แววตาท่าทีคุณมันฟ้องว่ายิ่งกว่าสนใจเสียอีก

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่านายคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”

“เลิศบดินทร์” เขาตอบ “คุณรู้จัก”

“อ้อ เลิศบดินทร์ เชื้อเจ้าเชื้อผู้ดีเก่า” คุณพฤกษ์ว่า แสร้งทำเป็นนึกออก

“ก็พอรู้จักอยู่บ้าง คนบ้านนั้นเคยเป็นเพื่อนของคุณพ่อ”

และหลานชายบ้านนั้นคนหนึ่งก็เป็นคนรักของคุณ ส่วนอีกคนก็แอบรักคุณอยู่ตรงหน้านี้ไง

“มีคำถามอีกไหมครับ”

“ไม่มี” ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน “ฉันหมดธุระแล้ว—นี่! ”

คุณพฤกษ์โวยขึ้นเพราะถูกเขาอุ้มจนตัวลอยหวืดก่อนจะค่อย ๆ วางลงบนโต๊ะ อินทรชิตใช้แขนแข็งแรงทั้งสองเท้าไว้กับพื้นโต๊ะ ใช้ร่างกายของตนเป็นกรงทอง กักขังและเหนี่ยวรั้งไม่ให้นกน้อยแสนงามได้โบยบินออกไปหาอิสระที่ไหนอีก

“เป็นอะไร” เสียงนุ่มเอ่ย “หืม”

“ผมอยากจูบคุณพฤกษ์” ชายหนุ่มหน้าแดง

“นึกว่าอะไรเสียอีก” คุณเขาเอ่ยราวกับเป็นเรื่องปกติ อินทรชิตคิดว่าคงเพราะความเจนจัดที่สั่งสมมานานจึงทำให้อีกฝ่ายไม่กระดากอายเวลาพาวกเข้าเรื่องพวกนี้

“จูบอย่างเดียวนะ”

คุณพฤกษ์พูดจบ ท่อนแขนเรียวยาวก็ยกขึ้นคล้องรอบลำคอหนาก่อนจะดึงร่างสูงใหญ่ให้โน้มลงต่ำ เราสองสบตากันหวานเยิ้ม ไม่มีใครพูดอะไรแต่ย่อมรู้ความนัยกันดี คุณเขาเป็นฝ่ายรุกเริ่ม ริมฝีปากสวยอ้าออกและขบหยอกเบา ๆ ที่ริมฝีปากหนาให้ชายหนุ่มตื่นเต้นก่อนจะผละออก

ร่างโปร่งทิ้งตัวนอนราบไปกับโต๊ะทำงาน ใช้ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยถูไถไปมากับส่วนท้องที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม

“มาสิ” อินทรชิตทำตามราวกับถูกมอมเมา ชายหนุ่มวางมือลงข้อเท้าสะอาดและลูบไล้ขึ้นไปตามเรียวขา เขาโผตัวเข้าหาคุณพฤกษ์ที่นอนรออยู่ก่อนหน้า ริมฝีปากหนาครอบทับและดูดดึงกลีบปากนิ่มจนแดงช้ำ พอชำเราจนสมใจก็แทรกลิ้นร้อนจัดเข้าไปในโพรง จัดการลามเลียและไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กจนเพลี่ยงพล้ำ เขาละจากมาเพื่อสูดอากาศหายใจเข้าปอดและให้คุณเขาได้พักรบ ก่อนจะโน้มลงไปใหม่ ใช้ปากดูดลิ้นเล็กที่แลบโผล่ออกมาราวกับเด็กน้อยที่ชื่นชอบเยลลี่ก็ไม่ปาน

“อา..” คุณพฤกษ์ครวญร้อง ขณะที่เรียวลิ้นไล้เลียจากปลายคางลงไปจนถึงลำคอ ชายหนุ่มฝังจมูกสูดดมเอาความหอมกรุ่นจากผิวนุ่มอุ่น ๆ มากักเก็บไว้ก่อนจะอ้าปากขบเม้มและดูดดึงจนเกิดรอยช้ำจาง ๆ

“เขี้ยว.. อื้ม”

