คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) 00 38
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 38
เวลาสิบเอ็ดโมงโดยประมาณ แฟนที่อินทรชิตสมอ้างก็ก้าวลงมาจากมาเซราติคันงาม นักเรียนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างพากันหยุดนิ่งและหันมามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชวนฝันเจ้าของรถยนต์แสนแพงด้วยอาการตกตะลึงปนสงสัย
พฤกษ์กวาดตามองนักเรียนคนอื่น ดูจากยูนิฟอร์มที่สวมใส่อยู่แล้วคะเนว่าคงมีไม่ต่ำกว่าสิบสถาบันที่มาร่วมในงานวันนี้ ชายหนุ่มดันแว่นสายตาขึ้นและอมยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ ทำเอาใครหลายคนถึงกับแย่งกันยิ้มตอบด้วยท่าทางเคอะเขิน เขาเดินออกมาจากลานจอดรถด้านหน้าอาคาร เดินสวนทางกับรุ่นน้องหลายคนที่มองมาด้วยสายตาฉงนฉงาย พฤกษ์เห็นดังนั้นจึงหยุดยืนและสำรวจตนเองผ่านเงากระจก ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแผกตรงไหน ทำไมถึงเป็นเป้าสายตาตลอดทางเดินขนาดนี้ เขาคิดและหันกลับไปมองนักเรียนร่วมสถาบันคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไปอีกครั้งก่อนจะสังเกตได้ว่าตนเองแต่งกายต่างจากคนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย
โดยปกติยูนิฟอร์มของอินทรชิตจะเป็นแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น เนคไทสีแดงเลือดหมูและมีเข็มขัดตราโรงเรียนใส่กับกางเกงขาสั้นสีกรมท่า ส่วนยูนิฟอร์มของพฤกษ์เป็นแบบเก่าเมื่อหลายปีก่อนคือมีเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว เนคไทสีแดงเลือดหมู มีสายเอี๊ยมที่ใช้กับกางเกงขาสั้นสีกรมท่าและสวมทับสูทสีเดียวกับกางเกง ส่วนตราโรงเรียนจะเป็นเข็มกลัดสีทองเล็ก ๆ กลัดติดบนปกเสื้อสูทอีกที
ร้อนใช้ได้เลยล่ะ ดีแล้วที่หลายปีต่อมาผู้บริหารคนใหม่ถึงเปลี่ยนยูนิฟอร์มให้เข้ากับสภาพอากาศของเมืองไทย
“ดูดีหรือยังนะ” พฤกษ์พึมพำกับตนเองพลางจัดทรงผมและลูบขนคิ้วให้เป็นระเบียบ
“เฮ้..” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ พฤกษ์เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งผ่านทางกระจกเงา อีกฝ่ายมีกันสามคน แต่ละคนล้วนสวมชุดสำหรับเล่นบาสเกตบอล
“ช่วงเช้ายังไม่ปล่อยให้เกรดเก้าลงไปเข้างานนะ ยูมาจากโรงเรียนไหนเนี่ย หลงทางหรือเปล่า? ”
เกรดเก้า??? พฤกษ์ยกมือเกาหนังศีรษะ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่อีกฝ่ายนึกว่าเขาเป็นแค่เด็กมัธยมต้น เขาหรืออุตส่าห์ภาคภูมิใจกับส่วนสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรของตนเองแทบตายแล้วมันเอาตาข้างไหนมองถึงคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กน้อยที่พลัดหลงมา
“นี่” พฤกษ์หันกลับมาก็ต้องผงะกับส่วนสูงของผู้ชายทั้งสามที่ล้อมปิดอยู่ตรงหน้า รู้สึกอึดอัดราวกับตนเองกำลังตัวหดเล็กลงมาเรื่อย ๆ
เขากระแอมเบา ๆ และกลับมาวางท่าทีเรียบนิ่ง
“ฉันไม่ใช่เด็ก” ใช่ อายุสนนรวมแล้วก็สามสิบแปดพอดี อาจจะเป็นคุณพ่อ คุณอาหรือคุณน้าของพวกแกได้สบาย ๆ เชียวล่ะ (โมโห)
“ฉันมาที่นี่ในฐานะศิษย์เก่า” พฤกษ์กอดอก
หนึ่งในสามขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองคนอื่นเพื่อขอความเห็น ชายที่อยู่ตรงกลางทำทีจะพูดอะไรบางอย่างทว่าก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา
“เฮ้ย พวกมึงทำอะไรกันวะ”
ทุกสายตาหันไปรวมอยู่ที่เดียวกันหมด คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเท่าไหร่กับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียง ทว่าไม่ใช่กับพฤกษ์แน่นอน เขาหายใจสะดุด แทบจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในพริบตา
และนั่นก็เป็นเพราะอีกฝ่ายคืออัครา
“เด็กหลงว่ะ” หนึ่งในสามบอก อัคราจึงเลื่อนสายตามามองที่เขา ชายหนุ่มตาเบิกโพลงและมีสีหน้าพิลึกพิลั่นต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“คุณ” ชายหนุ่มอึกอัก “คุณพฤกษ์? ”
“อ้าว นี่มึงรู้จักน้องเขาด้วยหรือวะ” ใครสักคนพูด
“พวกเราเห็นน้องเขาเหมือนกำลังหลงทางเลยเข้ามาถามเฉย ๆ เผื่อมีอะไรให้ช่วยน่ะ” ใครสักคนพูดอีกเหมือนกัน
“....”
