คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) 00 30
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 30
เช้าวันเสาร์ พฤกษ์ตื่นมาด้วยอาการปวดเมื่อยไปทั่วทั้งร่าง เขาแทบจะขยับลุกไปไหนไม่ได้ ปวดบ่า ปวดหลังช่วงล่างและนั่นคงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าสะสมจากการนั่งเครื่องบินนาน ๆ เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะก้มลงเก็บชุดคลุมนอนที่ถูกถอดทิ้งขึ้นมาส่วมใส่ เสียงกระดูกสะบ้าดังลั่นกร๊อบ ๆ บางทีวันนี้เขาควรจะขอให้ใครสักคนที่ว่างงานอย่างป้าเมียมหรือต่ายช่วยนวดตามร่างกายก่อนอาบน้ำ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงสวมสลีปเปอร์แล้วเดินออกไปด้านนอก พฤกษ์ลงมาถึงกลางบันได เขาเห็นร่างสูงของอินทรชิตเดินสวนขึ้นมาพอดี อีกฝ่ายอยู่ในชุดออกกำลังกาย เหงื่อกาฬไหลล้นท่วมตัว ทว่ากลับถอดเสื้อออกมาพาดไว้บนบ่า
เขาหรี่ตามองร่างกายกำยำของอีกฝ่ายอย่างใคร่รู้ สามปีมานี้ดูเหมือนมันจะบ้าคลั่งการเข้ายิมและการออกกำลังกายมากจนร่างกายหนาปึกกว่าเด็กมอปลายทั่วไปที่เขาเคยเห็นเสียอีก
‘นึกถึงตอนใส่สูททำงานเลยแฮะ’ พฤกษ์คิด ‘ตอนนั้นสาว ๆ ในออฟฟิศคงหลงมันน่าดู’
“ไปวิ่งตอนเช้ามาหรือ” เขาเป็นฝ่ายทักก่อน อินทรชิตที่ก้มหน้าเดินถึงกับสะดุ้ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ยิ้มร่า
...เขาเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ นั่น ดูเหมือนจะเด่นชัดกว่าตอนเป็นเด็กมาก อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งชื่อ ‘เขี้ยว’ เพราะอินทรชิตเป็นชื่อของยักษ์ อัปลักษณ์และชอบกินคน แต่เขาตั้งชื่อ ‘เขี้ยว’ เพราะเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มักโผล่มาให้เห็นทุกครั้งที่เจ้าตัวยิ้ม
น่าเสียดายที่มันไม่ค่อยยิ้ม คงเพราะที่ผ่านมามัวแต่หวาดกลัวเขากระมังถึงได้เหนียมอายอยู่อย่างนั้น
“คุณพฤกษ์” อินทรชิตทำทางจะพุ่งมาหาเขาทว่ากลับชะงักไปแล้วตีตนออกห่าง
“เป็นอะไร? ” เขาถามอย่างนึกห่วง หรือที่มันออกห่างเป็นเพราะเขายังไม่อาบน้ำ
ไอ้เด็กบ้านี่..
“ผมตัวเหม็นมาก มีแต่เหงื่อทั้งนั้น” ชายหนุ่มตอบ ดวงตาใสซื่อ
“หื๋อ” พฤกษ์ร้องในคอและทำจมูกฟุดฟิดใกล้ ๆ อีกฝ่าย อินทรชิตหูแดงก่ำได้แต่กลั้นหายใจอย่างสุดความสามารถ
“ก็ไม่ได้เหม็นอะไรขนาดนั้น” เขาว่า “ฉันยังได้กลิ่นโคโลญจน์อยู่นิดหน่อย”
คราวนี้ไม่ใช่แค่หูแล้วที่แดง แต่ใบหน้าลงไปลำคอก็พลันแดงเรื่อขึ้นมาอย่างน่าอาย
“คุณ ..คุณพฤกษ์ตื่นไวจัง” เขาแสร้งชวนคุยเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนที่ตนเองจะรู้สึกไม่ไหวไปมากกว่านี้
“ปกติฉันก็ตื่นเช้าทุกวัน”
“อ๋อ ..นั่นสิครับ ฮะฮะ” เขาไปไม่เป็น “คุณจะลงไปเดินเล่นหรือครับ หรือว่าทานข้าวเช้า”
“เปล่าหรอก” เขาโบกมือ “ฉันปวดหลังน่ะ ว่าจะขอแรงคนที่ว่างช่วยนวดให้หน่อย”
“ผมว่าง! ” เขาสวนกลับไปทันที พอเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่ายเขาจึงคิดได้ว่าตนเองไม่ควรผลีผลามทำให้กระต่ายตื่น
