คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) 00 33
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 33
พฤกษ์เครียดจัดจนนั่งอยู่ไม่ติดที่ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีต่อจากนี้แล้ว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักชั่วโมง ป้าเมียมโทรศัพท์มาหาเขาเพราะเรื่องเร่งด่วน ในตอนแรกเขาลังเลที่จะไม่รับสาย แต่จนแล้วจนรอดก็กังวลว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจึงยอมรับโทรศัพท์จากป้าเมียมแต่โดยดี ทว่าสิ่งที่ป้าเมียมร้อนรนจนต้องต่อสายมาหานั้นเล่นเอาเขาเกือบทำโทรศัพท์ร่วงจากมือไปเลย
‘คุณพฤกษ์ขา! เกิดเรื่องแล้วค่ะ! จู่ ๆ คุณอินทร์กับคุณฉัตรก็มีเรื่องกัน ป้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ๆ ทั้งสอง แต่พอพวกเรามาถึงก็เห็นคุณอินทร์เธอหน้าคว่ำลงไปกองที่พื้นแล้วค่ะ!! ’
นั่นเป็นสิ่งที่ป้าเมียมบอก เชื่อไหมว่าพฤกษ์ลมแทบจับทันทีที่รู้เรื่อง
‘มันเป็นไปได้ยังไง!? สองคนนั้นเนี่ยนะจะต่อยกัน? ’
พฤกษ์ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เลย ตลอดหลายปีที่อยู่กันมา น้อยครั้งนักที่จะเห็นอินทรชิตกับฉัตรตะวันพูดคุยกัน ไม่สิ ผู้ชายสองคนนี้ไม่เคยคุยกันให้เขาเห็นสักครั้ง แม้แต่หน้าก็ไม่ยักเห็นจะมองกันเลยด้วยซ้ำ ทั้งคู่ต่างปฏิบัติตนเสมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุหรือฝุ่นผงที่ล่องลอยไปมาก็เท่านั้นและถึงจะเป็นแบบนั้นแต่พฤกษ์ก็ไม่เห็นว่าอินทรชิตกับฉัตรตะวันจะมีเรื่องหมางใจกันจนถึงกับต้องลงไม้ลงมือเช่นนี้เลย
ฉัตรตะวันที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะไปยุ่งกับคนอื่นก่อน ยิ่งเป็นอินทรชิตแล้วอีกฝ่ายแทบจะไม่เห็นหัวเสียด้วยซ้ำ ส่วนอินทรชิตเองก็ไม่ต่างกัน ถ้าฉัตรตะวันไม่เข้ามายุ่งก็แทบจะไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้หรือพูดถึงให้ได้ยินสักครั้ง
พฤกษ์คิดไม่ตก และคิดอีกครั้งว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้สองคนนั้นจะมามีเรื่องกันเลย..
“เดี๋ยว” ชั่วขณะหนึ่ง พฤกษ์กลับมีลางสังหรณ์แปลกประหลาด ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าแรง ๆ จนแดงเรื่อพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างตึงเครียด
“ต้นเหตุคงไม่ใช่เป็นเพราะฉันหรอกใช่ไหม? ”
“ถุ๊ย! ” อินทรชิตถ่มน้ำลายที่ปนเลือดออกจากปาก ร่างสูงดับเครื่องยนต์ก่อนจะลงจากจักรยานยนต์มายืนบนพื้นถนน ดวงตาคมกริบแหงนมองคอนโดมิเนียมสุดหรูใจกลางเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ
เขาชะโงกหน้ามองดูตนเองในกระจก พอเห็นริมฝีปากของตนปริแตกและช้ำเลือดก็นึกเจ็บใจที่ตนไม่สามารถโต้กลับฉัตรตะวันให้สมน้ำสมเนื้อได้เลย
มันน่าอับอายอยู่สักหน่อย หลังจากที่เขาระบายสิ่งที่อัดอั้นมานานจบภาพก็ตัดทันที อินทรชิตล้มลงไปนั่งบนพื้นอย่างหมดสภาพ แก้มและปากของเขาชาจนไร้ความรู้สึก มารู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เห็นฉัตรตะวันกำลังง้างกำปั้นเพื่อจะซ้ำเขาอีกสักดอกข้อหาที่พูดจาไม่เข้าหู ดีเสียที่ลุงแสงกับป้าเมียมเข้ามาแยกพวกเขาทั้งคู่ออกจากกันได้ทันอย่างเฉียดฉิว ไม่อย่างนั้นอินทรชิตคงสลบเหมือดคาฝ่าเท้าอีกฝ่ายไปนานแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งตัดสินไปก่อนว่าเขาขี้ขลาดหรือไม่กล้าตอบโต้ฉัตรตะวัน เขาไม่ได้เหลาะแหละทว่าตัวเขาในตอนนี้แทบจะไม่มีแรงเหลือด้วยซ้ำเพราะอาการป่วย ลำพังจะเดินเหินยังลำบาก ถ้าจะให้สู้กับฉัตรตะวันสักยกก็เกรงว่าจะไม่หลงเหลือแรงให้ขับรถ ดังนั้นอินทรชิตจึงเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำไปก่อนและอาศัยช่วงชุลมุนที่ลุงแสงกับป้าเมียมเข้ามาห้ามทัพรีบบึ่งรถหนีออกมาให้เร็วที่สุด