เสียงรอบข้างดูเหมือนจะไม่เข้าไปในโสตประสาทของพวกเขาในตอนนี้เลยสักนิด อัคราเอาแต่จ้องหน้าเขาเหมือนที่เขาเองก็จ้องหน้าอีกฝ่าย เราสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดทั้งสิ้น จะมีก็แต่ความสงสัยใคร่รู้ ความเคลือบแคลงใจและความอาวรณ์บางอย่างแฝงอยู่ในแววตา
“ทำไมคุณถึงจ้องหน้าผมแบบนี้”
“ฉันควรจะเป็นฝ่ายถามเธอมากกว่านะ”
อัคราขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปมน่ากลัว ชายหนุ่มหันไปบอกกล่าวกับเพื่อนก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกย้ายกันไป
“คุณยังเรียนอยู่หรือ ..แต่วันนั้น” ชายหนุ่มเริ่มสับสน หวนนึกถึงครั้งนั้นที่เจอกันที่อีกฝ่ายมีบุคลิกและการแต่งตัวที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าวันนี้
“ฉันเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่”
อัครากวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“โรงเรียนเราเคยมียูนิฟอร์มแบบนี้ด้วยหรือครับ”
ชายหนุ่มรู้สึกพิกลกับหางเสียงที่อีกฝ่ายใช้เพราะปกติเขากับอัคราอายุเท่ากัน จึงไม่เคยพูดจาสุภาพลงท้ายประโยคด้วยคำว่าครับเลยสักครั้ง
“ยูนิฟอร์มเก่า” เขาตอบ “เขาเลิกใช้ไปหลายปีแล้ว”
“หรือครับ อืม เหมาะกับคุณมาก ..น่ารักดี” อัคราเอ่ยชม ทว่าอีกประโยคกลับงึมงำอยู่ในลำคอ เขายกมือเกาศีรษะ สักพักจึงหน้าแดง รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“แล้วนี่เธอแข่งบาสหรือ? ” พฤกษ์ชวนคุย เป็นประโยคที่ดูเก้ ๆ กัง ๆ เสมือนคุยกับคนแปลกหน้า
“ครับ แต่เลื่อนไปแข่งพรุ่งนี้แทนแล้ว ช่วงบ่ายคุณไปดูผมเล่นที่สนามได้นะ คนอื่น ๆ จะจัดแมตช์กระชับมิตรเล็ก ๆ สักสองสามเกม”
พฤกษ์เลิกคิ้ว
“ทำไมฉันต้องไปด้วย”
“เพราะไอ้อินทร์ก็อาจจะลงเล่น”
“เกี่ยวอะไรด้วย”
อัครายิ้มแห้ง “ไม่เอาน่า ทำไมคุณถึงมองผมด้วยสายตาไม่พอใจอยู่ตลอดเลยล่ะ ผมดูเป็นคนไม่ดีหรือไง ถ้าเรื่องคราวก่อนที่เสียมารยาทก็ขอโทษไปแล้วนี่ หายโกรธกันได้แล้วนะ”
“ฉันไม่ชอบคนแบบเธอเลย” พฤกษ์พูดเสียงเรียบ “ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว”
“แล้วคนแบบไหนที่คุณชอบ แบบไอ้อินทร์หรือเปล่า? ”
คราวนี้พฤกษ์เป็นฝ่ายขมวดคิ้ว พอจะจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงอินทรชิตในลักษณะแดกดันติดต่อกันสองหนแล้ว อัคราอาจจะรู้อะไรมา บางทีคงเป็นอินทรชิตที่เผลอบอกเรื่องระหว่างเราไปแล้วก็ได้
‘บ้าจริง! ’ เขาสบถ ‘บอกว่าให้เป็นความลับไง! ’
“เธอรู้อะไรมาใช่ไหม? ” เสียงนุ่มเอ่ย ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบจนน่าขนลุก
“อาจจะรู้มั้งครับ” อัคราสบกับสายตานิ่ง ๆ ก็ยิ้มเจื่อน “เอ๊ะ ..ไม่รู้ดีกว่า เมื่อกี้ผมพูดอะไรไปหรือครับ”
กวนประสาทเหมือนเดิมไม่ผิด! ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ถ้าเป็นอัคราคนเก่ามายืนทำหน้าทำตาทะเล้นใส่แบบนี้คงโดนเขาตบจนหน้าชากันไปข้างแล้วข้อหาทำเรื่องให้ขัดใจ
“นี่เธอ..”
