คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
31) 00 31
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 31
ในวันถัดมาพฤกษ์ได้รับโทรศัพท์จากอรดีผู้เป็นแม่ของฉัตรตะวัน เธอขอพบเขาเพื่อชวนรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งในเที่ยงวันนี้ ถึงจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายติดต่อมาแต่เขาก็ยอมตกลงรับนัดแต่โดยดีและเดาเอาว่าอรดีคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องการจะพูดคุย
‘สังหรณ์ใจพิกล’ พฤกษ์ว่าขณะกำลังเลือกชุดที่จะใส่ไปหาอรดี ชายหนุ่มเพ่งมองชุดในตู้ ส่วนมากจะมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ ชุดไปรเวทและชุดออกงานที่เป็นชุดสูทเพียงไม่กี่ชุด สมัยเรียนเขาไม่ชอบออกงานสังคมเท่าไรนักจึงมีชุดทางการติดตู้อยู่น้อยนิดหากเทียบกับช่วงทำงาน บอกตามตรงเขาเป็นพวกบ้าชุดสูทตัวยงเลยล่ะ พฤกษ์หลงใหลในแพทเทิร์นและความเนี๊ยบเป็นระเบียบของชุดสูท ดังนั้นในช่วงทำงานที่ต้องไปไหนมาไหนบ่อย ๆ ทำให้เขามีชุดสูทแทบจะทุกประเภททุกการใช้งานจนถึงกับต้องสร้างห้องเสื้อแยกออกมาเป็นห้องเฉพาะเลยทีเดียว
พูดถึงชุดสูทมันก็ทำให้เขานึกถึงร้านตัดสูทที่เป็นร้านประจำขึ้นมา มันเป็นร้านของคนรู้จัก เจ้าของร้านอัธยาศัยดีและเป็นพวกคลั่งไคล้ชุดสูทไม่ต่างจากเขาพฤกษ์ไม่รู้ว่าในกาลนี้ร้านที่ว่าจะยังตั้งอยู่ที่เดิมหรือไม่ หลังจากเสร็จธุระกับอรดีเขาคงต้องลองไปที่นั่นสักครั้งให้หายสงสัยเสียแล้ว
“แค่ทานข้าวคงไม่ต้องพิถีพิถันมากหรอกมั้ง” เขาว่าพลางหยิบเสื้อยืดคอกลมสีสุภาพสีหนึ่งพร้อมกับกางเกงขายาวเข้าชุดออกมาตู้และใส่คู่กับนาฬิกาในท้ายที่สุด
พฤกษ์มาถึงที่นัดหมายตอนเที่ยงพอดิบพอดี เขาเห็นอรดีในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับคุณแม่” เขาทักและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม อรดีเงยหน้ามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวาน
“สวัสดีค่ะคุณพฤกษ์”
..ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่พฤกษ์รู้สึกถึงท่าทีแปลก ๆ บางอย่างจากอีกฝ่าย
“คุณแม่สบายดีหรือครับ? ”
เธอพยักหน้า “สั่งอาหารกันก่อนไหมคะ”
‘สั่งอาหารกันก่อนไหม? ทำอย่างกับมีอะไรจะพูดอย่างนั้นแหละ”
พฤกษ์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะขณะที่มองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ความรู้สึกคลางแคลงใจก่อนหน้าเริ่มเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ
“เข้าเรื่องเถอะครับ” เขาว่า “คุณแม่คงไม่ได้นัดผมออกมาเพื่อทานข้าวเฉย ๆ หรอกใช่ไหม? ”
สิ้นคำพูดนั้นรอยยิ้มแสนหวานก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที อรดีหัวเราะอยู่ในคอ ท่าทางขื่นขมก่อนจะเรียกบริกรมาหาและสั่งเครื่องดื่มมาคนละแก้ว เธอหันมาหาเขาและพูดเสียงเย็นเฉียบ
“คุณพฤกษ์มีอะไรจะสารภาพกับแม่ไหมคะ? ”
“ถ้าผมทำอะไรผิดก็พูดออกมาเถอะครับ อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย”
หญิงสาวสูดหายใจลึก ท่าทางราวกับจะเตรียมใจตายอย่างไรอย่างนั้น
“คุณฉัตรกับคุณพฤกษ์เป็นเพื่อนกันมานาน แม่เองก็รักและเอ็นดูคุณพฤกษ์มาตั้งแต่ตัวน้อย ๆ ”
อรดีเท้าความถึงอดีตขณะที่พฤกษ์เริ่มเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร
“ในสายตาแม่ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรัก เพื่อนคู่คิด และมิตรที่ดี มีคุณพฤกษ์ที่ไหนมีคุณฉัตรที่นั่น ไปไหนไปกัน รายนั้นน่ะตัวติดคุณพฤกษ์ยิ่งกว่าพี่น้องตัวเองเสียอีก”
“....”
“ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้นมาตลอด แม่ไม่เคยเอะใจหรือสงสัยในตัวทั้งสองคนเลย ..แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่คะคุณพฤกษ์? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทัังสองคนมีความสัมพันธ์เกินเพื่อน? ”
“....” พฤกษ์นิ่ง เขาไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีที่อรดีถาม ชายหนุ่มไม่ได้หวาดเกรงทว่าต้องเวลาเรียบเรียงคำพูดในหัวสักหน่อยมิเช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธออาจจะมีผลกระทบในอนาคตก็เป็นได้
“ตอนปีสองครับ”
“คุณพฤกษ์ แม่จะเป็นลม” เธอว่าและทำท่าจะเป็นลมเสียให้ได้
“แต่เราไม่ใช่คนรักกันหรอกนะครับ”
อรดีฟื้นขึ้นมา “หมายความว่ายังไงคะ”
“เราเป็นเพื่อนกัน ...แต่แค่มีเซ็กส์กันทุกครัังเมื่อเราต้องการ”
เธอจะเป็นลมอีกรอบ คราวนี้เป็นลมจริง ๆ ไม่ได้แสร้งทำเหมือนอย่างเมื่อครู่ อรดีคุ้ยหายาดมสมุนไพรในกระเป๋าขึ้นมาสูดหลายครั้ง ทว่าพฤกษ์ไม่ปล่อยให้เธอสติหลุดนานจึงถามต่อไปว่า
“คุณฉัตรบอกหรือครับ? ”
เธอส่ายหน้าทั้งที่ยาดมยังคารูจมูก
“คุณแม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ? ”
“ก่อนหน้าที่จะเรียกคุณฉัตรกลับไทยสองวัน”
“ได้ยังไงครับ? ”
“แม่ ..แอบติดกล้องในห้องคุณฉัตร”
“ว่าไงนะครับ? ” พฤกษ์ถามซ้ำ เขายกมือกุมขมับ “นี่เข้าข่ายละเมิดความเป็นส่วนตัวกันเลยนะครับ! ”
ฉัตรตะวันเคยบอกเขาเมื่อนานมาแล้วว่าเจ้าตัวต้องการอิสระและอยากหนีจากครอบครัวจึงออกมาอาศัยอยู่ข้างนอก แล้วดูสิ่งที่ครอบครัวทำกับอีกฝ่ายสิ
“แม่รู้” อรดีเสียงสั่น “แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แม่ก็คงไม่มีทางรู้เรื่องลูกชายตัวเอง เดิมทีแม่แค่อยากรู้ว่าคุณฉัตรมีแฟนที่ไหนหรือเปล่าก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจอลูกชายกับเพื่อนมีอะไรกัน”
“...”
“คุณพฤกษ์..” เธอสะอื้น “แม่ไม่ผิดนะที่ทำแบบนี้ แม่ทำไปเพราะเป็นห่วง แม่ไม่อยากให้คุณฉัตรเป็นเกย์ เขาจะต้องแต่งงานมีครอบครัวในสักวัน”
“แล้วถ้าคุณฉัตรเป็นเกย์ขึ้นมาคุณแม่จะรับไม่ได้เลยใช่ไหมครับ” พฤกษ์ถามเสียงเรียบนิ่ง
อรดีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“แม่รับไม่เรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอกค่ะคุณพฤกษ์ ไม่มีวันรับได้ การที่ลูกชายกลายเป็นเกย์มันไม่ใช่เรื่องที่สังคมยอมรับหรือควรยินดี ครอบครัวเรามีหน้ามีตาในสังคมนะคะ เรื่องนี้คุณพฤกษ์เองก็น่าจะรู้ ถ้าเกิดเจ้าสัวรู้ว่าคุณพฤกษ์เป็น..”
“กรุณาอย่าพูดถึงเรื่องภายในครอบครัวของผมครับ”
พฤกษ์มองหน้าอรดีนิ่งและย้ำเตือนผ่านสายตาว่าเธอไม่ควรกล้ำกรายสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ของเขาเด็ดขาด
“เรื่องที่ผมเป็นเกย์ ผมมีหนทางของผมอยู่แล้วว่าจะทำยังไง ตอนนี้คุณแม่ควรคิดถึงเรื่องคุณฉัตรดีกว่านะครับ”
หญิงสาวหายใจกระฟัดกระเฟียด เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เห็นอีกฝ่ายปฏิบัติตนเช่นนั้นกับเขา พฤกษ์รู้ว่าเธอไม่พอใจเรื่องเมื่อครู่ แต่เขาเองก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวเหมือนกัน ยิ่งถ้าเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนภายในครอบครัวด้วยแล้ว คนที่ใจเย็นอย่างเขาก็ยิ่งอารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติหลายเท่า
“เอาอย่างนี้ดีกว่า” เขาใช้ช้อนคนกาแฟที่เริ่มเย็นชืด “คุณแม่ต้องการให้ผมทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะครับ”
“อย่างกับว่าถ้าพูดไปคุณพฤกษ์จะยอมรับฟัง”
“ผมยังไงก็ได้” เขาว่า “ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับคุณฉัตรเกินกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
ถึงคำพูดนั้นจะฟังดูใจร้ายกับฉัตรตะวัน แต่เขาก็แสดงออกชัดเจนมาตลอดว่ารู้สึกยังไง ซ้ำยังเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ที่หลวมตัวโอนอ่อนไปกับความใคร่นั้นแล้ว
‘มันต้องมีวันนี้เข้าสักวัน’ พฤกษ์คิดในใจ
“คุณพฤกษ์พูดเหมือนกับว่าคุณฉัตรรักคุณอยู่ฝ่ายเดียว ไม่คิดบ้างหรือคะว่ามันอาจจะเป็นแค่ความใคร่ความสับสนก็ได้”
พฤกษ์ยักไหล่ “ใครจะรู้ล่ะครับว่ามันคือความรักหรือความใคร่ ถ้าถามผม ผมก็ตอบว่าได้ทันทีว่าเรื่องระหว่างผมกับคุณฉัตรมันคือความใคร่ แต่ผมไม่ได้สับสนแน่นอน ผมเป็นเกย์และผมต้องการแค่เซ็กส์เท่านั้น ไม่เคยคิดกับคุณฉัตรเป็นอื่น แต่ถ้าคุณแม่อยากรู้ว่าคุณฉัตรคิดยังไงคุณแม่ก็คงต้องถามเอาจากเจ้าตัวแล้วล่ะครับ”
“พอเถอะค่ะ” เธอร้อง “แม่ไม่อยากฟังแล้ว”
พอพฤกษ์เห็นเธอทำสีหน้าปวดร้าวเขาก็พลันสงสารเธอขึ้นมา
ในระหว่างที่นั่งเงียบภายใต้บรรยากาศกระอักกระอ่วน มือเรียวสวยของอรดีก็วางลงบนหลังมือเขาพร้อมกับบีบเบา ๆ ราวกับขอความเห็นใจ
“ถ้าไม่เป็นการขอมากเกินไป แม่อยากจะขอให้คุณพฤกษ์อยู่ห่างจากคุณฉัตรค่ะ”
“....”