เขาถดตัวลงต่ำ ใช้มือข้างหนึ่งเลิกเสื้อคุณเขาขึ้นไปกองไว้ที่คอ

“กัดเสื้อไว้สิครับ”

คุณพฤกษ์กระพริบตามองและงับเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นมาเอาไว้โดยไม่อิดออด อินทรชิตเห็นโอกาสนั้นจึงก้มตัวต่ำ ริมฝีปากร้อนจัดครอบลงบนยอดอกสีหวานที่ล่อลวงอยู่ตรงหน้า ลิ้นร้อนร้ายกาจตวัดเลียเน้นไปมาสลับกับใช้ริมฝีปากดูดดุนยอดติ่งที่แข็งชูชันราวกับทารกกระหายนมแม่

ทว่าเขาตะกละตะกลามเสียยิ่งกว่านั้น

“อ๊ะ! ” คุณพฤกษ์ร้องเจ็บด้วยเพราะฟันคมที่กัดลงมาบนยอดอกอย่างรุนแรงจนสะดุ้ง ฝ่ามือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นมาขยุ้มศีรษะชายหนุ่ม ในขณะที่อีกข้างตวัดกอดแผ่นหลังกว้าง ทั้งจิกกำ ขีดข่วนและส่งเสียงครางกระเส่าเพื่อระบายความเสียวกำหนัดที่เอ่อล้นออกมา

อินทรชิตยืดตัวขึ้นหลังจากที่ชำเราร่างกายนั้นจนพอใจ ดวงตาคมกริบกวาดตามองทั่วทั้งเนื้อตัวขาวผุดผ่องที่เต็มไปด้วยคราบน้ำลายประปราย รอยแดงจ้ำจากการดูดเม้มไปจนถึงร่องรอยขบกัดจากฟันคม

“ผมหึง” เสียงทุ้มเอ่ยขณะที่ซบใบหน้าลงกับซอกคอ

“ตอนนี้คุณพฤกษ์มีผมแล้ว อย่ามองหาคนอื่นอีกเลยนะครับ”

 

“เฮ้ย อัคร มีสมาธิหน่อยสิวะ! ”

เสียงห้าวสำเนียงไทยแปร่งหูของชายร่างสูงดังขึ้นพร้อมกับลูกบาสเกตบอลแข็ง ๆ ที่พุ่งเข้ามาอัดหน้าท้องอย่างแรง อัคราเอาแต่เหม่อ เขารับลูกไว้ไม่ทันจึงทรุดฮวบลงไปนั่งบนพื้นเพราะอาการจุก ผู้เล่นทั้งสนามหยุดชะงักก่อนจะพากันมาล้อมรอบตัวเขาเพื่อถามไถ่อาการและช่วยพยุงขึ้นมา

“I’m OK” เขาลุกขึ้นยืนเซ ๆ “take a break พวกมึงซ้อมกันไปก่อนนะ”

ชายหนุ่มโบกมือลาเพื่อนในทีมก่อนจะเดินลูบท้องออกไปจากสนาม กำลังจะหยิบผ้าเย็นมาซับหน้าแต่ดวงตาดันหันไปเห็นอินทรชิตถือไม้กลองเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนขอบฟุตบาท คาดว่าอีกคนคงจะไปซ้อมดนตรีเหมือนอย่างทุกวันนั่นแหละ

“ไอ้อินทร์! ” อัคราตะโกนเรียกเพื่อนด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ทว่าก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะหยุดเดินอยู่สักครู่แล้วก็รีบจ้ำอ้าวต่อไปทันที

ไอ้เหี้ยนี่..

