คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.33K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) 00 32
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 32
พฤกษ์ไม่รู้ตัวว่าตนเองกลับมาถึงคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนไหน เขาไม่มีสติอีกเลยนับตั้งแต่ได้ยินคำนั้นจากปากอีกฝ่าย จะมีก็แต่อาการเหม่อลอยและตายซากก็เท่านั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเสียแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง เขาลูบหน้าตนเองโดยแรงก่อนจะย้อนทบทวนความทรงจำว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
ประโยคนั้นย้ำเตือนเขาก่อนที่ภาพวันวานใต้เพิงไม้เก่า ๆ ท่ามกลางสายฝนจะผุดขึ้นมาในหัว
พฤกษ์ถูกมันรูดรั้งครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จสมคามือแถมเขายังตัวอ่อนยวบยาบให้อีกฝ่ายกกกอดอยู่นานนับชั่วโมงโดยไม่แม้แต่จะขืนตัวปฏิเสธสักนิด
จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อถูกอารมณ์ใคร่ครอบงำไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะทานทนไหวหรอก พฤกษ์เองก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เขาไม่ได้ไร้หัวใจจนชืดชาหรือเป็นก้อนหินก้อนกรวด ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เขารู้สึกรู้สม เขาชื่นชอบการมีเซ็กส์และเสพติดความกระหายอยากต่อร่างกายของเพศชายด้วยกัน และเมื่อถูกปลุกเร้าพร้อมด้วยบรรยากาศเป็นใจเขาถึงได้คล้อยตามอีกฝ่ายได้ง่ายดายราวกับต้องมนต์
“จะทำยังไงดีล่ะทีนี้” พฤกษ์ยังคงคิดไม่ตก แต่ที่แน่ ๆ วันนี้คงต้องหลบลี้หนีหน้าอินทรชิตเพื่อตั้งหลักเสียก่อนเพราะเขายังไม่คำตอบสำหรับคำว่า ‘รัก’ ให้อีกฝ่ายเลย
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
เขาห้วนนึกถึงคำพูดนั้นอีกครั้ง คำพูดที่สลัดเท่าไหร่ก็ไม่พ้นจากใจเสียที
“มันรักฉัน? ตั้งแต่ตอนไหนเมื่อไหร่กัน? ” พฤกษ์ไม่เคยนึกสงสัยในตัวมันมาก่อน ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้เขาปฏิบัติและให้ความรักความเอ็นดูกับมันเหมือนดังเช่นน้อง ๆ คนอื่น พฤกษ์ไม่เคยลำเอียง ไม่นึกรังเกียจ มีแต่ความเมตตา ความปรารถนาดีและความเอาใจใส่ให้กับอินทรชิต และเขาเองก็นึกว่าการที่ชายหนุ่มคอยมาวนเวียนตามติดหรือสัมผัสเนื้อถูกตัวอยู่บ่อย ๆ นั้นเป็นการตอบแทนความเมตตาที่เขามีให้อีกฝ่าย พฤกษ์ไม่นึกเลยว่าการกระทำพวกนั้นมันแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่างมาโดยตลอด
“ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว” เขานวดขมับก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้าน
และเมื่อกลับออกมา ระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการบำรุงผิวหน้า พฤกษ์ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าซอกคอด้านหนึ่งของตนนั้นมีรอยจ้ำช้ำแดงจากการดูดเม้มปรากฏอยู่เต็มไปหมด
เพล้ง!
เขาทำเซรั่มราคาสองหมื่นปลายที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นทันทีที่เห็นร่องรอยพวกนั้นผ่านกระจก พฤกษ์ไม่ได้สนใจเซรั่มขวดนั้นด้วยซ้ำ เขาลุกขึ้นยืน ควานหาแว่นสายตามาสวมและแหวกชุดคลุมอาบน้ำออกเพื่อที่จะได้มองเห็นรอยสีแดงเหล่านั้นให้ครบทุกรอย
สาม สี่ ..ห้า พระเจ้า! เขานับได้ทั้งสิ้นหกรอย!!
“โอ๊ย” พฤกษ์อุทาน “ไอ้เขี้ยว ไอ้เด็กเลว! ”
“นั่นคุณพฤกษ์กำลังจะไปไหนคะ? ”
แม่พลอยถามขึ้นหลังจากที่เห็นเจ้านายหนุ่มกำลังหอบหิ้วกระเป๋าหนัก ๆ ใบหนึ่งลงมาจากบันไดแถมเจ้าตัวยังสวมเสื้อคอเต่าทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดที่จะใส่เพราะนิสัยขี้ร้อนนั่นอีกด้วย พฤกษ์สะดุ้งโหยง พอเห็นว่าเป็นหญิงชราที่คุ้นเคยก็ทิ้งกระเป๋าแล้ววิ่งโร่เข้าไปกอดทันที
“แม่พลอย! แม่พลอย! ” เขาร้องเรียกแม่พลอยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกราวกับลูกสาวที่ถูกชายหนุ่มย่ำยีศักดิ์ศรีมาไม่มีผิด
“ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ” แม่พลอยลูบหัวเขาและปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน พฤกษ์เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอก เขาพูดว่า
“ผมจะทำอย่างไรดีครับ”
“เกิดอะไรขึ้น? ” เธอถาม
ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากทว่าก็ทำสีหน้าเหยเก เขารู้สึกอิหลักอิเหลื่อใจเกินกว่าที่จะเล่าเรื่องอินทรชิตออกไปตรง ๆ ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้
“เปล่าครับ เปล่า ไม่มีอะไร” พฤกษ์ยิ้มก่อนจะจับมือที่เหี่ยวย่นของหญิงชราขึ้นมากุมไว้
“แล้วนี่กำลังจะไปไหนคะ” แม่พลอยชะโงกหน้าดูกระเป๋าหนัก ๆ ที่เขาทิ้งเอาไว้ด้านหลัง “ไปไกลหรือเปล่า”
“ผมจะไม่อยู่บ้านสักพัก” พฤกษ์ตอบ “อาจจะสักอาทิตย์”
“ถ้าเกิดว่าถูกถามขึ้นมาจะให้ยายเรียนพวกคุณ ๆ ว่าอะไรคะ”
“บอกทุกคนไปว่าผมไปเที่ยว” เขายังพูดอีกว่า “ห้ามโทรหา ห้ามรบกวนเด็ดขาดถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย”
“ไปกับคุณฉัตรหรือคะ”
“เปล่าครับ” มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่าอรดีรู้ว่าเขายังติดต่อกับลูกชายของเธออยู่ในเมื่อตกปากรับคำเสียดิบดีว่าจะออกห่าง พฤกษ์ไม่อยากเป็นคนที่แย่และสับปลับ อีกทั้งไม่อยากให้อรดีวิ่งโร่ไปฟ้องพ่อเรื่องที่เขาเป็นเกย์ก่อนที่เขาจะลงมือทำมันด้วยตนเอง
“คุณพฤกษ์ของยายหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ” หญิงชราเอ่ยพลางยื่นมือขึ้นไปลูบแก้ม ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันเกือบยี่สิบเซนติเมตรจึงทำให้พฤกษ์ต้องโน้มตัวลงเพื่อให้แม่พลอยจับได้ถนัด
“ผมสบายดี” เขาว่าพลางเกลือกแก้มไปมาบนมืออีกฝ่าย “แม่พลอยล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปเรื่อยตามประสาคนแก่นั่นแหละค่ะ”
“ความดันเพิ่มหรือเปล่า”
“เพิ่มนิดหน่อยค่ะ”
“แม่พลอย” พฤกษ์ถอนหายใจ “ระวังหน่อยสิครับ ผมบอกแล้วว่าอย่าทำงานหนัก อย่าเดินเหินให้มันมากและก็อย่าตากแดดเยอะ”
“ค่า ๆ ยายรู้แล้ว”
“รู้” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่ไม่ยอมทำ”
หญิงชราระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ทานยาครบหรือเปล่า”
“ครบค่ะ”
“แคลเซียมล่ะ”
“โธ่.. คุณพฤกษ์ขา” แม่พลอยเสียงอ่อน “ถึงกินไปมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะคะ ยายแก่แล้ว กระดงกระดูกเสื่อมไปตามสภาพ อีกหน่อยก็คงตาย–”
“แม่พลอย” พฤกษ์เสียงแข็งขึ้นมาทันที “อย่าพูดแบบนี้ให้ผมได้ยินอีก”
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกนะคะ” เธอลูบแก้มขาวข้างหนึ่งของชายหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มรื่นว่า
“สักวันยายก็ต้องตาย ช้าเร็วก็อยู่ที่เวลาและการเตรียมใจ”
“ทำไมพูดแบบนี้” พฤกษ์พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น “แม่พลอยไม่อยากอยู่กับผมไปนาน ๆ หรือครับ”
“ยายอยู่กับคุณพฤกษ์มาตั้งแต่เกิดและจะยังอยู่ต่อไปถึงแม้ว่ายายจะตาย”
“ไม่จริง” พฤกษ์น้ำตารื้น เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้มันไกลออกมา