“เบ๊บ! ” เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวร่างเล็กอ้อนแอ้นที่วิ่งหอบมาหยุดกลางวงสนทนา พฤกษ์กำลังมีคำถามอยู่ในหัวทันทีที่เห็นเธอ ทว่าลึก ๆ แล้วเหมือนเขาจะหาคำตอบให้กับตนเองได้ผ่านการที่เห็นหญิงสาวทอดสายตาหวานเชื่อมไปให้อัครา
“มาอยู่ที่นี่เอง ลินดาตามหาตั้งนาน” เธอว่าพลางซบหน้าไปมาลงบนแขนข้างหนึ่ง พฤกษ์ที่ยืนมองอยู่ถึงกับจุกจนเจ็บแปลบไปทั่วอก เขากัดริมฝีปากตนเองแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่แสดงท่าทีงี่เง่าออกไป
“ไอมาทักเพื่อนน่ะ” อัคราหมายถึงเพื่อนสามคนเมื่อก่อนหน้านี้
“คนนี้หรือ? ” ลินดาหันมายิ้มกว้างให้เขา “เพื่อนยูดูเด็กจัง ตัวสูงแต่น่ารัก” ก่อนจะยื่นมือออกมาตรงหน้าเป็นการทักทาย
“ไม่ได้นะ” อัคราเป็นฝ่ายรวบมือเรียวมาจับไว้ข้างตัว
“คนนี้เขาโตกว่าเราหลายปี” เขาก้มลงไปกระซิบข้างแก้มเนียนใส “ดุมากด้วย”
“ได้ยินนะ”
อัคราหัวเราะร่วน ในขณะที่ลินดาอมยิ้มให้เขา
‘หงุดหงิด’ และ ‘ไม่พอใจ’ คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเขาย่อมหงุดหงิดอยู่แล้วที่เห็นอัครามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ก่อนตายอีกฝ่ายยังอยู่ในสถานะคนรักของเขาและเรายังไม่เลิกรากันด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว ต่อให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพฤกษ์คืออัคราก็ตามแต่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อัคราที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
อัคราไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว.. ตรงหน้านี้คือคนแปลกหน้า คือคนที่เขาไม่รู้จัก เป็นใครก็ไม่รู้
“เขี้ยว” พฤกษ์หยุดไปก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ “อินทร์อยู่ที่ไหน? ”
“ในงานนู่นแหละครับ เล่นไปได้สักพักแล้ว” อัคราชี้ไปยังเต้นท์ขนาดใหญ่ที่ครอบทับพื้นที่สนามกลางโรงเรียนเป็นโดมขึ้นมา เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงกรีดร้องดังมาแต่ไกล
“ไปเร็วเบ๊บ ไออยากไปดูคอนเสิร์ตแล้ว”
อัคราส่งยิ้มให้แฟนสาวก่อนจะหันมาหาเขาเพื่อถามความเห็น
“คุณจะไปกับเราไหม? ”
พฤกษ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง “ฉันอยากจะเดินดูผลงานรอบ ๆ ก่อน พวกเธอไปเถอะ”
“แต่..” ชายหนุ่มทำหน้าเป็นกังวลและนั่นทำให้พฤกษ์รู้สึกหงุดหงิด
“ฉันไม่ใช่เด็กที่เธอต้องมาคอยกังวลหรอกนะ” เขากล่าวเสียงเรียบและเหลือบไปมองที่หญิงสาว พฤกษ์มองเลยลงไปยังฝ่ามือที่กอบกุมกันแน่นราวกับไม่มีวันพรากจาก
“คุณแน่ใจนะ”
“ไปเถอะน่า” เขาพูดเสียงแผ่วเบาก่อนจะแสร้งทำเป็นมองอย่างอื่นแทนการมองไปที่ใบหน้าของอดีตคนรักโดยตรง
“โอเค ..เอาอย่างนั้นก็ได้” อัครากล่าวอย่างจนใจก่อนจะหันหลังและพาแฟนสาวเดินจากไป
พฤกษ์ทนใจแข็งอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ต้องหันกลับมามองแผ่นกว้างที่กำลังค่อย ๆ ห่างไกล เขายื่นมือออกไปข้างหน้า คว้าลมคว้าอากาศและมองลอดระหว่างนิ้วมือเห็นชายหญิงเดินเคียงคู่กันไปตลอดทาง ใจหนึ่งก็อยากจะฉุดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้และล้มเลิกความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างทิ้งไปเสียตรงนี้ ทว่าอีกใจก็หวาดกลัวสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากว่าเขาคิดแต่จะเห็นแก่ตัวเอาแต่ประโยชน์สุขใส่ตนเอง
น้ำตาร้อนจัดเอ่อล้นขอบตาและไหลรินลงมาอาบแก้ม พฤกษ์ยังคงมองเขาทั้งคู่ด้วยสีหน้านิ่งสงบ กระทั่งความคิดตกตะกอน พฤกษ์จึงตัดสินใจเด็ดขาด เขาสามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้ในที่สุด
“ลาก่อน”
ปล่อยเขาไป ..ให้เขาไปมีชีวิตของเขา ชีวิตที่เขาได้มีสิทธิ์เลือก