“กูรู้ว่ามึงได้ยิน! ” ชายหนุ่มเดินตาม คราวนี้อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวเลยเปลี่ยนจากก้าวเร็ว ๆ เป็นโกยแน่บแทน อัคราถึงกับฉุนขาด ตะโกนไล่หลังไปเอามือกุมท้องไปวิ่งกวดอีกฝ่ายไป อลหม่านวุ่นวายกันไปหมด

กระทั่งวิ่งไล่กันจนเหนื่อย อินทรชิตเป็นฝ่ายยอมแพ้และหันหลังกลับมา

“มึงตามกูมาทำไมเนี่ย”

“โธ่ ไอ้ควาย” อัคราหอบ “มึงนั่นแหละวิ่งหนีกูทำไม”

“กูรีบไปซ้อม” อินทรชิตชูไม้กลองที่อยู่ในมือขึ้น

“ที่นี่ cafeteria โว้ย! มึงวิ่งเลยตึกกิจกรรมมาแล้ว! ”

ชายหนุ่มหันขวับไปมองด้านหลัง เป็นจริงอย่างที่อัคราว่า พวกเขาหลับหูหลับตาวิ่งมาจนถึงโรงอาหารโดยไม่รู้สึกตัวสักนิด! ทีนี้จะทำอย่างไรดี อินทรชิตยกมือขึ้นเกาท้ายทอย แสร้งทำเป็นมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมชาติ

“กูหิวน้ำ” และเดินไปที่ตู้จำหน่ายอัตโนมัติ

“ตึกกิจกรรมก็มี มึงจะถ่อมานี่ทำไม”

“ที่นี่ของเยอะกว่า มีสแน็คด้วย”

อัคราหรี่ตามอง เมื่อเห็นท่าทีเป็นธรรมชาติของเพื่อนรักก็เลิกสงสัย ชายหนุ่มเดินไปหยิบถุงกระดาษขึ้นมาก่อนจะช่วยอินทรชิตลำเลียงเครื่องดื่มและของขบเคี้ยวใส่เอาไว้ข้างใน ก่อนจะอาสาถือให้ ชั่วขณะหนึ่งเขาทั้งคู่สบสายตาและเขารู้ดีว่ามีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ข้างใน

“กูมีเรื่องจะถาม” อัคราเป็นฝ่ายเฉลย ทว่านั่นเป็นคำตอบที่อินทรชิตรู้อยู่เต็มอก ชายหนุ่มเสียบไม้กลองไว้ในกางเกงด้านหลัง ตอบว่า

“มึงถามเรื่องเขามาทั้งอาทิตย์แล้ว”

“แต่กูยังสงสัย”

“มึงไม่ได้สงสัย มึงกำลังสนใจเขา”

อัคราก้าวมาดักด้านหน้า ร่างสูงเอามือยันกับผนังเอาไว้เพื่อขวางทางเดิน

“อะไรอีก”

“มึงกับเขาเป็นอะไรกัน? ”

อินทรชิตยืนนิ่ง อีกฝ่ายจึงไล่ถามต่อ

“พี่น้อง? หรือว่าญาติ? ”

“ไม่ใช่” เสียงเข้มตอบ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่เพื่อนสนิทนิ่ง ๆ

“เขาเป็นลูกชายคนโตของคุณลุง”

“งั้นก็แสดงว่าเขาเป็นพี่ชายบุญธรรมของมึง”

“เปล่า กูไม่ได้อยู่ในฐานะแบบนั้น” เพราะคุณพฤกษ์เคยกีดกันเรื่องที่คุณลุงอยากจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ไม่ยอมให้ใช้นามสกุลร่วมจึงทำให้ทุกวันนี้เขายังต้องใช้นามสกุลของผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์แทน

แต่ก็ดีแล้วล่ะ ..เขาเองก็ไม่เคยทัดทานถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง ถ้าหากต้องใช้นามสกุลเดียวกันและอยู่ในฐานะพี่น้องเหมือนพงพีและมาลีวัลย์ ดอกฟ้าอย่างคุณพฤกษ์คงอยู่ไกลจนเขาปีนขึ้นไปไม่ถึงแน่ ๆ

“สรุปคือยังไงวะ? ”

“ทำไม” คราวนี้อินทรชิตเป็นฝ่ายตั้งคำถาม “มึงชอบผู้ชายหรือไง”

“เฮ้ย” อัคราเหว “ชะ ชอบเชิ้บอะไร! กูแค่รู้สึกแปลก ๆ กับเขา”

“ก็ดี” ชายหนุ่มคิ้วกระตุก “เพราะกูชอบผู้ชาย”

“ห๊ะ” อัคราหน้าเหวอ อินทรชิตจึงยื่นหน้าเข้าใกล้ หายใจรดรินและตอกย้ำชัดเจน

“กูเป็นเกย์”

ตุ้บ..