“ตายไปแล้วก็ตายไปเลย แม่พลอยจะอยู่กับผมได้อย่างไร”
“โธ่ คุณพฤกษ์คนดีของยาย”
แม่พลอยคงรู้ว่าเขาอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากจึงลูบหลังของเขาเบา ๆ เหมือนกับเด็กน้อย
“รู้ไหมคะ คนเราตายแล้วไม่ได้ไปไหนไกลหรอกนะคะ เขายังคงอยู่กับเรา ทว่าไม่ใช่ในรูปแบบเดิม เขาจะไปอยู่ในรูปแบบของความทรงจำ อยู่ในความผูกพัน ความคิดถึงและความอาลัยของคนที่เขารักแทน”
น้ำตาเม็ดโตจากดวงตาคู่งามร่วงหล่นลงมาอาบแก้ม พฤกษ์นิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก เขาอ่อนไหวกับเรื่องความตายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
...โดยเฉพาะความตายของคนที่รัก
“แม่ ..ก็ยังอยู่กับผมใช่ไหม”
พฤกษ์ถาม น้ำเสียงของชายหนุ่มแสนโศกเศร้าและโหยหาผู้เป็นแม่สุดหัวใจ
“คุณแก้วตาอยู่ข้าง ๆ คุณพฤกษ์เสมอ” แม่พลอยผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนบอกเขา
“อยู่ในนี้” ฝ่ามือเหี่ยวย่นทาบลงมาที่กลางหน้าอก “อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่เคยห่างไกล ไม่เคยทอดทิ้งไปไหน”
อินทรชิตกำลังคลั่งตาย เขาติดต่อคุณพฤกษ์ไม่ได้มาสองวันแล้ว แม่พลอยบอกเขาว่าคุณพฤกษ์ไปเที่ยวต่างจังหวัดหนึ่งอาทิตย์แต่กระนั้นก็ไม่แม้แต่จะปริปากบอกว่าไปเที่ยวที่ไหน ชายหนุ่มจึงแอบใช้เส้นสายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพนาเพื่อให้คนติดต่อเข้าไปที่โรงแรมหรือรีสอร์ทในเครือวัฒนารายณ์ที่ชายหนุ่มคิดว่าคุณพฤกษ์จะเข้าไปพักสักแห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทว่าก็ไม่มีสักแห่งที่คุณพฤกษ์ไปใช้บริการ.. อินทรชิตจึงค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่กล่าวอ้างไว้กับแม่พลอยหรอก และความรู้สึกของเขามันก็บอกอีกว่าคุณพฤกษ์กำลังหลบหน้าเขาโดยการย้ายไปอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมที่เพิ่งซื้อเมื่อต้นปีที่แล้วนั่นเอง
ชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรหลังจากวันนั้น แต่สำหรับเขาแล้ว วันนั้นใต้เพิงไม้เก่า ๆ มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าความฝัน เขาไม่เชื่อตนเองสักนิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้กอดคนที่ปรารถนาในใจมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้จูบและได้ช่วยอีกฝ่ายสำเร็จความใคร่กับมือคู่นี้ อินทรชิตยังจำได้ดีถึงทุกสัมผัสของคุณพฤกษ์
เขาจำได้ดีว่าตนนั้นได้โอบกอดร่างกายที่หอมละมุนนั้นอย่างไร จำได้ว่าฝ่ามืออันหยาบกร้านนี้ได้มีโอกาสลูบไล้ผิวกายนุ่มนิ่มนั้นแบบไหน จำซอกคอขาวผุดผ่องที่เขาทำรอยรักสลักเอาไว้ จำลมหายใจรุ่มร้อนที่หอบรุนแรง จำสีหน้าแดงระเรื่อที่เย้ายวนยามเมื่อเขาทำให้เสร็จสม จำปลายลิ้นและริมฝีปากอ่อนนุ่มที่บดเบียดคลอเคลียไม่ห่างไกล
อินทรชิตจำได้ทั้งหมดและไม่วันลืมรสชาติสุขสมที่ได้ลิ้มรสเป็นอันขาด
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
แต่กระนั้นความในใจที่เขาอาจหาญบอกออกไปกลับเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองเสียได้
เดิมทีอินทรชิตไม่เคยคิดที่จะบอกความรู้สึกออกไป ไม่ว่ากาลก่อนหรือตอนนี้เขาก็ไม่เคยคิด เขาปณิธานไว้ว่าขอแค่ได้เฝ้ามองและอยู่ในที่ ๆ มองเห็นอีกฝ่ายถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจใยดีไม่เป็นไร ขอแค่เขาเท่านั้นที่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาก็เพียงพอแล้ว
...ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ตลอดสามปีที่ผ่านมามันทำให้อินทรชิตหลงระเริง
หลงระเริงไปกับความใจดี หลงใหลไปกับความรัก ความเมตตาและความเอาใจใส่จากคุณพฤกษ์ที่ตัวเขาไม่เคยได้รับ ทั้งที่อินทรชิตก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่คุณเขามอบให้มันไม่ได้พิเศษไปกว่าความรักที่มีให้กับพงพีหรือมาลีวัลย์
ทว่าเขาเองที่โลภมาก เป็นเขาเองที่ต้องการมากกว่านั้น เขาอยากเป็นคนพิเศษเหมือนฉัตรตะวัน เป็นคนสำคัญยิ่งกว่าอัครา เขาอยากมีตัวตนอยู่ในพื้นที่หัวใจดวงนั้น อยากเป็นคนที่คุณพฤกษ์ต้องการและโหยหาเพียงผู้เดียว
และแล้วโอกาสที่เขาเฝ้าฝันก็มาถึง คุณพฤกษ์อยู่ในอ้อมกอดและเขาก็ได้สัมผัสทุกส่วนที่อยากสัมผัสอย่างใจปรารถนา กระทั่งคุณเขาปลดเปลื้อง ร่างกายนั้นอ่อนยวบเข้าหาอ้อมแขน คุณพฤกษ์ไม่มีทีท่าปฏิเสธหรือรังเกียจ อินทรชิตจึงเกิดย่ามใจ และชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงบอกความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้โดยไม่ลังเล
แต่แล้วเขาก็คิดผิดมหันต์ ...คุณพฤกษ์หลีกหนีและจงใจหลบหน้าเขา
เขามัวแต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้คุณพฤกษ์รับรู้ความในใจ แต่เขาไม่เคยคิดว่าหากบอกไปแล้วจะเป็นการผลักภาระทั้งหมดไปให้อีกฝ่ายหรือไม่ เขาไม่คิดเลย คุณพฤกษ์คงจะอึดอัดและรู้สึกแย่ หากร้ายแรงกว่านั้นก็อาจจะเกลียดน้ำหน้าเขาและเรื่องราวทั้งหมดก็จะกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ถ้าหากรู้สักนิดว่าจะถูกรังเกียจถึงเพียงนี้ สู้ยอมเก็บความรักเอาไว้กับตัวไปชั่วชีวิตยังดีเสียกว่าบอกออกไป
“ไม่น่าบอกรักไปเลย..”
“โฮ่ง! ”
“โฮ่ง! แง่งง!! ”
“......” อินทรชิตทำตัวไม่ถูก ขณะที่เขากลับมาจากโรงเรียนก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์และไซบีเรียนฮัสกี้อายุราว ๆ สี่ห้าเดือนกำลังฟัดเหวี่ยงใส่กันอยู่ที่สนามด้านหน้า
“หมามาจากไหนครับพี่ต่าย” เขาถามพี่ต่ายที่ยืนปัดฝุ่นหน้ารถอยู่ใกล้ ๆ
“อ๋อ” เธอร้อง “คุณพนาเอามาค่ะ”
“คุณลุงกลับมาแล้วหรือ”
“กลับมาแล้วและก็ออกไปแล้วค่ะ เพิ่งจะเดินทางก่อนคุณอินทร์กลับมาสักครึ่งชั่วโมงนี้เอง”
“อืม” เขาครางในคอก่อนจะยืนมองสุนัขสองตัวที่ว่านั่นต่ออีกสักหน่อย ดูผิวเผินก็เหมือนสุนัขกำลังเล่นกันอยู่ แต่ทั้ง ๆ ที่ควรเหมือนสุนัขทั่วไปแต่ตามขากลับมีผ้าพันแผลพันอยู่ตัวละข้างเหมือนเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา
“เอ๋งงงง!!! ” ทว่าจู่ ๆ เจ้าฮัสกี้ตัวสีดำก็พุ่งเข้าใส่โกลเด้นจนหงายหลัง มิหนำซ้ำมันยังกระโดดขึ้นคร่อมแล้วใช้ปากกัดเข้าที่คออย่างรุนแรง เจ้าโกลเด้นร้องโหยหวนจนอินทรชิตรู้สึกว่ามันออกจะประหลาดเกินไปสำหรับการหยอกเล่นกันระหว่างลูกสุนัข
“เอ๊งงง!! เอ๋งง!! แง่งงง!! ”
ชายหนุ่มทิ้งกระเป๋านักเรียนลงกับพื้นทันทีที่เห็นฮัสกี้ขย้ำโกลเด้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ปล่อยแต่กลับกัดเอาไว้แน่นแล้วใช้ฟันกระชากผิวเนื้อจนเห็นเป็นเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปตามขนสีน้ำตาลทอง
“เฮ้ย! ” อินทรชิตเข้าไปใกล้และพยายามแยกสุนัขสองตัวออกจากกัน เขาสอดแขนกอดลำตัวฮัสกี้ที่กำลังขย้ำโกลเด้นไว้แน่นและหันมาตะโกน
“พี่ต่ายครับ! เอาน้ำมาสาดทีครับ!! ”
“คะ ค่ะ!! ” พี่ต่ายรับคำพลางวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาสายยาง จังหวะนั้นเองที่เจ้าโกลเด้นสลัดตัวออกจากคมเขี้ยวของเจ้าฮัสกี้ได้สำเร็จ อินทรชิตเห็นแบบนั้นก็เกือบจะโล่งใจแล้วถ้าเจ้าหมาสารเลวนั่นไม่ได้เอี้ยวตัวพุ่งมาหาเขาแทน!!