“ถือว่าแม่ขอร้อง ช่วยปล่อยคุณฉัตรไปสักที”
“คุณแม่ขอร้องผิดคนแล้วครับ” เขาพูดพลางวางมืออีกข้างบนหลังมือเธอ
“แม่รู้ค่ะ” เธอว่า “แม่จะหาทางคุยกับคุณฉัตรแน่นอน แต่แม่ก็ต้องขอความร่วมมือกับคุณพฤกษ์ด้วยเหมือนกัน”
“แต่เอาเถอะ ผมจะทำให้” พฤกษ์ยิ้มบาง “แล้วคุณแม่จะทำยังไงกับคุณฉัตรต่อ”
“แม่คงต้องกดดันให้เขาเลิกเป็นเกย์”
พฤกษ์หัวเราะในคอทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น อรดีคงคิดว่ามันเลิกเป็นกันง่าย ๆ ราวกับเขียนหนังสือผิดแล้วใช้ยางลบอย่างนั้นสินะ
ก็นะ ยางลบใช้ลบรอยปากกาไม่ได้หรอก
“แล้วจากนั้นคงต้องหาผู้หญิงดี ๆ มาให้คุณฉัตรสักคน”
“คุณแม่คิดว่าเขาจะยอมไปตามทางที่คุณแม่วางไว้หรือครับ? ”
“แน่นอนค่ะ” เธอกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ดูอย่างพี่ ๆ ทั้งสองของคุณฉัตรสิ ต่างก็ไปได้ดีด้วยกันทั้งนั้น”
พฤกษ์ถอดถอนใจ หากจะพูดถึงพี่ชายคนโตพี่สาวคนรองของฉัตรตะวันอย่างฉายตะวันและปานตะวันแล้วล่ะก็อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า พฤกษ์ได้ข่าวมาว่าฉายตะวันหย่ากับภรรยาและทิ้งลูกชายไว้ให้เลี้ยงส่วนปานตะวันเองก็เพิ่งแต่งงานกับนักธุรกิจชาวต่างชาติที่อรดีจัดหามาให้ด้วยความไม่เต็มใจ
นี่น่ะหรือ ‘ไปได้ดีด้วยกันทั้งนั้น’
“คุณแม่รู้ตัวไหมครับว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก คุณฉัตรไม่มีทางมีความสุขแน่นอน”
“คุณพฤกษ์รู้หรือคะว่าเขามีหรือไม่มี”
“ผมไม่รู้หรอกครับ” พฤกษ์ลุกขึ้นยืน “และคุณแม่ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันจะทำลายชีวิตคุณฉัตร สักวันคุณจะได้เห็นน้ำตาเขา! ”
“คุณพฤกษ์จะบอกว่าแม่กำลังทำลายชีวิตลูกตัวเองหรือคะ คุณฉัตรน่ะไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน แม่ไม่ได้หวังให้เขามีชีวิตที่มีความสุข แม่หวังให้ลูกชายแม่มีชีวิตที่ดีในสังคม! ”
พฤกษ์ยิ้มเย็น ชายหนุ่มบอกลาด้วยประโยคที่ว่า
“เวลาเท่านั้นที่จะบอกครับคุณแม่”
พฤกษ์ใช้เวลาช่วงบ่ายในการขับรถไปยังร้านตัดสูทที่ว่านั่นและเขาก็พบว่าร้านยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้หายหรือเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด พฤกษ์นั่งมองหน้าร้านที่หรูหราอยู่ในรถสักพัก ที่นี่ยังดูใหม่อยู่เลย คาดคะเนจากเวลาแล้วคงจะเพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้กระมัง
ร้านแห่งนี้มีชื่อว่า ‘ลักษมณ์’ (Laxman) เพราะเจ้าของร้านมีชื่อว่าคุณลักษมณ์ พฤกษ์รู้จักกับชายหนุ่มในงานแฟชั่นโชว์งานหนึ่ง อีกฝ่ายเข้ามาหาและชมชอบว่าเขาดูดีมากในชุดสูท ทีแรกพฤกษ์รู้สึกประหลาดกับท่าทีของอีกฝ่ายเพราะสายตาและท่าทางมันออกจะค่อนไปทางคุกคาม แต่พอมารู้ทีหลังว่าลักษมณ์เป็นเจ้าของร้านตัดสูทชื่อดังพฤกษ์ก็เริ่มเข้าใจพฤติกรรมของชายหนุ่มขึ้นมาทันที
ชุดสูทของลักษมณ์เป็นที่รู้จักกันในแวดวงคนดังระดับดารา นายแบบ เซเลบรวมไปจนถึงนักธุรกิจระดับแนวหน้า ทุกคนต่างรู้จักและได้ยินกิตติมศักดิ์อย่างดีแต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตัดสูทที่นี่ได้เพราะคนที่ตัดได้ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น ทว่ากรณีของพฤกษ์นั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายถูกใจในรูปร่างของเขาจึงชวนมาเป็นสมาชิกเป็นกรณีพิเศษ
พฤกษ์ที่คิดอะไรไปเรื่อยรู้สึกว่าท้องกำลังส่งเสียงร้องโครกครากได้น่าเกลียดเสียจริง ชายหนุ่มตัดสินใจลงมาจากรถก่อนจะจอดมันทิ้งไว้หน้าร้านตัดสูทและข้ามถนนเพื่อไปหาอะไรทานรองท้องที่ร้านอาหารอิตาเลียนฝั่งตรงข้าม
ห้าสิบนาทีให้หลัง เขาข้ามถนนกลับมาอีกครั้งและก็ต้องพบว่าล้อยางรถยนต์ระเบิด ซ้ำร้ายฝนก็กำลังตั้งเค้าตกลงมาในอีกไม่ช้า พฤกษ์ถึงกับกุมขมับ เขาเก็บของมีค่าในรถออกมาไว้กับตัวแล้วเดินเข้าไปยืนหลบฝนยังหน้าร้าน พฤกษ์กำลังคิดไปทีละอย่างว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี อย่างแรกประกันไม่รับเคลมกรณีที่ยางแตกเพราะเสื่อมอายุการใช้งานหรือขับไปเหยียบตะปู พฤกษ์คาดคะเนจากสายตาก็พอจะทราบว่ามันคงจะระเบิดเพราะเสื่อมอายุการใช้งานมากกว่า เขาโทรศัพท์หาอู่ซ่อมรถที่รู้จักและอีกฝ่ายคงมาถึงในอีกหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อจากนี้
อย่างที่สอง พฤกษ์อยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากยืนให้ฝนสาดใส่ตัวนานไปมากกว่านี้ ถึงจะชอบฝนก็จริงแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบตากฝนให้ตัวเปียกเล่น ชายหนุ่มเห็นแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา เขาเกิดความลังเลและสุดท้ายก็ตัดสินใจปล่อยให้แท็กซี่ขับผ่านไปต่อหน้าต่อตา
ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ..เขาถูกเลี้ยงและทะนุถนอมมาราวกับไข่ในหิน อย่าว่าแต่แท็กซี่เลย ขนาดรถเมล์ รถไฟฟ้าหรือขนส่งมวลชนอย่างอื่นตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้พฤกษ์ก็ยังไม่เคยได้ใช้บริการสักที
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดพลางกระโดดหลบฝนที่กระเซ็นเข้ามาเล็กน้อย เขาตัดสินใจโทรศัพท์หาที่บ้าน ดีเสียที่ลุงแสงรับสายเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องหารถมารับ
“คุณครับ” หลังจากรออยู่ซักพักเสียงหวานรื่นหูก็ดังขึ้น พฤกษ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อร่างโปร่งในชุดสูทสีเทาเปิดประตูออกมาด้วยตนเอง
‘คุณลักษมณ์ดูเด็กลงแฮะ แต่ยังไว้ผมยาวเหมือนเดิม’
“อ่า ..ขอโทษที่ถือวิสาสะมายืนบังหน้าร้านนะครับ ผมกำลังรอคนรถมารับ” พฤกษ์ว่าแต่อีกฝ่ายกลับยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก คุณจะเข้ามารอข้างในด้วยกันไหมล่ะ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” อย่างที่ว่า วันนี้เขาตั้งใจจะมาดูเฉย ๆ ว่าร้านของอีกฝ่ายยังมีอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น
“แต่คุณดูหนาวนะ มาเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
“ไม่เป็นไรครับ รบกวนเปล่า ๆ ”
ลักษมณ์ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ชายหนุ่มกลับเข้าไปในร้านและออกมาพร้อมกับร่มสีดำสนิทหนึ่งคัน
“ผมว่าคุณต้องใช้มันนะ”
พอเห็นว่าพฤกษ์ทำท่าจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กางร่มแล้ววางไว้ตรงปลายเท้าเพื่อกันไม่ให้ฝนกระเซ็นมาโดนขาหรือกางเกง
“ขอบคุณครับ”
“คุณตัวสูงดีนะ” ลักษมณ์ไม่ได้สนใจคำพูดเขาสักนิด “ร้อยแปดสิบเลยมั้งเนี่ย ปกติใส่ชุดสูททำงานบ่อยไหมครับ”
เอาแล้วไง รู้สึกเหมือนตอนที่รู้จักกันครั้งแรกเลย
“ผมเพิ่งจบน่ะ ตอนนี้รอรับปริญญา”
“สนใจตัดสูทดี ๆ สักตัวไหม? ”
พฤกษ์หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าร้านคุณตัดได้เฉพาะสมาชิกหรอกหรือ”
“ผมถูกใจคุณน่ะ ไม่เคยเจอรูปร่างใครแล้วอยากตัดสูทให้ใส่เท่าคุณมาก่อนเลย”
ลักษมณ์ว่าพลางยื่นนามบัตรสีดำเงามาให้เขา
“ผมชื่อลักษมณ์ เป็นเจ้าของร้าน” พฤกษ์รับนามบัตรนั้นมาและเอาใส่ในกระเป๋า เขายื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย พูดว่า
“พฤกษ์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ปี๊นนนนนนน!!
ขณะที่ลักษมณ์กำลังจะยื่นมือมาสัมผัส จู่ ๆ เสียงแตรก็ดังลั่น เขาทั้งสองหันออกไปที่ถนน พอเห็นดูคาติสีดำแดงคันหนึ่งขับมาจอดด้านหน้าก็ต้องเบิกตาโพลงทันที แต่นั่นไม่ได้น่าตกใจเท่าเจ้าของจักรยานยนต์ร่างสูงกำยำในชุดนักเรียนที่เดินดุ่ม ๆ มาหาเขาด้วยสีหน้าน่ากลัวเหมือนเพิ่งจะฆ่าใครมาสด ๆ ร้อน ๆ
เฮือก! อินทรชิต!!
เขาเห็นคุณพฤกษ์แล้ว..
กำลังหลบฝนอยู่กับผู้ชายผมยาวใส่สูทสีเทาที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
อินทรชิตควรจะเข้าไปแทรกตอนนี้ดีหรือไม่ ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณพฤกษ์ยิ้มแย้มและทำตัวสบาย ๆ คงเพราะอีกฝ่ายคือคุณลักษมณ์ ชายเจ้าของร้านตัดสูทชื่อดังในแวดวงสังคมชั้นสูงที่คุณพฤกษ์ใช้บริการอยู่เป็นประจำกระมังถึงได้คุยกันเข้าขาขนาดนี้
‘ไม่ชอบเลย’ เขากังวลอยู่ในใจ ยิ่งพอเห็นคุณพฤกษ์เป็นฝ่ายยื่นมือไปหาคุณลักษมณ์ก่อน ความรู้สึกหึงหวงที่ข่มเอาไว้ก็พลันปะทุออกมาจนเขาไม่สามารถอดทนดูอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป
ปี๊นนนนนนน!!