สิ่งที่ถืออยู่ในมือร่วงลงไปกับพื้น กระป๋องน้ำอัดลมกลิ้งออกมาจากถุงกระดาษเกลื่อนกลาดไปทั่ว อัคราผงะออกห่างก่อนจะยกมือลูบแขนเพราะอาการขนลุกขนชัน

“จะรังเกียจกูก็ได้นะ” อินทรชิตว่าพลางนั่งลง มือยาวไล่ตามเก็บกระป๋องน้ำอัดลมที่กลิ้งอยู่ตามพื้นใส่ในถุงกระดาษ

“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเว้ย” อัคราโบกมือก่อนจะย่อตัวลงและช่วยเพื่อนอีกแรง “กูแค่ตั้งรับไม่ทัน ไม่คิดว่ามึงจะบอกกันโต้ง ๆ แบบนี้”

“เซอร์ไพรส์? ”

“แหงสิ ..แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้”

“แล้วมึงจำสัญญาของเราเมื่อตอนเกรดสิบได้ไหมวะ? ”

ชายหนุ่มทำหน้าฉงน “สัญญาอะไรวะ”

อินทรชิตรวบถุงกระดาษมาถือไว้เองก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูด

“มึงเคยบอกว่ามึงจะไม่แย่งของของกู”

“อ๋อ ใช่” อัคราร้อง “แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไงอะ”

ชายหนุ่มหันกลับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้อัครารู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง เพื่อนรักของเขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะวางมือลงบนบ่า

เขาเป็นของของกู ไม่ใช่ของของมึงอีกแล้ว”

อัคราแข็งทื่อไปกับคำพูดนั้น ประโยคแรกเขาเหมือนจะเข้าใจ แต่ประโยคต่อมามันคืออะไร?

“อัครเพื่อนรัก” อินทรชิตตบลงบนแก้มข้างหนึ่งเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าปกติว่า

“กูรู้ว่ามึงเป็นคนฉลาด กูคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเขาที่กูหมายถึงคือใคร”

“...”

“เฮ้ย! ” อัคราอุทานเมื่อร่างกายที่กำยำและสูงกว่าเกือบห้าเซนติเมตรพลักเขากระเด็นติดผนังด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะตรงเข้ามาบีบสันกรามไว้แน่นจนเส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนขึ้นมาจนน่าขนลุก ไหนจะดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่เขาด้วยความชิงชังอย่างไม่ปกปิด บรรยากาศบางอย่างที่แผ่ออกมาจากท่าทีคุกคามนั่นทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ไม่เหมือนอินทรชิตที่เขาเคยรู้จักมาตลอดสามปี

“มึง ..ใจเย็นก่อนเพื่อน”

“กูทนหงุดหงิดมาทั้งอาทิตย์ก็เพราะมึง แต่ไหน ๆ ก็พูดแล้วกูก็อยากจะเตือนมึงสักอย่าง ไม่ว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ กูขอให้เลิกคิดทั้งหมด อย่า! แม้แต่จะคิดด้วย มึงคงไม่อยากแตกคอกับกูเพราะเรื่องแบบนี้หรอกเนาะ? หืม ใช่ไหม? เราเป็นเพื่อนรักกันนี่ไอ้อัคร”

 

 

 

วันนี้เป็นวันที่พฤกษ์รอคอยมาตลอดหลายวัน มันคือวันจัดงานนิทรรศการแสดงผลงานของนักเรียนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สมัยที่เขาเรียนอยู่ที่นั่นก็เคยต้องขึ้นไปพูดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเพื่อเปิดงานอยู่หนึ่งครั้งในฐานะกรรมการนักเรียน พอเรียนจบก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมเยียนในฐานะศิษย์เก่าเลยสักครั้ง จะมีบ้างที่ขับรถผ่านหน้าโรงเรียนเพราะต้องไปส่งอินทรชิตอยู่ช่วงหนึ่ง สรุปแล้ววันนี้คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เขาจะได้กลับไปที่นั่นอีก