“แง่ง!! ”
“โอ๊ย!! ”
“ว๊ายย!! คุณอินทร์! ” อินทรชิตได้ยินเสียงของพี่ต่ายและคนอื่น ๆ ที่กรูกันเข้ามา ลุงแสงและพี่ต่ายตรงไปจับสุนัขทั้งสองในขณะที่ป้าเมียมเดินมาดูอาการเขาที่นั่งมึนอยู่
“ตายแล้ว! ” ป้าเมียมอุทานหลังจากที่เห็นท่อนแขนแข็งแรงมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล
อินทรชิตมองลงมาที่แขนตนเอง ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง
“แหะ ๆ ผมโดนกัดแล้วล่ะครับ”
พฤกษ์ค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาจากการงีบหลับเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังลั่นห้อง ชายหนุ่มมองออกไปนอกกระจกใส ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างตาเมื่อตอนบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เขาควานหาแว่นสายตาขึ้นสวมและมองรายชื่อผู้ติดต่อที่โทรศัพท์เข้ามา
‘Little MALI’
เขามองรายชื่อนั้นอยู่นานกระทั่งอีกฝ่ายวางสายไปและโทรกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลาไม่กี่วินาที เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง กระทั่งครั้งที่สี่พฤกษ์จึงตัดสินใจรับสาย
“ว่าไง? ”
(โธ่ ..ทำไมรับช้านักล่ะคะ)
“ฉันเพิ่งตื่น” ชายหนุ่มแสร้งหาว “บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าห้ามโทรมากวน”
(คุณพฤกษ์บอกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายห้ามโทรหานี่คะ มะลิโทรมาก็เพราะมีเรื่องคอขาดบาดตายนี่ไงเล่า)
พฤกษ์นิ่งไป เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล ..หรือคนที่บ้านจะมีใครเป็นอะไรไป!?
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเน้นเสียงหนักแน่น ในใจพะว้าพะวังถึงแม่พลอยเป็นอันดับแรกก่อนจะตามมาด้วยพนาผู้เป็นพ่อ
‘ขออย่าให้มีเรื่องไม่ดีเลย’ พฤกษ์ภาวนาอยู่ในใจ
(พี่อินทร์อยู่โรงพยาบาลค่ะ)
เขาถอนหายใจยาวเหยียดด้วยเพราะชื่อที่มาลีวัลย์เอ่ยไม่ใช่ชื่อของคนที่ตนเป็นกังวลอยู่ แต่กระนั้นชื่อของอินทรชิตก็ทำให้เขารู้สึกโหวงเหวงและเจ็บแปลบอยู่ในอกไม่น้อย
‘มันเป็นอะไร? ’
“เขี้ยวเป็นอะไร” เขาใจเต้นกระสับกระส่ายแปลก ๆ พิกล
(ถูกหมากัดค่ะ) หญิงสาวบอก (แผลลึกอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉีดยาแล้วตอนนี้กำลังรอรับยา)
“อ๋อ..” ถึงจะวางใจลงไปบ้างหลังจากที่มาลีวัลย์บอกว่าอีกฝ่าย ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ ทว่าลึก ๆ ในใจของพฤกษ์กลับกังวลถึงอินทรชิตไม่หยุดหย่อน
‘มันเป็นอย่างไร จะเจ็บมากไหม จะติดพิษสุนัขบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่นอนโรงพยาบาลสักคืนล่ะ โธ่เอ๋ย ไอ้เด็กโง่นั่น ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ’
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบออกไปอย่างเยือกเย็น มาลีวัลย์สวนกลับมาทันที
(คุณพฤกษ์ขา คุณพฤกษ์จะคุยกับพี่อินทร์ไหมคะ?) หญิงสาวเหมือนจะหันไปพูดกับใครอีกคน
(พี่อินทร์ พี่อินทร์มานั่งนี่ คุยกับคุณพฤกษ์ไหมคะ?)
(มะลิคุยกับคุณพฤกษ์อยู่หรือคะ..)
พฤกษ์ที่ได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายก็ตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือไป ให้ตายเถอะน่า.. นี่เขาท่าทางจะเป็นเอามากเสียแล้ว ตั้งสติหน่อยซี่ ทำไมถึงได้ตื่นกลัวขนาดนี้ ความสงบนิ่งและเยือกเย็นหายไปไหนหมด!
“คะ แค่นี้นะ ฝากบอกมันด้วยว่าหายไว ๆ ล่ะ”
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็เลือกวิธีการขี้ขลาดโดยการตัดสินใจกดวางสายและปิดเครื่องทันที พฤกษ์ไม่ได้หนีการเผชิญหน้ากับอินทรชิต เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสิ่งที่คิดไม่ตกมาหลายวันในหัวอย่างไรดีต่างหาก
พฤกษ์ยกมือขึ้นทาบลงบนอก ปลายนิ้วเรียวสวยลูบวนตรงแผลเป็นเล็ก ๆ ที่เป็นตำหนิเดียวบนร่างกายของตนอย่างคนคิดหนัก
“แกกำลังปั่นหัวฉัน” เขายอมรับกับตนเองอย่างซื่อตรง ตลอดสองสามวันมานี้ไม่ว่าจะสลัดใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไรก็ไม่อาจสลัดพ้นจากหัวสมองได้เลย
โดยที่ไม่อาจล่วงรู้ พื้นที่ในใจของเขาก็ได้ถูกอินทรชิตทุบทำลายลงพร้อมกับความรักจากอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ แทรกแซงเข้ามาทีละน้อย …ทีละน้อย
“แขนเป็นอะไรวะมึง” อัคราถามเขาในเช้าวันต่อมา
“หมากัด” อินทรชิตตอบพลางชูแขนที่มีแผล
“หมาที่ไหน”
“หมาลุงกูเอามาเลี้ยง”
“โอ๊ยย” อัคราเสียวแผลแทนเพื่อน “ไอ้หมาเหี้ย”
เขายักไหล่ เห็นด้วยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“ดีที่ไม่ต้องเย็บ”
“มึงนี่ก็อึดนะ เป็นกูคงขอแม่หยุดสักวันสองวัน”
“สำออยไอ้ห่า หมามันเพิ่งห้าเดือนเอง คงคันฟันล่ะมั้ง”
อัคราหัวเราะเยาะ “ทำแขนมึงเกือบแหกอ่ะนะคันฟัน”
“แต่แม่งดุเกินหมาอยู่เหมือนกัน” อินทรชิตเล่า “ไม่รู้มันเป็นอะไร อาละวาดจนต้องจับล่ามโซ่”
“พิษสุนัขบ้าหรือเปล่า”
“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า “เห็นว่าเจ้าของเก่ารวยใช้ได้เลยล่ะ กูว่าเขาคงไม่ปล่อยให้หมาขาดวัคซีนหรอกมั้ง”
“รวยแล้วทำไมทิ้งหมาให้ลุงมึงอะ”
“ลุงกูอาจจะไปขอหมาเขามาก็ได้ไหมอะ”
“เออว่ะ” อัคราพยักหน้า “คงไม่คุ้นที่มั้ง”
บทสนทนาช่วงเช้าจบลงแค่นั้นเมื่อออดเข้าเรียนดังขึ้น ทว่าตลอดทั้งวันอินทรชิตกลับไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเหมือนอย่างทุกที ไม่แม้แต่จะกระตือรือร้นตอบคำถามหรือจดอะไรลงบนไอแพดด้วยซ้ำ เขานั่งเหม่อและคิดถึงแต่เรื่องของคุณพฤกษ์จนอัคราจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติได้
“ทะเลาะกับแฟนมาหรือไง”
ชายหนุ่มถามหลังจากวิชาสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง
“หน้ากูบอกมึงแบบนั้น? ”
อัคราพยักหน้า “เหมือนโดนเมียโกรธ”
อินทรชิตถึงกับสะอึก “เมียเหี้ยอะไร ลามปาม”
คุณพฤกษ์ยังไม่ใช่เมียเขาเสียหน่อย ถึงแม้จะสัมผัสกันจนถึงขั้นนั้นแล้วก็ตามที ทว่าความเป็นจริงเราแทบจะไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษเกินกว่าสถานะพี่น้องหรือเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านคนหนึ่ง
นั่นเป็นสิ่งที่อินทรชิตยังก้าวข้ามไปไม่ได้สักที
“อัคร” เขาเรียกเพื่อนขณะที่เดินลงบันได “เวลาแฟนมึงหนีหน้าไม่อยากเจอ มึงทำยังไงให้เขาใจอ่อนยอมมาเจอวะ”
“หืมมมมม” อัคราหรี่ตามอง “อะไรยังไงเอ่ย”
“มึงตอบมาเถอะน่า! ”
ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี กะเอาไว้แล้วเชียวไอ้นี่ เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ก็ซุกเมียเอาไว้เหมือนกันนี่หว่า
“อย่างกูไม่เคยง้อหญิงหรอกเว้ย” อัคราเชิดหน้า “ถ้างอนกูก็ปล่อยไว้นั่นแหละ เรื่องอะไรต้องง้อด้วย”
“ถุย” อินทรชิตทำท่าทาง “แบดบอยหรือไงสัตว์”
“ไม่” อัคราเบ้หน้า “กูไม่ได้แคร์ถึงขนาดที่ต้องตามไปง้อใครอะคิดออกไหม กูก็คบไปอย่างนั้นแหละ คบเล่น ๆ คบเพราะอยากมีเซ็กส์ คบเพื่อรอให้ใครคนหนึ่งเบื่อแล้วขอเลิกไปเอง เหตุผลมันก็แค่นั้น แค่กูยังไม่เคยเจอคนที่กูอยากแคร์”
ชายหนุ่มนิ่งคิด อันที่จริงแล้วที่อัคราว่ามาทั้งหมดนี้มันก็ตรงกันกับบุคลิกของอัคราที่เขารู้จักในกาลก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าก็มีเพียงคน ๆ เดียวเท่านั้นที่ต่อให้เลิกรากันไปกี่ครั้งเจ้าตัวก็ยอมคลานเป็นสุนัขเพื่อกลับไปง้อขอความรักจากอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ใช่ เขากำลังหมายถึงคุณพฤกษ์
“แล้ว ..ถ้าวันหนึ่งมึงเกิดเจอคน ๆ นั้นขึ้นมามึงจะทำยังไงล่ะ อ่ะ ตอบคำถามอันก่อนของกูด้วยเลยแล้วกัน”
อัครายักคิ้วก่อนจะเสยเส้นผมสีแดงฉานของตนเองไปด้านหลัง ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและมั่นคงว่า
“ถ้ากูเจอคนที่กูแคร์ กูก็คงยอมทุกอย่าง ถ้าเขาหนีหน้ากูเพราะเรื่องอะไรก็ตาม กูก็จะตื๊ออยู่นั่นแหละ ถ้าตามตื๊อแล้วมันดูคุกคามไป กูก็คงเปลี่ยนมาใช้วิธีทำตัวให้น่าสงสารให้เขาเห็นใจอ่ะ ศักดิ์ศรีเหี้ยไรก็ทิ้งให้หมดแม่งไปเลยถ้ามันจะทำให้เขายอมอ่อนลงให้กูบ้าง”
อินทรชิตที่ฟังจบก็เริ่มคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย
และเวลานั้นเองก็เป็นเวลาเดียวกันที่ฝนดันตกลงมาพอดี
วันถัดมาอินทรชิตไม่สามารถไปโรงเรียนได้จึงขอลาป่วยเป็นเวลาสองวันเพื่อพักรักษาตัวจนกว่าจะหายดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่นอนนิ่งเป็นผักอยู่บนเตียงหลังจากที่ป้าเมียมเข้ามาดูอาการ
“โธ่ พี่อินทร์น่าสงสารจังเลยค่ะ” มาลีวัลย์ที่เยี่ยมหน้าเข้ามาดูพี่ชายก่อนไปโรงเรียนพูดขึ้น อินทรชิตมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตัวร้อนรุม ปากซีดเซียว หายใจเหนื่อยหอบแถมยังดูอ่อนแรงกว่าปกติ ชายหนุ่มไอออกมาเล็กน้อยและถามน้องสาว
“มะลิ ..คุณพฤกษ์ว่ายังไงบ้าง” เขาถามก็เพราะได้ยินอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ก่อนที่เขาจะตื่น ถึงคุณเขาจะบอกกับทุกคนว่าห้ามโทรศัพท์ไปรบกวนก็ตามที แต่พอเป็นมาลีวัลย์โทรหาคุณเขาก็ใจอ่อนยอมรับสายเสียทุกครั้งไป มันน่าอิจฉานัก อินทรชิตไม่มีทางสู้กับสิ่งที่เรียกว่าน้องสาวคนโปรดได้เลย!
“คุณพฤกษ์หรือคะ? ” มาลีวัลย์ร้องอ๋อขึ้นมา เมื่อครู่เธอเพิ่งโทรศัพท์คุยกับอีกฝ่ายมาจริง ๆ เธอแค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามประสาแต่กระนั้นก็ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านให้อีกฝ่ายได้รับรู้ด้วย
และแน่นอนว่านั่นก็หมายรวมถึงเรื่องที่อินทรชิตตากฝนกลับมาบ้านจนล้มป่วยด้วย
‘คุณพฤกษ์ขา พี่อินทร์ป่วยอีกแล้วล่ะค่ะ โชคร้ายจังเลย วันก่อนก็เพิ่งโดนหมากัดไปเอง’
(อืม แค่ป่วยธรรมดา เดี๋ยวก็คงหายเองนั่นแหละ)
“คุณพฤกษ์บอกว่าขอให้พี่อินทร์หายเร็ว ๆ ค่ะ” เธอตอบออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าหากตอบไปตามความจริงอาจจะดูเป็นการทำร้ายจิตใจอินทรชิตก็เป็นไปได้
“แค่นั้น ...เองหรือคะ” ทว่าผลลัพธ์มันดันสวนทางกันนี่สิ พี่อินทร์ของเธอแทนที่จะดีใจเหมือนอย่างทุกทีกลับทำหน้าซังกะตาย ดวงตาว่างเปล่า น้ำเสียงหรือก็ฟังดูทึมทือให้ความรู้สึกที่น่าหดหู่และสิ้นหวังอย่างไรชอบกล
‘เป็นอะไรไปอีกเนี่ยยย’
หลังจากที่มาลีวัลย์กลับออกไปแล้ว อินทรชิตก็มานอนน้ำตาซึมหยดลงหมอนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“คนใจร้าย” อินทรชิตพึมพำด้วยเพ้อพิษไข้ “คุณจะหนีผมไปจนถึงเมื่อไหร่”
ทว่านอนซมอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งค่อนวัน อินทรชิตก็หมดความอดทนกับเรื่องนี้เต็มทนเสียแล้ว ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงด้วยสภาพซวนเซจนเกือบจะล้มลงไปอีกรอบ พอตั้งสติได้ก็คว้าผ้าขนหนูวิ่งโร่เข้าห้องน้ำและจัดการตนเองจนพร้อมลงมาด้านล่างในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา
“คุณพฤกษ์อยู่ไหม? ” ฉัตรตะวันที่จู่ ๆ ไม่รู้โผล่มาจากไหนทำเอาอินทรชิตถึงกับเบรคหน้าทิ่มอยู่ตรงประตูใหญ่
“ไม่ได้ยินที่ถามหรือไง? ” ชายหนุ่มย้ำ ท่าทางดูตึงเครียดและไม่เสแสร้งแกล้งยิ้มเหมือนทุกทีที่เจอ
“ไม่รู้” อินทรชิตเองก็ตอบเสียงห้วนกลับไป
“อย่ามากวนประสาท” ชายหนุ่มว่าพลางขยับตัวไปขวางทางเดิน “อยู่บ้านเดียวกันจะไม่รู้ได้ยังไง”
“คุณพฤกษ์ไปเที่ยวต่างจังหวัด” เขาขยับไปอีกทางแต่ก็ถูกฉัตรตะวันขวางเอาไว้อีกเช่นเดิม “แค่นั้นแหละที่เขาบอก”
“อย่ามาโกหก! ทำไมเขาถึงไม่บอกฉันเลยล่ะ” ชายหนุ่มกระชากเสียง
“ทำไมจู่ ๆ ถึงติดต่อไม่ได้ โทรไปก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่ตอบ ทำอย่างกับจงใจหลบหน้า เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นายพอจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นอะไร เขาโกรธอะไรฉันจนต้องหนีหน้าเลยงั้นหรือ”
ถ้อยคำที่ฟังดูหลงตัวเองของฉัตรตะวันทำให้ชายหนุ่มคิ้วกระตุกเป็นพัก ๆ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ จนสุดก่อนจะถอนหายใจออกมา
อย่าง-เหลือ-อด
“น่ารำคาญฉิบหาย” อินทรชิตพูดออกมาอย่างหงุดหงิด สาบานได้ว่าต่อหน้าคุณพฤกษ์เขาไม่เคยหลุดพูดจาหยาบคายแบบนี้กับฉัตรตะวันเลยสักครั้ง เวลาที่ถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันว่าตนเองนั้นเหนือกว่าเขาก็มักจะแอบซ่อนความเกลียดชังและความริษยาทั้งหมดไว้ในใจไม่เคยปริปากออกมาเลย แต่ครั้งนี้เหมือนเขารู้ตัวว่าตนเองไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว อินทรชิตไม่รู้ว่าจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้อีกทำไม ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเพราะพิษไข้หรือเปล่าถึงทำให้เขาอาจหาญได้ถึงขนาดนี้
แต่นั่นมันก็ดีแล้ว..
ดีมากจริง ๆ
“ว่าอะไรนะ! ” ฉัตรตะวันพูดอย่างไม่เชื่อหู จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังทำหน้าสับสนมึนงง อินทรชิตก็พูดรัวชนิดที่ว่าฉัตรตะวันจับใจความแทบไม่ทัน!
“ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นด้วย ผมเห็นแล้วมันหงุดหงิดจริง ๆ คุณทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคุณพฤกษ์ทั้งที่เขาไม่ได้มองคุณเป็นมากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ! หรือแค่เพราะเขายอมนอนกับคุณล่ะ คุณถึงได้เหลิงจนคิดว่าเขามีใจให้! คุณมีสิทธิ์อะไรมาตามหึงหวงไม่ทราบ! เลิกทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้สักทีเถอะ เห็นแล้วมันขัดหูขัดตาจนอยากต่อยให้คว่ำสักที!! ”
พฤกษ์ไม่รู้ตัวว่าตนเองกลับมาถึงคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนไหน เขาไม่มีสติอีกเลยนับตั้งแต่ได้ยินคำนั้นจากปากอีกฝ่าย จะมีก็แต่อาการเหม่อลอยและตายซากก็เท่านั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเสียแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง เขาลูบหน้าตนเองโดยแรงก่อนจะย้อนทบทวนความทรงจำว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
ประโยคนั้นย้ำเตือนเขาก่อนที่ภาพวันวานใต้เพิงไม้เก่า ๆ ท่ามกลางสายฝนจะผุดขึ้นมาในหัว
พฤกษ์ถูกมันรูดรั้งครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จสมคามือแถมเขายังตัวอ่อนยวบยาบให้อีกฝ่ายกกกอดอยู่นานนับชั่วโมงโดยไม่แม้แต่จะขืนตัวปฏิเสธสักนิด
จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อถูกอารมณ์ใคร่ครอบงำไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะทานทนไหวหรอก พฤกษ์เองก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เขาไม่ได้ไร้หัวใจจนชืดชาหรือเป็นก้อนหินก้อนกรวด ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เขารู้สึกรู้สม เขาชื่นชอบการมีเซ็กส์และเสพติดความกระหายอยากต่อร่างกายของเพศชายด้วยกัน และเมื่อถูกปลุกเร้าพร้อมด้วยบรรยากาศเป็นใจเขาถึงได้คล้อยตามอีกฝ่ายได้ง่ายดายราวกับต้องมนต์
“จะทำยังไงดีล่ะทีนี้” พฤกษ์ยังคงคิดไม่ตก แต่ที่แน่ ๆ วันนี้คงต้องหลบลี้หนีหน้าอินทรชิตเพื่อตั้งหลักเสียก่อนเพราะเขายังไม่คำตอบสำหรับคำว่า ‘รัก’ ให้อีกฝ่ายเลย
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
เขาห้วนนึกถึงคำพูดนั้นอีกครั้ง คำพูดที่สลัดเท่าไหร่ก็ไม่พ้นจากใจเสียที
“มันรักฉัน? ตั้งแต่ตอนไหนเมื่อไหร่กัน? ” พฤกษ์ไม่เคยนึกสงสัยในตัวมันมาก่อน ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้เขาปฏิบัติและให้ความรักความเอ็นดูกับมันเหมือนดังเช่นน้อง ๆ คนอื่น พฤกษ์ไม่เคยลำเอียง ไม่นึกรังเกียจ มีแต่ความเมตตา ความปรารถนาดีและความเอาใจใส่ให้กับอินทรชิต และเขาเองก็นึกว่าการที่ชายหนุ่มคอยมาวนเวียนตามติดหรือสัมผัสเนื้อถูกตัวอยู่บ่อย ๆ นั้นเป็นการตอบแทนความเมตตาที่เขามีให้อีกฝ่าย พฤกษ์ไม่นึกเลยว่าการกระทำพวกนั้นมันแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่างมาโดยตลอด
“ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว” เขานวดขมับก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้าน
และเมื่อกลับออกมา ระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการบำรุงผิวหน้า พฤกษ์ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าซอกคอด้านหนึ่งของตนนั้นมีรอยจ้ำช้ำแดงจากการดูดเม้มปรากฏอยู่เต็มไปหมด
เพล้ง!
เขาทำเซรั่มราคาสองหมื่นปลายที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นทันทีที่เห็นร่องรอยพวกนั้นผ่านกระจก พฤกษ์ไม่ได้สนใจเซรั่มขวดนั้นด้วยซ้ำ เขาลุกขึ้นยืน ควานหาแว่นสายตามาสวมและแหวกชุดคลุมอาบน้ำออกเพื่อที่จะได้มองเห็นรอยสีแดงเหล่านั้นให้ครบทุกรอย
สาม สี่ ..ห้า พระเจ้า! เขานับได้ทั้งสิ้นหกรอย!!
“โอ๊ย” พฤกษ์อุทาน “ไอ้เขี้ยว ไอ้เด็กเลว! ”
“นั่นคุณพฤกษ์กำลังจะไปไหนคะ? ”
แม่พลอยถามขึ้นหลังจากที่เห็นเจ้านายหนุ่มกำลังหอบหิ้วกระเป๋าหนัก ๆ ใบหนึ่งลงมาจากบันไดแถมเจ้าตัวยังสวมเสื้อคอเต่าทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดที่จะใส่เพราะนิสัยขี้ร้อนนั่นอีกด้วย พฤกษ์สะดุ้งโหยง พอเห็นว่าเป็นหญิงชราที่คุ้นเคยก็ทิ้งกระเป๋าแล้ววิ่งโร่เข้าไปกอดทันที
“แม่พลอย! แม่พลอย! ” เขาร้องเรียกแม่พลอยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกราวกับลูกสาวที่ถูกชายหนุ่มย่ำยีศักดิ์ศรีมาไม่มีผิด
“ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ” แม่พลอยลูบหัวเขาและปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน พฤกษ์เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอก เขาพูดว่า
“ผมจะทำอย่างไรดีครับ”
“เกิดอะไรขึ้น? ” เธอถาม
ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากทว่าก็ทำสีหน้าเหยเก เขารู้สึกอิหลักอิเหลื่อใจเกินกว่าที่จะเล่าเรื่องอินทรชิตออกไปตรง ๆ ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้
“เปล่าครับ เปล่า ไม่มีอะไร” พฤกษ์ยิ้มก่อนจะจับมือที่เหี่ยวย่นของหญิงชราขึ้นมากุมไว้
“แล้วนี่กำลังจะไปไหนคะ” แม่พลอยชะโงกหน้าดูกระเป๋าหนัก ๆ ที่เขาทิ้งเอาไว้ด้านหลัง “ไปไกลหรือเปล่า”
“ผมจะไม่อยู่บ้านสักพัก” พฤกษ์ตอบ “อาจจะสักอาทิตย์”
“ถ้าเกิดว่าถูกถามขึ้นมาจะให้ยายเรียนพวกคุณ ๆ ว่าอะไรคะ”
“บอกทุกคนไปว่าผมไปเที่ยว” เขายังพูดอีกว่า “ห้ามโทรหา ห้ามรบกวนเด็ดขาดถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย”
“ไปกับคุณฉัตรหรือคะ”
“เปล่าครับ” มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่าอรดีรู้ว่าเขายังติดต่อกับลูกชายของเธออยู่ในเมื่อตกปากรับคำเสียดิบดีว่าจะออกห่าง พฤกษ์ไม่อยากเป็นคนที่แย่และสับปลับ อีกทั้งไม่อยากให้อรดีวิ่งโร่ไปฟ้องพ่อเรื่องที่เขาเป็นเกย์ก่อนที่เขาจะลงมือทำมันด้วยตนเอง
“คุณพฤกษ์ของยายหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ” หญิงชราเอ่ยพลางยื่นมือขึ้นไปลูบแก้ม ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันเกือบยี่สิบเซนติเมตรจึงทำให้พฤกษ์ต้องโน้มตัวลงเพื่อให้แม่พลอยจับได้ถนัด
“ผมสบายดี” เขาว่าพลางเกลือกแก้มไปมาบนมืออีกฝ่าย “แม่พลอยล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปเรื่อยตามประสาคนแก่นั่นแหละค่ะ”
“ความดันเพิ่มหรือเปล่า”
“เพิ่มนิดหน่อยค่ะ”
“แม่พลอย” พฤกษ์ถอนหายใจ “ระวังหน่อยสิครับ ผมบอกแล้วว่าอย่าทำงานหนัก อย่าเดินเหินให้มันมากและก็อย่าตากแดดเยอะ”
“ค่า ๆ ยายรู้แล้ว”
“รู้” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่ไม่ยอมทำ”
หญิงชราระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ทานยาครบหรือเปล่า”
“ครบค่ะ”
“แคลเซียมล่ะ”
“โธ่.. คุณพฤกษ์ขา” แม่พลอยเสียงอ่อน “ถึงกินไปมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะคะ ยายแก่แล้ว กระดงกระดูกเสื่อมไปตามสภาพ อีกหน่อยก็คงตาย–”
“แม่พลอย” พฤกษ์เสียงแข็งขึ้นมาทันที “อย่าพูดแบบนี้ให้ผมได้ยินอีก”
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกนะคะ” เธอลูบแก้มขาวข้างหนึ่งของชายหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มรื่นว่า
“สักวันยายก็ต้องตาย ช้าเร็วก็อยู่ที่เวลาและการเตรียมใจ”
“ทำไมพูดแบบนี้” พฤกษ์พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น “แม่พลอยไม่อยากอยู่กับผมไปนาน ๆ หรือครับ”
“ยายอยู่กับคุณพฤกษ์มาตั้งแต่เกิดและจะยังอยู่ต่อไปถึงแม้ว่ายายจะตาย”
“ไม่จริง” พฤกษ์น้ำตารื้น เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้มันไกลออกมา
“ตายไปแล้วก็ตายไปเลย แม่พลอยจะอยู่กับผมได้อย่างไร”
“โธ่ คุณพฤกษ์คนดีของยาย”
แม่พลอยคงรู้ว่าเขาอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากจึงลูบหลังของเขาเบา ๆ เหมือนกับเด็กน้อย
“รู้ไหมคะ คนเราตายแล้วไม่ได้ไปไหนไกลหรอกนะคะ เขายังคงอยู่กับเรา ทว่าไม่ใช่ในรูปแบบเดิม เขาจะไปอยู่ในรูปแบบของความทรงจำ อยู่ในความผูกพัน ความคิดถึงและความอาลัยของคนที่เขารักแทน”
น้ำตาเม็ดโตจากดวงตาคู่งามร่วงหล่นลงมาอาบแก้ม พฤกษ์นิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก เขาอ่อนไหวกับเรื่องความตายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
...โดยเฉพาะความตายของคนที่รัก
“แม่ ..ก็ยังอยู่กับผมใช่ไหม”
พฤกษ์ถาม น้ำเสียงของชายหนุ่มแสนโศกเศร้าและโหยหาผู้เป็นแม่สุดหัวใจ
“คุณแก้วตาอยู่ข้าง ๆ คุณพฤกษ์เสมอ” แม่พลอยผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนบอกเขา
“อยู่ในนี้” ฝ่ามือเหี่ยวย่นทาบลงมาที่กลางหน้าอก “อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่เคยห่างไกล ไม่เคยทอดทิ้งไปไหน”
อินทรชิตกำลังคลั่งตาย เขาติดต่อคุณพฤกษ์ไม่ได้มาสองวันแล้ว แม่พลอยบอกเขาว่าคุณพฤกษ์ไปเที่ยวต่างจังหวัดหนึ่งอาทิตย์แต่กระนั้นก็ไม่แม้แต่จะปริปากบอกว่าไปเที่ยวที่ไหน ชายหนุ่มจึงแอบใช้เส้นสายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพนาเพื่อให้คนติดต่อเข้าไปที่โรงแรมหรือรีสอร์ทในเครือวัฒนารายณ์ที่ชายหนุ่มคิดว่าคุณพฤกษ์จะเข้าไปพักสักแห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทว่าก็ไม่มีสักแห่งที่คุณพฤกษ์ไปใช้บริการ.. อินทรชิตจึงค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนไกลอย่างที่กล่าวอ้างไว้กับแม่พลอยหรอก และความรู้สึกของเขามันก็บอกอีกว่าคุณพฤกษ์กำลังหลบหน้าเขาโดยการย้ายไปอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมที่เพิ่งซื้อเมื่อต้นปีที่แล้วนั่นเอง
ชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตก เขาไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรหลังจากวันนั้น แต่สำหรับเขาแล้ว วันนั้นใต้เพิงไม้เก่า ๆ มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าความฝัน เขาไม่เชื่อตนเองสักนิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้กอดคนที่ปรารถนาในใจมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้จูบและได้ช่วยอีกฝ่ายสำเร็จความใคร่กับมือคู่นี้ อินทรชิตยังจำได้ดีถึงทุกสัมผัสของคุณพฤกษ์
เขาจำได้ดีว่าตนนั้นได้โอบกอดร่างกายที่หอมละมุนนั้นอย่างไร จำได้ว่าฝ่ามืออันหยาบกร้านนี้ได้มีโอกาสลูบไล้ผิวกายนุ่มนิ่มนั้นแบบไหน จำซอกคอขาวผุดผ่องที่เขาทำรอยรักสลักเอาไว้ จำลมหายใจรุ่มร้อนที่หอบรุนแรง จำสีหน้าแดงระเรื่อที่เย้ายวนยามเมื่อเขาทำให้เสร็จสม จำปลายลิ้นและริมฝีปากอ่อนนุ่มที่บดเบียดคลอเคลียไม่ห่างไกล
อินทรชิตจำได้ทั้งหมดและไม่วันลืมรสชาติสุขสมที่ได้ลิ้มรสเป็นอันขาด
‘สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ’
แต่กระนั้นความในใจที่เขาอาจหาญบอกออกไปกลับเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองเสียได้
เดิมทีอินทรชิตไม่เคยคิดที่จะบอกความรู้สึกออกไป ไม่ว่ากาลก่อนหรือตอนนี้เขาก็ไม่เคยคิด เขาปณิธานไว้ว่าขอแค่ได้เฝ้ามองและอยู่ในที่ ๆ มองเห็นอีกฝ่ายถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจใยดีไม่เป็นไร ขอแค่เขาเท่านั้นที่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาก็เพียงพอแล้ว
...ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ตลอดสามปีที่ผ่านมามันทำให้อินทรชิตหลงระเริง
หลงระเริงไปกับความใจดี หลงใหลไปกับความรัก ความเมตตาและความเอาใจใส่จากคุณพฤกษ์ที่ตัวเขาไม่เคยได้รับ ทั้งที่อินทรชิตก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่คุณเขามอบให้มันไม่ได้พิเศษไปกว่าความรักที่มีให้กับพงพีหรือมาลีวัลย์
ทว่าเขาเองที่โลภมาก เป็นเขาเองที่ต้องการมากกว่านั้น เขาอยากเป็นคนพิเศษเหมือนฉัตรตะวัน เป็นคนสำคัญยิ่งกว่าอัครา เขาอยากมีตัวตนอยู่ในพื้นที่หัวใจดวงนั้น อยากเป็นคนที่คุณพฤกษ์ต้องการและโหยหาเพียงผู้เดียว
และแล้วโอกาสที่เขาเฝ้าฝันก็มาถึง คุณพฤกษ์อยู่ในอ้อมกอดและเขาก็ได้สัมผัสทุกส่วนที่อยากสัมผัสอย่างใจปรารถนา กระทั่งคุณเขาปลดเปลื้อง ร่างกายนั้นอ่อนยวบเข้าหาอ้อมแขน คุณพฤกษ์ไม่มีทีท่าปฏิเสธหรือรังเกียจ อินทรชิตจึงเกิดย่ามใจ และชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงบอกความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้โดยไม่ลังเล
แต่แล้วเขาก็คิดผิดมหันต์ ...คุณพฤกษ์หลีกหนีและจงใจหลบหน้าเขา
เขามัวแต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้คุณพฤกษ์รับรู้ความในใจ แต่เขาไม่เคยคิดว่าหากบอกไปแล้วจะเป็นการผลักภาระทั้งหมดไปให้อีกฝ่ายหรือไม่ เขาไม่คิดเลย คุณพฤกษ์คงจะอึดอัดและรู้สึกแย่ หากร้ายแรงกว่านั้นก็อาจจะเกลียดน้ำหน้าเขาและเรื่องราวทั้งหมดก็จะกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ถ้าหากรู้สักนิดว่าจะถูกรังเกียจถึงเพียงนี้ สู้ยอมเก็บความรักเอาไว้กับตัวไปชั่วชีวิตยังดีเสียกว่าบอกออกไป
“ไม่น่าบอกรักไปเลย..”
“โฮ่ง! ”
“โฮ่ง! แง่งง!! ”
“......” อินทรชิตทำตัวไม่ถูก ขณะที่เขากลับมาจากโรงเรียนก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์และไซบีเรียนฮัสกี้อายุราว ๆ สี่ห้าเดือนกำลังฟัดเหวี่ยงใส่กันอยู่ที่สนามด้านหน้า
“หมามาจากไหนครับพี่ต่าย” เขาถามพี่ต่ายที่ยืนปัดฝุ่นหน้ารถอยู่ใกล้ ๆ
“อ๋อ” เธอร้อง “คุณพนาเอามาค่ะ”
“คุณลุงกลับมาแล้วหรือ”
“กลับมาแล้วและก็ออกไปแล้วค่ะ เพิ่งจะเดินทางก่อนคุณอินทร์กลับมาสักครึ่งชั่วโมงนี้เอง”
“อืม” เขาครางในคอก่อนจะยืนมองสุนัขสองตัวที่ว่านั่นต่ออีกสักหน่อย ดูผิวเผินก็เหมือนสุนัขกำลังเล่นกันอยู่ แต่ทั้ง ๆ ที่ควรเหมือนสุนัขทั่วไปแต่ตามขากลับมีผ้าพันแผลพันอยู่ตัวละข้างเหมือนเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา
“เอ๋งงงง!!! ” ทว่าจู่ ๆ เจ้าฮัสกี้ตัวสีดำก็พุ่งเข้าใส่โกลเด้นจนหงายหลัง มิหนำซ้ำมันยังกระโดดขึ้นคร่อมแล้วใช้ปากกัดเข้าที่คออย่างรุนแรง เจ้าโกลเด้นร้องโหยหวนจนอินทรชิตรู้สึกว่ามันออกจะประหลาดเกินไปสำหรับการหยอกเล่นกันระหว่างลูกสุนัข
“เอ๊งงง!! เอ๋งง!! แง่งงง!! ”
ชายหนุ่มทิ้งกระเป๋านักเรียนลงกับพื้นทันทีที่เห็นฮัสกี้ขย้ำโกลเด้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ปล่อยแต่กลับกัดเอาไว้แน่นแล้วใช้ฟันกระชากผิวเนื้อจนเห็นเป็นเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปตามขนสีน้ำตาลทอง
“เฮ้ย! ” อินทรชิตเข้าไปใกล้และพยายามแยกสุนัขสองตัวออกจากกัน เขาสอดแขนกอดลำตัวฮัสกี้ที่กำลังขย้ำโกลเด้นไว้แน่นและหันมาตะโกน
“พี่ต่ายครับ! เอาน้ำมาสาดทีครับ!! ”
“คะ ค่ะ!! ” พี่ต่ายรับคำพลางวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาสายยาง จังหวะนั้นเองที่เจ้าโกลเด้นสลัดตัวออกจากคมเขี้ยวของเจ้าฮัสกี้ได้สำเร็จ อินทรชิตเห็นแบบนั้นก็เกือบจะโล่งใจแล้วถ้าเจ้าหมาสารเลวนั่นไม่ได้เอี้ยวตัวพุ่งมาหาเขาแทน!!
“แง่ง!! ”
“โอ๊ย!! ”
“ว๊ายย!! คุณอินทร์! ” อินทรชิตได้ยินเสียงของพี่ต่ายและคนอื่น ๆ ที่กรูกันเข้ามา ลุงแสงและพี่ต่ายตรงไปจับสุนัขทั้งสองในขณะที่ป้าเมียมเดินมาดูอาการเขาที่นั่งมึนอยู่
“ตายแล้ว! ” ป้าเมียมอุทานหลังจากที่เห็นท่อนแขนแข็งแรงมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล
อินทรชิตมองลงมาที่แขนตนเอง ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง
“แหะ ๆ ผมโดนกัดแล้วล่ะครับ”
พฤกษ์ค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาจากการงีบหลับเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังลั่นห้อง ชายหนุ่มมองออกไปนอกกระจกใส ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างตาเมื่อตอนบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เขาควานหาแว่นสายตาขึ้นสวมและมองรายชื่อผู้ติดต่อที่โทรศัพท์เข้ามา
‘Little MALI’
เขามองรายชื่อนั้นอยู่นานกระทั่งอีกฝ่ายวางสายไปและโทรกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลาไม่กี่วินาที เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง กระทั่งครั้งที่สี่พฤกษ์จึงตัดสินใจรับสาย
“ว่าไง? ”
(โธ่ ..ทำไมรับช้านักล่ะคะ)
“ฉันเพิ่งตื่น” ชายหนุ่มแสร้งหาว “บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าห้ามโทรมากวน”
(คุณพฤกษ์บอกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายห้ามโทรหานี่คะ มะลิโทรมาก็เพราะมีเรื่องคอขาดบาดตายนี่ไงเล่า)
พฤกษ์นิ่งไป เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล ..หรือคนที่บ้านจะมีใครเป็นอะไรไป!?
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเน้นเสียงหนักแน่น ในใจพะว้าพะวังถึงแม่พลอยเป็นอันดับแรกก่อนจะตามมาด้วยพนาผู้เป็นพ่อ
‘ขออย่าให้มีเรื่องไม่ดีเลย’ พฤกษ์ภาวนาอยู่ในใจ
(พี่อินทร์อยู่โรงพยาบาลค่ะ)
เขาถอนหายใจยาวเหยียดด้วยเพราะชื่อที่มาลีวัลย์เอ่ยไม่ใช่ชื่อของคนที่ตนเป็นกังวลอยู่ แต่กระนั้นชื่อของอินทรชิตก็ทำให้เขารู้สึกโหวงเหวงและเจ็บแปลบอยู่ในอกไม่น้อย
‘มันเป็นอะไร? ’
“เขี้ยวเป็นอะไร” เขาใจเต้นกระสับกระส่ายแปลก ๆ พิกล
(ถูกหมากัดค่ะ) หญิงสาวบอก (แผลลึกอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉีดยาแล้วตอนนี้กำลังรอรับยา)
“อ๋อ..” ถึงจะวางใจลงไปบ้างหลังจากที่มาลีวัลย์บอกว่าอีกฝ่าย ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ ทว่าลึก ๆ ในใจของพฤกษ์กลับกังวลถึงอินทรชิตไม่หยุดหย่อน
‘มันเป็นอย่างไร จะเจ็บมากไหม จะติดพิษสุนัขบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่นอนโรงพยาบาลสักคืนล่ะ โธ่เอ๋ย ไอ้เด็กโง่นั่น ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ’
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบออกไปอย่างเยือกเย็น มาลีวัลย์สวนกลับมาทันที
(คุณพฤกษ์ขา คุณพฤกษ์จะคุยกับพี่อินทร์ไหมคะ?) หญิงสาวเหมือนจะหันไปพูดกับใครอีกคน
(พี่อินทร์ พี่อินทร์มานั่งนี่ คุยกับคุณพฤกษ์ไหมคะ?)
(มะลิคุยกับคุณพฤกษ์อยู่หรือคะ..)
พฤกษ์ที่ได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายก็ตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือไป ให้ตายเถอะน่า.. นี่เขาท่าทางจะเป็นเอามากเสียแล้ว ตั้งสติหน่อยซี่ ทำไมถึงได้ตื่นกลัวขนาดนี้ ความสงบนิ่งและเยือกเย็นหายไปไหนหมด!
“คะ แค่นี้นะ ฝากบอกมันด้วยว่าหายไว ๆ ล่ะ”
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็เลือกวิธีการขี้ขลาดโดยการตัดสินใจกดวางสายและปิดเครื่องทันที พฤกษ์ไม่ได้หนีการเผชิญหน้ากับอินทรชิต เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสิ่งที่คิดไม่ตกมาหลายวันในหัวอย่างไรดีต่างหาก
พฤกษ์ยกมือขึ้นทาบลงบนอก ปลายนิ้วเรียวสวยลูบวนตรงแผลเป็นเล็ก ๆ ที่เป็นตำหนิเดียวบนร่างกายของตนอย่างคนคิดหนัก
“แกกำลังปั่นหัวฉัน” เขายอมรับกับตนเองอย่างซื่อตรง ตลอดสองสามวันมานี้ไม่ว่าจะสลัดใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไรก็ไม่อาจสลัดพ้นจากหัวสมองได้เลย
โดยที่ไม่อาจล่วงรู้ พื้นที่ในใจของเขาก็ได้ถูกอินทรชิตทุบทำลายลงพร้อมกับความรักจากอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ แทรกแซงเข้ามาทีละน้อย …ทีละน้อย
“แขนเป็นอะไรวะมึง” อัคราถามเขาในเช้าวันต่อมา
“หมากัด” อินทรชิตตอบพลางชูแขนที่มีแผล
“หมาที่ไหน”
“หมาลุงกูเอามาเลี้ยง”
“โอ๊ยย” อัคราเสียวแผลแทนเพื่อน “ไอ้หมาเหี้ย”
เขายักไหล่ เห็นด้วยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
“ดีที่ไม่ต้องเย็บ”
“มึงนี่ก็อึดนะ เป็นกูคงขอแม่หยุดสักวันสองวัน”
“สำออยไอ้ห่า หมามันเพิ่งห้าเดือนเอง คงคันฟันล่ะมั้ง”
อัคราหัวเราะเยาะ “ทำแขนมึงเกือบแหกอ่ะนะคันฟัน”
“แต่แม่งดุเกินหมาอยู่เหมือนกัน” อินทรชิตเล่า “ไม่รู้มันเป็นอะไร อาละวาดจนต้องจับล่ามโซ่”
“พิษสุนัขบ้าหรือเปล่า”
“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า “เห็นว่าเจ้าของเก่ารวยใช้ได้เลยล่ะ กูว่าเขาคงไม่ปล่อยให้หมาขาดวัคซีนหรอกมั้ง”
“รวยแล้วทำไมทิ้งหมาให้ลุงมึงอะ”
“ลุงกูอาจจะไปขอหมาเขามาก็ได้ไหมอะ”
“เออว่ะ” อัคราพยักหน้า “คงไม่คุ้นที่มั้ง”
บทสนทนาช่วงเช้าจบลงแค่นั้นเมื่อออดเข้าเรียนดังขึ้น ทว่าตลอดทั้งวันอินทรชิตกลับไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเหมือนอย่างทุกที ไม่แม้แต่จะกระตือรือร้นตอบคำถามหรือจดอะไรลงบนไอแพดด้วยซ้ำ เขานั่งเหม่อและคิดถึงแต่เรื่องของคุณพฤกษ์จนอัคราจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติได้
“ทะเลาะกับแฟนมาหรือไง”
ชายหนุ่มถามหลังจากวิชาสุดท้ายของวันสิ้นสุดลง
“หน้ากูบอกมึงแบบนั้น? ”
อัคราพยักหน้า “เหมือนโดนเมียโกรธ”
อินทรชิตถึงกับสะอึก “เมียเหี้ยอะไร ลามปาม”
คุณพฤกษ์ยังไม่ใช่เมียเขาเสียหน่อย ถึงแม้จะสัมผัสกันจนถึงขั้นนั้นแล้วก็ตามที ทว่าความเป็นจริงเราแทบจะไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษเกินกว่าสถานะพี่น้องหรือเด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านคนหนึ่ง
นั่นเป็นสิ่งที่อินทรชิตยังก้าวข้ามไปไม่ได้สักที
“อัคร” เขาเรียกเพื่อนขณะที่เดินลงบันได “เวลาแฟนมึงหนีหน้าไม่อยากเจอ มึงทำยังไงให้เขาใจอ่อนยอมมาเจอวะ”
“หืมมมมม” อัคราหรี่ตามอง “อะไรยังไงเอ่ย”
“มึงตอบมาเถอะน่า! ”
ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี กะเอาไว้แล้วเชียวไอ้นี่ เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ก็ซุกเมียเอาไว้เหมือนกันนี่หว่า
“อย่างกูไม่เคยง้อหญิงหรอกเว้ย” อัคราเชิดหน้า “ถ้างอนกูก็ปล่อยไว้นั่นแหละ เรื่องอะไรต้องง้อด้วย”
“ถุย” อินทรชิตทำท่าทาง “แบดบอยหรือไงสัตว์”
“ไม่” อัคราเบ้หน้า “กูไม่ได้แคร์ถึงขนาดที่ต้องตามไปง้อใครอะคิดออกไหม กูก็คบไปอย่างนั้นแหละ คบเล่น ๆ คบเพราะอยากมีเซ็กส์ คบเพื่อรอให้ใครคนหนึ่งเบื่อแล้วขอเลิกไปเอง เหตุผลมันก็แค่นั้น แค่กูยังไม่เคยเจอคนที่กูอยากแคร์”
ชายหนุ่มนิ่งคิด อันที่จริงแล้วที่อัคราว่ามาทั้งหมดนี้มันก็ตรงกันกับบุคลิกของอัคราที่เขารู้จักในกาลก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าก็มีเพียงคน ๆ เดียวเท่านั้นที่ต่อให้เลิกรากันไปกี่ครั้งเจ้าตัวก็ยอมคลานเป็นสุนัขเพื่อกลับไปง้อขอความรักจากอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ใช่ เขากำลังหมายถึงคุณพฤกษ์
“แล้ว ..ถ้าวันหนึ่งมึงเกิดเจอคน ๆ นั้นขึ้นมามึงจะทำยังไงล่ะ อ่ะ ตอบคำถามอันก่อนของกูด้วยเลยแล้วกัน”
อัครายักคิ้วก่อนจะเสยเส้นผมสีแดงฉานของตนเองไปด้านหลัง ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและมั่นคงว่า
“ถ้ากูเจอคนที่กูแคร์ กูก็คงยอมทุกอย่าง ถ้าเขาหนีหน้ากูเพราะเรื่องอะไรก็ตาม กูก็จะตื๊ออยู่นั่นแหละ ถ้าตามตื๊อแล้วมันดูคุกคามไป กูก็คงเปลี่ยนมาใช้วิธีทำตัวให้น่าสงสารให้เขาเห็นใจอ่ะ ศักดิ์ศรีเหี้ยไรก็ทิ้งให้หมดแม่งไปเลยถ้ามันจะทำให้เขายอมอ่อนลงให้กูบ้าง”
อินทรชิตที่ฟังจบก็เริ่มคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย
และเวลานั้นเองก็เป็นเวลาเดียวกันที่ฝนดันตกลงมาพอดี
วันถัดมาอินทรชิตไม่สามารถไปโรงเรียนได้จึงขอลาป่วยเป็นเวลาสองวันเพื่อพักรักษาตัวจนกว่าจะหายดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่นอนนิ่งเป็นผักอยู่บนเตียงหลังจากที่ป้าเมียมเข้ามาดูอาการ
“โธ่ พี่อินทร์น่าสงสารจังเลยค่ะ” มาลีวัลย์ที่เยี่ยมหน้าเข้ามาดูพี่ชายก่อนไปโรงเรียนพูดขึ้น อินทรชิตมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตัวร้อนรุม ปากซีดเซียว หายใจเหนื่อยหอบแถมยังดูอ่อนแรงกว่าปกติ ชายหนุ่มไอออกมาเล็กน้อยและถามน้องสาว
“มะลิ ..คุณพฤกษ์ว่ายังไงบ้าง” เขาถามก็เพราะได้ยินอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ก่อนที่เขาจะตื่น ถึงคุณเขาจะบอกกับทุกคนว่าห้ามโทรศัพท์ไปรบกวนก็ตามที แต่พอเป็นมาลีวัลย์โทรหาคุณเขาก็ใจอ่อนยอมรับสายเสียทุกครั้งไป มันน่าอิจฉานัก อินทรชิตไม่มีทางสู้กับสิ่งที่เรียกว่าน้องสาวคนโปรดได้เลย!
“คุณพฤกษ์หรือคะ? ” มาลีวัลย์ร้องอ๋อขึ้นมา เมื่อครู่เธอเพิ่งโทรศัพท์คุยกับอีกฝ่ายมาจริง ๆ เธอแค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปตามประสาแต่กระนั้นก็ไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านให้อีกฝ่ายได้รับรู้ด้วย
และแน่นอนว่านั่นก็หมายรวมถึงเรื่องที่อินทรชิตตากฝนกลับมาบ้านจนล้มป่วยด้วย
‘คุณพฤกษ์ขา พี่อินทร์ป่วยอีกแล้วล่ะค่ะ โชคร้ายจังเลย วันก่อนก็เพิ่งโดนหมากัดไปเอง’
(อืม แค่ป่วยธรรมดา เดี๋ยวก็คงหายเองนั่นแหละ)
“คุณพฤกษ์บอกว่าขอให้พี่อินทร์หายเร็ว ๆ ค่ะ” เธอตอบออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าหากตอบไปตามความจริงอาจจะดูเป็นการทำร้ายจิตใจอินทรชิตก็เป็นไปได้
“แค่นั้น ...เองหรือคะ” ทว่าผลลัพธ์มันดันสวนทางกันนี่สิ พี่อินทร์ของเธอแทนที่จะดีใจเหมือนอย่างทุกทีกลับทำหน้าซังกะตาย ดวงตาว่างเปล่า น้ำเสียงหรือก็ฟังดูทึมทือให้ความรู้สึกที่น่าหดหู่และสิ้นหวังอย่างไรชอบกล
‘เป็นอะไรไปอีกเนี่ยยย’
หลังจากที่มาลีวัลย์กลับออกไปแล้ว อินทรชิตก็มานอนน้ำตาซึมหยดลงหมอนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“คนใจร้าย” อินทรชิตพึมพำด้วยเพ้อพิษไข้ “คุณจะหนีผมไปจนถึงเมื่อไหร่”
ทว่านอนซมอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งค่อนวัน อินทรชิตก็หมดความอดทนกับเรื่องนี้เต็มทนเสียแล้ว ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงด้วยสภาพซวนเซจนเกือบจะล้มลงไปอีกรอบ พอตั้งสติได้ก็คว้าผ้าขนหนูวิ่งโร่เข้าห้องน้ำและจัดการตนเองจนพร้อมลงมาด้านล่างในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา
“คุณพฤกษ์อยู่ไหม? ” ฉัตรตะวันที่จู่ ๆ ไม่รู้โผล่มาจากไหนทำเอาอินทรชิตถึงกับเบรคหน้าทิ่มอยู่ตรงประตูใหญ่
“ไม่ได้ยินที่ถามหรือไง? ” ชายหนุ่มย้ำ ท่าทางดูตึงเครียดและไม่เสแสร้งแกล้งยิ้มเหมือนทุกทีที่เจอ
“ไม่รู้” อินทรชิตเองก็ตอบเสียงห้วนกลับไป
“อย่ามากวนประสาท” ชายหนุ่มว่าพลางขยับตัวไปขวางทางเดิน “อยู่บ้านเดียวกันจะไม่รู้ได้ยังไง”
“คุณพฤกษ์ไปเที่ยวต่างจังหวัด” เขาขยับไปอีกทางแต่ก็ถูกฉัตรตะวันขวางเอาไว้อีกเช่นเดิม “แค่นั้นแหละที่เขาบอก”
“อย่ามาโกหก! ทำไมเขาถึงไม่บอกฉันเลยล่ะ” ชายหนุ่มกระชากเสียง
“ทำไมจู่ ๆ ถึงติดต่อไม่ได้ โทรไปก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่ตอบ ทำอย่างกับจงใจหลบหน้า เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นายพอจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นอะไร เขาโกรธอะไรฉันจนต้องหนีหน้าเลยงั้นหรือ”
ถ้อยคำที่ฟังดูหลงตัวเองของฉัตรตะวันทำให้ชายหนุ่มคิ้วกระตุกเป็นพัก ๆ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ จนสุดก่อนจะถอนหายใจออกมา
อย่าง-เหลือ-อด
“น่ารำคาญฉิบหาย” อินทรชิตพูดออกมาอย่างหงุดหงิด สาบานได้ว่าต่อหน้าคุณพฤกษ์เขาไม่เคยหลุดพูดจาหยาบคายแบบนี้กับฉัตรตะวันเลยสักครั้ง เวลาที่ถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันว่าตนเองนั้นเหนือกว่าเขาก็มักจะแอบซ่อนความเกลียดชังและความริษยาทั้งหมดไว้ในใจไม่เคยปริปากออกมาเลย แต่ครั้งนี้เหมือนเขารู้ตัวว่าตนเองไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว อินทรชิตไม่รู้ว่าจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้อีกทำไม ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าเพราะพิษไข้หรือเปล่าถึงทำให้เขาอาจหาญได้ถึงขนาดนี้
แต่นั่นมันก็ดีแล้ว..
ดีมากจริง ๆ
“ว่าอะไรนะ! ” ฉัตรตะวันพูดอย่างไม่เชื่อหู จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังทำหน้าสับสนมึนงง อินทรชิตก็พูดรัวชนิดที่ว่าฉัตรตะวันจับใจความแทบไม่ทัน!
“ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นด้วย ผมเห็นแล้วมันหงุดหงิดจริง ๆ คุณทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคุณพฤกษ์ทั้งที่เขาไม่ได้มองคุณเป็นมากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ! หรือแค่เพราะเขายอมนอนกับคุณล่ะ คุณถึงได้เหลิงจนคิดว่าเขามีใจให้! คุณมีสิทธิ์อะไรมาตามหึงหวงไม่ทราบ! เลิกทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้สักทีเถอะ เห็นแล้วมันขัดหูขัดตาจนอยากต่อยให้คว่ำสักที!! ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