“เอ่อ..” อินทรชิตกำลังนึกข้ออ้างดี ๆ “ผมเห็นป้าเมียมกับพี่ต่ายยุ่งอยู่ในครัว ส่วนลุงแสงกำลังล้างรถ ไม่มีใครว่างเลยสักคนนอกจากผม คุณพฤกษ์คงไม่คิดจะใช้แรงงานแม่พลอยหรอกใช่ไหมครับ? ”
“แกจะบ้าหรือไง” พฤกษ์กอดอก เชิดใบหน้าขึ้นและพูดว่า “แม่พลอยแก่แล้ว เจ็บออด ๆ แอด ๆ ขืนใช้มีหวังขี้กลากคงกินหัวกันพอดี”
“คุณพฤกษ์ใช้ผมได้ ขี้กลากไม่กินหัวคุณแน่นอน”
พฤกษ์หัวเราะในคอ ตอบว่า
“แกนี่ใช้ให้ทำอะไรก็ทำได้หมดเลยนะ”
“ถ้าคุณพอใจผมก็ทำได้ทั้งนั้น”
“ว่านอนสอนง่ายเหมือนหมาดี”
อินทรชิตคลี่ยิ้ม เขี้ยวเล็ก ๆ โผล่ออกมาให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ
“ผมไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมานวดนะครับ”
“นวดเสร็จค่อยอาบก็ได้นี่ ดูฉันสิ ฉันก็ยังไม่ได้อาบเลย ตื่นนอนก็ลงมาทั้งแบบนี้”
‘คุณพฤกษ์ทั้งตัวหอมและสะอาดอยู่ตลอด ผมกลัวว่าคุณจะไม่ชอบผม’
“ผมเหนียวตัวน่ะครับ” สุดท้ายกลับตอบออกไปแบบนั้น “ไม่ต้องห่วง ผมอาบน้ำไม่เกินห้านาทีหรอก”
“สิบห้านาที” พฤกษ์ว่า “อย่าอาบมาลวก ๆ เชียวนะ”
อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ เป็นอันว่าตกลง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะนอนรอแกอยู่ที่ห้อง”
พูดจบร่างโปร่งก็หมุนตัวกลับและเดินขึ้นบันไดไป ขณะที่อินทรชิตยิ้มค้างกับคำพูดที่ชวนให้คิดทะลึ่งของอีกฝ่าย
“นอนรออะไรกัน” ชายหนุ่มลูบหน้าที่แดงจัด
“บ้าจริง คิดไปถึงไหนเนี่ยกู”
พฤกษ์กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง เขาจัดการดึงผ้าห่มและหมอนออกไปเพื่อเตรียมเตียงสำหรับนอนนวด ชายหนุ่มเดินไปยังโต๊ะตรงหัวเตียง เปิดลิ้นชักออกชั้นแรกออกเพื่อนำครีมนวดสูตรร้อนออกมาและเปิดชั้นที่สองเพื่อหาเทียนหอม พฤกษ์เลือกหยิบกลิ่นดอกพีโอนี่ออกมา เขาค่อนข้างชอบมันเพราะกลิ่นดอกพีโอนี่นั้นให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสงบ พฤกษ์หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดและตั้งไว้บนเตียงเพื่อสร้างบรรยากาศ เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงปลดเสื้อคลุมนอนและโยนส่ง ๆ ไปไว้บนพื้นก่อนจะทิ้งตัวนอนคว่ำหน้ารออินทรชิตเข้ามาหา
ผ่านไปราวสิบนาที อินทรชิตที่อาบน้ำตัวหอมฉุยก็เปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นคุณพฤกษ์นอนคว่ำหน้าโชว์แผ่นหลังขาว ๆ อยู่บนเตียงเขาถึงกับก้าวขาไม่ออก
อินทรชิตตั้งสติอยู่นานก่อนเท้าจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาเก็บชุดคลุมนอนสีดำสนิทที่ตกอยู่ขึ้นมาพับเก็บและวางไว้บนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม
“คุณพฤกษ์ครับ” อินทรชิตเสียงสั่น ทว่าคุณพฤกษ์ไม่อาจรู้ว่าตอนนี้มีใครบางคนกำลังยืนตาพร่ามองแผ่นหลังขาวผ่องของตนเอง
‘เวรเอ๊ย..’ ชายหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างอดกลั้น
“มาแล้วหรือ” เสียงนุ่มงัวเงีย คุณพฤกษ์พูดทว่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมองอินทรชิตแต่อย่างใด
“ครีมอยู่นั่น ถ้านวดไม่ถนัดจะคร่อมก็ได้ ฉันไม่ถือ”
‘พระเจ้า ..ไม่เสียดายชาติเกิดจริง ๆ ’ อินทรชิตกรีดร้องอยู่ภายใน
“ผมขออนุญาตนะครับ” เขาว่า สีหน้าชื่นมื่นเกินจะหาคำใดเปรียบ