อินทรชิตเข้ามาหาเขาที่ห้องนอนตั้งแต่ตีห้า กอดหอมนัวเนียจนเกือบจะเลยเถิดกันอยู่พักใหญ่ อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้ลาเพื่อที่จะล่วงหน้าไปช่วยคนอื่นจัดสถานที่โดยไม่ลืมกำชับให้เขามาให้ทันในตอนสิบโมง

ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้วทว่าเขายังคงเอื่อยเฉื่อยไปกับการอาบน้ำและการประทินผิว ขัดตรงนั้นทีทาตรงนี้ทีอย่างเอาใจใส่มากกว่าปกติ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็เป็นคราวที่ต้องตัดสินใจเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่อย่างเหมาะสม จะใส่ชุดนักศึกษาไปก็กลัวจะซ้ำซาก ใส่สูทเต็มยศก็กลัวจะเป็นทางการเกินไป หรือจะใส่แค่เชิ้ตสีสุภาพกับกางเกงยาวปกติก็พอ

“จะว่าไปแล้ว..” พฤกษ์เหมือนจะคิดอะไรออก เขาดึงลิ้นชักชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้าออกและหยิบกล่องใบใหญ่สำหรับใส่เสื้อออกมา มันเป็นยูนิฟอร์มสมัยมัธยมที่เขาเคยใส่ หากนับจากเวลาในกาลนี้คงผ่านไปไม่ถึงห้าหรือหกปีเท่านั้นผนวกกับการเก็บรักษาเป็นอย่างดีจึงทำให้สภาพยังดีเหมือนของใหม่

พฤกษ์ตัดสินใจใส่ชุดนี้แหละไปงาน อินทรชิตคงต้องตกใจแน่ ๆ หากเห็นเขาอยู่ในชุดแบบนี้ แล้วอัคราล่ะ ผู้ชายคนนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเจอกันอีกครั้ง

“จริงด้วยสิ เราจะทำยังไงกับอัครดีล่ะทีนี้”

เขากลับมานั่งคิดอีกครั้ง หลังจากวันนั้นมาจิตใจของเขาก็สับสนอย่างรุนแรง พฤกษ์ไม่คาดคิดว่าจะได้คนรักเก่าอีกครั้ง เดิมทีเขาแอบนึกอยู่ลึก ๆ ว่าการที่ฉัตรตะวันยังไม่ตายอาจจะเป็นมีความเกี่ยวข้องกับอัคราก็ได้ บางครั้งเขาก็คิดไปไกลถึงขนาดที่ว่าฉัตรตะวันเป็นตัวตายตัวแทนของอัครา บ้างก็คิดว่าการมีตัวตนของฉัตรตะวันในกาลนี้ทำให้อัคราไม่มีตัวตน ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาถึงไม่เคยคิดที่จะตามหาหรือพยายามสืบเสาะถึงความเป็นไปของอัคราเลยสักครั้ง

ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าเขาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แถมที่น่าประหลาดใจไปมากกว่านั้นคือการที่อินทรชิตและอัครายังเป็นเพื่อนสนิทกัน พฤกษ์เริ่มหวั่นใจ ความหวาดกลัวเริ่มรุกรานขึ้นมาทีละน้อย ศัตรูกลายมาเป็นมิตร มิตรก็อาจจะกลายมาเป็นศัตรู ไม่แน่ว่าในอนาคตต่อจากนี้ทั้งสองจะห้ำหั่นทำร้ายกันเหมือนในกาลก่อนอีกก็เป็นได้

มันจะกลับซ้ำรอยเดิมอย่างนั้นหรือ..!? ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่เขาสู้อุตส่าห์พยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวและรอบข้างทั้งหมดมันจะสูญเปล่าไปจริง ๆ น่ะหรือ อินทรชิตจะเติบโตขึ้นเพื่อทวงทุกอย่างคืนโดยมีพ่อของเขาหนุนหลัง ส่วนอัคราก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีแต่ความชิงชังเคียดแค้นโดยมีแม่ของตนคอยเสี้ยมสอน จากเพื่อนรักกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องที่จองล้างจองผลาญกันไม่รู้จักจบจักสิ้น อัคราและแม่คงไม่หยุดจนกว่าจะมีใครตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นแล้วตัวเขาล่ะ?

