คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) 00 34
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 34
อินทรชิตรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างสูงค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขากระพริบตาปริบ ๆ มองไปทั่วด้วยความงุนงงก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นร่างโปร่งของคุณพฤกษ์กำลังกอดอกนั่งหลับอยู่บนโซฟาปรับนอนใกล้ ๆ จุดที่เขาอยู่
“แกตื่นแล้วหรือ” เขาสะดุ้ง ก่อนจะนึกได้ว่าคุณพฤกษ์ประสาทการรับรู้ไวเป็นนิสัยอยู่แล้ว ดังนั้นอินทรชิตจึงไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะตื่นโดยทันทีเพียงเพราะได้ยินเสียงเขาขยับตัว
“....” ชายหนุ่มรู้สึกว่าปากของตนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคุณพฤกษ์เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้าที่ตนจะสลบไปนั้นได้กระทำเรื่องน่าสมเพชอะไรลงไปบ้าง
‘ผมไม่เคยคิดว่าคุณพฤกษ์เป็นพี่ ผมรักคุณครับ รักมาตลอด..’
‘ไอ้เขี้ยวมันไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้วล่ะครับถ้าเป็นเรื่องของคุณ’
‘ผมก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน ..เกลียดที่หลงรักคุณจนหัวปักหัวปำแบบนี้ รักคุณจนทรมานไปหมดแล้ว คุณช่วยบอกผมที ทำไมผมถึงได้รักคุณมากมายขนาดนี้’
ทั้งที่คำพูดพวกนั้นเขาเป็นคนพูดออกมาเองแท้ ๆ ทว่าตอนนี้อินทรชิตกลับนั่งหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายจนยากจะทานทน เขาไม่อาจสู้หน้าคุณพฤกษ์ที่นั่งกอดอกมองอยู่ได้เลย ไม่ไหวแล้ว! อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด
‘เวรเอ๊ย! ’ เขาก่นด่าตนเอง ‘น่าขายหน้าจริง! ’
“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มถาม ทว่าชายหนุ่มยังคงเอาแต่นั่งก้มหน้าและกำผ้าห่มในมือไว้แน่น อินทรชิตได้ยินเสียงขยับตัวตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่กำลังเข้ามาใกล้
กระทั่งร่างโปร่งของคุณเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ยังเจ็บหรือรู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า”
“....” เขายังคงนั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ
“เขี้ยว” มือเรียวสวยแตะลงบนปลายคางที่มีตอหนวดเล็ก ๆ ประปรายก่อนจะค่อย ๆ เชยขึ้นเพื่อให้เขาสบตาและยอมจำนนเสีย
“ฉันถามทำไมไม่ตอบ” คุณเขาว่า “แล้วนี่จะหลบตาไปถึงไหน”
อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ เขาพูดเสียงหงอย
“ผมกลัวคุณจะโกรธแล้วไล่ผมไปอีก”
“ถึงฉันจะโกรธแต่ก็ไล่แกไปไหนไม่ลงหรอก”
“แต่เมื่อกี้คุณพฤกษ์เพิ่งไล่”
คุณพฤกษ์ถอนหายใจใส่เขา
“ฉันหมายถึงให้แกกลับไปอยู่ในห้องของแกซะ แต่ใครจะคิดว่าแกจะบ้าถึงขั้นล้มลงไปแบบนั้น”
“ผมหน้ามืดนี่ครับ แล้ว ..แล้วก็ไม่สบายหนักด้วย” ชายหนุ่มว่าพลางแสร้งตีสีหน้าน่าสงสารหวังให้อีกฝ่ายนึกเห็นใจและเอ็นดู
“ปวดตา ปวดหัว ปวดแผล ปวดไปหมดทั้งตัว”
อินทรชิตไม่ว่าเปล่าแต่ยังจับฝ่ามือเรียวที่เชยคางอยู่ขึ้นมาอังหน้าผากให้รู้ว่าตนเองป่วยหนักจริง ๆ คุณพฤกษ์เฉดหัวเขาเบา ๆ หนึ่งทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้เสียเต็มประดา
“ป่วยแต่ก็ยังดันทุรังอีกนะแก”