เขาบีบแตรดังลั่นก่อนจะจอดดูคาติทิ้งเอาไว้แล้วเดินเข้าไปหาทั้งสองคน เป็นโชคดีที่ฝนซาลงแล้วจึงทำให้เขาไม่เปียกปอนระหว่างขับรถมา แต่ดูท่าทีคุณพฤกษ์สิ พอรู้ว่าเป็นเขาแทนที่จะเป็นลุงแสงก็หน้าซีดแล้วผงะไปเลย
“ผมมารับแล้วครับคุณพฤกษ์” อินทรชิตว่าพลางถอดแจ็คแก็ตที่ใส่อยู่ออกก่อนจะนำมันไปสวมทับลงบนไหล่ทั้งสองของคุณเขาอย่างถือวิสาสะ
“แก ..มาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าโทรหาลุงแสงไม่ใช่หรือไง”
“ลุงแสงหน้ามืดครับ แกเลยโทรหาผม พอดีกำลังเลิกเรียนเลยอาสามารับคุณแทน”
คุณพฤกษ์พยักหน้าตอบก่อนจะหันไปหาคุณลักษมณ์ที่ยืนมองอยู่ ทว่าคุณลักษมณ์กลับยิ้มหวานให้เขา
“แฟนหนุ่มหรือครับ”
‘ใช่!! ’ เขาอยากตอบออกไปเหลือเกิน ทว่าในความเป็นจริงกลับทำได้แค่ยิ้มรับและตีหน้าซื่อใส่อีกฝ่าย
“ไม่ใช่ครับ” และเป็นคุณพฤกษ์ที่ดับฝันเขาในทันที อินทรชิตหน้าม่อยลง ทำไมถึงปฏิเสธได้อย่างเลือดเย็นขนาดนี้ก็ไม่ทราบ ใจร้ายจริง ๆ ใจร้ายที่สุด
“อย่างนั้นหรอกหรือครับ” เสียงหวานเอ่ย คุณลักษมณ์หรี่ตามองมาที่เขาราวกับจะมองออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับคุณพฤกษ์
อันที่จริงแล้ว.. ในกาลก่อน คุณลักษมณ์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รับรู้มาตลอดว่าเขาหลงรักคุณพฤกษ์ บอกตามตรงคุณลักษมณ์เป็นบุคคลที่น่ากลัวเหลือเกินสำหรับอินทรชิต อีกฝ่ายสามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ครั้งนั้นก็เหมือนกัน หลังจากที่เขารู้ว่าคุณพฤกษ์เป็นสมาชิกของร้านนี้ เขาก็ทำทุกทางเพื่อให้ได้เป็นสมาชิกที่นี่เพื่อที่อาจจะบังเอิญได้เจอกับอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวเวลามาตัดสูท มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาดันบังเอิญเจอคุณพฤกษ์กำลังลองทักซิโดสำหรับงานเต้นรำอยู่จริง ๆ แล้วก็เป็นคุณลักษมณ์อีกเช่นกันที่มองออกว่าอินทรชิตคิดอย่างไรตั้งแต่ที่เห็นสายตาของเขา
เป็นโชคดีที่คุณลักษมณ์ไม่ใช่พวกปากโป้งหรือชอบยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของลูกค้า แต่ถึงกระนั้นก็เป็นพวกที่ชมชอบความสนุกแถมยังขี้แกล้ง อีกฝ่ายมักจะจงใจนัดเขากับคุณพฤกษ์มาวัดตัวตัดสูทพร้อมกันอยู่เป็นประจำ
‘ผมชอบเวลาเห็นคุณส่งสายตาให้เขานะ เหมือนลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ ร้องขอความรักจากเจ้านายเลย แต่แปลกเสียจริง คุณส่งสายตาแบบนี้ให้เขามาตลอดแต่เขาไม่ยักจะรู้สึกรู้สมอะไรสักที’
เขายังจำคำพูดนั้นของคุณลักษมณ์ได้ดีเชียวล่ะ อีกฝ่ายมักจะชอบหยอกล้อเขาด้วยถ้อยคำแบบนี้อยู่เสมอ
“ฝนซาแล้ว ผมว่าคุณสองคนรีบกลับก่อนที่มันจะตกลงมาอีกรอบจะดีกว่านะครับ”
เสียงหวานรื่นหูเอ่ย คุณลักษมณ์ยิ้มส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มโบกมือลาและหายตัวกลับเข้าไปในร้านทันที
หน้าร้านจึงมีเพียงเขา ...และคุณพฤกษ์
“คุณพฤกษ์ดูไม่ดีใจเลยที่เห็นหน้าผม เราไม่เจอกันมาหลายวันแล้วนะครับ”
อินทรชิตตัดพ้อ เขาแสร้งทำตนให้ปกติราวกับไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่คุณเขาแอบเข้ามาในห้องเมื่อหลายวันก่อน
“ปะ..เปล่านี่” เสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ฉันแค่ไม่ชอบที่ต้องมายืนตากฝนแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบกลับกันดีกว่า” เขาว่าพลางเดินนำไปยังจักรยานยนต์คันใหญ่ที่จอดรอไว้ คุณพฤกษ์ไม่ได้เดินตามโดยทันที อีกฝ่ายกำลังใส่เสื้อแจ็คเก็ตของเขาอยู่ พอจัดการตนเองเรียบร้อยดีก็เดินตามมาที่รถ คุณเขายืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนจะลังเลอย่างไรชอบกล
“จะว่าไปคุณพฤกษ์ยังไม่เคยซ้อนท้ายรถผมเลย”
คุณพฤกษ์ไม่ตอบแค่เอาสอดส่องสายตาหาอะไรบางอย่าง
“เคยนั่งไหมครับ? รู้วิธีนั่งหรือเปล่า? ”
“ฉันไม่ได้โง่นะ” คุณพฤกษ์แก้มแดงเรื่อนิด ๆ “แกคิดว่าฉันเป็นคุณหนูจากในวังหรือไงกัน”
“ก็ผมไม่เคยเห็นคุณนั่งนี่”
“ฉันเคยนั่งซ้อนคนอื่นอยู่ครั้งหนึ่ง”
อินทรชิตคิ้วกระตุก “ใคร? ”
“เหมาเหมา” คุณเขาหมายถึงเลขาหลี่หรือน้องรหัสที่อายุน้อยกว่าปีเดียวคนนั้น
“แล้วนี่ไม่มีหมวกกันน็อกหรือยังไง? ”
“โอ๊ะ” ดูเหมือนเขาจะลืมไปจริง ๆ เสียแล้วเพราะปกติเวลาเขาขับรถคนเดียวมักจะไม่ชอบสวมหมวกกันน็อกเท่าไรนัก มันทั้งอบอ้าวแล้วก็อึดอัด เขาจะใส่ก็ต่อเมื่อคุณพฤกษ์เห็น แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่เห็นก็จะโยนทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลสักนิด
“ตายล่ะ” มือสวยนวดขมับ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ใส่ตลอดใส่ทุกครั้ง แกอยากตายหรือไงฮ๊ะ? อยากตายนักใช่ไหม!? ”
“โถ่คุณ..” เขาแสร้งตีหน้าเศร้า “ครั้งนี้ผมลืมจริง ๆ ครั้งหน้าสัญญาว่าจะใส่ตลอดเลยครับ นะครับ นะ ไม่หงุดหงิดนะ”
คุณพฤกษ์ขมวดคิ้วทว่าสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างเหนื่อยหน่าย ร่างโปร่งเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังก่อนจะวาดเรียวขาขึ้นคร่อมเบาะหนังสีดำเงา อินทรชิตตื่นเต้นจนตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อคุณพฤกษ์เอื้อมมือมาจับเสื้อนักเรียนตรงช่วงเอว
‘กอดเอวผมสิ! กอดแน่น ๆ เลย ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะเร่งเครื่องแล้วนะ! ’
“รถมันแรงนะครับ” เขาพูดขณะที่บิดแฮนด์รถ “คุณพฤกษ์ควรกอดเอวผมแน่น ๆ จะดีกว่า คุณคงไม่อยากหงายหลังจนตกลงไปหรอกใช่ไหม? ”
“ไม่เอา” เสียงคุณพฤกษ์ดื้อมาก “แกก็ขับช้า ๆ สิ”
“ฝนทำท่าจะตั้งเค้ามาอีกรอบแล้ว ถ้าผมขับช้าคุณพฤกษ์จะเปียกเอาได้”
“เรื่องมาก” อีกฝ่ายว่า “รู้งี้กลับแท็กซี่ดีกว่า”
“คุณพฤกษ์ไม่กล้าหรอก อะไรที่คุณไม่เคยมาก่อนคุณจะไม่ลองเด็ดขาด”
“รู้ดีจริงนะ”
บรื้น ๆ
“ไอ้เขี้ยว!! ” ฝ่ามือเรียวสวยฟาดลงมากลางแผ่นหลังกว้างดังแอ่ก! คุณพฤกษ์ที่เกือบจะหงายหลังรีบผวาตัวกอดรัดเอวเขาเอาไว้แน่น ถึงแม้จะเจ็บเพราะถูกคุณเขาตีจนจุกแต่ถึงกระนั้นอินทรชิตก็มีความสุขจนแทบจะสำลักเลยล่ะ
ทว่าเมื่อเขาขับมาได้เพียงครึ่งทางฝนเจ้ากรรมก็ดันเทลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งยังซวยซ้ำที่ข้างทางมีแต่ป่ารกทึบไม่มีที่ใดให้แวะจอดเพื่อหลบฝนได้เลย ขณะนั้นเอง อินทรชิตก็รู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดที่แน่นขึ้นพร้อมกับสัมผัสอ่อนนุ่มที่ถูไถไปมาบนหลัง
“คุณพฤกษ์? ” เขาเรียก ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินเพราะแรงจากลมและฝน
กระทั่งโชคเข้าข้าง อินทรชิตเหลือบไปเห็นเพิงร้านขายข้าวแกงที่ถูกทิ้งร้างอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะขับตรงเข้าไปเพื่อขออาศัยใช้หลบฝน เมื่อรถจอดนิ่งสนิท คุณพฤกษ์ก็ก้าวลงมายืนตัวสั่นข้าง ๆ
“คุณพฤกษ์เป็นอะไรหรือครับ” เขาถามพลางใช้แขนถือวิสาสะโอบร่างกายอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ คุณพฤกษ์ที่ตัวเปียกปอนแหงนหน้าขึ้นมามองเขา อินทรชิตใจแทบร่วงลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ผิวแก้มขาว ๆ ของคุณพฤกษ์แดงเป็นจ้ำซ้ำดวงตายังมีน้ำตาเอ่อคลอไม่ขาด
“เขี้ยว ฉันเจ็บ..” เสียงอีกฝ่ายสั่นเครือ
เพียงเท่านั้นเอง ทันทีที่ได้ยินคำว่าเจ็บจากปากอีกฝ่ายชายหนุ่มก็หวาดกลัวขึ้นมาจับใจ อินทรชิตรีบถามด้วยความเป็นห่วง
“จะ..เจ็บตรงไหนครับ”
“หน้าฉันเจ็บ” คุณพฤกษ์เบ้หน้า “ฝนเม็ดใหญ่ตกใส่หน้าตั้งนาน เจ็บไปหมดแล้ว”
“โถ่.. ทูนหัวของผม” อินทรชิตยกฝ่ามือขึ้นกอบกุมใบหน้าอีกฝ่าย เขาใช้หัวแม่มือเกลี่ยแก้มนุ่มที่แดงซ่านเพราะแรงตกกระทบจากห่าฝนเมื่อครู่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ขอโทษนะครับ ถ้ามีรถยนต์สักคันคงไม่ลำบากแบบนี้”
“เอาไว้ฉันจะซื้อให้แกทีหลัง”
คุณพฤกษ์พูดเรียบ ๆ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้เขาเองก็ได้สิ่งของแพง ๆ จากคุณเขามามากมาย ทั้งเงินสด เสื้อผ้า ของใช้แบรนด์เนมตลอดจนคอนโดมิเนียมสุดหรูหนึ่งห้อง ที่จริงแล้วคุณพฤกษ์บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะซื้อให้เพราะตอนแรกกะจะซื้อไว้อยู่เองในอนาคต ทว่าไป ๆ มา ๆ กลับเปลี่ยนใจซื้อรวบเป็นสองห้องติดกัน หนึ่งในสองห้องนั้นจึงถูกโอนเป็นชื่อเขาไปโดยปริยาย
‘อย่างกับเป็นอีหนูให้เสี่ยเลี้ยงเลยแฮะ’ อินทรชิตขำกับความคิดของตนเอง
เขาเดินตามคุณพฤกษ์เข้าไปในเพิงเล็ก ๆ และเห็นเก้าอี้ม้านั่งสภาพเก่าหนึ่งตัววางไว้หลังหน้าร้าน ทว่าคุณเขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลงเสียที
“มันสกปรก” คุณพฤกษ์ให้เหตุผล “และฉันไม่คิดจะเอาแจ็กเก็ตตัวละสามหมื่นไปปูทับเพื่อนั่งเด็ดขาด”
อินทรชิตถอดถอนใจ แต่เอาเถิด แจ็คเก็ตตัวนั้นก็เป็นเงินของคุณเขาอีกนั่นแหละที่ซื้อให้ใช้ จะเอาไปใช้อย่างไรก็ตามที่ท่านสะดวกใจได้เลย
“กล้านั่งไปได้ยังไงก็ไม่รู้” ร่างโปร่งเอ็ดเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และทิ้งตัวลงนั่งทันทีโดยไม่กริ่งเกรงสิ่งสกปรกใด ๆ
“มานี่สิครับ” เขาตบตัก คุณพฤกษ์ขึงตาอย่างเอาเรื่องใส่ทันที
“ไม่เอา! ” เสียงคุณเขาตอนปฏิเสธช่างดื้อดึงเสียจนเขารู้สึกคันยุบยิบในใจ
“ทำไมล่ะ” เขาว่าพลางทำหน้าหมอง “รังเกียจอย่างนั้นหรือครับ”
“ปะ..เปล่า”
“คุณพฤกษ์รังเกียจผม”
“ก็บอกว่าเปล่า”
“รังเกียจสินะ”
“ไอ้เขี้ยว! ”
ไอ้เขี้ยวที่ว่าหันมากระพริบตาปริบ ๆ มองเขาไม่ต่างจากหมาตัวโตสักนิด อยากจะบ้าตาย ที่เขาไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ใช้อินทรชิตสำเร็จความใคร่ ไหนจะเรื่องที่มันเองก็ใช้เขาสำเร็จความใคร่นั่นอีก ทำเอาเขาสับสนและปั่นป่วนไปหมด!