“หืม? ยูเป็นอะไรไปงั้นหรือ? ” ลินดาเอ่ยถามเมื่อเห็นแฟนหนุ่มหยุดนิ่งไม่ยอมเดินต่อหรือขยับเขยื้อนไปไหนทั้งที่เมื่อครู่ก็ยังดี ๆ อยู่เลย
“ไอรู้สึกแปลก ๆ ” อัคราขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างบอกไม่ถูก มันโหวงเหวงอยู่ในอก อึดอัดและไม่สบายใจอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่รู้แน่ชัดอย่างเดียวคือความกังวลใจต่ออีกคนที่พวกเขาเพิ่งจะเดินจากมา
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ หันหลังกลับไปมองที่เดิม แต่ทว่าก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อสถานที่ตรงนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
..คุณพฤกษ์คนนั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว
‘ฉันอยู่ที่ห้องสมุด’
นั่นเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ที่คุณพฤกษ์ส่งมาหาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะลงจากเวที อินทรชิตโยนไม้ตีกลองให้รุ่นน้องที่เป็นสต๊าฟคนหนึ่งและรับขวดน้ำจากรุ่นน้องคนเดิมมาเปิดดื่มและเทราดศีรษะเพื่อดับความร้อน เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะวิ่งออกไปจากงานทั้งที่ตัวโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำ กระทั่งวิ่งมาถึงห้องสมุดเก่าที่ว่า เขากวาดตามองไปทั่ว รอบบริเวณไม่มีนักเรียนคนไหนผ่านไปมาให้เห็น คงเพราะทุกคนให้ความสนใจอยู่กับบูธขายของและกิจกรรมภายในงาน ขนาดเข้าไปในห้องสมุดแล้วแท้ ๆ ยังไม่ยักจะเห็นบรรณารักษ์สาวสวยประจำอยู่หลังเคาเตอร์เหมือนอย่างทุกที
แล้วคุณพฤกษ์อยู่ที่ไหน? อินทรชิตร้อนอยู่ในอกก่อนจะไล่เดินหาอีกฝ่ายตามซอกชั้นหนังสือทีละซอกไปจนสุด ทว่าก็ยังไม่ปรากฏร่างที่เขาตามหา อินทรชิตจึงเดินเลยไปยังโซนหนังสืออ่านเล่นสำหรับเด็กมัธยมต้นที่อยู่ส่วนท้ายของห้องสมุด เด็กโตส่วนใหญ่จะไม่ชอบมาที่นี่เพราะการตกแต่งที่ดูหวานแหวนมีสีละลานตาเกินไปจนไม่มีสมาธิสำหรับอ่านหนังสือ แต่เขากับอัครามาที่นี่บ่อย โดยเฉพาะคาบว่างและตอนพักเที่ยง สาเหตุก็เพราะโซนนี้มีบีนแบ็กหรือเก้าอี้ถุงถั่วขนาดใหญ่เหมาะแก่การนอนหลับเป็นที่สุด
ดูเหมือนจะมีบางคนกำลังนั่งจุ่มตัวอยู่ในบีนแบ็กสีเหลือง อินทรชิตเห็นเพียงด้านหลังเป็นยูนิฟอร์มคล้าย ๆ กับของเขาแต่ทว่ามีสูทสีกรมสวมทับภายนอกเอาไว้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเพราะไม่คาดคิดว่าจะมีรุ่นน้องจากโรงเรียนอื่นอยู่ที่นี่อีก คงจะเป็นพวกที่ไม่ชอบความวุ่นวายของงานกระมังถึงได้ปลีกวิเวกมานั่งอ่านหนังสือเหงา ๆ อยู่คนเดียวแบบนี้
‘ดู ๆ ไปแล้วก็คล้ายคุณพฤกษ์สมัยเรียนเลย’
อินทรชิตเผลอหลุดอมยิ้มเมื่อนึกถึงความทรงจำในอดีต คุณพฤกษ์ตอนนั้นยังใส่ยูนิฟอร์มแบบเก่าของที่นี่ที่มีทั้งเชิ้ตแขนยาวและสูทหนาเทอะทะ คุณพฤกษ์เป็นคนขี้ร้อน เวลากลับมาจากโรงเรียนก็จะถอดเสื้อสูทตัวนอกออกให้เห็นสายเอี๊ยมสีดำตัดกับสีขาวของเสื้อเชิ้ตก่อนจะมานั่งทำการบ้านอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในห้องหนังสือหรือไม่ก็ห้องโถงทุกวันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง อินทรชิตเองก็มักแสร้งทำเป็นเดินผ่านหรือไม่ก็ยืนดูคุณเขาจากที่ไกล ๆ อยู่บ่อยครั้ง มันเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกสงบ ทั้งยังตรึงอยู่ในความทรงจำและช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้เขายังคงเป็นเขามาจนถึงทุกวันนี้
“แกจะยืนอยู่ตรงนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่? ”
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคนที่เขาคิดว่าเป็นนักเรียนรุ่นน้องที่อาจจะมาจากโรงเรียนอื่นดันกลายเป็นคุณพฤกษ์เสียได้!