“อนุญาต” สิ้นเสียงนุ่มตอบ อินทรชิตก็ค่อย ๆ วาดขาขึ้นคร่อมแบบไม่นั่งทับอีกฝ่าย เขาไม่กล้าพอที่จะนั่งทับบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอ่อนนุ่มเพราะกลัวว่าคุณพฤกษ์จะรับน้ำหนักไม่ไหวและจะรู้สึกเจ็บเอา
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบหลอดครีมนวด บิดฝาและค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือป้ายเนื้อครีมสีขาวไปทั่วแผ่นหลัง
“เขี้ยว” คุณเขาเอ่ย “ทำไมมือแกด้านนัก”
“คงเพราะเล่นเครื่องดนตรีมั้งครับ”
“อ้อ ฉันก็ลืมไปว่าแกอยู่ชมรมดนตรี” คุณพฤกษ์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหาท่านอนที่สบาย
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ซ้อมหนักไหมล่ะนั่น”
“ช่วงนี้ซ้อมทุกวันครับ อีกสองอาทิตย์จะมีงานนิทรรศการโชว์ผลงาน ชมรมผมต้องเอ็นเตอร์เทน”
“น่าคิดถึงจัง สมัยฉันเรียนที่นั่นน่าปวดหัวจะตาย ดันไปเป็นสภานักเรียนเลยต้องคอยวิ่งเต้นประสานงานอยู่ตลอด”
เขาหัวเราะ “คุณพฤกษ์จะมางานไหม งานขายบัตร คนนอกหรือศิษย์เก่าก็เข้าได้”
“ดูก่อนแล้วกัน”
“ต้องมานะครับ” เขาเว้าวอน “คุณพฤกษ์ยังไม่เคยเห็นผมตีกลองเลยนี่”
“อืม ดูก่อน”
“โธ่..”
“ปากพูดแต่มือไม่ไปเลยนะแกน่ะ เอ้า นวดเร็วเข้าสิ อย่าอู้”
อินทรชิตหน้าม่อยลง หางและหูก็ลู่ตกไปตามระเบียบ แต่ไม่เป็นไร ..คราวหน้าเขาจะลองตื้อคุณพฤกษ์ดูอีกสักครั้ง
เขาหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ..แผ่นหลังบางขาวผุดผ่อง
ต้นคอและไหล่ของคุณพฤกษ์แลดูสวยอ่อนช้อยจนเขาเผลอมอง เมื่อดึงสติกลับมาได้ อินทรชิตก็วางมือลงบนบ่านุ่มทั้งสองข้างและออกแรงบีบ กะน้ำหนักไม่ให้เบาหรือแรงจนเกินไปเพราะกลัวจะทำบ่าสวย ๆ เจ็บช้ำ
“อ๊า”
“แค่ก! ” อินทรชิตตัวแข็งทื่อ
“อ๊ะ เขี้ยว”
“...” หัวสมองเองก็มึนเบลอคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“ตะ ตรงนั้นแหละ กดค้างไว้แรง ๆ ”
ชายหนุ่มกัดปากตนจนแดงช้ำ เขาสูดลมหายใจลึกและพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะสงบสติอารมณ์ของตนเองให้เป็นปกติ
‘มึงต้องอดทนอดกลั้นให้มากกว่านี้! ’ เขาเตือนสติตน
“ตรงนี้หรือครับ? ”
“อื้อ! อ๊าง.. สุดยอดไปเลย”
หลังจากนั้นอินทรชิตก็ทนฟังเสียงครางอันสุขสมสลับกับเสียงกระดูกลั่นของคุณพฤกษ์ต่อไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม
กระทั่งคุณเขาบอกให้อินทรชิตหยุด ชายหนุ่มรีบกระโดดจากเตียงลงมายืนทำใจให้สงบโดยทันที
‘ฉิบหายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ’ คำหยาบวิ่งผ่านเข้าหัวเขายาวเหยียด
“แกนวดเก่งมาก ฉันสบายตัวขึ้นเยอะเลย”
เสียงนุ่มชื่นชมเขาและพลิกตัวนอนหงาย อินทรชิตตาถลนเพราะสายตาดันไปสบเข้ากับยอดอกสีแดงเรื่อที่ชูชัน
‘ฟัค.. มันตั้งเพราะแอร์หรือการเสียดสีของเตียง’
"ถ้าคุณพอใจผมก็ดีใจ” ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีและแสร้งยืนไขว้ขาปกปิดอะไรบางอย่าง
ไม่ได้การ.. ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าจะแข็งจนนูนขึ้นมาเสียแล้ว
“ขอบคุณมาก” คุณพฤกษ์ว่า “กลับห้องไปเถอะ”
ปัง!