“ถ้าไม่ได้รังเกียจก็นั่งตักผมสิครับ คุณพฤกษ์ไม่เมื่อยหรือยืนนาน ๆ ”
ดูเหมือนคุณเขาจะจนปัญญาแล้ว สุดท้ายจึงจำใจยอมนั่งลงบนตักของอินทรชิตแต่โดยดี ชายหนุ่มเหมือนเฝ้ารอโอกาสนี้มานานแสนนาน พอคุณเขานั่งลงปุ๊บอินทรชิตก็รีบสอดแขนกอดเอวบางไว้แล้วรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบชิด
“นะ..นี่ มันอึดอัดนะ” คุณพฤกษ์ตีแขนเขาเบา ๆ ทว่าก็ไม่ได้ขืนตัวหนีจากอ้อมแขนแต่อย่างใด
“ผมเห็นคุณหนาว” ดูสิ เนื้อตัวนุ่มนิ่มเย็นชืดเพราะฝนไปหมด พอเห็นคุณพฤกษ์ตัวสั่นงันงกแบบนี้แล้วเขาไม่อาจใจร้ายปล่อยให้อีกฝ่ายต้องกอดตนเองเด็ดขาด ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่น คุณพฤกษ์ไม่ได้ทักท้วงอะไรอินทรชิตจึงได้นึกย่ามใจ ชายหนุ่มซบหน้าลงบนบ่าข้างหนึ่ง ทว่าคุณเขากลับมีปฏิกิริยา
“ไม่ต้องห่วงผมโกนหนวดแล้ว รับรองไม่บาดผิวคุณพฤกษ์แน่นอน”
แม้อยากจะพูดอะไรออกไปแต่เขากลับพูดไม่ออก พฤกษ์ได้นั่งนิ่ง ๆ ในอ้อมกอดที่ตรึงตนเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหน
จิตใจเขาว้าวุ่น! และยังเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามเมื่ออีกฝ่ายถูไถปลายคางลงบนซอกคออ่อนนุ่ม พฤกษ์ทำเป็นไม่สนใจและพยายามคิดว่าตลอดสามปีที่ผ่านมามันก็กอดเขาแบบนี้บ่อยไม่เห็นเขาจะรู้สึกรู้สมอะไร มันไม่มีอะไร มันยังคงเป็นปกติ ไม่แน่ว่าวันนั้นของเดือนมันอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเขาแอบเข้าไปในห้อง
พฤกษ์พยายามหาเหตุผลให้ตนเองพร้อมกับหันออกไปมองด้านนอก ดูท่าว่าฝนเฮงซวยนี่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยสักนิด
จุ๊บ!
ขณะที่เหม่อลอย พฤกษ์ก็ได้ยินเสียงจุ๊บที่ว่านั่นดังขึ้น ชายหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อ หัวใจของเขาเต้นเร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อกี้แกทำอะไร”
“ครับ? ” อินทรชิตแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทว่าการกระทำของมันกลับตรงกันข้าม พฤกษ์สะท้านไปทั้งร่างเมื่อริมฝีปากร้อนจัดทาบลงมาบนผิวซอกคออีกครั้ง อีกฝ่ายไม่เพียงแค่จูบแต่กลับใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาบ้างหนักบ้างจนเขาคิดว่ามันคงขึ้นรอยจ้ำสีแดง ๆ บนเนื้อของตนแน่นอน
‘ไอ้เด็กบ้านี่ มันกล้านัก! ’ พฤกษ์สบถอยู่ในใจ
“เขี้ยว” เขาย้ำ “แกอย่ารุ่มร่าม”
อินทรชิตไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาตำหนิ อีกฝ่ายยื่นข้อมือข้างหนึ่งมาตรงหน้า พฤกษ์ใจเต้นระส่ำไม่หยุด พระเจ้า! นาฬิกาที่เขาทำร่วงลงพื้นไปวันนั้นบัดนี้กลับมาเด่นหราอยู่บนข้อมือแกร่งเสียแล้ว
‘ไม่นะ มันรู้อย่างนั้นหรือ’เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“ขอบคุณนะครับ ถูกใจผมมากเลย” เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างหูที่แดงก่ำของเขา พฤกษ์เบือนหน้าหนีอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่เขาอับจนหนทางถึงขนาดนี้
“ฉัน ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
พฤกษ์ไม่รู้จริง ๆ นั่นแหละว่าคำพูดเขามันแสดงพิรุธออกมาชัดแค่ไหน อินทรชิตแสยะยิ้ม เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้และพูดว่า
“ว่าแล้วเชียว ..วันนั้นคุณพฤกษ์เองก็รู้สินะว่าผมทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ”
ชายหนุ่มหน้าแดงจัด เสียอาการจนเห็นได้ชัด
“ว่าไงครับ? ” อินทรชิตกระหยิ่มยิ้มย่อง “ได้เห็นหรือได้ยินอะไรหรือเปล่า”
พฤกษ์เม้มริมฝีปากแน่นเป็นคำตอบ
“คุณคงจะได้ยินเสียงผมหอบและอาจจะได้ยินตอนที่ผมเรียกชื่อ..”
“พะ พอ ไม่ต้องพูด ฉันได้ยินแล้ว”
เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะอยู่ในคอ
“ไม่ถามหรือครับว่าทำไมผมถึงคิดถึงคุณตอนช่วยตัวเอง? ”
“ไม่อยากรู้สักหน่อย”
“แต่ผมอยากบอก”
“อ๊ะ! ”
พฤกษ์ครางออกมาเบา ๆ เพราะแรงเสียดสีบางอย่างที่ดันขึ้นมาจากเบื้องล่าง พอก้มลงมองก็พบว่าเป้ากางเกงของตนกำลังคับและนูนออกมาอย่างน่าอาย
“คุณพฤกษ์แข็งแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยพลางจูบลงบนบ่าอ่อนนุ่มอย่างรักใคร่ พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นก็พลันเลือดลมสูบฉีด เขาอายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“อย่าหนีบขาสิครับ” อินทรชิตจับขาแยกออก “ให้ผมช่วยนะทูนหัว”
ไม่พูดเปล่าทว่ากลับตรงไปรูดซิปกางเกงลงอย่างรวดเร็ว พฤกษ์ตะครุบฝ่ามือนั้นไว้ก่อนที่มันจะควักหรือล้วงเอาอะไรของเขาออกมา
“ไอ้บ้า อย่าแม้แต่จะคิดเชียว! ”
“แต่คุณมีอารมณ์เพราะผม”
“ฉันจัดการเองได้”
“งั้นก็ทำเสียสิ” ชายหนุ่มว่า โทนเสียงที่ใช้พูดนั้นแหบพร่าจนแทบไม่เหมือนปกติ
“ทำเดี๋ยวนี้เลย”
“บัดสี! ” พฤกษ์นิ่วหน้า “แกกำลังขอให้ฉันช่วยตัวเองให้ดูกลางป่ากลางฝนหรือไง”
“ทีคุณยังดูของผม”
“ไม่ได้ดู! แค่ได้ยิน!”
“คุณไม่กล้าหรือครับ?” อินทรชิตลองเชิง
“อย่ามาหัวหมอกับฉัน”
“โถ่ ผมก็แค่อยากช่วย” ชายหนุ่มจูบลงบนกกหู กระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“แข็งขนาดนี้ไม่ปวดแย่หรือครับ อย่าอายเลยน่า ผมก็แค่ช่วยคุณให้เสร็จ ๆ ไป ถ้าไม่เอาออกจะแย่เอานะครับ”
อินทรชิตไม่รอให้เขาคัดค้านหรืออนุญาตใด ๆ ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งสอดเข้าไปในกางเกงอย่างรวดเร็ว พฤกษ์สะดุ้งเฮือกทันทีที่อินทรชิตสัมผัสตรงส่วนที่อ่อนไหวมากที่สุดในร่างกายของเขา
ชายหนุ่มงัดมันออกมาจากกางเกงทันที
“ของคุณพฤกษ์น่ารัก สีชมพูดีจังเลยครับ”
พฤกษ์นึกชังในคำพูดพวกนั้นจนอยากจะทุบอีกฝ่ายให้หลังหักเสียเดี๋ยวนี้
“จะทำอะไรก็รีบทำ!” อินทรชิตยิ้มมุมปากทันทีที่โอกาสทองมาถึง เขาก้มหน้าสูดเอาความหอมหวนจากซอกคออีกฝ่ายก่อนจะจับแกนกายที่แข็งขืนให้กระชับมือ
อินทรชิตใช้หัวแม่มือกดลงหลุมเล็ก ๆ ตรงกลางส่วนหัว
“อ๊า” พฤกษ์หลุดเสียงครางออกไปก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเอง อินทรชิตไล้ริมฝีปากบนผิวแก้ม
“ให้ผมได้ยินเสียงของคุณ” เขาว่า “ให้ผมได้ยินมันสักครั้ง ได้โปรด ผมไม่อยากจินตนาการเอาเองอีกแล้ว”
สิ้นเสียงนั้นพฤกษ์ก็ค่อย ๆ ลดมือลงและเปลี่ยนเป็นเลิกเสื้อยืดของตนขึ้นสูง เขาไล้ปลายนิ้วบดวนไปมาที่ยอดอกสีหวานจนมันแข็งชูชันแข่งกันแกนกายด้านล่าง อินทรชิตที่มองการกระทำนั้นถึงกับกัดริมฝีปากของตนแน่น ชายหนุ่มใช้มือที่ยังว่างอยู่อีกข้างลูบคลำไปมาทั่วแผ่นอกบางขาวผุดผ่อง เขาปัดมือของพฤกษ์ออกและใช้ปลายนิ้วมือแข็ง ๆ บี้บิดยอดอกข้างนั้นเสียเอง
“อ๊า.. อือ” เสียงหวานทุ้มเริ่มครางเครือเมื่อมือไม้ที่อยู่ด้านล่างเริ่มเคลื่อนไหว อินทรชิตค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือกอบกุมแกนกายที่ร้อนจัดและขยับมันเบาบ้างหนักบ้างตามน้ำหนักมือและความพึงพอใจ
“เร็วสิ..” พฤกษ์บอกเขาเสียงสั่น “ทำมันเร็ว ๆ ”
“คุณอยากเสร็จแล้วหรือ?”