ชายหนุ่มทำหน้าหงอย ทว่าคุณพฤกษ์กลับเชยคางเขาขึ้นมาอีกรอบและกดหัวแม่มือคลึงเบา ๆ ที่ริมฝีปาก
อินทรชิตสบกับดวงตางดงามคู่นั้นก่อนที่หัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาจะสั่นไหวรุนแรงอีกครั้ง และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ได้จากสายตาคมกริบที่จับจ้องอยู่ คุณพฤกษ์จึงเอ่ยขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความนัยที่ชายหนุ่มกำลังสื่อ
“เจ็บหรือเปล่า? ” คุณเขามีสีหน้ากังวล “ฉันได้ยินว่าแกต่อยกับคุณฉัตร”
“ใครว่าล่ะ” เขากระซิก “ผมถูกต่อยอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก”
“ใครเริ่มก่อน”
“มัน..” อินทรชิตแสร้งกระแอม “คุณฉัตรต่อยผมก่อน”
“ฉันไม่ได้ถามว่าใครต่อยก่อน ฉันถามว่าใครเริ่มก่อน”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จู่ ๆ ก็เริ่มเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง
“ตอบฉันมาอย่างลูกผู้ชายเดี๋ยวอินทรชิต”
น้ำเสียงนิ่งเรียบยิ่งทำให้เขาตัวหดลงไปจนเหลือเพียงแค่คืบเดียว ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพฤกษ์นั้นเรียกได้ว่าสนิทชิดเชื้อกันมากและมันก็มากจนถึงขั้นที่ว่าเจ้าตัวยอมหลุดปากเรียกชื่อจริงของเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นมันก็จะเกิดขึ้นได้ในสองกรณี
กรณีแรก ..รู้สึกพึงพอใจ
กรณีที่สอง ..รู้สึกโกรธจัด
..ไม่ใช่หนทางที่ดีเลยที่เขาจะเอาดีเข้าตัวและเอาชั่วให้ฉัตรตะวันตอนนี้ คุณพฤกษ์คงรู้จักเพื่อนของตนเองดีถึงได้มาเค้นถามเขาตรง ๆ เช่นนี้ ถ้าไม่อยากหมางใจกับคุณเขาให้มากกว่านี้อินทรชิตคงต้องยอมพูดออกไปตามความเป็นจริง
“คุณฉัตรเขากวนประสาทนี่ครับ”
“คุณฉัตรเนี่ยนะ” คุณพฤกษ์ทำหน้าเหลือเชื่อ “ไม่ใช่ว่าพวกแกสองคนไม่ยุ่งเกี่ยวกันหรือ? ”
“ผู้ชายคนนั้นทำแบบนั้นแค่ต่อหน้าคุณพฤกษ์น่ะสิ”
“แกด้วยหรือเปล่า? ”
อินทรชิตพยักหน้าหงึกหงักพลางเกาแก้มแก้เก้อเขิน
“แต่ผมก็ดีกว่าเขานะ เขามันแย่ ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของคุณพฤกษ์ การกระทำของเขามันน่าเกลียด คุณฉัตรเขามาตามตื๊อหาคุณกับผม ถามอยู่นั่นแหละว่าอยู่ที่ไหน น่าหงุดหงิดจริง ๆ แฟนก็ไม่ใช่ จะเป็นก็แค่เพื่อนหรือไม่คู่นอนเท่านั้นแหละ ผมทนมาตลอดจนวันนี้มันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงได้มีเรื่องกัน มันไม่ใช่ความผิดของผมนะครับ”
“เดี๋ยวนะ” คุณพฤกษ์หน้าซีด “เมื่อกี้แกพูดว่าอะไร”
“หือ?? ” อินทรชิตเลิกคิ้ว “ผม ..พูดอะไรผิดหรือ”
ร่างโปร่งไม่ตอบแต่กลับเซไปด้านหลังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
“นี่ ..นี่แกรู้เรื่องฉันกับคุณฉัตรมากแค่ไหน? ”
ชายหนุ่มแข็งทื่อ อีกฝ่ายจึงเร่งเร้า “พูด–มา–ให้–หมด”
“ก็ ..มากอยู่ครับ..” อินทรชิตตอบเสียงเบาด้วยเกรงว่าจะทำให้คุณพฤกษ์โกรธขึ้นมา ขณะที่คุณเขาพอได้ยินคำนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดและยกมือขึ้นนวดสันจมูก
“หมายความว่าแกรู้ว่าฉันกับคุณฉัตรเรา…” คุณพฤกษ์ตั้งใจเว้นวรรคคำพูดนั้นเพื่อละไว้ในฐานที่เข้าใจ เขาภาวนาอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะให้ชายหนุ่มปฏิเสธ ทว่าอินทรชิตกลับทำตาซื่อ ๆ และพยักหน้าหงึกหงักตอบเสียอย่างนั้น
‘พัง’ เขาโอดครวญอยู่ในใจ
“คุณพฤกษ์ทำหน้าเหมือนจะถามว่าผมรู้ได้ยังไง”