หลังจากเสียงประตูปิดลงดังลั่น พฤกษ์ที่นอนเอื่อยเฉื่อยอยู่ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายังไม่ได้ให้ของฝากกับอินทรชิตนี่เอง!
เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างโปร่งก็ดีดตัวลุกขึ้น หยิบชุดคลุมที่พับเอาไว้อย่างเรียบร้อยขึ้นมาคลี่ออกและสวมใส่อย่างลวก ๆ เขาเดินไปยังโต๊ะทำงาน เอื้อมไปคว้าถุงกระดาษที่บรรจุนาฬิกาข้อมือสุภาพบุรุษจากแบรนด์ดังระดับโลกติดมือก่อนออกจากห้อง พฤกษ์ตรงดิ่งมายังชั้นสอง เมื่อมาถึงหน้าห้องนอนของอินทรชิตก็ต้องแปลกใจเพราะประตูถูกเปิดแง้มเอาไว้ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังเร่งรีบจนลืมหันกลับมาปิดอย่างไรอย่างนั้น
พฤกษ์ถือวิสาสะเปิดมันออก เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็ไม่พบอีกฝ่าย ชายหนุ่มหันรีหันขวาง กำลังคิดว่าควรวางของฝากเอาไว้ตรงไหนดีถึงจะเห็นได้อย่างชัดเจน
“อ่ะ..อา”
พฤกษ์ยืนนิ่ง เขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดออกมาจากมุมหนึ่ง เมื่อหันกลับไปก็พบว่าประตูห้องน้ำถูกเปิดออกเล็กน้อย
“.. ซี๊ดด”
คราวนี้มันชัดเจนกว่าเมื่อครู่มาก เสียงนั้นที่ได้ยินคือเสียงสูดปาก พฤกษ์ไม่ใช่คนโง่ เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะทำไมจะไม่รู้ว่าอินทรชิตกำลังทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ
วัยรุ่นกลัดมันก็อย่างนี้สินะ..
‘แย่แล้วสิ เผลอเสียมารยาทเสียได้’ พฤกษ์ส่ายหน้าให้กับตนเอง ‘เขี้ยว ฉันขอโทษ’
ร่างโปร่งถอนหายใจออกมายาวเหยียด ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเดินออกไปอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการทำกิจกรรมเข้าจังหวะจากนั้นจึงค่อยเอาของฝากมาให้เจ้าตัวอีกครั้งในตอนบ่าย สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นและมันก็ได้ตรึงร่างเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
“อ๊า ..คุณพฤกษ์”
“.....”
“คุณพฤกษ์”
ตุ้บ!
กว่าพฤกษ์จะรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่ถุงกระดาษร่วงลงไปอยู่บนพื้นเสียแล้ว
พฤกษ์นอนไม่หลับทั้งคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก
..ดันไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้เข้าเสียแล้ว
อย่างแรก พฤกษ์ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหลังจากที่รู้ว่าอินทรชิตใช้เขาสำเร็จความใคร่ในห้องน้ำ ทว่าสิ่งที่เขารู้สึกกลับตรงข้ามยิ่งกว่านั้น พฤกษ์รู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ถึงจะตกใจในช่วงแรกแต่ต่อมาเขากลับวูบวาบในอกอยู่อย่างนั้น สลัดเท่าไหร่ก็สลัดไม่ออกเสียที เขาสาบานอย่างสัตย์จริง เขาสับสนเป็นอย่างมากและมันประหลาดเสียยิ่งกว่าประหลาด พฤกษ์คิดว่าเขาต้องใช้เวลาในการขบคิดเรื่องนี้อีกสักหน่อยจึงจะหาคำตอบให้ตนเองได้
อย่างที่สอง เขาไม่อาจแน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกกับเขาในแง่ไหน ถ้าหากมันชอบ มันจะชอบถึงขั้นไหน มันเป็นเกย์หรือแค่หลงใหลใครสักคนประเดี๋ยวประด๋าว อินทรชิตอายุสิบแปด เป็นชายหนุ่มวัยกำลังเจริญเติบโตและเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ คงเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ
เดี๋ยว.. นี่เขากำลังคิดว่ามันชอบหรือรู้สึกกับเขาในแง่คนรักอย่างนั้นหรือ
‘อาจจะเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้’ พฤกษ์นวดสันจมูก เขาเริ่มคิดไปไกล
หากพูดกันตามจริงแล้วนั้น การที่ผู้ชายจะช่วยตัวเองมันก็ย่อมเกิดมาจากการกระตุ้นสักทาง หากไม่ได้มีคนที่รักหรือแอบชอบจนต้องเก็บมาสำเร็จความใคร่ อีกหนทางที่เป็นไปได้ก็คงเกิดอารมณ์จากการเห็นสิ่งยั่วยวนใจ
สิ่งยั่วยวนใจอย่างนั้นหรือ?