ใบหน้าสวยพยักหน้าตอบ อินทรชิตจึงกระชับฝ่ามือรูดรั้งแรง ๆ และทำเช่นนั้นอยู่สักพัก กระทั่งความปรารถนาของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นสูง พฤกษ์หอบหายใจรุนแรง เขาวางมือซ้อนลงบนหลังมือใหญ่และออกคำสั่งให้ชายหนุ่มช่วยนำพาเขาไปให้ถึงจุดหมาย
“ซี๊ดด.. อ๊ะ ฉันจะเสร็จแล้ว”
“คนดี เรียกชื่อผม ใช้ผมสิครับ”
อินทรชิตซบหน้าลงกับบ่า เขาเร่งความเร็วของฝ่ามือขึ้นอีกนิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจูบลงบนขมับของพฤกษ์อย่างรักใคร่สุดหัวใจ
“อ๊า! เขี้ยว …”
ชายหนุ่มรูดมือหนัก ๆ อีกสองสามครั้งเพื่อส่งพฤกษ์ให้ถึงจุดหมายและรีดเค้นทุกหยาดออกมาจนหมดสิ้น จนเมื่อเขาเสร็จสม พฤกษ์จึงเอนตัวพิงลงมากับอกแกร่งที่รอรับอยู่ด้านหลังอย่างหมดสภาพ เขาหอบหายใจรุนแรง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พักให้หายสั่น อินทรชิตก็จับปลายคางเขาให้เชิดหน้าขึ้น
“มันกระเด็นมาโดนปาก”
“เอ๊ะ..” โดยไม่ทันที่จะได้รู้ตัวว่าอะไรหรือสิ่งใดที่กระเด็นมาโดนปาก อินทรชิตก็โน้มหน้าลงพร้อมกับแนบริมฝีปากทาบทับ อีกฝ่ายอาศัยจังหวะที่เขาอ้าปากหายใจสอดลิ้นร้อนลวกเข้ามาภายในอย่างง่ายดายก่อนจะใช้ลิ้นและริมฝีปากนั้นดูดดุนเรียวลิ้นของเขาอย่างเร่าร้อน วันนี้หัวใจของพฤกษ์ทำงานอย่างหนัก เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายเสียให้ได้ กายทั้งกายร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิงแผดเผาให้วอดวาย
‘ทรมานแต่ก็รู้สึกดีสุดยอดไปเลย’
อินทรชิตถอนริมฝีปากออกมาอย่างแช่มช้าก่อนที่ชายหนุ่มจะไล่ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า เมื่อทำเช่นนั้นจนพอใจ อินทรชิตก็เอาแต่ซุกหน้าอยู่เงียบ ๆ บนบ่าของเขาพร้อมกับพูดเบา ๆ ทว่าหนักแน่นทุกคำ
“สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ”
ในวันถัดมาพฤกษ์ได้รับโทรศัพท์จากอรดีผู้เป็นแม่ของฉัตรตะวัน เธอขอพบเขาเพื่อชวนรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัวที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งในเที่ยงวันนี้ ถึงจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายติดต่อมาแต่เขาก็ยอมตกลงรับนัดแต่โดยดีและเดาเอาว่าอรดีคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องการจะพูดคุย
‘สังหรณ์ใจพิกล’ พฤกษ์ว่าขณะกำลังเลือกชุดที่จะใส่ไปหาอรดี ชายหนุ่มเพ่งมองชุดในตู้ ส่วนมากจะมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ ชุดไปรเวทและชุดออกงานที่เป็นชุดสูทเพียงไม่กี่ชุด สมัยเรียนเขาไม่ชอบออกงานสังคมเท่าไรนักจึงมีชุดทางการติดตู้อยู่น้อยนิดหากเทียบกับช่วงทำงาน บอกตามตรงเขาเป็นพวกบ้าชุดสูทตัวยงเลยล่ะ พฤกษ์หลงใหลในแพทเทิร์นและความเนี๊ยบเป็นระเบียบของชุดสูท ดังนั้นในช่วงทำงานที่ต้องไปไหนมาไหนบ่อย ๆ ทำให้เขามีชุดสูทแทบจะทุกประเภททุกการใช้งานจนถึงกับต้องสร้างห้องเสื้อแยกออกมาเป็นห้องเฉพาะเลยทีเดียว
พูดถึงชุดสูทมันก็ทำให้เขานึกถึงร้านตัดสูทที่เป็นร้านประจำขึ้นมา มันเป็นร้านของคนรู้จัก เจ้าของร้านอัธยาศัยดีและเป็นพวกคลั่งไคล้ชุดสูทไม่ต่างจากเขาพฤกษ์ไม่รู้ว่าในกาลนี้ร้านที่ว่าจะยังตั้งอยู่ที่เดิมหรือไม่ หลังจากเสร็จธุระกับอรดีเขาคงต้องลองไปที่นั่นสักครั้งให้หายสงสัยเสียแล้ว
“แค่ทานข้าวคงไม่ต้องพิถีพิถันมากหรอกมั้ง” เขาว่าพลางหยิบเสื้อยืดคอกลมสีสุภาพสีหนึ่งพร้อมกับกางเกงขายาวเข้าชุดออกมาตู้และใส่คู่กับนาฬิกาในท้ายที่สุด
พฤกษ์มาถึงที่นัดหมายตอนเที่ยงพอดิบพอดี เขาเห็นอรดีในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับคุณแม่” เขาทักและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม อรดีเงยหน้ามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวาน
“สวัสดีค่ะคุณพฤกษ์”
..ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่พฤกษ์รู้สึกถึงท่าทีแปลก ๆ บางอย่างจากอีกฝ่าย
“คุณแม่สบายดีหรือครับ? ”
เธอพยักหน้า “สั่งอาหารกันก่อนไหมคะ”
‘สั่งอาหารกันก่อนไหม? ทำอย่างกับมีอะไรจะพูดอย่างนั้นแหละ”
พฤกษ์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะขณะที่มองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ความรู้สึกคลางแคลงใจก่อนหน้าเริ่มเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ
“เข้าเรื่องเถอะครับ” เขาว่า “คุณแม่คงไม่ได้นัดผมออกมาเพื่อทานข้าวเฉย ๆ หรอกใช่ไหม? ”
สิ้นคำพูดนั้นรอยยิ้มแสนหวานก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที อรดีหัวเราะอยู่ในคอ ท่าทางขื่นขมก่อนจะเรียกบริกรมาหาและสั่งเครื่องดื่มมาคนละแก้ว เธอหันมาหาเขาและพูดเสียงเย็นเฉียบ
“คุณพฤกษ์มีอะไรจะสารภาพกับแม่ไหมคะ? ”
“ถ้าผมทำอะไรผิดก็พูดออกมาเถอะครับ อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย”
หญิงสาวสูดหายใจลึก ท่าทางราวกับจะเตรียมใจตายอย่างไรอย่างนั้น
“คุณฉัตรกับคุณพฤกษ์เป็นเพื่อนกันมานาน แม่เองก็รักและเอ็นดูคุณพฤกษ์มาตั้งแต่ตัวน้อย ๆ ”
อรดีเท้าความถึงอดีตขณะที่พฤกษ์เริ่มเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร
“ในสายตาแม่ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรัก เพื่อนคู่คิด และมิตรที่ดี มีคุณพฤกษ์ที่ไหนมีคุณฉัตรที่นั่น ไปไหนไปกัน รายนั้นน่ะตัวติดคุณพฤกษ์ยิ่งกว่าพี่น้องตัวเองเสียอีก”
“....”
“ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้นมาตลอด แม่ไม่เคยเอะใจหรือสงสัยในตัวทั้งสองคนเลย ..แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่คะคุณพฤกษ์? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทัังสองคนมีความสัมพันธ์เกินเพื่อน? ”
“....” พฤกษ์นิ่ง เขาไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีที่อรดีถาม ชายหนุ่มไม่ได้หวาดเกรงทว่าต้องเวลาเรียบเรียงคำพูดในหัวสักหน่อยมิเช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธออาจจะมีผลกระทบในอนาคตก็เป็นได้
“ตอนปีสองครับ”
“คุณพฤกษ์ แม่จะเป็นลม” เธอว่าและทำท่าจะเป็นลมเสียให้ได้
“แต่เราไม่ใช่คนรักกันหรอกนะครับ”
อรดีฟื้นขึ้นมา “หมายความว่ายังไงคะ”
“เราเป็นเพื่อนกัน ...แต่แค่มีเซ็กส์กันทุกครัังเมื่อเราต้องการ”
เธอจะเป็นลมอีกรอบ คราวนี้เป็นลมจริง ๆ ไม่ได้แสร้งทำเหมือนอย่างเมื่อครู่ อรดีคุ้ยหายาดมสมุนไพรในกระเป๋าขึ้นมาสูดหลายครั้ง ทว่าพฤกษ์ไม่ปล่อยให้เธอสติหลุดนานจึงถามต่อไปว่า
“คุณฉัตรบอกหรือครับ? ”
เธอส่ายหน้าทั้งที่ยาดมยังคารูจมูก
“คุณแม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ? ”
“ก่อนหน้าที่จะเรียกคุณฉัตรกลับไทยสองวัน”
“ได้ยังไงครับ? ”
“แม่ ..แอบติดกล้องในห้องคุณฉัตร”
“ว่าไงนะครับ? ” พฤกษ์ถามซ้ำ เขายกมือกุมขมับ “นี่เข้าข่ายละเมิดความเป็นส่วนตัวกันเลยนะครับ! ”
ฉัตรตะวันเคยบอกเขาเมื่อนานมาแล้วว่าเจ้าตัวต้องการอิสระและอยากหนีจากครอบครัวจึงออกมาอาศัยอยู่ข้างนอก แล้วดูสิ่งที่ครอบครัวทำกับอีกฝ่ายสิ
“แม่รู้” อรดีเสียงสั่น “แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แม่ก็คงไม่มีทางรู้เรื่องลูกชายตัวเอง เดิมทีแม่แค่อยากรู้ว่าคุณฉัตรมีแฟนที่ไหนหรือเปล่าก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจอลูกชายกับเพื่อนมีอะไรกัน”
“...”
“คุณพฤกษ์..” เธอสะอื้น “แม่ไม่ผิดนะที่ทำแบบนี้ แม่ทำไปเพราะเป็นห่วง แม่ไม่อยากให้คุณฉัตรเป็นเกย์ เขาจะต้องแต่งงานมีครอบครัวในสักวัน”
“แล้วถ้าคุณฉัตรเป็นเกย์ขึ้นมาคุณแม่จะรับไม่ได้เลยใช่ไหมครับ” พฤกษ์ถามเสียงเรียบนิ่ง
อรดีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“แม่รับไม่เรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอกค่ะคุณพฤกษ์ ไม่มีวันรับได้ การที่ลูกชายกลายเป็นเกย์มันไม่ใช่เรื่องที่สังคมยอมรับหรือควรยินดี ครอบครัวเรามีหน้ามีตาในสังคมนะคะ เรื่องนี้คุณพฤกษ์เองก็น่าจะรู้ ถ้าเกิดเจ้าสัวรู้ว่าคุณพฤกษ์เป็น..”
“กรุณาอย่าพูดถึงเรื่องภายในครอบครัวของผมครับ”
พฤกษ์มองหน้าอรดีนิ่งและย้ำเตือนผ่านสายตาว่าเธอไม่ควรกล้ำกรายสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ของเขาเด็ดขาด
“เรื่องที่ผมเป็นเกย์ ผมมีหนทางของผมอยู่แล้วว่าจะทำยังไง ตอนนี้คุณแม่ควรคิดถึงเรื่องคุณฉัตรดีกว่านะครับ”
หญิงสาวหายใจกระฟัดกระเฟียด เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมาที่เห็นอีกฝ่ายปฏิบัติตนเช่นนั้นกับเขา พฤกษ์รู้ว่าเธอไม่พอใจเรื่องเมื่อครู่ แต่เขาเองก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวเหมือนกัน ยิ่งถ้าเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนภายในครอบครัวด้วยแล้ว คนที่ใจเย็นอย่างเขาก็ยิ่งอารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติหลายเท่า
“เอาอย่างนี้ดีกว่า” เขาใช้ช้อนคนกาแฟที่เริ่มเย็นชืด “คุณแม่ต้องการให้ผมทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะครับ”
“อย่างกับว่าถ้าพูดไปคุณพฤกษ์จะยอมรับฟัง”
“ผมยังไงก็ได้” เขาว่า “ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับคุณฉัตรเกินกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
ถึงคำพูดนั้นจะฟังดูใจร้ายกับฉัตรตะวัน แต่เขาก็แสดงออกชัดเจนมาตลอดว่ารู้สึกยังไง ซ้ำยังเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ที่หลวมตัวโอนอ่อนไปกับความใคร่นั้นแล้ว
‘มันต้องมีวันนี้เข้าสักวัน’ พฤกษ์คิดในใจ
“คุณพฤกษ์พูดเหมือนกับว่าคุณฉัตรรักคุณอยู่ฝ่ายเดียว ไม่คิดบ้างหรือคะว่ามันอาจจะเป็นแค่ความใคร่ความสับสนก็ได้”
พฤกษ์ยักไหล่ “ใครจะรู้ล่ะครับว่ามันคือความรักหรือความใคร่ ถ้าถามผม ผมก็ตอบว่าได้ทันทีว่าเรื่องระหว่างผมกับคุณฉัตรมันคือความใคร่ แต่ผมไม่ได้สับสนแน่นอน ผมเป็นเกย์และผมต้องการแค่เซ็กส์เท่านั้น ไม่เคยคิดกับคุณฉัตรเป็นอื่น แต่ถ้าคุณแม่อยากรู้ว่าคุณฉัตรคิดยังไงคุณแม่ก็คงต้องถามเอาจากเจ้าตัวแล้วล่ะครับ”
“พอเถอะค่ะ” เธอร้อง “แม่ไม่อยากฟังแล้ว”
พอพฤกษ์เห็นเธอทำสีหน้าปวดร้าวเขาก็พลันสงสารเธอขึ้นมา
ในระหว่างที่นั่งเงียบภายใต้บรรยากาศกระอักกระอ่วน มือเรียวสวยของอรดีก็วางลงบนหลังมือเขาพร้อมกับบีบเบา ๆ ราวกับขอความเห็นใจ
“ถ้าไม่เป็นการขอมากเกินไป แม่อยากจะขอให้คุณพฤกษ์อยู่ห่างจากคุณฉัตรค่ะ”
“....”