‘ต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ ’ อินทรชิตถึงกับยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน เขามองไปที่คุณพฤกษ์ อีกฝ่ายขยับบีนแบ็กให้หันกลับมาก่อนจะนั่งไขว่ห้างมองกลับมาที่เขาด้วยสายตาหงุดหงิด
ตรงข้ามกับอินทรชิตโดยสิ้นเชิง เขาเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอยไปแล้ว อากาศที่เย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศกลับร้อนอบอ้าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หัวสมองขาวโพลนมึนชาไปชั่วขณะ มิหนำซ้ำก้อนเนื้อน้อย ๆ ในอกก็ดีดเร่าราวกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้ อินทรชิตยกมือขึ้นลูบใบหน้า ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวจริง ๆ คุณพฤกษ์ในชุดนักเรียนมัธยมเป็นอะไรที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้มาเห็นกับตาตนอีกครั้ง พระเจ้า ทุกอย่างที่กักเก็บอยู่ภายในมันกำลังทะลักทะล้นออกมา เขาไม่สามารถควบคุมหรืออดทนอดกลั้นอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
ฟุ่บ..
อินทรชิตโผเข้าหาร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนบีนแบ็กขนาดยักษ์ทันที ชายหนุ่มซุกหน้าเข้าที่หน้าท้องราบและใช้ร่างกายกอดก่ายอีกคนเอาไว้แน่น ก่อนจะใช้แก้มถูไถไปมาเพื่อออดอ้อนอย่างมีความสุข
“ไม่ขัดขืนหรือครับ” ชายหนุ่มถามขณะช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย โดยปกติแล้วถ้าเขาทำตัวรุ่มร่ามใส่แบบนี้ คุณพฤกษ์ก็จะดิ้นหนีหรือขัดขืนก่อนจะสักเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ โอนอ่อนตามทีหลัง แต่ตอนนี้กลับไม่ขัดขืนสักนิด ทั้งยังใจดียกมือขึ้นมาลูบศีรษะเขาเบา ๆ อีกด้วย
ต้องฝันไปแน่ ๆ ..ทำยังไงดี อินทรชิตกลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลกไปแล้ว
“ข้างนอกฝนตกหรือไง”
คุณเขาตั้งคำถามกลับ
“เปล่านี่ครับ แดดออกจะแรง”
“แต่ตัวแกเปียก” ฝ่ามือที่ลูบศีรษะอยู่ยกขึ้นมาพินิจคราบน้ำตามนิ้วมือ “ผมก็เปียก”
“เวรละ” อินทรชิตสบถ เขากระเด้งตัวหวังจะลุกขึ้นนั่งทว่าก็ถูกมือเรียวกระชากเนคไทให้ล้มตัวลงไปเหมือนเดิม
“จะไปไหน”
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นขณะหลุบตาลงมองเนคไทสีแดงที่ถูกคุณเขากำเอาไว้แน่น อินทรชิตยิ้มกริ่ม ถึงแม้จะหายใจติดขัดแต่ก็ทำให้เลือดภายในกายสูบฉีดดีเหลือเกิน
“ตัวผมมีแต่เหงื่อ” เขาตอบเสียงหงอย “เดี๋ยวคุณพฤกษ์จะเหม็น”
คุณเขาทำจมูกฟุดฟิดแถว ๆ ลำคอ ตอบว่า
“ไม่เห็นจะมีกลิ่นอะไร” และ “ถึงมี ..ฉันก็ไม่ได้รังเกียจ”
พอได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็นึกย่ามใจ พลิกตัวขึ้นมาคร่อมอยู่ด้านบนและเท้ามือข้างหนึ่งไว้กับบีนแบ็กเหนือศีรษะของอีกฝ่าย
“ผมเคยได้ยินมาว่าบางคนเกิดอารมณ์เพราะกลิ่นเหงื่อด้วยนะครับ”
คุณพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างเนิบนาบก่อนจะชันขาข้างหนึ่งขึ้นมา เจาะจงเลือกตำแหน่งที่ตรงกับหว่างขาของเขาและใช้หัวเข่าเสียดสีเบา ๆ ทำเอาอินทรชิตถึงกับตัวอ่อนยวบลงมาเล็กน้อย
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นจากคนใต้ร่าง คุณเขายกฝ่ามือขึ้นลูบแผงอกแน่นหนั่นก่อนจะขยำแรง ๆ
“แล้วแกเคยมีอารมณ์กับกลิ่นเหงื่อของฉันบ้างหรือเปล่า”
“คุณพฤกษ์ไม่ค่อยมีเหงื่อ” อินทรชิตสูดปาก เสียงเริ่มสั่นเพราะการเสียดสีจากเบื้องล่าง “ตะ ตัวหอมตลอด”
“รู้ไหมฉันไม่ชอบมีเหงื่อ”
“ครับ ..ผมรู้ อ่า”
“ไม่ชอบอากาศร้อนด้วย”
“ผมรู้ ซี๊ด..” ร่างสูงทิ้งตัวลงทับอย่างยอมแพ้ก่อนจะซบหน้าหายใจอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง
“ถ้าฉันทำอีกสักทีสองทีแกคงแข็ง” คุณพฤกษ์ถอนหายใจ “ถ้าแข็งขึ้นมาทั้งที่อยู่ในโรงเรียนก็คงแย่เลยเนอะ”
“อย่าแกล้งกันสิครับ” อินทรชิตกระซิบชิดแก้มนุ่ม “คุณพฤกษ์มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพัก” สักพักที่ว่าคงเกือบสองชั่วโมงได้แล้ว
“อยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ ได้ไปดูผมในงานไหม”
“ไม่” เสียงนุ่มตอบ “คนเยอะเกินไป ร้อนด้วย”
อันที่จริงเขามีความคิดที่จะไปดูอินทรชิตเล่นดนตรีในงานอยู่เหมือนกัน แต่เพราะถ้าเข้าไปในงานก็จะต้องเจอกับอัคราอีกเป็นแน่ เขาจึงเลือกที่จะปลีกตัวออกมาให้ห่างไกลที่สุดแทน
“ผิดหวังหรือ? ” คุณพฤกษ์ถามเพราะสังเกตเห็นท่าทีเซื่องซึมไม่ยอมพูดอะไร
“เปล่าครับ” เขาโกหก ทั้งที่ใจจริงอยากให้คุณเขาได้เห็นด้านเท่ ๆ ของตนเองแทบตาย
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”
อินทรชิตทำหน้าหดหู่ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เรียกร้องเอาความสนใจจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด ชายหนุ่มทำเพียงแค่ถดตัวเลื่อนลงมาอยู่ตรงช่วงไหล่ ใช้แขนกอดหน้าท้องหลวม ๆ และซบศีรษะพิงอกบางเอาไว้เท่านั้น
ตึกตัก ..ตึกตัก
เขานอนกอดคุณพฤกษ์นิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นบนบีนแบ็กนานหลายนาทีโดยไม่มีท่าทางว่าจะเบื่อหน่ายหรือขยับตัวไปไหนแม้แต่น้อย หูข้างหนึ่งของเขาแนบลงไปกับแผ่นอกและคอยฟังเสียงอัตราการเต้นของหัวใจที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
...มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันกับอินทรชิตว่าชายคนที่เขารักยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
อินทรชิตยิ้มบางขณะฟังเสียงนั้น เขารู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วหัวใจและมีความสุขมาก ๆ จนอยากจะหลั่งน้ำตาออกมา ทว่าชั่ววูบหนึ่งก็เผลอนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเขาพลั้งมือลั่นไกยิงกระสุนใส่คุณพฤกษ์ขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดและทรมานจนอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาไม่แพ้กัน อินทรชิตไม่เคยหลุดออกจากวังวนความรู้สึกผิดบาปนี้ได้เลย ไม่เคยเลยนับตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาในโลกใหม่นี้ และมันจะคงเป็นเช่นนี้จวบจนเขาจะตายจากไป
จะให้ลืมได้อย่างไร ความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็นแบบนั้น.. ไม่เอาอีกแล้ว เขาสูญเสียคุณพฤกษ์ไปไม่ได้อีกแล้ว
“เขี้ยว..” อินทรชิตแหงนหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย คุณพฤกษ์อาจจะเป็นเหน็บชาเพราะถูกเขาทับก็เป็นได้ ทว่าคำพูดต่อมาก็ทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรง
“จูบฉันหน่อยสิ”
คราวนี้อินทรชิตถึงกับลุกขึ้นนั่ง
“วันนี้คุณพฤกษ์แปลกไปนะครับ”
“ยังไง”
“ก็..” ไม่ขัดขืนหรือต่อต้านอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่เขาคลอเคลีย แถมเมื่อครู่ยังเป็นฝ่ายร้องขอจูบจากเขาก่อนเป็นครั้งแรก
“หรือแกไม่ชอบ? ”
“ก็ต้องชอบสิครับ” เขาว่า “แต่ผมแค่รู้สึกว่ามันแปลกนิด ๆ ก็เท่านั้น”
คุณพฤกษ์ที่นอนแผ่อยู่บนบีนแบ็กยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเหงาหงอยปนเศร้าพิกล อีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับที่เนคไทสีแดงก่อนจะม้วนมันเล่นไปมา เสียงทุ้มนุ่มเอ่ย
“จูบฉันแล้วฉันจะบอก”