นั่นสิ ..แล้วตัวเขาล่ะ

จะเลือกกลับไปเป็นตัวแปรของโศกนาฏกรรมอีกครั้งหรือจะพยายามเปลี่ยนแปลงมันเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด

“หวังว่าการเจอคุณในครั้งนี้ผมจะให้คำตอบตัวเองได้นะ ..อัคร”

 

 

 

“ไอ้อินทร์โว้ย”

อินทรชิตที่ยืนเช็กความเรียบร้อยของเครื่องดนตรีบนเวทีอยู่ก็ต้องตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นอัคราในชุดบาสเกตบอลเดินมาหา มันยิ้มแฉ่งพร้อมกับโบกมือให้

ชายหนุ่มกระโดดลงจากเวทีทันทีก่อนจะพุ่งเข้าไปหาอย่างตื่นตระหนก

“ทำไมมึงยังอยู่ที่นี่” เขาถาม “ล้อหมุนตั้งแต่แปดโมงแล้วไม่ใช่หรือไง? ”

ที่เขาต้องถามเป็นเพราะกังวลเรื่องคุณพฤกษ์นั่นแหละ อุตส่าห์มั่นใจเสียดิบดีว่าหากคุณเขามางานได้จะไม่เจอกับอัคราแน่นอนเพราะอีกฝ่ายมีการแข่งขันนัดชิงแชมป์ที่ต้องไปใช้สนามของสถาบันคู่แข่งแต่ทั้งที่ควรเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมมันยังโผล่หัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาได้!

“การแข่งเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ว่ะ” อัครายักไหล่ “กูอาจจะไม่ได้มาดูมึงเล่นนะ”

“มึงจะไปไหน? ”

“กูนัดเด็กเอาไว้ว่าจะพาเที่ยวงาน”

“แฟนคนไหนวะเพื่อน” อินทรชิตเสียงอ่อนลงทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีธุระติดพันกับหญิงอื่นตลอดทั้งวันจนไม่สามารถปลีกตัวไปเกาะแกะกับคุณพฤกษ์ได้

“ลินดา” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตัวท็อปฝั่งนู่นอยู่แหละ”

“ฟาดแต่ตัวท็อปทั้งนั้นนะมึง”

อัครายักไหล่ “แล้วมึงอะ ไม่มีมาเปิดตัวบ้างหรือไง”

“หมายความว่าไง”

“โหย ถามจริง” ชายหนุ่มทำหน้าละเหี่ยใจ

“กูจะบอกให้นะเว้ย ใครที่พาเด็กโรงเรียนอื่นมาเดินงานโรงเรียนตัวเองก็เท่ากับว่าเปิดตัวแล้วเปล่าวะ ห้องเราแม่งก็พาแฟนมาเที่ยวกันทั้งนั้นแหละไอ้ห่า นู่น มึงดูไอ้คาเตอร์ดิ ควงน้องหมวยที่ไหนมาวะนั่น”

อินทรชิตหันไปตามคำบอกของเพื่อน เขาเห็นคาเตอร์เดินมากับสาวสวยผิวขาวคนหนึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นพอดีเลยตรงดิ่งมาหา

“ใครวะ” อัคราทำเป็นกระทบไหล่ถามก่อนจะทำท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยใส่หญิงสาวโดยการกวาดสายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แถมยังจงใจค้างสายตาเอาไว้ที่บริเวณชายกระโปรงที่สั้นกุดนาน ๆ

“ไอ้อัคร” อินทรชิตแอบหยิกเอวเพื่อนก่อนจะกระซิบเสียงเบาที่สุด

“ไอ้ทุเรศเอ๊ย อย่าทำแบบนี้ มันอุบาทว์”

“ห๊ะ” เหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีคุกคามออกไป เขาจึงแสร้งทำเป็นเบนสายตามองไปที่อื่นบ้าง แสร้งยิ้มขึ้นมาบ้าง ท่าทางเหมือนคนอัธยาศัยดีสุด ๆ คนหนึ่ง