“ถือว่าแม่ขอร้อง ช่วยปล่อยคุณฉัตรไปสักที”
“คุณแม่ขอร้องผิดคนแล้วครับ” เขาพูดพลางวางมืออีกข้างบนหลังมือเธอ
“แม่รู้ค่ะ” เธอว่า “แม่จะหาทางคุยกับคุณฉัตรแน่นอน แต่แม่ก็ต้องขอความร่วมมือกับคุณพฤกษ์ด้วยเหมือนกัน”
“แต่เอาเถอะ ผมจะทำให้” พฤกษ์ยิ้มบาง “แล้วคุณแม่จะทำยังไงกับคุณฉัตรต่อ”
“แม่คงต้องกดดันให้เขาเลิกเป็นเกย์”
พฤกษ์หัวเราะในคอทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น อรดีคงคิดว่ามันเลิกเป็นกันง่าย ๆ ราวกับเขียนหนังสือผิดแล้วใช้ยางลบอย่างนั้นสินะ
ก็นะ ยางลบใช้ลบรอยปากกาไม่ได้หรอก
“แล้วจากนั้นคงต้องหาผู้หญิงดี ๆ มาให้คุณฉัตรสักคน”
“คุณแม่คิดว่าเขาจะยอมไปตามทางที่คุณแม่วางไว้หรือครับ? ”
“แน่นอนค่ะ” เธอกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ดูอย่างพี่ ๆ ทั้งสองของคุณฉัตรสิ ต่างก็ไปได้ดีด้วยกันทั้งนั้น”
พฤกษ์ถอดถอนใจ หากจะพูดถึงพี่ชายคนโตพี่สาวคนรองของฉัตรตะวันอย่างฉายตะวันและปานตะวันแล้วล่ะก็อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า พฤกษ์ได้ข่าวมาว่าฉายตะวันหย่ากับภรรยาและทิ้งลูกชายไว้ให้เลี้ยงส่วนปานตะวันเองก็เพิ่งแต่งงานกับนักธุรกิจชาวต่างชาติที่อรดีจัดหามาให้ด้วยความไม่เต็มใจ
นี่น่ะหรือ ‘ไปได้ดีด้วยกันทั้งนั้น’
“คุณแม่รู้ตัวไหมครับว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก คุณฉัตรไม่มีทางมีความสุขแน่นอน”
“คุณพฤกษ์รู้หรือคะว่าเขามีหรือไม่มี”
“ผมไม่รู้หรอกครับ” พฤกษ์ลุกขึ้นยืน “และคุณแม่ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันจะทำลายชีวิตคุณฉัตร สักวันคุณจะได้เห็นน้ำตาเขา! ”
“คุณพฤกษ์จะบอกว่าแม่กำลังทำลายชีวิตลูกตัวเองหรือคะ คุณฉัตรน่ะไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน แม่ไม่ได้หวังให้เขามีชีวิตที่มีความสุข แม่หวังให้ลูกชายแม่มีชีวิตที่ดีในสังคม! ”
พฤกษ์ยิ้มเย็น ชายหนุ่มบอกลาด้วยประโยคที่ว่า
“เวลาเท่านั้นที่จะบอกครับคุณแม่”
พฤกษ์ใช้เวลาช่วงบ่ายในการขับรถไปยังร้านตัดสูทที่ว่านั่นและเขาก็พบว่าร้านยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้หายหรือเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด พฤกษ์นั่งมองหน้าร้านที่หรูหราอยู่ในรถสักพัก ที่นี่ยังดูใหม่อยู่เลย คาดคะเนจากเวลาแล้วคงจะเพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้กระมัง
ร้านแห่งนี้มีชื่อว่า ‘ลักษมณ์’ (Laxman) เพราะเจ้าของร้านมีชื่อว่าคุณลักษมณ์ พฤกษ์รู้จักกับชายหนุ่มในงานแฟชั่นโชว์งานหนึ่ง อีกฝ่ายเข้ามาหาและชมชอบว่าเขาดูดีมากในชุดสูท ทีแรกพฤกษ์รู้สึกประหลาดกับท่าทีของอีกฝ่ายเพราะสายตาและท่าทางมันออกจะค่อนไปทางคุกคาม แต่พอมารู้ทีหลังว่าลักษมณ์เป็นเจ้าของร้านตัดสูทชื่อดังพฤกษ์ก็เริ่มเข้าใจพฤติกรรมของชายหนุ่มขึ้นมาทันที
ชุดสูทของลักษมณ์เป็นที่รู้จักกันในแวดวงคนดังระดับดารา นายแบบ เซเลบรวมไปจนถึงนักธุรกิจระดับแนวหน้า ทุกคนต่างรู้จักและได้ยินกิตติมศักดิ์อย่างดีแต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตัดสูทที่นี่ได้เพราะคนที่ตัดได้ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น ทว่ากรณีของพฤกษ์นั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายถูกใจในรูปร่างของเขาจึงชวนมาเป็นสมาชิกเป็นกรณีพิเศษ
พฤกษ์ที่คิดอะไรไปเรื่อยรู้สึกว่าท้องกำลังส่งเสียงร้องโครกครากได้น่าเกลียดเสียจริง ชายหนุ่มตัดสินใจลงมาจากรถก่อนจะจอดมันทิ้งไว้หน้าร้านตัดสูทและข้ามถนนเพื่อไปหาอะไรทานรองท้องที่ร้านอาหารอิตาเลียนฝั่งตรงข้าม
ห้าสิบนาทีให้หลัง เขาข้ามถนนกลับมาอีกครั้งและก็ต้องพบว่าล้อยางรถยนต์ระเบิด ซ้ำร้ายฝนก็กำลังตั้งเค้าตกลงมาในอีกไม่ช้า พฤกษ์ถึงกับกุมขมับ เขาเก็บของมีค่าในรถออกมาไว้กับตัวแล้วเดินเข้าไปยืนหลบฝนยังหน้าร้าน พฤกษ์กำลังคิดไปทีละอย่างว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี อย่างแรกประกันไม่รับเคลมกรณีที่ยางแตกเพราะเสื่อมอายุการใช้งานหรือขับไปเหยียบตะปู พฤกษ์คาดคะเนจากสายตาก็พอจะทราบว่ามันคงจะระเบิดเพราะเสื่อมอายุการใช้งานมากกว่า เขาโทรศัพท์หาอู่ซ่อมรถที่รู้จักและอีกฝ่ายคงมาถึงในอีกหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อจากนี้
อย่างที่สอง พฤกษ์อยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากยืนให้ฝนสาดใส่ตัวนานไปมากกว่านี้ ถึงจะชอบฝนก็จริงแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบตากฝนให้ตัวเปียกเล่น ชายหนุ่มเห็นแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา เขาเกิดความลังเลและสุดท้ายก็ตัดสินใจปล่อยให้แท็กซี่ขับผ่านไปต่อหน้าต่อตา
ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ..เขาถูกเลี้ยงและทะนุถนอมมาราวกับไข่ในหิน อย่าว่าแต่แท็กซี่เลย ขนาดรถเมล์ รถไฟฟ้าหรือขนส่งมวลชนอย่างอื่นตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้พฤกษ์ก็ยังไม่เคยได้ใช้บริการสักที
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดพลางกระโดดหลบฝนที่กระเซ็นเข้ามาเล็กน้อย เขาตัดสินใจโทรศัพท์หาที่บ้าน ดีเสียที่ลุงแสงรับสายเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องหารถมารับ
“คุณครับ” หลังจากรออยู่ซักพักเสียงหวานรื่นหูก็ดังขึ้น พฤกษ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อร่างโปร่งในชุดสูทสีเทาเปิดประตูออกมาด้วยตนเอง
‘คุณลักษมณ์ดูเด็กลงแฮะ แต่ยังไว้ผมยาวเหมือนเดิม’
“อ่า ..ขอโทษที่ถือวิสาสะมายืนบังหน้าร้านนะครับ ผมกำลังรอคนรถมารับ” พฤกษ์ว่าแต่อีกฝ่ายกลับยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก คุณจะเข้ามารอข้างในด้วยกันไหมล่ะ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” อย่างที่ว่า วันนี้เขาตั้งใจจะมาดูเฉย ๆ ว่าร้านของอีกฝ่ายยังมีอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น
“แต่คุณดูหนาวนะ มาเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
“ไม่เป็นไรครับ รบกวนเปล่า ๆ ”
ลักษมณ์ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ชายหนุ่มกลับเข้าไปในร้านและออกมาพร้อมกับร่มสีดำสนิทหนึ่งคัน
“ผมว่าคุณต้องใช้มันนะ”
พอเห็นว่าพฤกษ์ทำท่าจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กางร่มแล้ววางไว้ตรงปลายเท้าเพื่อกันไม่ให้ฝนกระเซ็นมาโดนขาหรือกางเกง
“ขอบคุณครับ”
“คุณตัวสูงดีนะ” ลักษมณ์ไม่ได้สนใจคำพูดเขาสักนิด “ร้อยแปดสิบเลยมั้งเนี่ย ปกติใส่ชุดสูททำงานบ่อยไหมครับ”
เอาแล้วไง รู้สึกเหมือนตอนที่รู้จักกันครั้งแรกเลย
“ผมเพิ่งจบน่ะ ตอนนี้รอรับปริญญา”
“สนใจตัดสูทดี ๆ สักตัวไหม? ”
พฤกษ์หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าร้านคุณตัดได้เฉพาะสมาชิกหรอกหรือ”
“ผมถูกใจคุณน่ะ ไม่เคยเจอรูปร่างใครแล้วอยากตัดสูทให้ใส่เท่าคุณมาก่อนเลย”
ลักษมณ์ว่าพลางยื่นนามบัตรสีดำเงามาให้เขา
“ผมชื่อลักษมณ์ เป็นเจ้าของร้าน” พฤกษ์รับนามบัตรนั้นมาและเอาใส่ในกระเป๋า เขายื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย พูดว่า
“พฤกษ์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ปี๊นนนนนนน!!
ขณะที่ลักษมณ์กำลังจะยื่นมือมาสัมผัส จู่ ๆ เสียงแตรก็ดังลั่น เขาทั้งสองหันออกไปที่ถนน พอเห็นดูคาติสีดำแดงคันหนึ่งขับมาจอดด้านหน้าก็ต้องเบิกตาโพลงทันที แต่นั่นไม่ได้น่าตกใจเท่าเจ้าของจักรยานยนต์ร่างสูงกำยำในชุดนักเรียนที่เดินดุ่ม ๆ มาหาเขาด้วยสีหน้าน่ากลัวเหมือนเพิ่งจะฆ่าใครมาสด ๆ ร้อน ๆ
เฮือก! อินทรชิต!!
เขาเห็นคุณพฤกษ์แล้ว..
กำลังหลบฝนอยู่กับผู้ชายผมยาวใส่สูทสีเทาที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
อินทรชิตควรจะเข้าไปแทรกตอนนี้ดีหรือไม่ ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณพฤกษ์ยิ้มแย้มและทำตัวสบาย ๆ คงเพราะอีกฝ่ายคือคุณลักษมณ์ ชายเจ้าของร้านตัดสูทชื่อดังในแวดวงสังคมชั้นสูงที่คุณพฤกษ์ใช้บริการอยู่เป็นประจำกระมังถึงได้คุยกันเข้าขาขนาดนี้
‘ไม่ชอบเลย’ เขากังวลอยู่ในใจ ยิ่งพอเห็นคุณพฤกษ์เป็นฝ่ายยื่นมือไปหาคุณลักษมณ์ก่อน ความรู้สึกหึงหวงที่ข่มเอาไว้ก็พลันปะทุออกมาจนเขาไม่สามารถอดทนดูอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป
ปี๊นนนนนนน!!