“ถ้าฉันถามแล้วแกจะตอบไหม”
“ตอบสิครับ” อินทรชิตยิ้มเศร้าก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ และพูดอย่างช้า ๆ ขณะที่จับจ้องไปยังใบหน้านุ่มนวลนั้น
“คุณฉัตรน่ะดูง่ายจะตาย”
ในกาลก่อนก็เป็นแบบนี้เพียงแต่คุณพฤกษ์ไม่เคยสังเกตหรือสงสัยในตัวอีกฝ่ายมาก่อน อินทรชิตคิดว่าถ้าหากฉัตรตะวันไม่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตชีวิตไปก่อน ชายหนุ่มคนนี้นี่แหละจะกลายมาเป็นเสี้ยนตำใจของอัครามากกว่าที่จะเป็นเขาอย่างแน่นอน
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? ”
อินทรชิตยิ้ม
“ก็เขามองคุณด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ผมมอง รู้สึกกับคุณแบบเดียวกับที่ผมรู้สึก เขารักคุณพฤกษ์แบบเดียวกับที่ผมรักทำไมผมจะดูไม่ออกล่ะครับ”
ชายหนุ่มถูกคำพูดนั้นตรึงร่างกายไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน ภายในใจของเขาบีบรัดเข้าหากันจนเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โอ ไม่นะ หรือเขาจะหวั่นไหวกับคำบอกรักนั่นไปแล้ว
‘บ้าไปกันใหญ่’ เขาคิดก่อนจะลุกขึ้นไปหาชายหนุ่ม
“อะแฮ่ม ..เอ่อ อาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม นี่จะห้าทุ่มแล้ว แกหิวหรือเปล่า? ”
อินทรชิตขมวดคิ้วเครียดขึ้นมา เขาตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ถึงแม้ลึก ๆ ในใจจะหวาดกลัวคำตอบที่ตามมา
“ทำไมคุณพฤกษ์ถึงชอบเมินความรู้สึกผมนักล่ะครับ”
ชายหนุ่มยื่นแขนออกไปรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ก่อนจะถือวิสาสะซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องราบเรียบ
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเป็นเด็กดีไม่พอหรือครับ”
“...”
“หรือต้องพยายามอีกแค่ไหนหรือครับคุณพฤกษ์ถึงจะมองมาที่ผมสักที”
“...”
“บอกผมมาเถอะครับ ว่าต้องทำยังไง ผมจะทำทุกอย่างเลย”
“แกอย่ามาพูดเอาแต่ใจได้ไหม” เขาได้ยินเสียงคุณพฤกษ์ถอนหายใจ “แบบนี้ฉันลำบากใจนะ”
อินทรชิตใช้ใบหน้าถูไถไปมากับหน้าท้อง เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่มจากผิวเสื้ออีกฝ่าย มันช่วยให้เขาอบอุ่นและใจเย็นลงอย่างน่าประหลาด
“ทั้งที่ฉันเอ็นดูแกเหมือนน้องคนหนึ่งแท้ ๆ แต่ทำไมแกกลับคิดกับฉันในแง่นั้นไปได้นะเขี้ยว” เสียงนุ่มกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ อินทรชิตช้อนสายตาตนขึ้นมอง
“เพราะผมรักคุณพฤกษ์ไงครับ”
“แกเป็นเกย์หรือ” คุณพฤกษ์ถามจี้จุดตายเพราะหวังจะสะกิดให้ชายหนุ่มเกิดความสับสนกับสิ่งที่ตนอาจจะเป็น
“ใช่ครับ ผมเป็นเกย์” ทว่าคำตอบนั้นมันทำให้เขาไปไม่เป็น อินทรชิตตอบเสียงหนักแน่นและไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ที่จะเปิดเผยว่าตนนั้นเป็นอะไร
เสียงนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่น
“เดี๋ยวโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้สักสองสามปีแกจะไม่พูดแบบนี้”
“ผมเป็นคนมั่นคงนะครับ มันไม่ใช่แค่สองสามปีจากนี้” แต่มันเป็นทั้งชีวิตก่อนหน้าของเขาต่างหาก เขาไม่เคยปักใจไปรักหรือชอบชายหญิงคนไหนนอกจากคุณพฤกษ์มาก่อน เขารักแค่คุณพฤกษ์คนเดียวและการที่คนที่เขารักเป็นผู้ชายนั่นก็แปลว่าเขาเป็นเกย์อย่างแท้จริง
อินทรชิตยอมรับข้อนี้ของตนเองมาตลอด..
“แกชอบฉันขนาดนั้นเลยหรือ”
“ผมไม่เคยพูดคำว่าชอบ ความรู้สึกที่ผมมีมันมากเกินกว่านั้น มากจนถึงขึ้นที่คุณอาจจะตกใจกลัวไปเลย”
ชายหนุ่มพลันรู้สึกขนลุกเกรียวกราวไปทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าคำพูดนั้นคือของจริง
“แกกำลังทำให้ฉันกลัว”
อินทรชิตยิ้ม เป็นรอยยิ้มอันโง่งมของสุนัขตัวหนึ่งที่มีให้แก่เจ้าของอย่างคุณพฤกษ์แต่เพียงผู้เดียว ชายหนุ่มจูบลงบนหน้าท้องราบเรียบผ่านผิวเสื้อ แต่กระนั้นก็เรียกริ้วสีแดงเรื่อที่ปรากฏบนแก้มขาวผ่องออกมาได้
“ผมไม่มีวันทำร้ายคุณพฤกษ์”
“...”
“ผมรู้ว่าคุณลำบากใจที่จะแบกรับความรู้สึกของผม ผมมันเห็นแก่ตัวแล้วก็เอาแต่ใจ ผมขอโทษที่พูดคำนั้นออกไป ใจจริงผมจะเก็บเป็นความลับกับคุณพฤกษ์ไปตลอดชีวิตแต่พอได้ใกล้ชิดกันและคุณที่ใจดีกับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้ผมไม่สามารถเก็บความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไป มันทรมานมากเลยนะครับ ไอ้ความรู้สึกที่อยู่ใกล้แต่ทำอะไรไม่ได้เลยเนี่ย ผมทรมานจริง ๆ ”
“ฉัน ..ควรจะทำยังไงกับแกดี” เสียงนั้นราวกับกำลังถามตนเอง กว่าอินทรชิตกลับเป็นฝ่ายให้คำตอบเสียเอง
“เราลองคบกันดูดีไหมครับ”
คุณพฤกษ์หน้าถอดสี เขาจึงรีบพูดต่อไปว่า
“ถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปไกล ผมว่าคุณพฤกษ์ก็รู้สึกดี ๆ กับผมอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”
“ฉัน..” ริมฝีปากสวยเม้มเข้าหากันอย่างลังเล “ฉันอาจจะสับสนก็ได้”
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ครับ”
“แต่คุณพ่อคงไม่เห็นด้วย เขาคาดหวังกับแกมาก” ในฐานะลูกชายของเพื่อนสนิทที่ตายไป พนาคงช้ำใจตายหากรู้ว่าเขากับคุณพฤกษ์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว
“ก็อย่าให้คุณลุงรู้สิครับ จะให้ผมเป็นเหมือนคุณฉัตรก็ได้นะ ผมไม่แคร์หรอกถ้ามันจะทำให้ผมได้อยู่ข้าง ๆ คุณ”
สิ้นคำนั้น ฝ่ามือเรียวก็ดันไหล่เขาให้ออกห่าง
“ความสัมพันธ์แบบนั้นสุดท้ายแล้วแกจะเจ็บเอง แกเห็นสภาพคุณฉัตรไหมล่ะ ไม่กี่วันก่อนเรื่องของเรามันแดงจนไปเข้าหูคุณอรดีเข้า เธอบอก ไม่สิ เธอขอร้องให้ฉันเลิกยุ่งกับคุณฉัตรแถมยัง—”
“ผมไม่แคร์”
“...” ชายหนุ่มนิ่ง
“ผมไม่รู้ว่าเรื่องของคุณพฤกษ์กับเขามันเริ่มมาจากอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องเซ็กส์ล่ะก็ผมยินดีที่จะเป็นที่ระบายความใคร่ให้คุณ คุณพฤกษ์ต้องการเซ็กส์ ส่วนผมต้องการคุณพฤกษ์หรือคุณจะใช้ผมเป็นไม้กันหมาเพื่อตีตัวออกจากคุณฉัตรก็ได้ ผมยินดี! แบบนี้มันก็ยุติธรรมดีไม่ใช่หรือครับ? ”
คุณพฤกษ์กลืนน้ำลายลงคอและขมวดคิ้วเครียดทำสีหน้าคล้ายคนกำลังคิดหนัก ถูกละ ใครบ้างเจอเรื่องแบบนี้แล้วจะไม่คิดหนัก เขาคนหนึ่งล่ะที่ตอนนี้คิดจนหัวแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว
“คุณพฤกษ์ก็รู้ว่าผมว่าง่ายและเชื่อฟังคุณยิ่งกว่าคุณฉัตรเสียอีก”
ชายหนุ่มหว่านล้อมพร้อมดวงตาพราวระยับดูไม่เหมือนคนป่วยที่นอนซมมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ พฤกษ์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วกับผู้ชายที่ชื่ออินทรชิต
“นี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ”
“เฮ้อ” เช้าวันนี้พฤกษ์ถอดถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ รู้สึกว้าวุ่น ต้นเหตุก็มาจากเด็กตัวยักษ์คนหนึ่งที่นอนขดอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
‘เราลองคบกันดูดีไหมครับ’
‘ถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปไกล ผมว่าคุณพฤกษ์ก็รู้สึกดี ๆ กับผมอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ’
‘ผมไม่แคร์’
‘ผมไม่รู้ว่าเรื่องของคุณพฤกษ์กับเขามันเริ่มมาจากอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องเซ็กส์ล่ะก็ผมยินดีที่จะเป็นที่ระบายความใคร่ให้คุณ คุณพฤกษ์ต้องการเซ็กส์ ส่วนผมต้องการคุณพฤกษ์หรือคุณจะใช้ผมเป็นไม้กันหมาเพื่อตีตัวออกจากคุณฉัตรก็ได้ ผมยินดี! แบบนี้มันก็ยุติธรรมดีไม่ใช่หรือครับ? ’
หากย้อนนึกถึงคำพูดนั้นก็รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวขึ้นมา เมื่อคืน.. พฤกษ์ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนหรือปฏิเสธอีกฝ่ายไปในทันที เขาเพียงแค่นิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก พฤกษ์พูดตัดบทแค่ว่า ‘เอาไว้ก่อน’ และ ‘มันเกินกว่าที่ฉันจะรับไหว’ ก่อนจะบังคับให้อินทรชิตพักผ่อนส่วนตัวเขาก็หนีหายเข้าห้องนอนไปโดยไม่ย่างกรายออกมาจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
“เฮ้อ” พฤกษ์ถอนหายใจอีกแล้ว ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเสร็จและออกมาจากห้องนอนในตอนเจ็ดโมง เขาตรงไปยังห้องรับแขกอย่างเป็นกังวล พอเห็นข้อเท้าใหญ่ที่โผล่พ้นออกมาจากโซฟาก็พลันโล่งใจขึ้นมา
“เขี้ยว” เขาย่อตัวลงและใช้หลังมือตบเบา ๆ ที่แก้มนุ่มเป็นการปลุก ทว่าชายหนุ่มยังคงหลับอุตุอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา อินทรชิตสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา พอเห็นว่าใครกำลังมองอยู่ก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที
“ตื่นแล้วหรือ”
ชายหนุ่มค่อย ๆ พยักหน้าตอบ “คะ ครับ”
“เป็นยังไงบ้าง”
“รู้สึกดีขึ้นครับ” อินทรชิตตอบเสียงแผ่ว ความกังวลทำให้เขาเอื้อมมือไปดึงแผ่นเจลลดไข้ออกก่อนจะนาบฝ่ามือลงบนหน้าผากมน
“ตัวไม่ร้อนเท่าไหร่” พฤกษ์เลื่อนลงมาจับที่แก้ม ใต้คางและลำคอ เขาพูด “อาบน้ำได้หรือเปล่า”
อินทรชิตจ้องมาที่เขาก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นก็ไปอาบซะ ใช้ห้องน้ำฉันได้เลย”
ร่างโปร่งลุกขึ้นทว่ากลับโดนแขนแข็งแรงรั้งเอวเข้าไปกอด อินทรชิตซุกหน้าของตนลงบนหน้าท้องราบและถูไถพวงแก้มไปมาราวกับจะออดอ้อน
“อะ ..อะไร” พฤกษ์หัวใจเต้นรัว เขารู้สึกเหมือนมีไอร้อนกระจายไปทั่วใบหน้า
อินทรชิตแหงนหน้าขึ้นมา ดวงตาคมกริบประกายความวิงวอนส่งผ่านมาถึงเขา
“คุณพฤกษ์ยังไม่ตอบผมเลย”
“ฉันไม่รู้จะตอบอะไร” พฤกษ์ยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำสนิท เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ฉันสับสน”
“สับสนก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้หวังให้คุณพฤกษ์มีใจอยู่แล้ว ขอแค่ให้ผมได้อยู่ข้าง ๆ คุณ ได้ใกล้ชิดกับคุณมากกว่าใครก็พอแล้ว”
“ฉันไม่เข้าใจแกเลยจริง ๆ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่แกจะรักฉัน”
“ขึ้นชื่อว่ารักมันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
น้ำเสียงนั้นช่างสิ้นหวังแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมา อินทรชิตบอกเขาว่า
“รักของผมไม่ได้หวังให้คุณรักตอบหรอกนะ เมื่อก่อนผมเคยยินดีที่ได้เฝ้ามองคุณจากที่ไกล ๆ จากที่ ๆ คุณไม่เคยแม้แต่จะมองมา คุณพฤกษ์ไม่จำเป็นต้องเห็นผม มีแค่ผมที่เห็นคุณพฤกษ์ก็พอ ขอแค่เห็นคุณอยู่ในสายตา มีคุณอยู่ในชีวิตนั่นก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้ เวลานี้ มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน พลาดแล้วก็พลาดเลย ตายแล้วก็ตายไปเลยอย่างง่ายดายและอาจจะไม่มีทางกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก ผมถึงคิดว่าถ้าหากมีโอกาสล่ะก็ ..ถ้ามีโอกาสแม้เพียงนิดเดียวผมจะไม่ลังเลเลยที่จะคว้ามันเอาไว้ ต่อให้มันเป็นการเห็นแก่ตัว เป็นเพียงแค่ความสับสนหรือเป็นเพียงแค่ความใคร่ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากแค่ไหนผมก็ยินดีจะรับมันเอาไว้ทั้งหมด”
อินทรชิตยิ้ม แววตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำสีใสที่ร้อนผ่าว
“ผมยอมแลกทุกอย่างดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรเลยในชีวิตคุณ”
พฤกษ์ที่ได้ฟังเช่นก็พลันใจอ่อนยวบขึ้นมา ไม่รู้เพราะใบหน้าเหงาหงอยเหมือนลูกสุนัขครางหงิง ๆ หรือเปล่าถึงทำให้เขาคิดว่าอินทรชิตนั้นน่าเอ็นดูและก็น่าเห็นใจจนเขาไม่อาจใจร้ายใส่อีกฝ่ายได้ลงอีกต่อไป
‘ไม่รู้ด้วยแล้ว’ เขาโยนความกังวลทิ้งไปก่อนจะกระแอมเบา ๆ
“เอาเถอะ ไว้ฉันจะคิดดูอีกที บางทีแกก็ไม่ได้แย่..หรอกมั้ง”
“คุณพฤกษ์หมายความว่า..!! ”
“ก็แค่ลองดู” พฤกษ์กัดริมฝีปาก “แต่ต้องเป็นความลับ”
ชายหนุ่มตัวโตคลี่ยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นสดใสและไร้ความหม่นหมองใด ๆ มากล้ำกราย เขาหรี่ตาลงมอง พอเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ โผล่ออกมาก็เผลออมยิ้มตาม
“ทำยังไงดีครับ” อินทรชิตกอดเอวเขาแน่น “ผมมีความสุขเหลือเกิน”
“แกก็พูดเสียเว่อร์” เขาติ “ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ใหญ่ก็อยากจะสั่งสอนแกสักเรื่อง จงจำไว้นะ ความสัมพันธ์แบบนี้สุดท้ายแล้วมันจะทำร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ คนที่รักมากกว่า ถลำตัวมากกว่าจะเจ็บมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันมีอะไรหลายอย่างที่แกยังไม่เข้าใจ แต่เราจะค่อย ๆ เรียนรู้กันทีหลัง อ้อ ..แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งฉันบอกให้หยุดแกก็ต้องหยุดเข้าใจไหม? ”
“แล้วถ้าวันหนึ่งเรารักกันล่ะครับ”
“ความสัมพันธ์ฉาบฉวยมันใกล้เคียงกับความรักมากจนแกอาจจะเข้าใจผิด แต่เชื่อเถอะ เวลาเท่านั้นแหละที่จะบอก ถึงตอนนั้นแกอาจจะเป็นฝ่ายไปจากฉันก่อนที่ฉันจะบอกให้หยุดก็ได้”
“ไม่มีทาง” อินทรชิตส่ายหน้า เขาที่เฝ้าฝันและจงรักภักดีกับอีกฝ่ายมาเป็นสิบ ๆ ปีน่ะหรือจะเป็นฝ่ายปล่อยมือไปก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก! คุณพฤกษ์ประเมินความรักความเทิดทูนของเขาต่ำไปเสียแล้ว
“อย่ามั่นใจนักเลย อนาคตมันไม่แน่นอน”
พฤกษ์ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มหยันของผู้ที่คิดว่าตนจะกำชัยอย่างแน่นอน ส่วนผู้ปราชัยเช่นเขาจึงทำได้เพียงส่งเสียงหงอย ๆ ตอบไปว่า
“คุณพฤกษ์ก็อย่าใจร้ายนักเลย..”
พฤกษ์ปล่อยให้อินทรชิตจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าไปในครัว
ดวงตาเรียวสวยภายใต้กรอบแว่นกวาดตามองตู้เย็นที่แน่นขนัดไปด้วยขวดน้ำแร่ เบียร์กระป๋อง กาแฟกระป๋อง ช็อกโกแลตและสารพัดของทานเล่นจุกจิก พฤกษ์ปิดตู้เย็นลงด้วยสีหน้าเศร้าสลดเพราะไม่อาจหาอะไรมาเป็นมื้อเช้าให้คนป่วยได้
ช่วยไม่ได้นี่ ..เขาไม่เคยทำอาหารทานเองมาก่อน พอหิวเข้าหน่อยก็ไปฝากท้องที่โรงแรมของครอบครัวหรือไม่ก็ร้านอาหารใกล้ ๆ คอนโดมิเนียมทุกครั้ง ทว่าตอนนี้พฤกษ์ไม่สามารถหอบหิ้วอินทรชิตระหกระเหินออกไปไหนได้เพราะอีกฝ่ายกำลังป่วย
“จำได้ว่ามีโจ๊กสำเร็จรูปอยู่” ชายหนุ่มพูดกับตนเองก่อนจะเปิดตู้ที่อยู่ด้านบนออก ข้างในนั้นมีพวกอาหารกระป๋องและอาหารสำเร็จรูปตุนเอาไว้จำนวนหนึ่ง พฤกษ์ไม่เคยเหลียวแลมันนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ เขาไม่ชอบทานอาหารประเภทนี้ด้วยเพราะปริมาณโซเดียมเยอะแต่ก็มีมันเอาไว้เพื่อความอุ่นใจว่าตนเองจะไม่อดตายหากอับจนหนทางขึ้นมาจริง ๆ
“เจอแล้ว” เขาว่าพลางหยิบโจ๊กสำเร็จรูปออกมาวาง พฤกษ์หันไปหยิบชามที่คว่ำอยู่ก่อนจะเปิดการทำงานของกาต้มน้ำไฟฟ้า ระหว่างที่รอน้ำเดือดก็ฉีกซองเทโจ๊กผงลงไปรอในชาม ไม่นานนักน้ำก็เดือดได้ที่ พฤกษ์จึงจัดแจงผสมน้ำร้อนลงไปในชาม ใช้ช้อนคนให้โจ๊กผงละลายจนเหลวข้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็นำมันออกมาวางไว้บนโต๊ะในห้องรับแขก ทว่าอินทรชิตก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จ พฤกษ์จึงลืมนึกไปว่าอีกฝ่ายคงไม่มีชุดใส่สำหรับเปลี่ยนล่ะมั้งถึงได้ออกมาช้านัก
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างโปร่งจึงเดินกลับเข้ามาในห้องนอน เป็นอย่างที่คิด ประตูห้องน้ำยังปิดสนิทโดยไร้วี่แววว่าชายหนุ่มตัวยักษ์จะออกมาให้เห็น พฤกษ์เปิดตู้เสื้อผ้าและดูว่ามีเสื้อผ้าตัวไหนที่อินทรชิตพอจะใส่ได้บาง ทว่าบนราวแขวนกลับไม่มีตัวใดที่ใกล้เคียงกับขนาดตัวอันสูงใหญ่เกือบสองเมตรนั่นได้เลย เขาหยิบเสื้อเชิ้ตดิออร์ออกมาตัวหนึ่ง มันเป็นเชิ้ตที่ตัวใหญ่และหลวมโพรก (สำหรับพฤกษ์) มากที่สุด แต่พอนึกว่ามันจะไปรัดรึงแน่นเปรี๊ยะอยู่บนร่างกายที่บึกบึนและกำยำก็พลันนึกเสียดายเงินราคาสองหมื่นกว่าที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาทันที
พฤกษ์แขวนเสื้อกลับไปที่เดิม ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีชุดนักบอลที่สั่งมาผิดไซส์เก็บเอาไว้ในกล่อง เขาก้มลงและรื้อข้าวของในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าอยู่สักพักก่อนจะเจอชุดบอลที่ว่านั่น
‘อืม ..ก็คงใส่ได้อยู่หรอกมั้ง’ พฤกษ์กางเสื้อออกแบ้แอบจินตนาการถึงอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดนักบอลทีมโปรด
‘คิดอะไรเนี่ย! ’ เขายีหัวตนเองเพื่อเรียกสติก่อนจะได้ยินเสียงประหลาด ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำ ทีแรกเขาได้ยินไม่ชัดนักจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ และเอาหูแนบกับประตู กำลังจะเคาะถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังสวนออกมาเบา ๆ
“อ่า..ซี๊ด แม่ง..”
พฤกษ์ยืนตัวแข็งทื่อ หัวใจของเขาดีดเร่าอย่างตื่นเต้น มือเรียวถูกยกขึ้นมาปิดปากอย่างช้า ๆ แก้มทั้งสองข้างพลันร้อนฉ่าและแดงปลั่งจนเขาเองก็รู้สึกได้ถึงอาการเหล่านั้น
“คุณพฤกษ์.. อ่ะ”
‘ทำไมฉันต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ทุกทีเลยนะ!! ’
“คุณพฤกษ์ยังชอบเชลซีเหมือนเดิมเลยนะครับ”
อินทรชิตพูดกับเขาขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพที่เส้นผมมีหยดน้ำไหลลู่ลงมา พฤกษ์หรี่ตาลงมองร่างกายกำยำที่อยู่ภายใต้ชุดนักบอลสีน้ำเงินนั่นด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาปฏิเสธไม่ลงจริง ๆ ว่าอินทรชิตเป็นผู้ชายที่หุ่นดีและดึงดูดสายตามากแค่ไหน แต่ก่อนเขาก็มักเอ่ยชมมันอยู่บ่อย ๆ เวลาที่เห็นมันถอดเสื้อออกกำลังกาย ตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าการชื่นชมในความพยายามของผู้ชายด้วยกัน ทว่าตอนนั้นมันกลับไม่ใช่..
ภาพความจริงกับในจินตนาการต่างกันไกลลิบ ของจริงที่อยู่ตรงหน้านั้นดูรัญจวนใจอย่างยิ่งจนพฤกษ์เองถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองไปยังอกแกร่งที่ถูกผิวเสื้อลื่น ๆ รัดรึง ไหนจะผิวคล้ำแดดนิด ๆ ที่มีเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นตามหลังมือ แขนและขา
ทำไมเร้าอารมณ์ขึ้นมาก็ไม่รู้.. เขาไม่รู้จริง ๆ
“คุณพฤกษ์? ” อินทรชิตเรียกเมื่อเห็นเขาเหม่อ
ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่พบเจอเมื่อครู่บวกกับความคิดในหัวก่อนจะกวักมือเรียกอีกฝ่ายมาใกล้ ๆ
“มานี่ เดี๋ยวฉันจะเช็ดผมให้”
พอได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็หูตั้งหางกระดิกทันที อินทรชิตปรี่ตัวลงมานั่งบนพื้นแทรกระหว่างขาทั้งสองข้างของอีกฝ่าย
“แกควรนั่งหันหลัง”
“ผมอยากนั่งหันหน้าเข้าหาคุณพฤกษ์” อินทรชิตว่าพลางเอาหน้าเกยบนขาข้างหนึ่ง
“รีบ ๆ เช็ดสิครับ เดี๋ยวผมก็ป่วยอีกหรอก”
พฤกษ์อับจนหนทาง เขาจึงหันไปหยิบผ้าผืนเล็ก ๆ ที่เตรียมมาคลุมศีรษะอีกฝ่ายและใช้นิ้วมือซับน้ำออกจากเส้นผมอย่างใจเย็น
ทว่า.. ดูเหมือนชายหนุ่มตัวโตจะอยู่ไม่เป็นสุขเสียแล้ว
“นี่ ..แกอย่าทำอะไรแปลก ๆ ได้ไหม” พฤกษ์เอ่ยเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะขยับเข้าหาเป้ากางเกงเขาเรื่อย ๆ จนผิดสังเกต อินทรชิตช้อนสายตาขึ้นมามองเขา แววตาที่เป็นแพรวพราวนั่นทำให้พฤกษ์รู้สึกระแวงขึ้นมา
“คุณพฤกษ์ไม่รู้สึกตัวเลยหรือครับว่าตัวเองแข็งขนาดนี้แล้ว”
พฤกษ์นิ่งค้างไปก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงมองเป้าตนเอง
ใช่.. เป็นอย่างที่อินทรชิตพูด
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นมีอารมณ์จนแกนกายแข็งนูนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“คุณมีอารมณ์กับผมหรือครับ น่ารักจัง” เสียงทุ้มกล่าวอย่างตื่นเต้นก่อนจะซบหน้าลงไป อินทรชิตทำให้เขาเกือบหัวใจวายตายเพราะอีกฝ่ายดันทะลึ่งใช้แก้มของตนถูไถไปมากับเป้ากางเกงของเขา มันจงใจใช้ทุกส่วนของใบหน้าเสียดสีและบดเบียดจนแกนกายของเขาแข็งชันและพฤกษ์เองก็เริ่มมีอารมณ์ใคร่ร่วมขึ้นทีละน้อย
“อืม..” เขาเผลอครางร้อง มือที่จับผ้าขนหนูเผลอขยุ้มศรีษะ
อินทรชิตจูบปากลงเบา ๆ ตรงส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายของอีกฝ่าย เขายิ้มแย้มราวกับลูกสุนัขผู้ภักดี แต่ทว่าสายตาและการกระทำนั้นยิ่งกว่าสัตว์ป่าดุร้าย!
“ทูนหัว” เขาวิงวอน “ให้ผมช่วยนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