พฤกษ์นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายนวดให้และก็จำได้ว่าตนเองครวญครางเพราะสัมผัสหนัก ๆ จากมือคู่นั้นดังมากเพียงใด
‘อาจเป็นไปได้’ พฤกษ์คิด สมัยมัธยมเขาก็เคยเกิดอารมณ์เพราะเห็นรุ่นพี่นักกีฬาถอดเสื้ออยู่เหมือนกัน
แต่นั่นเพราะเขาสนใจผู้ชาย หากจะเกิดอารมณ์จนต้องสำเร็จความใคร่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร
หรือว่าแท้จริงเด็กคนนั้นก็สนใจผู้ชายอย่างนั้นหรือ?
คิ้วสวยยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น พฤกษ์ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรงและนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เขานึกถึงอินทรชิตที่เคยรู้จักแต่กาลก่อน นิสัยใจคอมันไม่ต่างอะไรกับตอนนี้สักนิด ทว่าหลังจากเปิดเผยฐานะและออกจากวัฒนารายณ์ไปอยู่กับสิงขรในฐานะหลานชายอีกคนมันก็ดูเงียบขรึมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเสียจนเขาเองยังนึกตกใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่มันยังคงเสมอต้นเสมอปลายอยู่ตลอดคือความยำเกรงที่มีต่อเขา
‘สวัสดีครับ’ ครั้งนั้นอินทรชิตเดินเข้ามาทักเขาในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง พฤกษ์ขมวดคิ้วมองเพราะไม่คุ้นตา ทว่าพอเพ่งมองดี ๆ ก็จำได้ขึ้นมาว่านั่นคืออินทรชิต
ได้ข่าวว่ามันไปเรียนปริญญาโทต่อถึงอังกฤษเพื่อกลับมารับตำแหน่งใหญ่ในบริษัท ตอนนี้คงจะเพิ่งกลับมากระมัง ..มิน่าเล่า พักนี้อัคราถึงอยู่ไม่เป็นสุขนัก
‘คุณพฤกษ์สบายดีหรือเปล่า’
‘สบายดี’ เขายักไหล่ แววตาและน้ำเสียงมีความเย้ยหยัน
‘แต่ก็คงไม่ดีเท่าแกหรอกมั้ง’
ชายหนุ่มไม่ได้สะทกสะท้านแต่กลับยิ้มซื่อ ๆ ตอบ นั่นเป็นนิสัยของเจ้าตัวที่พฤกษ์หงุดหงิดมากที่สุด ด้วยเพราะสถานะของอีกฝ่ายเขาจึงไม่อาจจะปรามาสว่าร้ายหรือหยิกตีได้เหมือนตอนยังเด็ก เวลาเจอหน้ากันเขาจึงมักจงใจใช้คำพูดเสียดแทงและประชดประชันหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ใครจะคิดเล่า ไม่ว่าพฤกษ์จะใช้คำพูดร้ายกาจแค่ไหน ปฏิกิริยาที่ได้รับจากชายหนุ่มก็เห็นจะมีเพียงรอยยิ้มโง่ ๆ ที่ชวนหมั่นไส้ก็เท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ..อินทรชิตในกาลก่อนที่เขารู้จักก็มีเพียงเท่านี้ แต่ก็น่าแปลกเหลือเกินที่เขาไม่เคยเห็นมันเปิดตัวคบกับใครเป็นคนรักเลย หรืออาจจะมีแต่เขาเคยไม่รู้ก็เป็นได้ อย่างไรเสีย ชีวิตก่อนเขาก็แทบจะไม่สนใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว
‘อ๊า ..คุณพฤกษ์’ เป็นอีกครั้งที่เสียงนั้นแว่วเข้ามาหลอกหลอน ชายหนุ่มจิตใจฟุ้งซ่าน เสียงหอบทุ้มต่ำของมันยังคงติดอยู่ในหูไม่เลือนลาง มันฟังดูทรมาน ทั้งเดือดดาลและเร้าอารมณ์อย่างน่าประหลาด
พฤกษ์เผลอยกมือลูบไปตามซอกคอก่อนจะคลี่ชุดคลุมนอนออกโดยไม่รู้ตัว สาบเสื้อร่นลงเผยให้เห็นแผ่นอกบางขาวผุดผ่อง เขาไล่ฝ่ามือลงมายังยอดอก ใช้นิ้วโป้งและชี้บี้บิดยอดสีหวานจนเริ่มแข็งเป็นไต