อินทรชิตฟังจบก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะทำตามใจอีกฝ่าย ชายหนุ่มคร่อมทับอยู่ด้านบนและโน้มใบหน้าเข้าไปประชิด ริมฝีปากร้อนเผยอออกและงับกลีบปากนุ่มแรง ๆ สองสามครัังก่อนจะสอดลิ้นลวกเข้าไปด้านใน แตะปลายลิ้นเข้ากับปลายลิ้นเรียวเล็ก เปลี่ยนมาทาบทับและไล้เลียนัวเนียกันจนน้ำลายผสมกันเป็นหนึ่งเดียว คุณพฤกษ์ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งก่อนจะพลิกขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัก อินทรชิตเอียงใบหน้าเล็กน้อยด้วยเพราะแว่นสายตาที่คุณเขาใส่อยู่มันเกะกะเกินกว่าจะแนบชิด และเขาเองก็ไม่อยากที่จะถอดมันออกจากใบหน้านุ่นนวลและงดงามนั้น เขาอยากให้คุณพฤกษ์เห็นหน้าเขาอย่างชัดเจน อยากให้เห็นว่าเขาคือใครและกำลังจูบลึกซึ้งอยู่กับใคร
คือเขาคนนี้ที่ชื่ออินทรชิต คือเขาที่คุณพฤกษ์เรียกว่าไอ้เขี้ยว ..เป็นแค่เขาคนนี้คนเดียวเท่านั้น
“อื้ม..” คุณพฤกษ์ถอนริมฝีปากออกก่อนจะแลบลิ้นน้อย ๆ อินทรชิตเห็นอย่างนั้นจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อ้าริมฝีปากงับเรียวลิ้นก่อนจะดูดดุนไปมาราวกับมันคือไอศกรีมเจลลี่ที่เคยชื่นชอบสมัยยังเด็กก็มิปาน
“ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าทำไมแกถึงได้ดูช่ำชองเสียจริง”
คุณเขาหยอกล้อในตอนที่ผละจาก อินทรชิตที่นึกมันเขี้ยวอยู่เป็นทุนเดิมจึงใช้มือรูดเนคไทลงและแหวกคอเสื้อออกกว้าง ชายหนุ่มซุกหน้าลงบนซอกคอหอมกรุ่นขาวสะอาดก่อนจะขบและดูดเม้มลงบนผิวเนื้อนุ่มจนเกิดรอยแดง
“อา.. แก ไอ้เขี้ยว ไอ้เด็กเลว” คุณพฤกษ์ว่าทั้งที่สะโพกตนเองก็ขย่มหน้าตักเขาไม่ยอมหยุด “ทำไมแกถึงชอบทำรอยนัก”
เขาจูบลงบนปลายคางและแลบลิ้นเลียลูกกระเดือกสวยที่เคลื่อนไปมาจากการที่อีกฝ่ายกลืนน้ำลาย
“ผมรักของผมนี่ครับ” เขาตอบอย่างซื่อตรงก่อนจะไล่จูบไปตามซอกคอ “ไม่อยากให้ใครมาทำกับคุณแบบคุณฉัตรอีก”
ครู่หนึ่งเขาเกือบจะใส่ชื่อเพื่อนสนิทร่วมเข้าไปอีกคนแล้ว ดีเสียที่ยั้งความคิดและสติเอาไว้ได้ทัน
“เด็กโง่..” คุณพฤกษ์ใช้มือหนึ่งลูบท้ายทอยเขา “จะไม่มีใครได้ทำแบบนั้นอีกแล้ว”
“แน่ใจหรือครับ? ” เขาหรี่ตา ในใจเต้นโครมครามไม่หยุดหย่อน
“นอกจากแก”
“แค่ผมคนเดียว? ”
คุณพฤกษ์ไม่ได้ให้คำตอบที่เป็นรูปธรรมแก่เขา แต่กลับแนบริมฝีปากลงบนหว่างคิ้วของเขาแทน อินทรชิตสุขใจจนล้นปรี่ รีบตะครุบตัวคนที่คร่อมอยู่บนตักมากอดไว้แน่น
“ฉันอยากจะลืมใครบางคน”
คุณพฤกษ์พูดขณะที่เกยแก้มอยู่บนบ่ากว้างข้างหนึ่ง อินทรชิตหูผึ่งทันทีที่ได้ฟัง รู้สึกถึงความหวังที่เคยริบหรี่ไปได้ลุกขึ้นมาโชติช่วงอีกครั้ง
“แกทำให้ฉันลืมเขาได้ไหม? ”
เขาที่ว่า อินทรชิตจะไม่ตั้งคำถามเด็ดขาดว่ามันหมายถึงใคร นั่นเพราะเขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าคืออัครา คนรักที่ฝังใจและยังอาลัยอาวรณ์ไม่ขาด คุณพฤกษ์อาจจะอยากให้เขาเข้าใจว่ามันหมายถึงฉัตรตะวัน ดังนั้นเขาก็เลือกที่จะเสแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจอย่างนั้นถึงแม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจไม่น้อย
“ได้หรือเปล่า”
คุณเขาผละตัวออก ใบหน้างามงอนมีน้ำตาเอ่อคลออยู่เต็มไปหมด อินทรชิตที่เห็นอย่างนั้นก็พลันใจอ่อนยวบยาบ รีบตอบกลับไปทันทีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย
“ได้ทุกอย่างทูนหัว” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มและให้คำสัตย์ “ชีวิตผมเป็นของคุณมาตั้งแต่แรก อย่าว่าแต่สั่งให้ไปตายเลย ที่ผมมีชีวิตอยู่ก็เพื่อคุณ ไม่ว่าคุณจะอยากให้ผมทำอะไรผมก็ยินดีทำทั้งนั้น”