บอกตามตรงเขาเองก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับฉัตรตะวันเลย เขาไม่ได้เกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย กลับกันคนที่เขาเกรงกลัวคือคุณพฤกษ์ต่างหาก อินทรชิตรู้ดีว่าฉัตรตะวันเป็นเพื่อสนิทคนสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณพฤกษ์ หากว่าเขาพลั้งมือทำอะไรอีกฝ่ายแม้แต่ปลายเล็บขึ้นมาก็อาจจะส่งผลร้ายกับตนเองก็เป็นได้ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าลับหลังคุณพฤกษ์เขาจะถูกฉัตรตะวันมองด้วยสายตาเย้ยหยันหรือถูกค่อนแคะด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามแค่นั้นก็ได้แต่กัดฟันกำหมัดอย่างอดทนอดกลั้นเท่านั้น
ทว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เลย อาจจะเพราะพิษไข้หรือเพราะความเก็บกดที่สะสมเป็นเวลานานบวกกับความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีต่อคุณพฤกษ์จึงทำให้เขาเลือกที่จะระเบิดความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมาจนหมดสิ้น
ผลลัพธ์มันเลยออกมาเป็นเช่นนี้ ..และหากว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันจะทำให้คุณพฤกษ์โกรธ อินทรชิตก็คงต้องยอมให้คุณเขาโกรธ
แต่ไหน ๆ ก็จะโกรธกันแล้วเขาก็จะขอใช้ความกล้าหาญที่มีนี้เพื่อคุยกับคุณพฤกษ์ให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเลยดีกว่า
“อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเพื่อให้กำลังใจตนเองก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในคอนโดมิเนียมในที่สุด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่พฤกษ์กำลังออกมาจากห้องน้ำ ตอนนี้เขากำลังเตรียมตัวกลับบ้านเพราะกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ชายหนุ่มเดินไปที่เตียงนอน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็ต้องขมวดคิ้ว
‘คุณฉัตร’
พฤกษ์ตัดสายใส่อย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลาสักนิด เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงเช่นเดิมและหันมาจัดการกับเส้นผมที่เปียกชื้นของตนเอง ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสิบวินาที เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นมาอีกหนและคราวนี้คนที่โทรศัพท์เข้ามากลับเป็นป้าเมียมแทน
“ครับ” พฤกษ์กรอกเสียงนุ่มนวลกลับไป
(คุณพฤกษ์จะกลับมาตอนไหนคะ?) เสียงที่ตื่นตระหนกนั้นทำให้พฤกษ์รู้สึกสงสัย เขาถามกลับไปว่า
“มีอะไรหรือครับ”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงกริ่งก็ดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง พฤกษ์คิดว่าคงเป็นพนักงานเดลิเวอรี่ที่มาส่งอาหารจึงเดินออกจากห้องนอนไปดูทั้งที่ยังถือสายคุยกับป้าเมียม
(คือคุณอินทร์เธอหายออกจากบ้านไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ)
“หือ ว่าไงนะครับ ไม่ใช่ว่ามันป่วยอยู่หรือ”
(นั่นแหละค่ะที่พวกเราเป็นห่วง พอตีกับคุณฉัตรเสร็จก็ขับรถเตลิดออกไปทั้งอย่างนั้น โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอาไปด้วย ไม่รู้เลยว่าไปอยู่ที่ไหน ร่างกายก็แย่ ตอนนี้ฝนก็กำลังตกอีก คุณพฤกษ์ขา ป้าล่ะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุจังเลยค่ะ)