“อืม..” เสียงหวานทุ้มครางเครือ ฝ่ามืออีกข้างเลื่อนลงต่ำและสอดเข้าไปใต้กางเกงผ้าซาติน พฤกษ์โยนสติสัมปชัญญะทิ้งและให้ความปรารถนานำพาตนไป
ยามที่ปลายนิ้วสัมผัสแกนกายอุ่นร้อน เขาพลันรู้สึกว่ามันแข็งขืนและอ่อนไหวกว่าทุกครั้ง พฤกษ์กัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมือขึ้นและลง รูดและรั้งแกนกายที่ชูชันนั้นไปตามที่ใจใฝ่หา
ด้วยเหตุใดพฤกษ์ก็ไม่อาจทราบได้ ในหัวของเขากำลังจินตนาการถึงเรือนร่างกำยำและผิวที่คล้ำแดดนิด ๆ ของอินทรชิต ช่วงสามปีมานี้เขาเห็นร่างกายของมันบ่อยจนคุ้นเคย ทว่าต่อให้เห็นจนเบื่อแค่ไหนก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกทำนองนี้เลยสักครั้ง กระทั่งเมื่อวานนี้ที่พฤกษ์ได้ยินเสียงมันเอ่ยเรียกชื่อเขายามเมื่อเสร็จสม ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว้าวุ่นสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนดูเหมือนหมกมุ่น
“อึ่ก.. อ๊ะ” เขาเร่งมือให้เร็วขึ้น ขณะที่อีกมือกับกำลังบดบี้ยอดอกเพื่อระบายความเสียวกระสันจากกิจเบื้องล่าง พฤกษ์ไม่รับรู้สิ่งใด ภาพในจินตนาการของเขาค่อย ๆ แจ่มชัดเป็นรูปเป็นร่าง ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอินทรชิตโอบรัดเขาไว้แนบแน่นและท่อนล่างทั้งสองก็กำลังเชื่อมโยงกันอย่างโหยหา ร่างกายของพฤกษ์กลืนกินแกนกายที่ขยายใหญ่ มีเส้นเลือดปูดโปนที่ทั้งดูน่ากลัวและน่าเร้าใจไม่น้อยปรากฏอยู่ เขาสูดปากครางไม่เป็นภาษาขณะที่อินทรชิตซุกหน้าอยู่บนบ่าพร้อมกับกระหน่ำสะโพกสวนขึ้นมาราวกับสัตว์ป่ากำลังบ้าคลั่ง
“ฮ่า.. อ๊ะ! ” ปรารถนาอันดำมืดก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนและแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วจนมองไปเห็นสิ่งใด ฝ่ามือสวยรูดรั้งแกนกายของตนอย่างรวดเร็วและหนักแน่น กระทั่งความกระสันอยากที่พุ่งทะยานจนถึงจุดสูงสุดก็ระเบิดออกมาเป็นหยาดน้ำสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งฝ่ามือ ...เขาเสร็จสมในที่สุด
พฤกษ์หอบหายใจอ่อนโรยราราวกับคนที่ตายแล้วมาเกิดใหม่ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นมาดู
“บ้าจริง” เขาถอนหายใจ “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่”
พฤกษ์ออกมานอกห้องอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงของวันเข้าไปแล้ว ที่เขายอมออกมานั้นเป็นเพราะเห็นอินทรชิตขับดูคาติสีดำแดงออกไปข้างนอกผ่านทางหน้าต่างห้องนอนแล้วต่างหาก
ด้วยความสัตย์จริง เหตุการณ์เมื่อวานกระทั่งเมื่อเช้ามันทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายโดยตรง
“คุณพฤกษ์ขา” เสียงของมาลีวัลย์ดังขึ้นพร้อมกับวงแขนเล็ก ๆ ที่โผเข้ากอดเขาจากด้านหลัง พฤกษ์ยิ้มบางอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะหมุนตัวกลับมาหาอีกฝ่าย
“ไงเรา” เขาทัก พอเห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าและกระโปรงลายน่ารักกว่าปกติก็ถามต่อไปว่า
“แต่งตัวน่ารักเชียว จะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”
มาลีวัลย์คลี่ยิ้ม เขาจึงช่วยเกลี่ยปอยผมขึ้นไปทัดหูอย่างอ่อนโยน วันนี้อีกฝ่านปล่อยผมยาวสยายไม่ได้ถักผมเปียดังเช่นวันวานอีกแล้ว ผ่านไปแป๊ปเดียวมาลีวัลย์ของเขากลายเป็นสาวแรกรุ่นเต็มตัวไปเสียแล้วหรือนี่
“มะลินัดเพื่อนไว้ค่ะ” เธอบอก “จะไปซื้อของทำรายงานแล้วก็ดูหนังสักเรื่องก่อนกลับ”
“อืม แล้วนี่ไปยังไง ลุงแสงไปส่งหรือ”
มาลีวัลย์พยักหน้า เขาลูบหัวอีกฝ่ายและพูดว่า
“เสร็จเมื่อไหร่ก็โทรบอก เดี๋ยวฉันออกไปรับ”
หญิงสาวยิ้มแป้นก่อนกอดแขนเขาแน่น พฤกษ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูน้องสาว ทว่าในระหว่างที่กำลังจะเดินไปส่งหน้ายังประตูที่มีลุงแสงยืนคอยอยู่ เขากลับเหลือบไปเห็นกระโปรงด้านหลังถูกลมพัดจนเปิดขึ้นมาเล็กน้อย
พฤกษ์ถึงกับหน้าเครียด เขารั้งข้อมือน้องสาวไว้แน่น
“มะลิ” เจ้าของชื่อหันมามองเขาตาใสแจ๋ว
“ใส่กระโปรงสั้นทำไมไม่ใส่ซับใน”
“จริงด้วย” มาลีวัลย์เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว ทว่าเธอก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจมากมายเท่าไรนัก
“ขี้เกียจขึ้นไปเปลี่ยนแล้ว” หญิงสาวยักไหล่ “มะลิไปทั้งแบบนี้เลยแล้วกัน”
“ไม่ได้” เขาส่งเสียงตำหนิ มาลีวัลย์ถึงกับหน้ายู่ เธอพูดตอบเขามาว่า
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ”
“แกไม่กลัวโดนใครเขาลวนลามหรือไง!? ”
“แต่นี่ตัวของมะลินะคะ มะลิจะแต่งยังไงก็ได้”
“ไปใส่ซับในซะ”
“ไม่เอาค่ะ คุณพฤกษ์อย่าหัวโบราณไปหน่อยเลย สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็ฟรีเรื่องการแต่งตัวทั้งนั้น”
“มะลิ! ” พฤกษ์ตวาด ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง มาลีวัลย์เม้มริมฝีปากแน่น
“ทำไมคะ แค่ไม่ใส่ซับในถึงกับต้องตวาดกันด้วยหรือคะ มันไม่แฟร์เลยนี่! ทำไมมะลิต้องใส่เพื่อไม่ให้คนอื่นลวนลามด้วย เขามีสิทธิ์อะไรมาลวนลาม! ต่อให้มะลิแก้ผ้าก็ไม่มีสิทธิ์นี่นา! ”
“แกยังไม่รู้จักโลกดีพอ” พฤกษ์ถอนหายใจ “ต่อให้ไม่มีสิทธิ์มาลวนลามแต่ถ้ามันจะลวนลามหรือทำมากกว่านั้นขึ้นมามันก็ทำได้เลยง่าย ๆ นี่ไงล่ะ เห็นความต่างหรือยัง”
มาลีวัลย์ตาแดงก่ำ ดวงหน้าหวานเศร้าหมองพร้อมกับมือที่กำชายกระโปรงไว้แน่น
“อย่าร้องไห้เลยนะ” เขาเสียงอ่อนลงอย่างเห็นอกเห็นใจ “ฉันรู้ว่ามันไม่แฟร์ที่แกต้องมานั่งระแวดระวังกลัวคนอื่นจะลวนลามทั้งที่สิทธิ์การแต่งตัวมันก็เป็นของแก แต่ถึงอย่างนั้นแกก็ต้องเข้าใจความจริงว่าตัวแกอยู่ในสังคมแบบไหน สังคมที่ไม่ว่าแกจะทำอะไรก็เสียเปรียบทุกทาง สังคมที่ปลูกฝังและผลักภาระมาให้แกต้องมานั่งระมัดระวังตัวแทนที่จะเป็นจิตสำนึกของคนอื่น มันก็เป็นสังคมแบบนั้นแหละ”
“...”
“แกเข้าใจฉันใช่ไหม? มันเป็นร่างกายของแกก็จริงแต่ตราบใดที่แกยังอยู่ในสังคมแบบนี้แกก็ต้องระมัดระวังตนเองให้มาก”
“คุณพฤกษ์ขา..” มาลีวัลย์เสียงสั่นและคล้ายกำลังจะร้องไห้เต็มที
พฤกษ์มองน้อง เขาอ้าแขนออกกว้างและรับมาลีวัลย์เข้ามากอดไว้แนบอก หญิงสาวสูดน้ำมูกเล็กน้อย เขารู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรและนั่นไม่ใช่ความผิดของเธอสักนิด หากจะหาคนผิดก็คงเป็นใครก็ตามที่คิดว่าเรื่องพวกนี้ควรเป็นความรับผิดของผู้หญิงเพียงเท่านั้น
“ฉันสนับสนุนให้แกแต่งตัวได้ตามใจ แต่ก็ไม่อยากเห็นแกต้องเจอกับเรื่องแย่ ๆ เหมือนกัน ฉะนั้นไปใส่ซับในซะ”
มาลีวัลย์พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อย ๆ พฤกษ์เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ใจอ่อน เขายกมือขึ้นขยี้ศรีษะอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
“เพิ่งจะสิบห้าก็อย่าแก่นอย่าเซี้ยวให้มันมากนัก ถือว่าเห็นแก่ฉันสักครั้งเถอะ”
วันนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวันที่เด็กพวกนั้นต้องกลับไปเรียนตามปกติ ทว่าเขายังคงหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอินทรชิตอยู่ พฤกษ์ที่ปกติจะตื่นเช้าและลงไปรับประทานตรงเวลาทุกครั้งไม่เคยขาดมาวันนี้กลับจงใจนอนตื่นสายเป็นครั้งแรก
“คุณพฤกษ์ยังไม่ตื่นหรือครับ” อินทรชิตหันไปถามต่ายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
“ไม่ทราบค่ะ พี่ไม่กล้าเข้าไปดู”
“อ่า ครับ” อินทรชิตตอบเสียงอ่อยก่อนจะนั่งรับประทานด้วยอาการซึมกะทือ กระทั่งเสียงของพงพีเอ่ยทัก
“นาฬิกาพี่อินทร์เท่ดี”
อินทรชิตเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะก้มลงมองที่ข้อมือ เขาร้องอ๋อขึ้นมาทันที
“ของฝากจากคุณพฤกษ์น่ะ”
“มะลิเป็นสร้อยคอล่ะ” เธอว่า “แต่ไม่ใส่หรอก เดี๋ยวเพื่อนรุมทึ้งเอา”
“พีร์ก็ได้นะ นี่ไง” พงพีชูมือขึ้น ตรงข้อมือเป็นกำไลหินเล็ก ๆ สีชมพูอ่อน
“ไม่เท่เหมือนของพี่อินทร์หรอก แต่น่ารักดี”
“เดี๋ยวคุณพ่อก็ด่าอีกคอยดูสิ” มาลีวัลย์แหย่
“ไม่กลัวหรอก คุณพฤกษ์ให้ท้ายพี่เสียอย่าง”
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อินทรชิตก็ปลีกตัวออกมายังโรงรถ ชายหนุ่มหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมก่อนจะวาดขาขึ้นคร่อมดูคาติคู่ใจ
ดวงตาคมกริบเหลือบมือที่แฮนด์รถ พอมองนาฬิกาที่ส่วมใส่อยู่บนข้อมือแล้วก็ชวนให้นึกถึงวันก่อน เขาออกมาจากห้องน้ำเห็นถุงกระดาษหล่นอยู่ที่กลางห้องก็รับรู้ได้ทันที่ว่าต้องเป็นคุณพฤกษ์อย่างแน่นอนที่เข้ามาในห้องของเขา
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณพฤกษ์เข้ามาตอนไหน ..และเข้ามาทันตอนที่เขาช่วยตัวเองอยู่หรือไม่
ทว่าตลอดสองวันที่ผ่านมาการที่คุณพฤกษ์เอาแต่หลบหน้าเขาอยู่แต่ในห้องนั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเข้ามาตอนที่เขาช่วยตัวเองอยู่หรือเปล่า
ถ้าหากว่าคุณพฤกษ์รู้และรังเกียจเขาไปแล้วล่ะ? จะขยะแขยงหรือเปล่าที่ถูกคนอย่างคนใช้เป็นเครื่องมือสำเร็จความใคร่
“คงต้องรุกให้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