เขาบีบแตรดังลั่นก่อนจะจอดดูคาติทิ้งเอาไว้แล้วเดินเข้าไปหาทั้งสองคน เป็นโชคดีที่ฝนซาลงแล้วจึงทำให้เขาไม่เปียกปอนระหว่างขับรถมา แต่ดูท่าทีคุณพฤกษ์สิ พอรู้ว่าเป็นเขาแทนที่จะเป็นลุงแสงก็หน้าซีดแล้วผงะไปเลย
“ผมมารับแล้วครับคุณพฤกษ์” อินทรชิตว่าพลางถอดแจ็คแก็ตที่ใส่อยู่ออกก่อนจะนำมันไปสวมทับลงบนไหล่ทั้งสองของคุณเขาอย่างถือวิสาสะ
“แก ..มาได้ยังไง ฉันจำได้ว่าโทรหาลุงแสงไม่ใช่หรือไง”
“ลุงแสงหน้ามืดครับ แกเลยโทรหาผม พอดีกำลังเลิกเรียนเลยอาสามารับคุณแทน”
คุณพฤกษ์พยักหน้าตอบก่อนจะหันไปหาคุณลักษมณ์ที่ยืนมองอยู่ ทว่าคุณลักษมณ์กลับยิ้มหวานให้เขา
“แฟนหนุ่มหรือครับ”
‘ใช่!! ’ เขาอยากตอบออกไปเหลือเกิน ทว่าในความเป็นจริงกลับทำได้แค่ยิ้มรับและตีหน้าซื่อใส่อีกฝ่าย
“ไม่ใช่ครับ” และเป็นคุณพฤกษ์ที่ดับฝันเขาในทันที อินทรชิตหน้าม่อยลง ทำไมถึงปฏิเสธได้อย่างเลือดเย็นขนาดนี้ก็ไม่ทราบ ใจร้ายจริง ๆ ใจร้ายที่สุด
“อย่างนั้นหรอกหรือครับ” เสียงหวานเอ่ย คุณลักษมณ์หรี่ตามองมาที่เขาราวกับจะมองออกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับคุณพฤกษ์
อันที่จริงแล้ว.. ในกาลก่อน คุณลักษมณ์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รับรู้มาตลอดว่าเขาหลงรักคุณพฤกษ์ บอกตามตรงคุณลักษมณ์เป็นบุคคลที่น่ากลัวเหลือเกินสำหรับอินทรชิต อีกฝ่ายสามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ครั้งนั้นก็เหมือนกัน หลังจากที่เขารู้ว่าคุณพฤกษ์เป็นสมาชิกของร้านนี้ เขาก็ทำทุกทางเพื่อให้ได้เป็นสมาชิกที่นี่เพื่อที่อาจจะบังเอิญได้เจอกับอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวเวลามาตัดสูท มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาดันบังเอิญเจอคุณพฤกษ์กำลังลองทักซิโดสำหรับงานเต้นรำอยู่จริง ๆ แล้วก็เป็นคุณลักษมณ์อีกเช่นกันที่มองออกว่าอินทรชิตคิดอย่างไรตั้งแต่ที่เห็นสายตาของเขา
เป็นโชคดีที่คุณลักษมณ์ไม่ใช่พวกปากโป้งหรือชอบยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของลูกค้า แต่ถึงกระนั้นก็เป็นพวกที่ชมชอบความสนุกแถมยังขี้แกล้ง อีกฝ่ายมักจะจงใจนัดเขากับคุณพฤกษ์มาวัดตัวตัดสูทพร้อมกันอยู่เป็นประจำ
‘ผมชอบเวลาเห็นคุณส่งสายตาให้เขานะ เหมือนลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ ร้องขอความรักจากเจ้านายเลย แต่แปลกเสียจริง คุณส่งสายตาแบบนี้ให้เขามาตลอดแต่เขาไม่ยักจะรู้สึกรู้สมอะไรสักที’
เขายังจำคำพูดนั้นของคุณลักษมณ์ได้ดีเชียวล่ะ อีกฝ่ายมักจะชอบหยอกล้อเขาด้วยถ้อยคำแบบนี้อยู่เสมอ
“ฝนซาแล้ว ผมว่าคุณสองคนรีบกลับก่อนที่มันจะตกลงมาอีกรอบจะดีกว่านะครับ”
เสียงหวานรื่นหูเอ่ย คุณลักษมณ์ยิ้มส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มโบกมือลาและหายตัวกลับเข้าไปในร้านทันที
หน้าร้านจึงมีเพียงเขา ...และคุณพฤกษ์
“คุณพฤกษ์ดูไม่ดีใจเลยที่เห็นหน้าผม เราไม่เจอกันมาหลายวันแล้วนะครับ”
อินทรชิตตัดพ้อ เขาแสร้งทำตนให้ปกติราวกับไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่คุณเขาแอบเข้ามาในห้องเมื่อหลายวันก่อน
“ปะ..เปล่านี่” เสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ฉันแค่ไม่ชอบที่ต้องมายืนตากฝนแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบกลับกันดีกว่า” เขาว่าพลางเดินนำไปยังจักรยานยนต์คันใหญ่ที่จอดรอไว้ คุณพฤกษ์ไม่ได้เดินตามโดยทันที อีกฝ่ายกำลังใส่เสื้อแจ็คเก็ตของเขาอยู่ พอจัดการตนเองเรียบร้อยดีก็เดินตามมาที่รถ คุณเขายืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนจะลังเลอย่างไรชอบกล
“จะว่าไปคุณพฤกษ์ยังไม่เคยซ้อนท้ายรถผมเลย”
คุณพฤกษ์ไม่ตอบแค่เอาสอดส่องสายตาหาอะไรบางอย่าง
“เคยนั่งไหมครับ? รู้วิธีนั่งหรือเปล่า? ”
“ฉันไม่ได้โง่นะ” คุณพฤกษ์แก้มแดงเรื่อนิด ๆ “แกคิดว่าฉันเป็นคุณหนูจากในวังหรือไงกัน”
“ก็ผมไม่เคยเห็นคุณนั่งนี่”
“ฉันเคยนั่งซ้อนคนอื่นอยู่ครั้งหนึ่ง”
อินทรชิตคิ้วกระตุก “ใคร? ”
“เหมาเหมา” คุณเขาหมายถึงเลขาหลี่หรือน้องรหัสที่อายุน้อยกว่าปีเดียวคนนั้น
“แล้วนี่ไม่มีหมวกกันน็อกหรือยังไง? ”
“โอ๊ะ” ดูเหมือนเขาจะลืมไปจริง ๆ เสียแล้วเพราะปกติเวลาเขาขับรถคนเดียวมักจะไม่ชอบสวมหมวกกันน็อกเท่าไรนัก มันทั้งอบอ้าวแล้วก็อึดอัด เขาจะใส่ก็ต่อเมื่อคุณพฤกษ์เห็น แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่เห็นก็จะโยนทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลสักนิด
“ตายล่ะ” มือสวยนวดขมับ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ใส่ตลอดใส่ทุกครั้ง แกอยากตายหรือไงฮ๊ะ? อยากตายนักใช่ไหม!? ”
“โถ่คุณ..” เขาแสร้งตีหน้าเศร้า “ครั้งนี้ผมลืมจริง ๆ ครั้งหน้าสัญญาว่าจะใส่ตลอดเลยครับ นะครับ นะ ไม่หงุดหงิดนะ”
คุณพฤกษ์ขมวดคิ้วทว่าสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างเหนื่อยหน่าย ร่างโปร่งเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังก่อนจะวาดเรียวขาขึ้นคร่อมเบาะหนังสีดำเงา อินทรชิตตื่นเต้นจนตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อคุณพฤกษ์เอื้อมมือมาจับเสื้อนักเรียนตรงช่วงเอว
‘กอดเอวผมสิ! กอดแน่น ๆ เลย ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะเร่งเครื่องแล้วนะ! ’
“รถมันแรงนะครับ” เขาพูดขณะที่บิดแฮนด์รถ “คุณพฤกษ์ควรกอดเอวผมแน่น ๆ จะดีกว่า คุณคงไม่อยากหงายหลังจนตกลงไปหรอกใช่ไหม? ”
“ไม่เอา” เสียงคุณพฤกษ์ดื้อมาก “แกก็ขับช้า ๆ สิ”
“ฝนทำท่าจะตั้งเค้ามาอีกรอบแล้ว ถ้าผมขับช้าคุณพฤกษ์จะเปียกเอาได้”
“เรื่องมาก” อีกฝ่ายว่า “รู้งี้กลับแท็กซี่ดีกว่า”
“คุณพฤกษ์ไม่กล้าหรอก อะไรที่คุณไม่เคยมาก่อนคุณจะไม่ลองเด็ดขาด”
“รู้ดีจริงนะ”
บรื้น ๆ
“ไอ้เขี้ยว!! ” ฝ่ามือเรียวสวยฟาดลงมากลางแผ่นหลังกว้างดังแอ่ก! คุณพฤกษ์ที่เกือบจะหงายหลังรีบผวาตัวกอดรัดเอวเขาเอาไว้แน่น ถึงแม้จะเจ็บเพราะถูกคุณเขาตีจนจุกแต่ถึงกระนั้นอินทรชิตก็มีความสุขจนแทบจะสำลักเลยล่ะ
ทว่าเมื่อเขาขับมาได้เพียงครึ่งทางฝนเจ้ากรรมก็ดันเทลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งยังซวยซ้ำที่ข้างทางมีแต่ป่ารกทึบไม่มีที่ใดให้แวะจอดเพื่อหลบฝนได้เลย ขณะนั้นเอง อินทรชิตก็รู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดที่แน่นขึ้นพร้อมกับสัมผัสอ่อนนุ่มที่ถูไถไปมาบนหลัง
“คุณพฤกษ์? ” เขาเรียก ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินเพราะแรงจากลมและฝน
กระทั่งโชคเข้าข้าง อินทรชิตเหลือบไปเห็นเพิงร้านขายข้าวแกงที่ถูกทิ้งร้างอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะขับตรงเข้าไปเพื่อขออาศัยใช้หลบฝน เมื่อรถจอดนิ่งสนิท คุณพฤกษ์ก็ก้าวลงมายืนตัวสั่นข้าง ๆ
“คุณพฤกษ์เป็นอะไรหรือครับ” เขาถามพลางใช้แขนถือวิสาสะโอบร่างกายอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ คุณพฤกษ์ที่ตัวเปียกปอนแหงนหน้าขึ้นมามองเขา อินทรชิตใจแทบร่วงลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ผิวแก้มขาว ๆ ของคุณพฤกษ์แดงเป็นจ้ำซ้ำดวงตายังมีน้ำตาเอ่อคลอไม่ขาด
“เขี้ยว ฉันเจ็บ..” เสียงอีกฝ่ายสั่นเครือ
เพียงเท่านั้นเอง ทันทีที่ได้ยินคำว่าเจ็บจากปากอีกฝ่ายชายหนุ่มก็หวาดกลัวขึ้นมาจับใจ อินทรชิตรีบถามด้วยความเป็นห่วง
“จะ..เจ็บตรงไหนครับ”
“หน้าฉันเจ็บ” คุณพฤกษ์เบ้หน้า “ฝนเม็ดใหญ่ตกใส่หน้าตั้งนาน เจ็บไปหมดแล้ว”
“โถ่.. ทูนหัวของผม” อินทรชิตยกฝ่ามือขึ้นกอบกุมใบหน้าอีกฝ่าย เขาใช้หัวแม่มือเกลี่ยแก้มนุ่มที่แดงซ่านเพราะแรงตกกระทบจากห่าฝนเมื่อครู่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ขอโทษนะครับ ถ้ามีรถยนต์สักคันคงไม่ลำบากแบบนี้”
“เอาไว้ฉันจะซื้อให้แกทีหลัง”
คุณพฤกษ์พูดเรียบ ๆ ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้เขาเองก็ได้สิ่งของแพง ๆ จากคุณเขามามากมาย ทั้งเงินสด เสื้อผ้า ของใช้แบรนด์เนมตลอดจนคอนโดมิเนียมสุดหรูหนึ่งห้อง ที่จริงแล้วคุณพฤกษ์บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะซื้อให้เพราะตอนแรกกะจะซื้อไว้อยู่เองในอนาคต ทว่าไป ๆ มา ๆ กลับเปลี่ยนใจซื้อรวบเป็นสองห้องติดกัน หนึ่งในสองห้องนั้นจึงถูกโอนเป็นชื่อเขาไปโดยปริยาย
‘อย่างกับเป็นอีหนูให้เสี่ยเลี้ยงเลยแฮะ’ อินทรชิตขำกับความคิดของตนเอง
เขาเดินตามคุณพฤกษ์เข้าไปในเพิงเล็ก ๆ และเห็นเก้าอี้ม้านั่งสภาพเก่าหนึ่งตัววางไว้หลังหน้าร้าน ทว่าคุณเขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลงเสียที
“มันสกปรก” คุณพฤกษ์ให้เหตุผล “และฉันไม่คิดจะเอาแจ็กเก็ตตัวละสามหมื่นไปปูทับเพื่อนั่งเด็ดขาด”
อินทรชิตถอดถอนใจ แต่เอาเถิด แจ็คเก็ตตัวนั้นก็เป็นเงินของคุณเขาอีกนั่นแหละที่ซื้อให้ใช้ จะเอาไปใช้อย่างไรก็ตามที่ท่านสะดวกใจได้เลย
“กล้านั่งไปได้ยังไงก็ไม่รู้” ร่างโปร่งเอ็ดเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และทิ้งตัวลงนั่งทันทีโดยไม่กริ่งเกรงสิ่งสกปรกใด ๆ
“มานี่สิครับ” เขาตบตัก คุณพฤกษ์ขึงตาอย่างเอาเรื่องใส่ทันที
“ไม่เอา! ” เสียงคุณเขาตอนปฏิเสธช่างดื้อดึงเสียจนเขารู้สึกคันยุบยิบในใจ
“ทำไมล่ะ” เขาว่าพลางทำหน้าหมอง “รังเกียจอย่างนั้นหรือครับ”
“ปะ..เปล่า”
“คุณพฤกษ์รังเกียจผม”
“ก็บอกว่าเปล่า”
“รังเกียจสินะ”
“ไอ้เขี้ยว! ”
ไอ้เขี้ยวที่ว่าหันมากระพริบตาปริบ ๆ มองเขาไม่ต่างจากหมาตัวโตสักนิด อยากจะบ้าตาย ที่เขาไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ใช้อินทรชิตสำเร็จความใคร่ ไหนจะเรื่องที่มันเองก็ใช้เขาสำเร็จความใคร่นั่นอีก ทำเอาเขาสับสนและปั่นป่วนไปหมด!