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ผมว่าเจ้าเขี้ยวคงไปไหนได้ไม่ไกลหรอก” พฤกษ์ว่าขณะที่เดินเข้าไปใกล้กับประตูเรื่อย ๆ เสียงกริ่งยังคงดังไม่หยุดจนเขาเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมา ทว่าพอเหลือบสายตาไปมองที่อินเตอร์คอม พฤกษ์ก็ต้องตกตะลึง บนหน้าจอดิจิตอลนั้นแทนที่จะเป็นพนักงานเดลิเวอรี่กลับปรากฏภาพผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู
ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดที่มีส่วนสูงจนแทบจะชนกับขอบด้านบนของประตู แต่งกายด้วยเสื้อฮู้ดสีแดงกับกางเกงขายาวสีดำ พฤกษ์หายใจสะดุด เขากดวางสายป้าเมียมทันทีเพราะไม่ต้องการให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกให้อีกฝ่ายได้ยิน
‘อย่าบอกนะ’ เขาโอดครวญในใจและภาวนาขออย่าให้เป็นใครคนนั้นที่ตนต้องการหนีหน้าเลย
“คุณพฤกษ์! คุณอยู่ข้างในใช่ไหมครับ!? ”
ทว่าโชคไม่ยอมเข้าข้างเขา เสียงทุ้มที่ดังลอดลำโพงเข้ามาเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าผู้ชายที่อยู่อีกด้านของประตูคืออินทรชิต!
‘ฉันจะบ้า’ พฤกษ์นวดขมับ เขากลับเข้าไปในห้องเพื่อสวมแว่นสายตาและกลับออกมาใหม่ ชายหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงกลับไปและทำทีเป็นเงียบราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง
“คุณพฤกษ์” อินทรชิตทุบประตูเบา ๆ “คุยกับผมหน่อยได้ไหมครับ”
พฤกษ์ยังคงเงียบและมองอีกฝ่ายผ่านอินเตอร์คอม อินทรชิตดูท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทั้งอิดโรยและอ่อนเพลียกว่าปกติ ก็แน่ล่ะ มันป่วยอยู่นี่ไม่ใช่หรือ ไหนจะปากช้ำ ๆ นั่นอีก หมัดของฉัตรตะวันคงจะอร่อยน่าดูชม
“แค่ก! — คุณพฤกษ์ครับ ทำไมถึงหลบหน้าผมด้วย อุ๊บ แค่ก! แค่ก ๆ!! ” พฤกษ์หน้าถอดสีทันทีที่เสียงไอของชายหนุ่มดังออกมาจากลำโพง กระนั้นอินทรชิตก็ยังไม่ละความพยายามที่จะร้องเรียกชื่อเขาพร้อมกับกดกริ่งสลับกับทุบประตูไปมา พฤกษ์ยืนดูอีกฝ่ายทำอย่างนั้นอยู่เกือบยี่สิบนาที เขาคิดว่าหากมันเหนื่อยมันก็คงเลิกลากลับไปเองแต่โดยดี ไม่นานนักก็ดูเหมือนว่าอินทรชิตจะเหนื่อยล้าขึ้นมาจริง ๆ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้กลับไปอย่างที่เขาคิดไว้
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าและคอตกก้มลงมองพื้นหน้าประตูนิ่ง ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน พฤกษ์ที่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูสลับกับมองอินทรชิตที่นั่งหงอยในอินเตอร์คอมเป็นพัก ๆ
‘ทำยังไงดี จะทำยังไงดี ถ้าเกิดมันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นจนอาการทรุดขึ้นมาจะทำยังไง นี่ฉันควรจะทำยังไงกับมันดี ฉันใจร้ายเกินไปหรือเปล่าที่เอาแต่ยืนดูอยู่แบบนี้ โอ๊ยยปวดหัวเสียจริง! ’
ในตอนที่คิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้ก็ไม่ทราบได้ พฤกษ์มองรายชื่อผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาก็ใจหายวาบ เขากดรับและเอามือป้องริมฝีปากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงดัง
“สวัสดีครับ คุณอดุล” หรือที่รู้จักกันในนามนิติบุคคลคอนโดของที่แห่งนี้
(สวัสดีครับ ขออนุญาตเรียนให้ทราบ เมื่อสักครู่นี้ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากลูกบ้านท่านอื่นว่าคุณกำลังถูกชายแปลกคุกคามอยู่ คุณโอเคไหมครับ? ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้เรากำลังส่งรปภ.ขึ้นไปแล้ว กรุณาอย่าออกมาจากห้องเพื่อความปลอดภัยนะครับ)
พฤกษ์เย็นสันหลังวาบหลังจากที่ฟังจบ ชายหนุ่มละล้าละลังตอบกลับไปด้วยสีหน้าตาตื่น
“ไม่ใช่นะครับ! นั่นคนรู้จักผม เขาไม่ได้คุกคาม! ”
นิติคอนโดหนุ่มร้องอ๋ออยู่ในคอก่อนจะแปลความหมายที่เขาพูดเป็นอย่างอื่น
(กำลังทะเลาะกับแฟนอยู่อย่างนั้นหรือครับ?)
เขากลืนน้ำลายดังอึก พอจะอ้าปากปฏิเสธก็ถูกสวนกลับมาว่า
(ใจเย็น ๆ นะครับ ค่อย ๆ คุยกัน ทำไมคุณไม่ลองเปิดประตูให้เขาเข้าไปล่ะครับ หรือถ้ากลัวเขาจะทำร้ายร่างกายคุณเดี๋ยวผมจะให้รปภ.มาเชิญเขาออกไปดีไหม? คุณจะได้สบายใจแล้วก็ไม่ไปรบกวนลูกบ้านคนอื่นด้วย)
“ไม่เป็นไรครับ” พฤกษ์จำใจกล่าวเท็จ “ผมหายงอนแล้ว เดี๋ยวจะเปิดประตูให้แฟนเข้ามาครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้วุ่นวาย ขอโทษที่รบกวนคนอื่นด้วย”
หลังจากที่นั่งคุกเข่าอยู่นานจนใกล้จะรู้สึกสิ้นหวัง อินทรชิตก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ชายหนุ่มเห็นเท้าเปล่าเปลือยที่เรียวสวยคู่หนึ่งตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนสายตาของตนมองไล่ขึ้นไปด้านบนอย่างช้า ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นรัวจนทุกข์ทรมาน
คุณพฤกษ์อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ..อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ สวมแว่นสายตาสีทอง พร้อมใบหน้านุ่มนวลและสายตาที่มองลงมาที่เขาด้วยความหงุดหงิด
“มาทำไม กลับไปซะ” เสียงนุ่มเอ่ย “ฉันยังไม่อยากเห็นหน้าแกตอนนี้”
ทันทีที่ถ้อยคำใจร้ายถูกกล่าวออกมาจากปากคนที่เขารักมากที่สุด อินทรชิตก็ถึงกับใจสลายอยู่แทบปลายเท้างามคู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่เอ่อล้นออกมาจากขอบตาแต่กระนั้นก็ยังไม่ร้อนเท่าความเจ็บปวดที่บีบรัดอยู่ภายในอกตอนนี้ น้ำตาสายหนึ่งไหลหยดลงมาอาบแก้มซีกขวาก่อนจะตามมาด้วยซีกซ้าย อินทรชิตกระพริบตาเบา ๆ ขณะที่ช้อนสายตาขึ้นมา และการกระทำเช่นนั้นก็ช่างดูน่าสงสารเสียจนคนมองถึงกับหน้าชาไปชั่วขณะ
“คุณ..พฤกษ์”
เขาไม่ปล่อยให้พฤกษ์ได้นิ่งอยู่นานนัก ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองก็ยื่นออกไปสัมผัสที่หลังเท้าขาว ๆ อย่างทะนุถนอม ทว่าคุณเขากลับถอยหลังหนีไปเสียอย่างนั้น อินทรชิตจึงตัดสินใจที่จะทำบางอย่าง เขารวบรวมความกล้าและแรงอันน้อยนิดที่มีทั้งหมดในการโถมตัวพุ่งเข้าหาขาเรียวข้างหนึ่ง ชายหนุ่มใช้แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกอดรัดขาข้างนั้นเอาไว้แน่น!
“ทำบ้าอะไร! ” พฤกษ์ตวาดพร้อมกับพยายามจับปมเชือกชุดคลุมอาบน้ำไว้แน่นไม่แพ้กัน
‘ให้ตายเถอะ’ ชายหนุ่มกรีดร้องอยู่ในใจ ‘แกอย่าจับแรงได้ไหม! ฉันไม่ได้ใส่ชั้นในโว๊ยยยไอ้บ้า!! ’
“ปล่อยฉันเถอะเขี้ยว แกอย่าทำแบบนี้” พฤกษ์พูดเสียงเบาเพราะเห็นห้องใกล้ ๆ เปิดประตูแย้มหน้าออกมามอง เขาคิดว่าคน ๆ นี้คงเป็นลูกบ้านคนเดียวกันกับที่โทรศัพท์ไปหานิติบุคคลแน่นอน
พฤกษ์ส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายและทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าทุกอย่างโอเค ไม่มีอะไรให้คุณน่าเป็นห่วง เขาควบคุมสถานการณ์ได้แล้วและเชิญคุณกลับเข้าห้องไปเสียเถอะ!
“ผมไม่ปล่อยจนกว่าคุณพฤกษ์จะยอมคุยกับผมดี ๆ ” อินทรชิตพูดเสียงสั่นเครือและซุกหน้าสะอื้นลงบนต้นขา พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นจึงรีบใช้มือตะครุบของสงวนทันทีด้วยเพราะตนไม่ได้ใส่อะไรปกปิดสิ่งนั้นเอาไว้เลยนอกจากชุดคลุมอาบน้ำ และหากว่าอินทรชิตไปแตะโดนส่วนที่อ่อนไหวนั่นเข้าก็เกรงว่ามันจะตั้งชันขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เหมือนอย่างวันนั้น
“แค่ก ๆ!! อุ๊บ แค่ก ..แค่ก ๆ ”
ชายหนุ่มทรุดตัวลงและไอออกมาอย่างรุนแรงก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมามองเขา น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเอ่ยขึ้นทั้งที่ดวงตาแดงรื้นฉ่ำน้ำ
“คุณพฤกษ์เกลียดผมแล้วหรือครับ”
พฤกษ์ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาตอบ
“ฉันไม่ได้เกลียดแก”
“ไม่ได้เกลียดแล้วทำไมถึงต้องหนีผมมาอยู่ที่นี่ด้วย คุณไม่ใช่คนที่ชอบหนีปัญหาไม่ใช่หรือครับ”
“ฉัน..” ชายหนุ่มจนปัญหา เขาไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดมาอธิบายความรู้สึกสับสนที่อยู่ภายในใจให้อีกฝ่ายดี สุดท้ายแล้วพฤกษ์จึงเลือกที่จะบ่ายเบี่ยงคำถามนั้น เขาวางมือลงบนศรีษะของอินทรชิตและพูดว่า
“ลุกขึ้นเถอะ แกป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง? ”
“ไม่ครับ” อินทรชิตตอบเสียงหนักแน่นก่อนจะไอโขลก ๆ อีกหลายครั้ง ชายหนุ่มหน้าซีดเซียว แม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่ก็กลับกอดขาเขาเอาไว้แน่นราวกับลิงติดแม่
“จนกว่าคุณพฤกษ์จะยอมคุยกับผมให้รู้เรื่องสักที! ”
“แล้วแกจะคุยอะไร” พฤกษ์แสร้งทำสีหน้าเย็นชา “เรื่องที่แกลามปามฉัน? เรื่องที่ฉันมาอยู่ที่นี่? หรือเรื่องที่แกบอกรักวันนั้น? ”
“....”
“ถ้าอยากรู้คำตอบนักฉันเองก็ไม่มีให้หรอกนะ ตั้งแต่ที่แกพูดคำนั้นมันก็ทำให้ฉันสติแตก ฉันทั้งตกใจทั้งสับสน จู่ ๆ ไอ้คนที่ฉันเลี้ยงดูมาเหมือนน้องชายดันคิดเกินเลยกับฉันแถมยังเกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นมาอีก แกอย่าคิดว่าที่ฉันยอมมันเป็นเพราะฉันคิดอะไรกับแก มันเป็นแค่อารมณ์ทางเพศเท่านั้น! แต่พอแกบอกรักกันมาโต้ง ๆ แบบนี้แกจะให้ฉันรู้สึกยังไงไม่ทราบ? แกทำฉันประสาทเสีย ทำให้ฉันว้าวุ่น แกเข้ามาปั่นหัวฉัน ฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง แกไม่คิดบ้างหรือว่ามันเป็นการบีบบังคับฉันเกินไป แกหวังคำตอบแบบไหนอยู่งั้นหรือ!? ”
พฤกษ์พูดรัวเป็นชุดจบก็ถอนหายใจโล่งอกแรง ๆ หนึ่งครั้งกับการปลดเปลื้องสิ่งที่อยู่ภายในใจตลอดหลายวันออกมา แต่ในขณะที่เขากำลังรู้สึกโล่งกลับมีอีกคนที่รู้สึกแย่ อินทรชิตนั่งนิ่งจนแทบไม่ขยับตัว ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด พฤกษ์เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นสลัดขาตนเองออกมาได้สำเร็จ ทว่าชายหนุ่มกลับล้มลงไปกับพื้นอย่างง่ายดายทั้งที่เขาไม่ได้ออกแรงในการดึงขามากมายขนาดนั้น
“โอ๊ย! ” อินทรชิตโอดครวญพลางกุมท่อนแขนข้างหนึ่งเอาไว้ ชายหนุ่มเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบ ๆ และไม่แม้แต่จะมองขึ้นมาด้วยซ้ำ
พฤกษ์มองสภาพอีกฝ่ายก็พลันรู้สึกว่าตนเองใจยักษ์ใจมารเหลือเกิน แต่ถึงจะสงสารสักเพียงใดเขาก็ไม่อยากใจอ่อนให้อินทรชิตเหมือนอย่างวันนั้นอีกแล้ว
“ถ้าแกกลับไปซะตอนนี้ฉันจะทำเป็นเหมือนว่าเรื่องวันนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น ..ฉันกับแกยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”
“ผมไม่เคยคิดว่าคุณพฤกษ์เป็นพี่ ผมรักคุณครับ รักมาตลอด..”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว” ชายหนุ่มว่า “เอาเถอะ กลับบ้านไปซะ ถ้าขับรถไม่ไหวก็ไปนอนที่ห้องของแก”
พฤกษ์พยักพเยิดหน้าไปยังห้องที่อยู่ติดกัน มันเป็นห้องชุดที่เขาตัดสินใจซื้อให้อินทรชิตพร้อมกับซื้อให้ตนเอง กะเอาไว้ให้อีกฝ่ายอาศัยอยู่เมื่อตอนขึ้นมหาลัย พฤกษ์คิดว่ามันคงต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นในคฤหาสน์
อินทรชิตค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มมองเขาด้วยแววตาน้อยเนื้อต่ำใจและพูดว่า
“คุณพฤกษ์ใจร้าย”
พฤกษ์ยักไหล่ เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจและปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่าย เสียงทุบประตูตามมาพร้อมกับเสียงหงอย ๆ ดังขึ้น
“ผมจะยืนอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณพฤกษ์จะเปิดประตู”
“เชิญยืนไปทั้งคืนเถอะ! ” เขาตะโกนกลับไป “ฉันจะให้ยามมาลากแกออกไปเดี๋ยวนี้คอยดูสิ! ”
“ใจดำ! คุณพฤกษ์ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ! ”
“ไม่สงสาร! ”
สิ้นเสียงนั้นพฤกษ์ก็ไม่ได้ยินอินทรชิตตอบอะไรกลับมานอกจากเสียงบางอย่างที่กระแทกกับประตูหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะเงียบไป ชายหนุ่มหันไปมองที่อินเตอร์คอม เขาเบิกตาโพลง! อินทรชิตล้มลงไปนอนแผ่อยู่หน้าประตูพร้อมกับเอามือลูบใบหน้าเหมือนคนกำลังทรมาน
พฤกษ์จะทำอย่างไรดี! อาการป่วยของอินทรชิตทำให้เขาร้อนรนใจจนเดินวนไปทั่วเหมือนหนูติดจั่น ชายหนุ่มทนใจร้ายอยู่ได้ไม่ถึงหนี่งนาที สุดท้ายก็แพ้ภัยตนยอมยกธงขาวแล้วรีบกระชากประตูเปิดออกมาอีกครั้ง เขาเห็นร่างสูงกำยำทิ้งตัวแผ่ราบขวางทางประตู อินทรชิตใบหน้าแดงซ่าน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เหงื่อออกไปทั่วร่างและกำลังทำสีหน้าทุกข์ทรมานมองมาที่เขา
พฤกษ์ย่อตัวลงนั่งและถอนหายใจออกมายาวเหยียด มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างนุ่มนวล เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“เดี๋ยวก็คุกเข่า เดี๋ยวก็กอดขา ตอนนี้ยังจะมาร้องไห้ใส่ฉันอีก แกนี่มันไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือยังไง”
อินทรชิตหน้าหงอยลงกว่าเดิม ถ้าหากเปรียบเทียบตนเป็นสุนัขเหมือนเจ้าสองตัวที่อยู่ที่บ้านนั่นเขาก็คงอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชยิ่งกว่าพวกมันเสียอีก
หางลู่หูตกไม่พอยังนอนหมดอาลัยตายอยาก ...ไม่เรียกว่าน่าสมเพชก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว
“ไอ้เขี้ยวมันไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้วล่ะครับถ้าเป็นเรื่องของคุณ”
พฤกษ์ส่ายหน้าอย่างระอา “ฉันล่ะเกลียดตัวเองจริง ๆ ที่ขี้สงสารคนไปทั่ว ยิ่งกับหมาที่ซมซานมานอนเน่าอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ยิ่งสงสาร”
ทว่าอินทรชิตได้แต่ยิ้มเศร้าและตอบเขากลับมาด้วยถ้อยคำที่เจ็บจุกยิ่งกว่า
“ผมก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน ..เกลียดที่หลงรักคุณจนหัวปักหัวปำแบบนี้ รักคุณจนทรมานไปหมดแล้ว คุณช่วยบอกผมที ทำไมผมถึงได้รักคุณมากมายขนาดนี้”
‘ผมก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน ..เกลียดที่หลงรักคุณจนหัวปักหัวปำแบบนี้ รักคุณจนทรมานไปหมดแล้ว คุณช่วยบอกผมที ทำไมผมถึงได้รักคุณมากมายขนาดนี้’
อินทรชิตพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะม่อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียจากพิษไข้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากลากอีกฝ่ายที่แน่นิ่งอยู่หน้าประตูเข้ามานอนที่โซฟาห้องรับแขก พฤกษ์ทำแบบนั้นทั้งที่นิสัยเขาเป็นคนที่ไม่ชอบการออกแรงหรือยกสิ่งของหนัก ๆ แต่ทว่าเขากลับลากอินทรชิตเข้ามาในห้องได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิต พฤกษ์จึงรู้สึกทึ่งในตัวเองไม่น้อยกับการกระทำนั้น
เขาจัดการเช็ดเนื้อตัวอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะเงอะ ๆ งะ ๆ ไปบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์เลย พฤกษ์กลับไปยังห้องนอน เขารื้อกล่องปฐมพยาบาลที่เคยซื้อเอาไว้จนเจอแผ่นเจลลดไข้ โชคร้ายหน่อยที่มันไม่ใช่แผ่นเจลสำหรับผู้ใหญ่แต่กลับเป็นแผ่นเจลที่ใช้กับเด็กเล็ก ถึงกระนั้นพฤกษ์ก็ไม่ได้เรื่องมากกับปัญหายิบย่อยนี้ ชายหนุ่มกลับออกไปพร้อมแผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็กในมือ เขาย่อตัวนั่งลงบนพื้นพรมและลอกฟิล์มกระดาษสีขาวออกก่อนจะบรรจงแปะมันลงบนหน้าผากของชายหนุ่มอย่างเอาใจใส่
“เด็กอวดดี” เขาปรามาสไว้ขณะที่ลูบแผ่นเจลบนหน้าผากอีกสองสามครั้งเพื่อให้มันแนบสนิทลงไปกับผิวเนื้อ พฤกษ์สำรวจดูทั่วร่างเพื่อหาสิ่งผิดปกติอื่น นอกจากริมฝีปากที่ช้ำเพราะถูกต่อย พฤกษ์นึกขึ้นมาได้ว่าเห็นอีกฝ่ายเจ็บที่ท่อนแขน เขาถกแขนเสื้อฮู้ดขึ้นก่อนจะพบกับรอยแผลสดปรากฏอยู่บนท่อนแขนจริง ๆ และมันน่าจะเป็นบาดแผลที่ได้มาจากการถูกสุนัขกัดเมื่อวันก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ใจดำ! คุณพฤกษ์ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ! ’
“เห้อ..” ทั้งถูกสุนัขกัด ทั้งถูกต่อย ไหนจะป่วยจนนอนซมแบบนี้อีก พฤกษ์ชักจะรู้สึกสงสารชายหนุ่มขึ้นมาเสียแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะล้างแผลให้” เขาพูดกับคนป่วยที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเพื่อบอกกล่าว พฤกษ์กลับไปเอากล่องปฐมพยาบาลออกมาอีกรอบก่อนจะเริ่มต้นล้างแผลให้อินทรชิตอย่างใจเย็น ชายหนุ่มใช้แอลกอฮอล์เช็ดวนรอบ ๆ และระวังอย่างยิ่งยวดเพื่อไม่ให้โดนแผลจากนั้นจึงใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณแผลตรง ๆ วนจากด้านในออกด้านนอก ทำอย่างนี้สองสามครั้งจนแน่ใจว่าสะอาดดีแล้วจึงใส่เบตาดีนเป็นอย่างสุดท้าย
พฤกษ์เก็บขยะจากการปฐมพยาบาลทิ้งลงถัง เขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งเพื่อหยิบผ้าห่มสะอาด ๆ จากตู้ออกมาห่มให้อีกฝ่าย เมื่อรอดูจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พฤกษ์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำอยู่เลย ให้ตายสินี่เขาต้องเดินเข้า ๆ ออก ๆ ห้องนอนอีกสักกี่รอบถึงจะพอใจกัน!
หมับ..
“คุณ ..พฤกษ์ จะไปไหนครับ? ”
น้ำเสียงแหบพร่าและขาดห้วงนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาเอื้อมมาจับปลายเชือกชุดคลุมอาบน้ำที่ผูกไว้ตรงเอว
‘ไอ้นี่..’ พฤกษ์หรี่ตาลงมอง ‘ถ้าแกกระตุกเชือกขึ้นมาล่ะก็ฉันจะเชือดแกทิ้งเดี๋ยวนี้! ’
“ตอบ ..สิครับ แค่ก คุณพฤกษ์จะไปไหน” อินทรชิตไอออกมาเบา ๆ และทำท่าจะฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง
“ใจเย็น ๆ ” เขาดันอีกฝ่ายให้นอนลงและลูบแผ่นอกแกร่งนั้นเบา ๆ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้สึกสงบและปลอดภัย
“ฉันแค่จะไปเปลี่ยนชุด”
“ไม่ไปได้ไหมครับ” อินทรชิตวิงวอน “คุณจะหนีผมไปอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่า แกคิดไปเอง ฉันไม่หนีไปไหนหรอก”
“สัญญากับผมนะ”
“ฉัน…” พอเห็นว่าเขามีทีท่าลังเล อินทรชิตจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชายหนุ่มเปลี่ยนมาจับมือเขาเอาไว้ก่อนจะซบแก้มลงไป
“สัญญาเฉย ๆ ไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาให้ผมสบายใจคนเดียวก็พอ”
พฤกษ์ถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยสะกิดใจเขาทีละน้อย ทว่าพอเห็นสายตาของอินทรชิตมองมาอย่างอ้อนวอนก็ทำให้นึกถึงความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปจนเกือบจะเลือนลางขึ้นมา
‘ผมไม่สัญญา’
‘ไม่อยากสัญญากับเรื่องที่ยังไม่แน่ใจ’
‘สัญญากับผมนะ’
‘สัญญาเฉย ๆ ไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาให้ผมสบายใจคนเดียวก็พอ’
“อืม” พฤกษ์รับคำ “ฉันไม่ไปไหนหรอก ฉันสัญญา”
พอได้ยินคำตอบที่ตนปรารถนา อินทรชิตก็เหมือนถูกสับสวิตช์ทันที ชายหนุ่มค่อย ๆ ปิดเปลือกตาก่อนที่จะหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างจริงจัง
ในขณะที่พฤกษ์นั้นเอาแต่นั่งคิดอะไรบางอย่างด้วยความสงสัย
ในตอนนั้น ..เขาไปสัญญาอะไรไว้กับใครนะ?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