“เบ๊บ นั่นคนเมื่อตอนนั้นนี่” อัคราที่ยืนซื้อเฟรนช์ฟรายส์ทอดอยู่หน้าบูธถึงกับหันขวับมามอง ลินดาแฟนสาวของเขาชี้มือไปยังจุดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป เขามองตามไปจนไปหยุดอยู่หน้าบูธตู้ถ่ายสติกเกอร์ เห็นอินทรชิตและคุณพฤกษ์คนนั้นยืนอยู่ กำลังหัวเราะ กำลังยิ้มแย้ม และดูเหมือนกำลังรอรับรูปออกมาตัดแบ่งกันอย่างมีความสุข
วูบหนึ่งในใจเขากลับรู้สึกหงุดหงิด มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย มันเหมือนความรู้สึกที่เป็นส่วนเกิน เหมือนถูกยัดเยียดมาจากคนอื่น ..คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขา
“ยูโอเคนะ สีหน้าแย่มาก”
“ห๊ะ” อัคราได้สติ เขาส่งยิ้มกว้างให้เธอ “โอเคสิ”
เขามองกลับไปที่คนทั้งสองอีกครั้งก่อนจะสลัดความรู้สึกที่เป็นปรปักษ์นั้นทิ้งไปจากสมอง
ไร้สาระน่า.. อย่าปล่อยให้มันมาควบคุมสิ
“ไอ้อินทร์เว้ย! ” เขาตัดใจตะโกนเรียก “ไอ้เพื่อนรัก! ”
ได้ผล.. อินทรชิตที่ยืนอยู่หันมาตามเสียงเรียกทันที ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อกี้ยังเห็นมันยิ้มอย่างมีความสุขอยู่เลยแท้ ๆ แต่พอหันมาเห็นว่าเป็นเขา รอยยิ้มของมันก็ค่อย ๆ เลือนหายออกไป
ไม่เข้าใจเลย..
“ไปหาเพื่อนไอกัน”
อัคราจ่ายเงินค่าของกินก่อนจะชักชวนแฟนสาวให้เดินไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่
“เจอกันอีกแล้วนะ” ลินดาเอ่ยทักเป็นคนแรกก่อนจะอุทาน “ว้าว ยูนิฟอร์มของยูมีเอี๊ยมด้วย น่ารักชะมัด! ”
อัคราเหลือบมองร่างโปร่งที่ยืนนิ่ง เป็นดังคำพูดของลินดา ยูนิฟอร์มเก่าภายในมีเอี๊ยมสำหรับยึดกางเกงด้วย ส่วนเสื้อสูทที่เห็นใส่อยู่ก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ไหนล่ะ อ้อ นั่นไง เห็นแล้ว เพื่อนรักของเขาถือเอาไว้อยู่นี่เอง
“เธอก็น่ารัก”
เสียงนุ่มเอ่ยอย่างจริงใจ ผิดกับน้ำเสียงแข็งกระด้างที่เคยใช้พูดกับเขาราวกับคนละคน ..สองมาตรฐาน!
“ช่วงบ่ายมึงต้องเล่นต่ออีกปะ”
อินทรชิตส่ายหน้า
“เดี๋ยวเขาจะประกวดร้องเพลงสากล”
“งั้นแจ๋ว! ” อัครายิ้ม “มึงมาลงบาสแข่งกับกู”
“ไม่เอา”
“ทำไม! ”
อินทรชิตหันไปมองคุณพฤกษ์ อัครากับลินดาก็หันไปมองตามเป็นทอด ๆ สรุปว่าทุกสายตาดันมารวมอยู่ที่เขาเป็นจุดเดียว
“อะไร” คุณพฤกษ์เลิกคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“นั่นน่ะสิ” อัคราเสริม “หรือมึงต้องขอผู้ปกครองก่อน”
“ไอ้เวรนี่” อินทรชิตคิ้วกระตุก “กูแค่ไม่อยากเล่น”
เขาอยากจะใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายไปกับการพาคุณพฤกษ์เที่ยมชมรอบงานมากกว่า
“อะไรวะ” อัคราหัวเสีย เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ดังขึ้น อีกฝ่ายจึงรามือจากพวกเขาไปชั่วครู่ ขณะนั้นเองลินดาก็ขอปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ พอคุยโทรศัพท์เสร็จอัคราก็ไม่วายมารบเร้าอินทรชิตต่อ
“แข่งเถอะมึง ถือว่าเอาขำ ๆ ไม่กี่เกม สร้างสีสันให้งาน”
“กูบอกว่า..”
“เขี้ยว แกลงแข่งซะ” เสียงนุ่มแทรกขึ้นมากลางปล้อง ส่งผลให้อินทรชิตถึงกับหน้าหงอยลงไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
“โธ่.. อะไรกัน”
ดวงตาเฉี่ยวคมภายใต้กรอบแว่นสีทองมองสบเข้าไปในดวงตาดุดันของอัครา มันดูเรียบนิ่งและว่างเปล่าประหลาดพิกลจนชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน
“มานี่สิ” คุณพฤกษ์กระดิกนิ้วเรียก อินทรชิตจึงโน้มตัวลงไปหา คุณเขาเอามือป้องปากก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจนน่าขนลุกว่า
“ถ้าแกชนะอัคราได้ ฉันจะมีรางวัลให้อย่างงาม”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