“ถ้าไม่ได้รังเกียจก็นั่งตักผมสิครับ คุณพฤกษ์ไม่เมื่อยหรือยืนนาน ๆ ”
ดูเหมือนคุณเขาจะจนปัญญาแล้ว สุดท้ายจึงจำใจยอมนั่งลงบนตักของอินทรชิตแต่โดยดี ชายหนุ่มเหมือนเฝ้ารอโอกาสนี้มานานแสนนาน พอคุณเขานั่งลงปุ๊บอินทรชิตก็รีบสอดแขนกอดเอวบางไว้แล้วรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาแนบชิด
“นะ..นี่ มันอึดอัดนะ” คุณพฤกษ์ตีแขนเขาเบา ๆ ทว่าก็ไม่ได้ขืนตัวหนีจากอ้อมแขนแต่อย่างใด
“ผมเห็นคุณหนาว” ดูสิ เนื้อตัวนุ่มนิ่มเย็นชืดเพราะฝนไปหมด พอเห็นคุณพฤกษ์ตัวสั่นงันงกแบบนี้แล้วเขาไม่อาจใจร้ายปล่อยให้อีกฝ่ายต้องกอดตนเองเด็ดขาด ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่น คุณพฤกษ์ไม่ได้ทักท้วงอะไรอินทรชิตจึงได้นึกย่ามใจ ชายหนุ่มซบหน้าลงบนบ่าข้างหนึ่ง ทว่าคุณเขากลับมีปฏิกิริยา
“ไม่ต้องห่วงผมโกนหนวดแล้ว รับรองไม่บาดผิวคุณพฤกษ์แน่นอน”
แม้อยากจะพูดอะไรออกไปแต่เขากลับพูดไม่ออก พฤกษ์ได้นั่งนิ่ง ๆ ในอ้อมกอดที่ตรึงตนเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหน
จิตใจเขาว้าวุ่น! และยังเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามเมื่ออีกฝ่ายถูไถปลายคางลงบนซอกคออ่อนนุ่ม พฤกษ์ทำเป็นไม่สนใจและพยายามคิดว่าตลอดสามปีที่ผ่านมามันก็กอดเขาแบบนี้บ่อยไม่เห็นเขาจะรู้สึกรู้สมอะไร มันไม่มีอะไร มันยังคงเป็นปกติ ไม่แน่ว่าวันนั้นของเดือนมันอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเขาแอบเข้าไปในห้อง
พฤกษ์พยายามหาเหตุผลให้ตนเองพร้อมกับหันออกไปมองด้านนอก ดูท่าว่าฝนเฮงซวยนี่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยสักนิด
จุ๊บ!
ขณะที่เหม่อลอย พฤกษ์ก็ได้ยินเสียงจุ๊บที่ว่านั่นดังขึ้น ชายหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อ หัวใจของเขาเต้นเร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อกี้แกทำอะไร”
“ครับ? ” อินทรชิตแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทว่าการกระทำของมันกลับตรงกันข้าม พฤกษ์สะท้านไปทั้งร่างเมื่อริมฝีปากร้อนจัดทาบลงมาบนผิวซอกคออีกครั้ง อีกฝ่ายไม่เพียงแค่จูบแต่กลับใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาบ้างหนักบ้างจนเขาคิดว่ามันคงขึ้นรอยจ้ำสีแดง ๆ บนเนื้อของตนแน่นอน
‘ไอ้เด็กบ้านี่ มันกล้านัก! ’ พฤกษ์สบถอยู่ในใจ
“เขี้ยว” เขาย้ำ “แกอย่ารุ่มร่าม”
อินทรชิตไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาตำหนิ อีกฝ่ายยื่นข้อมือข้างหนึ่งมาตรงหน้า พฤกษ์ใจเต้นระส่ำไม่หยุด พระเจ้า! นาฬิกาที่เขาทำร่วงลงพื้นไปวันนั้นบัดนี้กลับมาเด่นหราอยู่บนข้อมือแกร่งเสียแล้ว
‘ไม่นะ มันรู้อย่างนั้นหรือ’เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“ขอบคุณนะครับ ถูกใจผมมากเลย” เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างหูที่แดงก่ำของเขา พฤกษ์เบือนหน้าหนีอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่เขาอับจนหนทางถึงขนาดนี้
“ฉัน ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
พฤกษ์ไม่รู้จริง ๆ นั่นแหละว่าคำพูดเขามันแสดงพิรุธออกมาชัดแค่ไหน อินทรชิตแสยะยิ้ม เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้และพูดว่า
“ว่าแล้วเชียว ..วันนั้นคุณพฤกษ์เองก็รู้สินะว่าผมทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ”
ชายหนุ่มหน้าแดงจัด เสียอาการจนเห็นได้ชัด
“ว่าไงครับ? ” อินทรชิตกระหยิ่มยิ้มย่อง “ได้เห็นหรือได้ยินอะไรหรือเปล่า”
พฤกษ์เม้มริมฝีปากแน่นเป็นคำตอบ
“คุณคงจะได้ยินเสียงผมหอบและอาจจะได้ยินตอนที่ผมเรียกชื่อ..”
“พะ พอ ไม่ต้องพูด ฉันได้ยินแล้ว”
เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะอยู่ในคอ
“ไม่ถามหรือครับว่าทำไมผมถึงคิดถึงคุณตอนช่วยตัวเอง? ”
“ไม่อยากรู้สักหน่อย”
“แต่ผมอยากบอก”
“อ๊ะ! ”
พฤกษ์ครางออกมาเบา ๆ เพราะแรงเสียดสีบางอย่างที่ดันขึ้นมาจากเบื้องล่าง พอก้มลงมองก็พบว่าเป้ากางเกงของตนกำลังคับและนูนออกมาอย่างน่าอาย
“คุณพฤกษ์แข็งแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยพลางจูบลงบนบ่าอ่อนนุ่มอย่างรักใคร่ พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นก็พลันเลือดลมสูบฉีด เขาอายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“อย่าหนีบขาสิครับ” อินทรชิตจับขาแยกออก “ให้ผมช่วยนะทูนหัว”
ไม่พูดเปล่าทว่ากลับตรงไปรูดซิปกางเกงลงอย่างรวดเร็ว พฤกษ์ตะครุบฝ่ามือนั้นไว้ก่อนที่มันจะควักหรือล้วงเอาอะไรของเขาออกมา
“ไอ้บ้า อย่าแม้แต่จะคิดเชียว! ”
“แต่คุณมีอารมณ์เพราะผม”
“ฉันจัดการเองได้”
“งั้นก็ทำเสียสิ” ชายหนุ่มว่า โทนเสียงที่ใช้พูดนั้นแหบพร่าจนแทบไม่เหมือนปกติ
“ทำเดี๋ยวนี้เลย”
“บัดสี! ” พฤกษ์นิ่วหน้า “แกกำลังขอให้ฉันช่วยตัวเองให้ดูกลางป่ากลางฝนหรือไง”
“ทีคุณยังดูของผม”
“ไม่ได้ดู! แค่ได้ยิน!”
“คุณไม่กล้าหรือครับ?” อินทรชิตลองเชิง
“อย่ามาหัวหมอกับฉัน”
“โถ่ ผมก็แค่อยากช่วย” ชายหนุ่มจูบลงบนกกหู กระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“แข็งขนาดนี้ไม่ปวดแย่หรือครับ อย่าอายเลยน่า ผมก็แค่ช่วยคุณให้เสร็จ ๆ ไป ถ้าไม่เอาออกจะแย่เอานะครับ”
อินทรชิตไม่รอให้เขาคัดค้านหรืออนุญาตใด ๆ ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งสอดเข้าไปในกางเกงอย่างรวดเร็ว พฤกษ์สะดุ้งเฮือกทันทีที่อินทรชิตสัมผัสตรงส่วนที่อ่อนไหวมากที่สุดในร่างกายของเขา
ชายหนุ่มงัดมันออกมาจากกางเกงทันที
“ของคุณพฤกษ์น่ารัก สีชมพูดีจังเลยครับ”
พฤกษ์นึกชังในคำพูดพวกนั้นจนอยากจะทุบอีกฝ่ายให้หลังหักเสียเดี๋ยวนี้
“จะทำอะไรก็รีบทำ!” อินทรชิตยิ้มมุมปากทันทีที่โอกาสทองมาถึง เขาก้มหน้าสูดเอาความหอมหวนจากซอกคออีกฝ่ายก่อนจะจับแกนกายที่แข็งขืนให้กระชับมือ
อินทรชิตใช้หัวแม่มือกดลงหลุมเล็ก ๆ ตรงกลางส่วนหัว
“อ๊า” พฤกษ์หลุดเสียงครางออกไปก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเอง อินทรชิตไล้ริมฝีปากบนผิวแก้ม
“ให้ผมได้ยินเสียงของคุณ” เขาว่า “ให้ผมได้ยินมันสักครั้ง ได้โปรด ผมไม่อยากจินตนาการเอาเองอีกแล้ว”
สิ้นเสียงนั้นพฤกษ์ก็ค่อย ๆ ลดมือลงและเปลี่ยนเป็นเลิกเสื้อยืดของตนขึ้นสูง เขาไล้ปลายนิ้วบดวนไปมาที่ยอดอกสีหวานจนมันแข็งชูชันแข่งกันแกนกายด้านล่าง อินทรชิตที่มองการกระทำนั้นถึงกับกัดริมฝีปากของตนแน่น ชายหนุ่มใช้มือที่ยังว่างอยู่อีกข้างลูบคลำไปมาทั่วแผ่นอกบางขาวผุดผ่อง เขาปัดมือของพฤกษ์ออกและใช้ปลายนิ้วมือแข็ง ๆ บี้บิดยอดอกข้างนั้นเสียเอง
“อ๊า.. อือ” เสียงหวานทุ้มเริ่มครางเครือเมื่อมือไม้ที่อยู่ด้านล่างเริ่มเคลื่อนไหว อินทรชิตค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือกอบกุมแกนกายที่ร้อนจัดและขยับมันเบาบ้างหนักบ้างตามน้ำหนักมือและความพึงพอใจ
“เร็วสิ..” พฤกษ์บอกเขาเสียงสั่น “ทำมันเร็ว ๆ ”
“คุณอยากเสร็จแล้วหรือ?”
ใบหน้าสวยพยักหน้าตอบ อินทรชิตจึงกระชับฝ่ามือรูดรั้งแรง ๆ และทำเช่นนั้นอยู่สักพัก กระทั่งความปรารถนาของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นสูง พฤกษ์หอบหายใจรุนแรง เขาวางมือซ้อนลงบนหลังมือใหญ่และออกคำสั่งให้ชายหนุ่มช่วยนำพาเขาไปให้ถึงจุดหมาย
“ซี๊ดด.. อ๊ะ ฉันจะเสร็จแล้ว”
“คนดี เรียกชื่อผม ใช้ผมสิครับ”
อินทรชิตซบหน้าลงกับบ่า เขาเร่งความเร็วของฝ่ามือขึ้นอีกนิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นและจูบลงบนขมับของพฤกษ์อย่างรักใคร่สุดหัวใจ
“อ๊า! เขี้ยว …”
ชายหนุ่มรูดมือหนัก ๆ อีกสองสามครั้งเพื่อส่งพฤกษ์ให้ถึงจุดหมายและรีดเค้นทุกหยาดออกมาจนหมดสิ้น จนเมื่อเขาเสร็จสม พฤกษ์จึงเอนตัวพิงลงมากับอกแกร่งที่รอรับอยู่ด้านหลังอย่างหมดสภาพ เขาหอบหายใจรุนแรง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พักให้หายสั่น อินทรชิตก็จับปลายคางเขาให้เชิดหน้าขึ้น
“มันกระเด็นมาโดนปาก”
“เอ๊ะ..” โดยไม่ทันที่จะได้รู้ตัวว่าอะไรหรือสิ่งใดที่กระเด็นมาโดนปาก อินทรชิตก็โน้มหน้าลงพร้อมกับแนบริมฝีปากทาบทับ อีกฝ่ายอาศัยจังหวะที่เขาอ้าปากหายใจสอดลิ้นร้อนลวกเข้ามาภายในอย่างง่ายดายก่อนจะใช้ลิ้นและริมฝีปากนั้นดูดดุนเรียวลิ้นของเขาอย่างเร่าร้อน วันนี้หัวใจของพฤกษ์ทำงานอย่างหนัก เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายเสียให้ได้ กายทั้งกายร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิงแผดเผาให้วอดวาย
‘ทรมานแต่ก็รู้สึกดีสุดยอดไปเลย’
อินทรชิตถอนริมฝีปากออกมาอย่างแช่มช้าก่อนที่ชายหนุ่มจะไล่ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า เมื่อทำเช่นนั้นจนพอใจ อินทรชิตก็เอาแต่ซุกหน้าอยู่เงียบ ๆ บนบ่าของเขาพร้อมกับพูดเบา ๆ ทว่าหนักแน่นทุกคำ
“สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือผมรักคุณ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