“ใครเนี่ย แนะนำบ้างสิ” อินทรชิตเป็นฝ่ายออกปาก คาเตอร์ที่คุยกับหญิงสาวอยู่จึงหันมายืดอกตอบ

“นี่ซินเจีย แฟนกูเอง” ชายหนุ่มหันมายิ้ม “ซินเจีย นี่เพื่อนไอ หน้าหล่อ ๆ สูง ๆ นี่ชื่ออินทร์ ส่วนไอ้หัวแดงนี่ชื่ออัคร”

“หนีห่าว” อัคราทัก ซินเจียที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพูดว่า

“เพื่อนยูเก่งจัง”

“โธ่ ไม่เอาน่า” ชายหนุ่มยักไหล่ “มันก็แค่ของเบสิค”

เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะขยับออกห่าง อินทรชิตรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นการหัวเราะที่ฝืนมาก กลุ่มของพวกเขายืนทักทายกันอยู่สักพักก่อนที่อัคราจะขอตัวออกไปรับแฟนสาว (คนใหม่) ส่วนคาเตอร์ก็ถูกเรียกให้ไปช่วยงานบนเวที ทิ้งให้ซินเจียอยู่กับเขาตามลำพัง

“เมื่อกี้ขอโทษแทนอัครมันด้วยนะ ไอ้นี่มันจัญไรเรื่องแบบนี้ตลอด”

“ยูเห็นด้วย? ” ซินเจียทำหน้าตกใจ “โอ๊ยกลัวแทบแย่เลย เพื่อนยูคนนั้นแย่มาก แต่ไอไม่กล้าพูดหรอกนะเพราะกลัวทำทุกคนกร่อย”

ระหว่างที่พูดหญิงสาวก็เอามือรวบกระโปรงด้านหลังไว้เพราะลมกำลังพัดมา อินทรชิตจึงแสร้งแหงนหน้าขึ้นมองบนเวที โบกมือให้คาเตอร์ที่ยืนเช็กเครื่องเสียงอยู่ไม่ไกล

“ช่างเถอะ มันคงเป็นปกติของผู้ชายล่ะมั้ง อีกอย่างไอก็ใส่กระโปรงสั้นด้วย ไม่แปลกที่จะเป็นจุดเด่น”

อินทรชิตบอกปัด “เธอกำลังทำให้มันเป็นเรื่องปกติต่างหาก”

“ดีจริง” ซินเจียเกิดความประทับใจ “เจนเทิลแมนมาก”

“เราเข้าใจนะเพราะเราก็มีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ถ้ามัวแต่กังวลสายตาคนอื่นก็คงไม่ได้แต่งตัวสวยกันพอดีจริงมั้ย อีกอย่างปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การแต่งตัวของเธอเสียหน่อย”

หญิงสาวยักคิ้วเป็นการเห็นด้วย “ก็จริง ..แต่มันก็พูดยากอีกนั่นแหละ ส่วนมากสังคมมักจะโยนปัญหามาที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ ซึ่งมันน่าเบื่อมากกกก มาก มากกก มากจนขี้เกียจจะพูดละ คนบางคนก็ดักดานเกินกว่าจะขุด พวก ..อะไรนะ อ๋อ บัวใต้โคลนตมอะไรแบบนี้”

เขาหัวเราะกับคำเปรียบเปรย

“แต่คาเตอร์ก็ดีนะ มันนิสัยดี”

“อือฮึ เขาน่ารัก แต่ค่อนข้างขี้อายหน่อย ๆ ”

“คบกันนานแล้วหรือ”

“ไม่ถึงสามเดือน ไอจีบเขาก่อน เป็นไง? เท่ใช่ไหม? ”

“เท่มาก” อินทรชิตชูนิ้วโป้ง

“แล้วแฟนยูไม่มาด้วยหรือ คาเตอร์บอกไอว่าคนอื่นชอบพาแฟนมาอวดเวลามีงานแบบนี้”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปากก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่ใส่อยู่บนข้อมือ เขาตอบเสียงระรื่น

“เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา