คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

35) 00 35

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 35

 

“ทูนหัว” ชายหนุ่มวิงวอน “ให้ผมช่วยนะ”

พฤกษ์ได้แต่นั่งนิ่ง กระทั่งได้ยินเสียงรูดซิปเขาถึงได้ทึ้งเส้นผมอีกฝ่ายแรง ๆ อย่างลืมตัว

“ขอโทษ” เขาเอ่ยเพราะคิดว่าอินทรชิตคงเจ็บ ในขณะที่กำลังยกมือขึ้นทว่าชายหนุ่มกลับแย้มยิ้มและจับมือเรียวกลับมาวางไว้บนศรีษะดังเดิม

“ไม่เป็นไร” อินทรชิตลูบหลังมือนั้นเบา ๆ ก่อนจะพูด

“ผมชอบให้คุณทำแบบนั้น” และ “มันทำให้ผมรู้สึกดี”

พฤกษ์ทำสีหน้าพิลึก “มาโซคิสม์หรือไง”

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับซุกหน้าซบกับเป้ากางเกงที่คับแน่น ลมหายใจร้อนจัดเป่ารดทำเอาพฤกษ์สะท้านไปทั้งร่าง อินทรชิตใช้ฟันคมขบเบา ๆ ที่ผิวผ้า

“อืม..” พฤกษ์สอดนิ้วมือไปตามกลุ่มเส้นผมที่เปียกชื้นและนวดคลึงศรีษะอีกฝ่าย

“เอาเลยสิ” เขาพูด “ทำอย่างที่แกอยากทำ”

ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เขาจัดการแหวกซิปทั้งสองข้างออกกว้าง ใช้นิ้วชี้เกี่ยวกับขอบชั้นในก่อนจะรั้งมันลงช้า ๆ และแกนกายแข็งชันก็ดีดผึงออกมาสู้สายตา อินทรชิตยกมือขึ้นกอบกุมความยาวนั้น มันมีลักษณะเป็นลำเนื้ออมชมพู ความยาวระดับมาตรฐาน ไม่ได้เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มหรือยาวใหญ่จนน่าเป็นกังวล เขาแนบริมฝีปากจูบลงบนปลายหัวมนที่มีน้ำสีใสเปื้อนเปียกและใช้จมูกสูดดมกลิ่นอายเฉพาะตัวเพื่อทักทายสำหรับการพบเจอกันเป็นครั้งที่สอง อินทรชิตได้กลิ่นครีมอาบน้ำหอม ๆ กลิ่นเดียวกับที่เขาใช้เมื่อสักครู่ลอยออกมาจากส่วนนั้น

“กลิ่นดีจังเลยครับ” เขาว่าพลางถูปลายจมูกกับลำเนื้อและช้อนสายตาขึ้นมามอง พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกปฏิเสธหรือทำท่าทีรังเกียจจึงพูดเร้าต่อไปว่า

“ใหญ่มากด้วย”

เขาได้ยินเสียงหัวเราะในคอ พฤกษ์ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะม้วนเส้นผมชายหนุ่มเล่น น้ำเสียงอ่อนนุ่มเย้าหยอก

“จะสู้ของแกได้หรือเปล่านะ”

อินทรชิตมองสีหน้ายียวนนั่น

เขาแสยะยิ้มตอบ “เดี๋ยวก็รู้ครับ”

พูดจบชายหนุ่มก็ก้มศรีษะลงต่ำ ริมฝีปากอุ่นเปิดออกกว้างเล็กน้อยและครอบครองปลายหัวมนเอาไว้ภายใน เขาใช้ฝ่ามือหนาโอบอุ้มมันไว้อย่างหวงแหน ใช้กลีบปากดูดดุนอย่างเอาใจและใช้ลิ้นร้อนลามเลียอย่างรักใคร่หวังให้อีกฝ่ายกระสันยิ่งขึ้นจนต้องครวญครางและปรารถนาในตัวเขาจนทนไม่ไหว

“อ๊า”

เน้นหนักเพียงแค่ตรงนั้นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่ถึงกับตัวอ่อนยวบยาบ ร่างทั้งร่างพลันสั่นคลอนและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

“ซี๊ด.. อ่ะ” พฤกษ์สูดปาก เขาเริ่มหอบรุนแรง ภายในอกดีดเร่าเต้นรัวยามที่เห็นแกนกายของตนผลุบเข้าผลุบออกจากริมฝีปากร้อนของชายหนุ่ม

ช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกวาบหวาม รัญจวนใจและกระเพื่อมแรงใคร่ให้โหมลุกไหม้จนยากจะดับลง

“อืม.. เสียว” เสียงหวานครางเครือ มือสวยที่ขยุ้มเส้นผมอยู่เปลี่ยนขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อของตนออก แผ่นอกขาวผุดผ่องเผยออกมาให้ชมโฉม อินทรชิตช้อนสายตาขึ้นมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแรงใคร่ เขาปลดปล่อยแกนกายแข็งชันที่อยู่ในโพรงปากให้เป็นอิสระก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นมา ริมฝีปากทาบลงบนหน้าท้องราบเรียบก่อนจะไล่ลิ้นร้อนจัดขึ้นมา

ทว่าอินทรชิตกลับนิ่งไปทันทีที่เห็นรอยแผลเป็นรอยเดิมปรากฏอยู่บนอกซ้าย

รอยกระสุนของเขาที่ฝากฝังเอาไว้จากกาลก่อน

“เป็นอะไร? ” เสียงหวานกระเส่า อินทรชิตแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนความขมขื่นและตอบไปว่า

“เปล่าครับ” ก่อนจะทาบริมฝีปากจูบลงบนรอยแผลเป็นนั้นด้วยความรู้สึกผิด

“เลียมัน” เขาออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจขณะที่เท้าแขนไว้ด้านหลังและแอ่นอกขึ้น อินทรชิตหายใจติดขัด ริมฝีปากอุ่นร้อนก้มลงครอบยอดอกสีหวานอย่างรู้งาน เรียวลิ้นไล่เลียสลับกับดูดเม้นจนติ่งไตแข็งชันสู้ปาก

“อ๊า! อื๊อ.. เขี้ยว ” ยิ่งเสียงหวานครางไม่เว้นจังหวะชายหนุ่มยิ่งไม่อาจหักใจ เขาอยากจะกระทำรุนแรงและเลวทรามเสียยิ่งกว่านี้ อยากจะรังแกให้ใบหน้าสวย ๆ นั่นหลั่งน้ำตาแล้วออดอ้อนวิงวอนเขาบ้างสักครั้ง แม้จะคิดอย่างนั้นหากแต่ในใจกลับกลัวว่ายอดทูนหัวจะบอบช้ำ อินทรชิตจึงไม่อาจเผยสัญชาตญาณนั้นออกมาได้

“อ่าห์..อืม” พฤกษ์มีอารมณ์จนยากจะเก็บซ่อนและเผยด้านที่เก็บงำเอาไว้ต่อหน้าชายหนุ่ม เขากัดริมฝีปากจะแดงช้ำก่อนจะเรียวขาจะยกขึ้นเกาะเกี่ยวกอดรัดเอวสอบนั้นไว้

ชายหนุ่มละออกจากยอดอกที่แดงก่ำ เขาเคลื่อนตัวขึ้นเพื่อจูบริมฝีปากนุ่มที่เผยอออกรอเขาเข้าไปเติมเต็ม สองลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดพัวพันจนยากจะพรากจาก ขณะที่มือแกร่งข้างหนึ่งก็เคลื่อนลงต่ำ อินทรชิตใช้ฝ่ามือของตนกอบกุมแกนกายนั้นไว้แล้วรูดรั้งขึ้นลงอย่างหนักหน่วงโดยที่ริมฝีปากยังคงบดเบียด ลิ้นยังคงสอดประสานเชื่อมสัมพันธ์เขาทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียว

“อม ..เขี้ยว” พฤกษ์ละริมฝีปากออก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “ฉันอยากเสร็จในปากแก”

ชายหนุ่มกดริมฝีปากจูบลงบนริมฝีปากแดงเรื่ออย่างเอื้อเอ็นดู ทูนหัวของเขาช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน กระนั้นอินทรชิตก็ทำตามแต่โดยดี เขาถดตัวลงต่ำและกลับไปยังตำแหน่งเดิม เรียวขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาพาดบ่าก่อนโพรงปากอุ่นจะครอบครองและกลืนกินแกนกายนั้นเข้าไปจนสุดลำ เขาดูดรั้งและโลมเลียอยู่อย่างนั้น เพียงไม่นานสิ่งที่คับแน่นอยู่ในปากก็กระตุกถี่ ๆ ก่อนจะปลดปล่อยหยาดของเหลวร้อนจัดออกมาจนเขาสำลัก

“ซี๊ด..” พฤกษ์กดศรีษะนั้นเข้ามาจนแทบไม่เห็นลำเนื้อ แม้จะได้ยินเสียงชายหนุ่มสำลักแต่กระนั้นก็ไม่ได้ใยดีเพราะถูกอารมณ์ใคร่ครอบงำโดยสมบูรณ์ เขาทึ้งเส้นผมอีกฝ่ายและกระแทกกระทั้นสิ่งนั้นเข้าออกริมฝีปากสามสี่ครั้งก่อนจะเสร็จสมเป็นครั้งที่สอง

“อ่าห์.. สุดยอด” พฤกษ์ทิ้งแผ่นหลังลงกับโซฟา เขาไม่เคยเสร็จสองครั้งติด ๆ กันเช่นนี้มาก่อน

อินทรชิตไออยู่สองสามครั้งก่อนจะแลบลิ้นเลียเก็บกวาดคราบสีขาวที่กระเซ็นไปเปรอะเปื้อนบริเวณท้องน้อย

พฤกษ์เลียริมฝีปาก เขาก้มลงมองอีกฝ่าย อินทรชิตช้อนสายตาคมกริบขึ้นสบตาเขาก่อนจะคลี่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ตรงมุมปาก

ชายหนุ่มจูบลงบนปลายหัวมนที่เพิ่งเสร็จสม เขาพูดว่า

“ผมเป็นเด็กดีของคุณหรือเปล่า”

พฤกษ์ยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเป็นการตบรางวัล

“อืม ดีมาก”

สิ้นสุดคำพูดนั้นอินทรชิตก็ดันเขาให้นอนราบลงบนโซฟา พฤกษ์รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มนั้นต้องการจะสานต่อให้เสร็จกิจและเขาก็ไม่เกี่ยงเพราะลึก ๆ ก็ต้องการความกระสันที่มากกว่านั้น

ร่างสูงขึ้นคร่อมช่วงขาก่อนจะรูดชั้นในและกางเกงฟุตบอลสีน้ำเงินลง พฤกษ์ตาค้างไปในทันทีที่เห็นเจ้าสิ่งนั้นดีดผงาดออกมาสู่สายตาและชี้หน้าเขาราวกับจะหาเรื่อง

“มะ ..ไม่” พฤกษ์ตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะถอยหลังหนี เขากลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นเต้น ขณะที่อินทรชิตทำสีหน้างุนงง

“มีอะไรหรือครับ”

ชายหนุ่มมองไปที่แกนกายนั้นอีกครั้งก็พลันรู้สึกเย็นยะเยือกและรักตัวกลัวตายขึ้นมาหากมีสิ่งนั้นกระแทกกระทั้นอยู่ภายในร่างกาย

‘ตายแน่ ๆ ต้องตายแน่ ๆ!! ’

“คุณพฤกษ์..? ” อินทรชิตทำท่าจะขยับเข้ามาหา

“พะ..พอ! ” พฤกษ์เสียงสั่นก่อนจะดันหน้าท้องแกร่งให้ออกห่าง

“ยังไม่ใช่วันนี้”

 

“เป็นอะไร” พฤกษ์ถามขึ้นขณะที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งคู่กำลังกลับไปที่คฤหาสน์ในช่วงใกล้สิบโมง เขาให้อินทรชิตจอดดูคาติทิ้งไว้ที่คอนโดมิเนียมเพราะกังวลเรื่องอาการป่วยและใช้รถยนต์โดยมีเขาเป็นคนขับ ในขณะที่ชายหนุ่มนั่งหน้าบึ้งมาตลอดทาง

ถามอะไรก็ไม่ตอบ คุยอะไรก็เงียบใส่ พฤกษ์จึงตัดสินใจถามออกไปเสียให้รู้เรื่อง

“....” อินทรชิตไม่ตอบและแสร้งทำเป็นหลับเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เมื่อครู่เขายังเห็นอีกฝ่ายลืมตาอยู่เลย

“เขี้ยว”

ยังคงเงียบเชียบ

“ไอ้เขี้ยว”

และไม่มีเสียงใดหรือปฏิกิริยาใดตอบรับกลับมา กระทั่งพฤกษ์หมดความอดทนที่จะเรียกชายหนุ่มอีกเป็นหนที่สาม เขาไม่ชอบเลยที่จะต้องเป็นฝ่ายเซ้าซี้จี้ถามหรือต้องคอยง้อใครก่อน ถ้ามันอยากจะงอนนัก เขาก็จะไม่สนใจอีก แล้วมาดูกันว่าใครจะแพ้ก่อน

“ก็ได้” เขากระดิกนิ้วเรียวยาวไปบนพวงมาลัย น้ำเสียงเฉยเมยและราบเรียบพูด

“ถ้าถามแล้วไม่พูดก็ไม่ต้องมาพูดกับฉันอีกเลยนะต่อจากนี้”

ได้ผลทันทีที่พูดจบ อินทรชิตที่นั่งหลับอยู่จู่ ๆ ก็ดีดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงโดยพลัน ชายหนุ่มโพเข้ามากอดแขนข้างซ้ายทันทีราวกับว่าเขาจะหนีหายไปไหน

“โธ่..” อินทรชิตถูไถแก้มไปมากับหัวไหล่ “งอนนิดหน่อยก็ไม่ได้หรือครับ”

“ได้” พฤกษ์ถอนหายใจ “แต่ถามแล้วต้องตอบด้วย”

“ถ้าตอบแล้วจะง้อไหมครับ”

“ไม่” คราวนี้อินทรชิตเป็นฝ่ายถอนหายใจ

“แล้วถามทำไมครับ ถามแล้วไม่ง้อเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นอุบแต่ก็ไม่วายออดอ้อนเขาโดยการเกยแก้มบนแขน

“ฉันแค่อยากรู้ว่าแกเป็นอะไร”

“คุณพฤกษ์ไม่รู้จริง ๆ หรือครับ”

พฤกษ์เหลือบมอง ดวงตาเรียวสวยภายใต้กรอบแว่นสีทองหรี่ลงต่ำ เหมือนเขาพอจะนึกออกแล้วล่ะว่าต้นเหตุของเรื่องมาจากอะไร

“แกโกรธที่ฉันไม่ยอมมีเซ็กส์ด้วยงั้นสิ”

อินทรชิตไม่พูดแต่ใช้ศีรษะถูเบา ๆ ตรงหัวไหล่แทนคำตอบ พฤกษ์ได้แต่อ่อนอกอ่อนใจ ยกมืออีกข้างขึ้นมาตบเบา ๆ ศีรษะชายหนุ่มและพูด

“จะเอาความจริงหรือเปล่า แต่สัญญากันก่อนนะว่าถ้าฉันพูดไปแล้วแกจะไม่คิดมาก”

ชายหนุ่มยื่นหน้าขึ้นมาก่อนที่ริมฝีปากร้อนทาบลงบนแก้มนุ่มหลายต่อหลายครั้ง สาม ..สี่หรือห้า บางทีอาจจะหก พฤกษ์ไม่อาจนับมันได้ทันแต่กระนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเลย

“โอ๊ย” เขาร้องออกมาอย่างนึกรำคาญก่อนจะเบี่ยงหน้าหนี “จะอะไรนักหนา”

“หมั่นเขี้ยวครับ” อินทรชิตตามไปจูบลงแก้มนุ่มอีกครั้งและพูด “ผมอยากทำแบบนี้มานานแล้วด้วย”

ครั้นพอเห็นรอยยิ้มโง่ ๆ กับดวงตาเปล่งประกายด้วยความสุขของมัน พฤกษ์ก็ใจร้ายใส่อีกฝ่ายไม่ลงจริง ๆ เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยกฝ่ามือกั้นเพื่อไม่ให้อินทรชิตรุกรานแก้มของตนได้อีก

“พอแล้ว” เขาตอบด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง กระนั้นก็ยังโดนริมฝีปากร้อนจูบลงบนฝ่ามืออยู่ดี อินทรชิตหยุดความหมั่นเขี้ยวของตนเองไว้แค่นั้นถึงแม้ในใจอยากจะฟัดแก้มเนียนนุ่มรวมไปถึงมือหอม ๆ ให้ช้ำมากเพียงใดก็ตาม

อดทน อดทนและอดทน มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น แสดงออกมากไปตอนนี้ยังไม่ได้สินะ เขาควรต้องเก็บอารมณ์ให้และสงบเสงี่ยมมากกว่านี้

“พูดมาสิครับ” อินทรชิตว่าพลางคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว พฤกษ์จึงออกรถและเริ่มพูดด้วยท่าทีเงียบสงบ

“ฉันยังไม่พร้อม”

..แม้ว่าเรื่องที่พูดจะทำให้คนฟังรู้สึกเขินอายมากเพียงใดก็ตาม

“พอคิดว่าโดนไอ้ของแบบนั้นเข้าไปฉันคงฉีกเป็นสองซีกได้ง่าย ๆ มันก็เกิดกลัวขึ้นมาน่ะ”

“....”

“มันน่าตกใจจริง ๆ ฉันยังไม่เคยมีเซ็กส์กับไอ้จ้อนที่ขนาดเท่ากับของแกมาก่อนเลย อ่า ภาพยังติดตาอยู่เลยให้ตายสิ แกใช้ชีวิตได้ยังไงเนี่ย ไม่ลำบากบ้างหรือไงใหญ่เสียขนาดนั้น อ้าว..ทำไมนิ่งไป”

ประโยคหลังพฤกษ์พูดขึ้นเพราะหันไปเห็นอินทรชิตนั่งตัวทื่อไม่ขยับเขยื้อน ซ้ำใบหน้าหล่อเข้มยังขึ้นสีแดงเรื่อลามไปถึงใบหูและคอ เขาที่เห็นดังนั้นจึงนิ่งไปบ้างก่อนจะเริ่มทบทวนคำพูดของตนเสียใหม่

‘โดนไอ้ของแบบนั้นเข้าไป’

‘ฉีกเป็นสองซีก’

‘ไอ้จ้อนที่ขนาดเท่ากับของแก’

‘ใหญ่เสียขนาดนั้น’

คำพูดมันก็ออกจะ ...อืม อยู่บ้าง เป็นความผิดพลาดของเขาเองที่ชอบพูดอะไรตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แต่ถ้าจะให้อ้อมค้อมก็คงไม่มีทางสื่อให้เข้าใจได้โดยง่ายอีก ช่างปะไร ถ้าจะโทษก็โทษความหน้าบางของมันไปก็แล้วกัน

“อะแฮ่ม..” ชายหนุ่มกระแอมขึ้นมาเหมือนจะกลบเกลื่อนความกระดากอาย พฤกษ์ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายเลยได้แต่ตั้งหน้ามองตรงไปยังถนน

เสียงทุ้มเข้มพูด

“สะ ..สรุปแล้วเพราะผมใหญ่เกินไปอย่างนั้นหรือครับคุณพฤกษ์ถึงตกใจ ..เอ่อ ผวา ไม่สิ คุณพฤกษ์ถึงกลัว ฮะ? กลัวหรือ ฮ่า ๆ คุณกลัวไอ้นั่นของผมเรอะ!

พฤกษ์เหยียบเบรกดังเอี๊ยด! อีกฝ่ายหน้าจุ่มไปกับคอนโซลรถทันทีเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เขากำพวงมาลัยแน่นก่อนจะหันมาเหวี่ยงใส่อย่างรุนแรง

“ฉันไม่ได้กลัว! ” และเน้นทีละพยางค์ช้า ๆ และชัด ๆ “ฉัน-แค่-ยัง-ไม่-พร้อม”

อินทรชิตเอามือทาบอกเพราะคิดว่าเมื่อครู่คงเกิดอุบัติเหตุ เมื่อได้สติและรับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การเบรกอย่างกะทันหันเพราะคำพูดของเขามันดันไม่เข้าหูอีกฝ่ายจึงคว้าเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดเอวทันที

“คะ ครับ ผมใช้คำพูดผิดเอง ผมขอโทษนะครับ”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอและพูดขอโทษเพื่อหวังให้อีกฝ่ายคลายความหงุดหงิดลง ทว่ามันช้าไปเสียแล้ว คนอย่างพฤกษ์ไม่ใช่คนที่จะยอมคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและไม่ชอบอย่างยิ่งหากโดนผู้อื่นดูแคลนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ..โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์!

“เดี๋ยว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” เขาพูดรัวเพราะความตกใจเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ลุกพรวดจากที่นั่งฝั่งคนขับขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก!

“คุณ ..คุณพฤกษ์จะทำอะไรครับ! ”

“เซ็กส์” อินทรชิตตาโต “ฉันจะมีเซ็กส์กับแกเดี๋ยวนี้”

“บะ บนรถหรือครับ? ” เขามองออกไปด้านนอกและเห็นรถรามากมายขับวิ่งสวนไปมา หัวใจของชายหนุ่มเต้นเร้าขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที

“ใช่ บนรถนี่แหละ” พฤกษ์ว่าพลางใช้แขนโอบรอบลำคอแกร่ง

‘อะระหังสัมมา..’ อินทรชิตเริ่มสวดมนต์อยู่ในใจเมื่อสะโพกกลมกลึงเสียดสีลงมาหนัก ๆ ทว่านั่นยังไม่ใช่ที่สุดของที่สุด เพราะจู่ ๆ ฝ่ามือเรียวยาวก็คว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มสะท้านไหวและสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่างด้วยความวาบหวาม ก่อนที่ใบหน้าหล่อเข้มจะบิดเบี้ยวเหยเกเพราะ..

“อูยย” เขาโอดครวญ “คุณพฤกษ์อย่าบีบเล่นสิครับ”

“เห๊อะ” พฤกษ์เชิดคอขึ้นพร้อมกับเหยียดตามองต่ำ “แค่นี้แกก็แข็งแล้วงั้นหรือ ไก่อ่อนจริง ๆ เลยนะ”

อินทรชิตทำหน้ามึนงงก่อนจะตอบออกมาทั้งที่ทำตาซื่อ ๆ มองเขา

“ผมยังไม่แข็งเลยนะครับ”

พฤกษ์ตัวแข็งทื่อกลางอากาศ

“ปกติมันก็เป็นแบบนี้อยู่ตลอด”

ใบหน้าที่ขาวผุดผ่องอยู่แล้วก็ซีดเผือดลงไปอีกจนแทบจะเป็นสีเดียวกับกระดาษ เฮือก! พฤกษ์กระโดดกลับไปนั่งที่ตนเองทันที ท่าทางหยิ่งผยองและไม่ยอมคนหายไปจนหมดสิ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

อินทรชิตมองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนใจปุบปับตาปริบ ๆ ก่อนจะนึกเสียดายที่ถูกทิ้งให้อยากแล้วจากไปอีกหนในรอบวัน

“เมื่อกี้ฉันก็แค่แกล้งแกเล่น ๆ ” เสียงที่สั่นเครือแบบนั้นน่ะหรือคือคนที่บอกว่าแค่แกล้งเขาเล่น ๆ โธ่.. ทูนหัวของเขาคงจะกลัวเขาขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว

“เรื่องเซ็กส์ไม่เป็นไรหรอกนะครับ” อินทรชิตตัดสินใจพูดพลางยื่นมือไปกุมหลังมือที่วางไว้บนเกียร์รถ

“ถ้าคุณกลัว– อะแฮ่ม! ” เขาพูดใหม่ “ถ้าคุณยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อยากถึงขนาดที่ต้องฝืนใจคุณ”

พฤกษ์หันมามอง สีหน้าอีกฝ่ายเริ่มดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่จนเขาเริ่มคลายกังวล

“ขอโทษที่เป็นแบบนี้นะ” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันเป็นความผิดของผมที่… ใหญ่เกินไป”

อินทรชิตยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหน้าแรง ๆ จนแดงปื้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงอยกว่าปกติ

“นึกว่าคนที่เล็กมาก ๆ จะมีปัญหาอย่างเดียวเสียอีก ใหญ่มาก ๆ ก็มีปัญหาเหมือนกันสินะครับเนี่ย เพิ่งจะรู้วันนี้เลย ฮ่า ๆ ..แย่จังเลยนะครับ”

“มันไม่ใช่ความผิดของแกหรอก” พฤกษ์คงรู้ว่าเขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตนเองไป ถึงจะหัวเราะออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนหรือใหญ่โตอะไรมากมายนักแต่เขารู้ได้ทันทีว่าในใจอีกฝ่ายกำลังคิดหนัก

พฤกษ์ยื่นมือไปวางบนศีรษะก่อนจะขยี้เบา ๆ จนเส้นผมปลิวไสว

“ถ้าเลือกได้แกก็คงไม่ได้อยากจะให้มันใหญ่แบบนี้หรอกใช่ไหม แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ช่วยก็ไม่ได้นี่นา มันไม่ใช่ความผิดพลาดของแกหรอก อย่าโทษตัวเองเลยนะ”

ชายหนุ่มทำหน้าเศร้า พฤกษ์คล้ายกับจะเห็นหูและหางที่ลู่ตกอย่างเลือนลาง

“อันที่จริงผมภูมิใจกับขนาดของตัวเองมากเลยครับ แต่พอรู้ว่าใช้กับคุณพฤกษ์ไม่ได้ก็อยากจะตัดไอ้จ้อนทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้เลย..”

ประโยคหลังทำเอาเขาหัวเราะร่วน พฤกษ์ส่ายศีรษะไปมาก่อนจะตบที่แก้มอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดู

“แกก็พูดเสียเว่อร์” เขาว่า “ฉันบอกว่ายังไม่พร้อมเฉย ๆ ไม่พร้อมก็หมายความว่าสักวันก็คงพร้อมใช่ไหมล่ะ เอาเถอะนะ ฉันคงไม่ใจร้ายกับแกลงหรอก แกก็น่าจะรู้”

 

บ่ายวันนั้นอัคราเดินหน้าบึ้งลงมารับประทานอาหารเที่ยงคนเดียวเพราะเพื่อนสนิทอย่างไอ้อินทร์ดันลาป่วย! ให้ตายเถอะ ไม่ใช่ว่าเขาจะขาดแคลนมิตรสหายถึงขนาดที่ต้องทานข้าวคนเดียวเหมือนหมาหงอยแบบนี้หรอก เพียงแต่ว่าเพื่อนคนอื่นดันมีธุระน่ะสิ เขาถึงต้องทานข้าวลำพังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“อัครเว้ย” นั่นไง พูดถึงก็มาเลย

“ไม่พูดอิ๊งค์เดี๋ยวมาสเซอร์ก็ด่าเช็ดอีกหรอก” อัคราว่าพลางเขี่ยข้าวแกงกะหรี่ในจาน

คาเตอร์, หนุ่มหน้าหล่อลูกครึ่งอังกฤษยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสาก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา

“ไม่ใช่เวลาเรียนไหมล่ะไอ้ห่า”

“แล้วมีไร จะแดกข้าวปะ”

“ไม่” คาเตอร์เข้าประเด็น “มึงรู้จักบ้านไอ้อินทร์ไหม”

อัคราเลิกคิ้ว เขาตอบ “รู้” แต่ไม่เคยได้ไปสักที!

“มันลาป่วยมาหลายวันแล้ว ประเด็นคือกูติดต่อมันไม่ได้เลยว่ะ”

“มีอะไร”

“กูอยากรู้ว่ามันจะหายทันเล่นกลองวันงานไหม ถ้าไม่จะได้เอารุ่นน้องมาซ้อมแทนไปก่อน”

คาเตอร์คงหมายถึงเทศกาลจัดแสดงผลงานของนักเรียนประจำปีที่จะถึงนี้สินะ อืม.. น่าเสียดายที่วันนั้นเขาเองก็ไม่ว่างเสียด้วยเพราะต้องไปแข่งขันรายการบาสเกตบอลกับต่างสถาบันด้วย

“จะให้กูไปถามมันหรือไง”

“เออสิไอ้สัตว์” หนุ่มลูกครึ่งอังกฤษด่าเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว “หรือไม่มึงก็บอกทางมาเดี๋ยวกูไปเอง”

“มึงไปพร้อมกูได้ไหม จะได้มีข้ออ้าง”

“ข้ออ้างอะไรวะ” ก็ข้ออ้างเรื่องที่อินทรชิตไม่ยอมให้เขาเยี่ยมหน้าเข้าไปหามันที่บ้านสักครั้งน่ะสิ หากมีข้ออ้างดี ๆ อย่างคาเตอร์พ่วงไปด้วยเขาก็จะทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่สุดแสนจำเป็นจริง ๆ ถึงต้องแหกกฎไปหาเจ้าตัวที่บ้าน ถึงจะถูกโกรธแต่ก็คงน้อยกว่าการที่เขาบุกไปหามันตัวคนเดียว

ว่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า ฉลาดจริง ๆ เลยกู

“ไม่มีอะไร” อัคราโบกมือ “เดี๋ยวบ่ายสองครึ่งไปเจอกันที่สนาม กูต้องซ้อมสักสองชั่วโมง”

“เออ กูก็ต้องซ้อมดนตรีที่ชมรมเหมือนกัน”

“งั้นห้าโมง ดีล”

“ดีล สัตว์”

 

หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ พฤกษ์กับอินทรชิตก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้อง เขาลงมาทานอาหารพร้อมด้วยยาลดไข้เพื่อดักทางไว้ก่อนเพราะตลอดทั้งคืนกระทั่งวันนี้เอาแต่คลุกคลีอยู่กับคนป่วยจนอาจจะติดไข้กลับมาแล้วก็เป็นไปได้

“ป้าเมียมครับ” เขาเรียกป้าเมียมหลังทานอาหารเที่ยงในตอนบ่ายโมงเสร็จ

“เห็นว่าเจ้าเขี้ยวถูกหมาที่คุณพ่อเอามากัดเข้าหรือครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ ทำไมผมไม่เห็นเลย”

ป้าเมียมยิ้มเจื่อน เธอพูด “อยู่ด้านหลังค่ะคุณ ปล่อยให้เพ่นพ่านไม่ได้เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก”

พฤกษ์ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อเพียงแต่บอกให้อีกฝ่ายนำทางไป พอเดินมาจนถึงด้านหลังห้องครัวก็พบสนามหญ้าขนาดกลางและราวตากผ้าที่เรียงรายอยู่ ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นเขาเห็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์นอนหมอบนิ่ง ๆ อยู่ในกรงใหญ่และเห็นไซบีเรียฮัสกี้ตัวปัญหาที่ว่าถูกล่ามโซ่ติดไว้กับเสา

พฤกษ์เลือกที่จะเดินไปหาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ก่อนเพราะมันอาการแย่กว่าเนื่องจากถูกอีกตัวกัด ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งหน้าลูกกรง มองเจ้าสุนัขขนปุยอายุห้าเดือนนอนนิ่ง ๆ

“โจอี้” พฤกษ์เรียกซ้ำ “เจ็บไหมโจอี้”

เจ้าโจอี้ดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับเสียงของเขา มันดีดตัวลุกขึ้นอย่างร่าเริงแต่ก็ต้องล้มลงไปเพราะบาดแผล เช่นนั้นแล้วโกลเด้นขนปุยจึงได้แต่นอนลงและส่ายห่างไปมาเป็นการทักทายแทน

พฤกษ์ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเปิดกรงแล้วยื่นมือเข้าไปลูบหัวมันเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู เจ้าโจอี้ที่รับรู้ถึงสัมผัสนั้นก็ขยับหัวของมันถูไถไปมากับฝ่ามือเขาอย่างออดอ้อนน่าสงสาร ท่าทางแบบนั้นมันทำให้เขานึกถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมา

“คุณพฤกษ์รู้ชื่อมันด้วยหรือคะ”

“ครับ” เขาตอบ “เมื่อกี้เพิ่งคุยโทรศัพท์กับคุณพ่อมา”

พฤกษ์ลูบหัวปลอบมันอยู่สักพักก่อนจะได้ยินเสียงเห่าดังขึ้น เขาชะโงกหน้าดู เห็นเจ้าฮัสกี้ยืนจังก้าพร้อมกับมองมาที่เขาเหมือนจะหาเรียกหากันอย่างไรอย่างนั้น

“โฮ่ง! ” มันเห่าดังขึ้นและทำท่ากระโจน ทว่าด้วยโซ่ที่ถูกล่ามเอาไว้ทำให้มันไม่สามารถไปไหนได้และมีแต่จะทำให้เจ็บลำคอเพราะแรงรั้งจากปลอกคอ

“โฮ่ง!! ”

“คุณพฤกษ์อย่าเข้าไปใกล้ดีกว่านะคะ ไอ้ตัวนี้มันดุ เดี๋ยวจะโดนกัดไปอีกคน”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะรักษาระยะห่าง” เขาว่าพลางลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาไซบีเรียฮัสกี้ตัวนั้น น่าประหลาดเหลือเกิน ทั้งที่เมื่อกี้มันยังเห่าไม่หยุดอยู่เลยแท้ ๆ แต่พอพฤกษ์เข้าไปใกล้มันกลับหยุดเห่าและกระดิกหางให้แทน

“โจนาส” เขาหยั่งเชิงมันด้วยการเอ่ยชื่อ ปรากฏว่าเจ้าโจนาสกลับนอนหมอบลงไปกับพื้นพร้อมกับส่ายหางให้เหมือนยอมศิโรราบ เห็นอย่างนั้นพฤกษ์จึงเบาใจลง พอเขาขยับเข้าไปหามันอีกนิดมันก็ลุกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่คำราม ทว่าเจ้าโจนาสไม่ได้ขู่มาทางเขาแต่กลับเป็นป้าเมียมที่อยู่ข้าง ๆ แทน

“ป้าเมียมได้ทำอะไรมันหรือเปล่า”

“วันก่อนป้าตีมันค่ะ มันจะกัดป้าตอนเอาข้าวมาให้ แต่ป้าไม่ได้ตีมันแรง ๆ เลยนะคะ ป้าสาบานได้”

“ผมเชื่อครับ”

พฤกษ์โบกมือให้ป้าเมียมหลบออกไปก่อน พอเห็นว่าคนที่เคยตีมันถอยออกไปไกล เจ้าโจนาสก็เห่าเรียกเขาเบา ๆ พร้อมกับส่ายหางฟู ๆ ของมันไม่หยุด กระทั่งพฤกษ์ย่อตัวลงนั่งใกล้ ๆ และเอามือวางลงหลังที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มสีดำ เจ้าฮัสกี้ก็ครางหงิง ๆ ออกมาพร้อมกับทิ้งตัวลงบนตักจนเขาเซไปด้านหลังเล็กน้อยเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

“หมาเลว” พฤกษ์พูดพร้อมกับชี้นิ้วลงที่หน้าของมัน

“หงิงง..”

“แกกัดเด็กในบ้านฉันไปคนหนึ่งจำได้ไหม”

“โฮ่ง”

พฤกษ์ติ๊งต่างเอาเองว่ามันคงฟังเขารู้เรื่องจึงแอบตีเบา ๆ ทีลำตัวหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการแก้แค้นให้อินทรชิต

“เจ็บไหมตรงนี้” เขาลูบลงบนขาข้างหนึ่งที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล มันเป็นแผลที่ได้มาก่อนจะมาอยู่ที่นี่เสียอีก พฤกษ์ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

“เจ้าของเก่าแกใจร้ายจังเลยนะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา