คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.38K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) 00 29
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 29
ท่ามกลางความมืดมัวนั้น ยังมีแสงสลัวจากโคมไฟสาดส่องไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง บนเตียงหลังนั้นที่ควรจะเป็นสถานหลับนอนกลับปรากฏสองร่างเปลือยเปล่ากำลังโถมตัวโอบรัดและคลอเคลียจนไม่มีช่องว่างใดให้ใครหน้าไหนได้แทรกแซง
‘อ๊า’
เสียงของผ้าปูที่นอนและหมอนที่เสียดสีกันก็ดี เสียงของผิวเนื้อที่บดกระทบเป็นจังหวะหนักหน่วงก็ดี หรือเสียงหอบกระเส่าของร่างกำยำที่อยู่ด้านบนเคล้ากับเสียงครางหวานทุ้มของร่างโปร่งที่อยู่ด้านล่างก็ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นทะยานอยากจนแทบจะสำรอก
‘รู้สึกดีเป็นบ้า’ เสียงเข้มคำราม
‘อ๊ะ.. อืม เขี้ยว’
เมื่อเสียงหวานล้ำดังขึ้น ร่างกำยำที่โหมกระหน่ำจนเกือบจะบ้าคลั่งจึงได้สติ เขาโน้มหน้าลงไป บรรจงจูบบนริมฝีปากแดงเรื่อเพียงแผ่วเบาอย่างรักใคร่
‘ครับทูนหัว’
‘เขี้ยว.. แรงอีก’
ชายหนุ่มใต้ร่างพูดขึ้นด้วยเสียงเบาหวิวราวกับลูกแมวน้อยครางออดอ้อนเอาแต่ใจ เขาเคลื่อนตัวไปจูบหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นก่อนจะขยับสะโพกสอบเข้าหาช่องทางสีหวานและกระแทกกระทั้นด้วยรักรุนแรงสนองความต้องการของอีกคนอย่างลึกซึ้ง
‘..คุณพฤกษ์’ เมื่อเขาเอ่ย ดวงตาฉ่ำวาวปรือขึ้นมามองทันที ชายหนุ่มกระตุกไปทั้งร่าง หัวใจสั่นไหวเมื่อได้สบสายตากับบุคคลที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน
อา น้ำเสียงทุ้มหวานที่เอาแต่เรียกชื่อเขา ร่างกายที่เขยื้อนคลอนไปตามแรงกระทำของเขา ใบหน้านุ่มนวลที่เคยราบเรียบกลับเหยเกผิดรูปเพราะความกระสันที่ถูกเขาเติมเต็ม ไหนจะผิวกายขาวผ่องที่ขึ้นสีแดงจัดนั่นอีก
ทุกอย่างของคุณพฤกษ์กำลังทำให้เขาแทบคลั่ง
ไม่ไหวแล้ว..
‘เขี้ยว .. อ๊า’
มากกว่านี้..
‘เด็กดีของฉัน’
อยากให้คุณเรียกชื่อผม โหยหาผม ปรารถนาที่จะถูกผมกระทำอย่างรุนแรงมากกว่านี้
‘ผมรักคุณ ได้ยินไหมครับ คุณพฤกษ์ ..ผมรักคุณ’
“คุณพฤกษ์..” อินทรชิตลืมตาขึ้นโพล่ง กลางกายที่แข็งชันพลันกระตุกถี่ยิบก่อนจะเสร็จสม เขาหอบอย่างรุนแรงเม็ดเหงื่อมากมายผุดพรายเกาะตามกรอบหน้า ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนและความเปียกแฉะใต้ร่มผ้าจึงยันตัวขึ้นจากเตียงก่อนที่ลางสังหรณ์บางอย่างจะสั่งการให้เขาพลิกผ้าห่มออก
และใช่.. ลางสังหรณ์ของมนุษย์มักถูกต้องเสมอ
ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าที่ทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาเป็นทางยาวบ่งบอกว่ารุ่งอรุณยามเช้ามาถึงแล้วอีกครั้ง และ ณ ตอนนั้นเอง สัมผัสเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศก็ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าเรื่องราวก่อนหน้าคือฝันลวง ซ้ำร้ายยังลืมตาตื่นมาเจออีกฝันหนึ่ง
“ฝันเปียก บ้าฉิบ! ”
เลวร้ายเหลือเกิน อินทรชิตในวัยสิบแปดขยี้หัวตัวเองจนกระเซอะกระเซิงดูไม่ได้ วันนี้เป็นอีกครั้งแล้วหรือที่เขาเก็บเอาอีกฝ่ายมาสำเร็จความใคร่แม้กระทั่งในฝัน
“พี่อินทร์เป็นอะไรไปหรือคะ หน้าบูดเชียว” มาลีวัลย์ทักเขาทันทีที่เห็นหน้า อีกฝ่ายกำลังนั่งตัวตรงบนโซฟา มีป้าเมียมยืนถักเปียให้จากด้านหลังอย่างขะมักเขม้น ชายหนุ่มยิ้มบาง ปีนี้เจ้าตัวอายุสิบห้าปีแล้ว กำลังเป็นสาวสวยวัยสะพรั่งไม่ใช่เด็กหญิงหัวอ่อนดังเช่นแต่ก่อนมา
“เปล่าค่ะ” อินทรชิตหันรีหันขวาง “แล้วพีร์ละ? ”
เสียงตึงตังดังจากบันได เป็นพงพีนั่นเองที่วิ่งหน้าตั้งลงมาทั้งที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี ดูท่าน้องชายของเขาคงจะตื่นสายเหมือนอย่างทุกวัน
“แฮ่ก ๆ ” พงพีในวัยสิบหกหอบฮักก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ น้องสาว เอ่ยถามว่า “ทันไหม? ”
มาลีวัลย์เฉิดหน้า “ทันรถ แต่ไม่ทันมื้อเช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าเตรียมแซนวิชให้คุณไปทานบนรถแล้ว”
“ป้าเมียมน่ารักที่สุด~” พงพียิ้มร่าก่อนจะเริ่มยัดเสื้อที่ยังไม่เรียบร้อยดีเข้ากางเกงตามด้วยถุงเท้านักเรียน อินทรชิตยืนมองภาพน้อง ๆ ด้วยความสุข เขาพูดคุยกับเด็กทั้งสองเพียงไม่กี่คำก่อนจะขอตัวไปเรียนบ้าง
ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้เดินจากหน้าประตูใหญ่มาจนถึงโรงรถ ดวงตาคมกริบหันไปเห็นรถยนต์คันสีดำที่จอดนิ่งสนิท เขาวางมือลูบเบา ๆ บนฝากระโปรง มันเป็นคันโปรดของคุณพฤกษ์เขาล่ะ ทว่าตอนนี้กลับถูกทิ้งร้างการใช้งานจนฝุ่นเริ่มจับเพราะเจ้าของที่ว่ากำลังท่องเที่ยวอย่างสบายใจอยู่ที่อีกครึ่งซีกโลก
“เฮ้อ..” ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจปลงตก คุณพฤกษ์ไปต่างประเทศได้สองเดือนแล้วนับจากวันเรียนจบ เป็นเหตุมาจากที่เจ้าตัวไม่รู้จะทำอะไรในระหว่างรอรับปริญญาจึงได้รับการชักชวนจาก‘คุณฉัตรเพื่อนรัก’ให้ออกทริปร่วมกัน ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น เขาคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยคุณพฤกษ์ให้กลับมาโดยง่ายในสามหรือสี่สัปดาห์หรอก และมันก็จริง เพราะผ่านมาสองเดือนแล้วยังไม่มีวี่แววว่าคุณเขาจะส่งข่าวคราวมาเลยว่าจะเดินทางกลับมาตอนไหน คิดมาถึงตรงนี้อินทรชิตก็ได้แต่ภาวนาให้คุณพฤกษ์เบื่อหน่ายหรือไม่ก็เงินหมดเร็ว ๆ ทีเถอะ
...คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มเช็ดมือที่เปื้อนคราบฝุ่นก่อนจะเดินมายังดูคาติสีดำแดงที่จอดรออยู่ถัดมาไม่ไกล จักรยานยนต์คันนี้คุณพฤกษ์เป็นคนซื้อให้เขาเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา
อันที่จริงเขาอยากจะปฏิเสธไปเหมือนกันแต่เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณเขาตั้งใจซื้อให้จะไม่เอามาใช้มันก็ออกจะเสียมารยาทอยู่สักหน่อย
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากรับไว้ก็เพราะหากว่าเขามีรถขับนั่นก็แปลว่าคุณพฤกษ์จะไม่ต้องคอยไปส่งเขาที่โรงเรียนอีกแล้วน่ะสิ
‘คุณพฤกษ์ไม่ไปมหาลัยหรือครับ สายแล้วนี่’
เขาถามคุณพฤกษ์หลังจากวันเกิดผ่านมาได้สองอาทิตย์
‘ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจขับรถ’ คุณเขาอยู่ในชุดคลุมนอนชวนวาบหวิว กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในสวนหย่อมหันมาตอบ
‘เอ่อ แล้วผม..’
‘มีรถแล้วก็ขับไปเรียนเสียสิ อย่าบอกนะว่าไม่มีใบขับขี่’
‘มีครับ’ เขาหน้าม่อยลง ‘เพิ่งทำไปเมื่ออาทิตย์ก่อน’
‘ก็ดีแล้วนี่ เด็กสมัยนี้เขาชอบขับรถโก้ ๆ ไปเรียนเองไม่ใช่หรือ แกคงไม่ใช่ลูกแหง่ที่ต้องให้ที่บ้านคอยรับคอยส่งไปตลอดหรอกใช่ไหม? ’
'โธ่..’ อินทรชิตแสร้งตีหน้าซื่อ ‘รถเยอะจะตายไปนี่ครับ คุณพฤกษ์ไม่กลัวผมเกิดอุบัติเหตุหรือ ผมเพิ่งจะสิบแปดมาได้แค่สองอาทิตย์เองนะครับ’
‘ตอนฉันสิบแปด ฉันขับบีเอ็มไปโรงเรียนได้แล้วนะ’
‘ก็นั่นมันรถยนต์นี่ครับ’
‘งั้นฉันควรซื้อรถยนต์ให้แกอีกคันใช่ไหม? จะเอาอะไรล่ะ บีเอ็ม? เบนซ์? หรือจากัวร์ดี? อืมม.. แต่ดูทรงแล้วออดี้น่าจะเหมาะกับแกมากกว่า’
อินทรชิตเผลอใจเต้นแรง ไม่คาดคิดว่าคุณพฤกษ์ยังจำได้ว่าเขาใช้ออดี้ขับไปไหนมาไหนบ่อยตอนเริ่มทำงานช่วงแรก ๆ
‘ซื้อทำไมครับ ผมขับรถยนต์ไม่เป็นหรอก’ แอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง เขาโกหกไปคำโตเสียแล้ว
‘ขับไม่เป็นวันนี้ อีกเดี๋ยวก็ขับเป็น ขี้คร้านจะขับพาหญิงเที่ยวทั้งวันล่ะสิ’
คนเดียวที่เขาอยากขับพาเที่ยวทั้งวันก็คือคุณนั่นแหละ
‘ไม่มีทาง’ เขาตอบเสียงแข็งก่อนจะเข้าไปออเซาะใกล้ ๆ พยายามรีดเค้นลูกอ้อนทั้งหมดมาใช้ให้เกิดผลที่สุด
‘จะหาว่าเป็นลูกแหง่ก็ช่าง ผมอยากให้คุณไปส่งนี่ครับ’
กระพริบตาปริบ ๆ ไปสองที แน่นอนล่ะ ลูกไม้แบบนี้เป็นใครก็ใจอ่อนทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคุณพฤกษ์ที่ชื่นชอบการถูกเด็ก ๆ ออดอ้อนก็ยิ่งมั่นใจได้ว่ายังไงก็ไม่มีทางปฏิเสธเขาเด็ดขาด
‘เฮ้อ แกเนี่ยนะ’ คุณเขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด
‘แค่วันนี้วันเดียว’
คุณพฤกษ์เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เด็ดขาดในคำพูดเสมอ หากพูดว่า ‘แค่วันนี้วันเดียว’ นั่นย่อมหมายความว่ามันจะไม่มีวันที่สองหรือสามตามมาเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
ลูกไม้ตื้น ๆ ใช้กับคุณเขาไม่ได้ผลเสียแล้ว.. และนับแต่นั้นมาอินทรชิตจึงต้องจำใจขับรถออกไปเรียนเองจนถึงทุกวันนี้
“เบื่อว่ะ เสาร์นี้ไปเล่นบ้านมึงได้ปะ”
“ไม่ได้” เขาตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด อัคราพ่นลมหายออกทางปาก เริ่มโอดครวญอีกครั้งหลังจากถูกเพื่อนสนิทปฏิเสธเป็นรอบที่ร้อยนับตั้งแต่คบหากันมา
“ทำไมวะ ทำไมถึงไม่ได้”
และเขาก็ถามคำถามเดิมมาเป็นร้อยรอบ
“นั่นไม่ใช่บ้านกูเสียหน่อย กูเกรงใจคุณลุงแล้วก็คนอื่น ๆ ”
คำตอบเองก็เป็นคำตอบเดิมที่เขาได้ยินจนเบื่อหน่าย อัคราชักจะเริ่มหงุดหงิด
“เกรงใจทำไมวะ เขากับพ่อกูก็คนกันเอง ไม่ใช่ว่าลุงมึงน่าจะดีใจที่เห็นมึงสนิทกับกูหรอกหรือ”
“....” ชายหนุ่มนิ่งก่อนจะมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยแววตาเห็นใจพลางนึกถึงคำพูดที่พนาเคยพูดไว้
‘ถ้าเป็นไปได้ ลุงไม่อยากให้อินทร์ไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย’
มันคงจะเสียใจน่าดูถ้าหากได้รู้ถึงความจริงในเรื่องนี้
ชายหนุ่มคิดหนัก อัคราที่เคยรู้จักนั้นช่างแตกต่างกับอัคราที่อยู่ตรงหน้าราวกับคนละคน เขาหวนนึกถึงกาลก่อน ผู้ที่ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นผู้ชายที่มักจะทำเรื่องน่ารังเกียจอยู่ตลอดเวลา สมัยเรียนก็ชอบคบซ้อนมั่วเซ็กส์กับชายหญิงไม่เลือกหน้าเป็นที่โจษจันทั้ง ๆ ที่ตนเองก็คบอยู่คุณพฤกษ์เป็นคนรักเปิดเผยอยู่แล้ว เขาในตอนนั้นยังเด็กนักแต่ก็เข้าใจว่าอัคราเจ้าชู้และหน้าไม่อาย แต่เพราะแบบนั้นมันถึงทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อย หากครั้งไหนคุณพฤกษ์เกินจะทานทนก็จบลงที่เลิกรากันไป
‘นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูด’ อินทรชิตได้ยินคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’ จากคุณพฤกษ์มาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะบังเอิญได้ยินจากอีกฝ่ายเพราะบังเอิญเอากระเช้าของฝากมาเยี่ยมพนาที่บริษัท
‘ผมกับคุณเราต่างคนต่างไป’
‘อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยพฤกษ์’ เสียงห้าวเข้มของอัคราดังขึ้นพร้อมกับกระชากคุณพฤกษ์ที่กำลังเดินหนีให้หันกลับมา
‘ไม่ได้งี่เง่าแต่ผมแค่เบื่อ มันน่ารำคาญใจน่ะที่เห็นคุณทำตัวทุเรศ ๆ แบบนี้ตลอด’
‘พฤกษ์ มันก็แค่เซ็กส์ แค่วันไนท์ ผมก็เป็นแบบนี้ทำไมต้องคิดมาก ผู้ชายทุกคนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น’
‘ผู้ชายทุกคนเป็น? อ๋อ คิดงั้นเองหรอกหรือ แต่ผมไม่เคยนอนกับใครเลยนะ ถ้าจะบอกว่าผู้ชายทุกคนเป็นแบบนี้มันก็ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย ผมว่าของแบบนี้มันอยู่ที่สันดานส่วนบุคคลมากกว่า’
อัครานิ่งไป สีหน้าอีกฝ่ายเรียบตึงจนน่ากลัว คุณพฤกษ์ไม่ยี่หระกับท่าทางนั้นกลับพูดต่อไปว่า
‘ผมไม่คิดมากหรอกนะถ้าเราไม่ได้คบกัน ถ้าเราโสดด้วยกันทั้งคู่คุณจะไปนอนกับใครที่ไหนก็ได้ ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำ แต่นี่เราคบกัน คุณเป็นผู้ชายของผมแต่ลับหลังผมคุณยังทำแบบนี้โดยไม่นึกถึงความถูกต้องอะไรทั้งนั้น ผมอดทนมาหลายครั้งหลายหนคิดว่าสักวันคุณคงจะคิดได้เอง แต่ยิ่งให้อภัยคุณก็ยิ่งเหลิง ผมไม่สามารถทนกับคุณได้อีกแล้วอัครา คุณมันทุเรศ! สมสู่ไปทั่วยิ่งกว่าหมาจรจัดเสียอีก!! ’
อินทรชิตเห็นดวงตาของคุณพฤกษ์แดงก่ำ หากว่าได้เห็นอีกฝ่ายร้องไห้เขาคงทรมานกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน แต่ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีน้ำตาสักหยดร่วงหล่นลงมา คุณเขาเม้มริมฝีปากแน่นจนสั่น สูดหายใจลึกก่อนจะกลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง
‘ ..อัคร สิ่งที่ผมต้องการจากคุณมีแค่อย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้นคือความซื่อสัตย์ แต่คุณก็พิสูจน์ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการรักผมเพียงแค่คนเดียวมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ’
อินทรชิตที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่คุณอยากรักทำไมถึงเป็นผมคนนี้ไม่ได้? ถ้าเป็นผมจะไม่ทำให้คุณพฤกษ์เสียใจหรือต้องอดทนเด็ดขาด ผมจะให้คุณมากกว่าคำว่าซื่อสัตย์ ผมจะจงรักภักดีกับคุณยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ทำไม! ทำไมถึงต้องเป็นมัน!!
‘พฤกษ์! ’ มันพลักคุณเขาแนบกับผนังแถว ๆ หน้าห้องน้ำชั้นผู้บริหารก่อนจะบดริมฝีปากลงไปขยี้เรียวปากสวยอย่างรุนแรง เขาได้ยินเสียงนุ่มครางเครือพร้อมกับทำท่าทีขัดขืนในตอนแรกทว่าคุณเขาก็โอนอ่อนยอมรับจูบนั้นอย่างยินดีในท้ายที่สุด อินทรชิตที่ยืนมองอยู่แทบกระอักเลือดเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตั้งใจจะมาแอบเจอหน้าคุณเขาแต่กลับต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้เสียทุกครั้งไป
เพี๊ยะ!
‘คนระยำ’ คำด่าทอนั้นดึงสติเขากลับมา คุณพฤกษ์ตบอีกฝ่ายจนหน้าหันไปอีกข้าง อินทรชิตถึงกับกรีดร้องสะใจอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่อัคราหันหน้ากลับมาพร้อมรอยฝ่ามือแดงเถือกเป็นทางยาวบนแก้ม
‘มันเจ็บนะ! ’
'โง่จริง ก็ตีให้เจ็บไง! อย่ามารุ่มร่ามกับผมอีก! นี่! ทำอะไร!? เราเลิกกันแล้วนะ!! ปล่อย! อัคร! อัครา!! ’
อินทรชิตจำได้ว่าวันนั้นอัคราลากคุณพฤกษ์เข้าไปคุยในห้องน้ำอยู่เกือบชั่วโมงก่อนจะพากันออกมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ได้ข่าวว่าทั้งคู่กับมาคบกันอีกครั้งจนได้
นั่นคือส่วนหนึ่งจากทั้งหมดของอัคราที่เขารู้จักในกาลก่อน
แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมาต้องยอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่าเขาและอัคราต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันมีอะไรหลายอย่างที่พวกเขาสองคนเข้ากันได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความชอบ ความคิดหรือแม้แต่การกระทำก็ไม่เคยสวนทางกันแม้แต่น้อย ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นว่าอีกฝ่ายมักจะตัวติดอยู่กับเขาตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียนไปเสียอย่างนั้น
อาจจะเป็นไปได้ว่าแรกเริ่มเดิมทีอัครานั้นมีพื้นฐานจิตใจในวัยเด็กที่ดีมากกระทั่งสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวได้เข้ามาเปลี่ยนให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นคนที่บิดเบี้ยวเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงขนาดมีความคิดฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล
‘น่าสงสาร’ และ ‘เวทนา’ นั่นคือความรู้สึกที่อินทรชิตมีต่ออัคราในกาลนี้
“เงียบอีกละ พูดเรื่องนี้ทีไรมึงก็เป็นงี้ตลอด เอาจริงปะ กูแค่เบื่อบ้านอยากไปเล่นกับมึงบ้างก็เท่านั้น”
อัคราที่เห็นเพื่อนเงียบไปจึงพูดขึ้น เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ทำไม? ” อินทรชิตถาม “ที่บ้านไม่น่าอยู่หรือ”
“สุด ๆ ” ชายหนุ่มกลอกตา “แม่กูโคตรเจ้ากี้เจ้าการว่ะ กูรู้สึกเหมือนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองเลย ถ้าอยู่บ้านก็จะโดนแม่บอกให้ทำนั่นทำนี่พาไปนั่นไปนี่ งานเลี้ยงงานการกุศลห่าอะไรไม่รู้เยอะแยะ น่าเบื่อมาก มีแค่โรงเรียนเท่านั้นมั้งที่กูรู้สึกปลอดภัยไม่ต้องคอยระแวงแม่”
พูดจบชายหนุ่มก็หงายหลังนอนลงไปกับม้านั่งตัวยาว อินทรชิตหัวเราะเบา ๆ ตอบไปว่า
“มึงนี่น่าสงสารนะ”
“โอ๊ะ แน่นอนสิ” มันผงกหัวขึ้นมาหลิ่วตามอง “สงสารกูก็ให้กูไปบ้านสักทีเถอะน่า”
“ไม่”
“อะไรวะไอ้นี่”
“งั้นเปลี่ยนเป็นกูไปบ้านมึงแทนดีไหม”
“ฮื้อออ” ชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าเลย”
“ทำไม”
“กูไม่อยากให้แม่มาวุ่นวายกับมึง บอกตามตรงแม่กูชอบสแกนเพื่อนกูมาตั้งแต่ไหนแต่ไรละ มึงก็เห็นนี่ว่ากูไม่มีเพื่อนที่ไหนเลยนอกจากเพื่อนที่แอลเอ”
“งั้นก็ไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่ายังไงกูก็ไม่ให้มึงมาอยู่ดี”
“เฮงซวย! ”
อินทรชิตตัดบททันทีก่อนที่เขาทั้งสองจะคุยกันยาวไปมากกว่านี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัครารบเร้าขอจะมาหาเขาที่บ้านในช่วงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนหรือถกเถียงกันอย่างไรผลมันก็ออกมาเหมือนกับครั้งนี้ที่เขาพยายามหาทุดคำพูดมาปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างไร้เยื่อใย ถึงแม้จะรู้สึกสงสารเพื่อนสนิทอยู่บ้างในบางครั้งที่ต้องทนอยู่กับความกดดันที่บิดเบี้ยวของผู้เป็นแม่แต่อินทรชิตจะไม่ขอเสี่ยงให้คุณพฤกษ์เจอกับอัคราเด็ดขาด
สองริมฝีปากบดเบียด สองลิ้นร้อนผ่าวมัวเมาคลอเคลียไม่ห่างกันไกล เสียงกระทบกันของน้ำลายดังขึ้นเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกวาบหวามและใจสั่นพิลึก และก่อนที่อารมณ์ปรารถนาจะด่ำดิ่งลึกลงไปมากกว่านี้พฤกษ์จึงผละออกมาอย่างแช่มช้า
เขาหอบหายใจรุนแรงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มสงบ
“ข้างหน้ามีโรงแรมอยู่” ฉัตรตะวันกระซิบชิดใบหู พฤกษ์ยกฝ่ามือดันอีกฝ่ายออก ตอบไปว่า
“อยากกลับบ้านครับ”
“โธ่” เขาโอดครวญ “เราเพิ่งจะแลนดิ้งไม่ถึงชั่วโมง”
“คุณแม่คุณคงจะเป็นกังวลแย่”
“นี่เพิ่งจะเที่ยง คุณแม่ท่านไม่ว่าหรอกถ้าผมจะถึงบ้านช้ากว่านี้สักหน่อย”
“ขอล่ะ” พฤกษ์หยิบแว่นสายตาที่ตกอยู่บนพื้นรถขึ้นมาเช็ดก่อนที่จะสวมใส่ “ผมเองก็เพลียเหลือเกิน อยากกลับไปอาบน้ำไว ๆ ”
“คุณอาบที่คอนโดผมได้นะ หลังจากที่เรา..”
“คุณฉัตร”
เจ้าของชื่อนิ่งไปทันทีที่พฤกษ์เอ่ย ฉัตรตะวันแอบขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นั่นจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส
“อย่าโมโหสิครับ” เขาว่าพลางโน้มตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่าย
“กลับก็กลับ ผมไม่รั้งให้คุณอยู่กับผมแล้วก็ได้”
หลังจากรถยนต์ของฉัตรตะวันลาลับกลับออกไปแล้ว พฤกษ์จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้องเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน บอกตามตรงการใช้ชีวิตตัวติดกับฉัตรตะวันมันช่างเป็นอะไรที่สูบพลังชีวิตของเขามากมายเสียเหลือเกิน ไอ้ตอนพากันตะลอนเที่ยวน่ะไม่เท่าไหร่หรอกแต่พอตกดึกอีกฝ่ายมักชอบเข้ามานัวเนียขอมีเซ็กส์แบบจัดเต็มทุกวัน ๆ นี่สิทำเอาเขาแทบรากเลือด
ดีเสียที่อรดีผู้เป็นแม่ของฉัตรตะวันเรียกตัวด่วนถึงได้ยอมกลับกันมาแต่โดยดี ขืนอยู่ต่ออีกสักสองหรือสามอาทิตย์มีหวังเขาได้ตัวเหือดแห้งเหลือเพียงแต่โครงกระดูกเป็นแน่
“คุณพฤกษ์กลับมาตอนไหนคะเนี่ย ทำไมไม่บอกยายเลยล่ะ” เสียงเย็น ๆ ร้องทัก พฤกษ์จึงหันกลับมา เป็นแม่พลอยและป้าเมียมที่ออกมาต้อนรับนั่นเอง
“เมื่อสักครู่ครับ” เขาสวมกอดหญิงชราและตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ขอโทษนะครับแม่พลอย พอดีมันกระชั้นชิดไปหน่อยผมเลยลืมโทรกลับมาบอก”
“ช่างมันเถอะค่ะ กลับมาก็ดีแล้ว” แม่พลอยกล่าวอย่างไม่ติดใจ
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณพฤกษ์” ป้าเมียมส่งยิ้มละไม “เดี๋ยวป้าช่วยยกกระเป๋านะคะ”
“มีของฝากด้วยครับ” พฤกษ์บุ้ยหน้าไปยังถุงกระดาษและข้าวของที่ฉัตรตะวันช่วยขนมาวางไว้ให้เมื่อครู่
“สี่ถุงนี้เป็นของแม่พลอย ป้าเมียม ต่ายและก็ลุงแสง ส่วนอันนี้เป็นขนม เอาไปเก็บในครัวได้เลย ที่เหลือเป็นของพวกเด็ก ๆ ป้าช่วยเอาไปวางในห้องผมก่อน เดี๋ยวผมค่อยเอาไปให้กับเจ้าตัวทีหลังเองดีกว่า”
พฤกษ์สั่งเสร็จสรรพและหันมาถามสารทุกข์สุกดิบแม่พลอยอีกเล็กน้อย เขาหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่เป็นการปิดท้ายก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนหลังจากที่เดินทางมาหลายสิบชั่วโมง
ร่างโปร่งเดินตัวหอมฉุยออกมาจากห้องน้ำ พฤกษ์หยิบชุดคลุมนอนสีแดงเลือดหมูจากตู้ออกมาสวมใส่ เขานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเช็ดเส้นผมให้หมาดก่อนจะเริ่มหยิบเซรั่มบำรุงผิวหน้า ครีมบำรุงผิวกายและผิวมือขึ้นมาทาทีละชิ้นอย่างทะนุถนอมเอาใจใส่
‘พออาบน้ำแล้วก็หายง่วงทันทีเลยแฮะ’ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะลงไปหาอะไรทานหรือเดินเล่นในสวนดี ดวงตาเฉี่ยวคมภายใต้กรอบแว่นก็เหลือบไปเจอกองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ร่างโปร่งเดินเข้าไปใกล้ พอเห็นปกหนังสือก็นึกออกทันทีว่าหนังสือพวกนี้เขานำมาอ่านจากห้องหนังสือก่อนจะออกทริปเที่ยวหลังเรียนจบกับฉัตรตะวัน
พฤกษ์รวบหนังสือจำนวนสามเล่มหนา ๆ ขึ้นมากอดแนบอก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเอามันกลับไปเก็บที่ห้องหนังสือแล้วเลยไปหาอะไรรองท้องในครัว
ทว่าเมื่อลงมาถึงห้องหนังสือ พฤกษ์ก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ บันไดรางเลื่อนถูกถอดออกมาวางเพราะชำรุด
“แย่แล้วสิ” เขาพึมพำ “แต่ถ้าเขย่งเท้าอีกสักหน่อยคงจะถึงล่ะมั้ง”
พฤกษ์คิดเช่นนั้นเพราะเห็นว่าชั้นหนังสืออยู่สูงขึ้นไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน อีกอย่างเขาไม่อยากลากโซฟาตัวเล็กมาเหยียบเพราะมันหนักเกินกำลัง พฤกษ์ไม่ชอบยกของหนัก ไม่ชอบทำอะไรก็ตามที่ชวนให้รู้สึกลำบากลำบนมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มวางหนังสือสองเล่มลง หยิบติดมือมาเล่มเดียว ..และเขย่งเท้า
หมับ
“อ๊ะ? ” พฤกษ์ร้องในคอเสียงเบาเมื่อมีอีกร่างกำยำเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลัง อีกฝ่ายใช้แขนแข็งแรงทั้งสองโอบกอดร่างกายของเขาเอาไว้แน่นจนแผ่นหลังแนบชิดสนิทกับแผ่นอกที่เต็มไปด้วย ...กล้ามเนื้อแข็ง ๆ
พฤกษ์รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวหลังต้นคอและได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่เขาจำได้ว่าเป็นคนซื้อให้อีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้
“เขี้ยว” พฤกษ์เอ่ย “แกเองหรอกหรือ”
ขณะที่เขาเอี้ยวหน้ากลับไปมอง อินทรชิตก็ทิ้งศีรษะซบลงมาบนบ่าเสียแล้ว เจ้าตัวกระชับอ้อมแขนก่อนจะโยกไปมาเบา ๆ พฤกษ์ที่เห็นอาการหงอยเช่นนั้นของชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือกลับไปลูบศรีษะ
“คุณพฤกษ์ไปนานมาก” เสียงเข้มตัดพ้อ
“อืม”
“โทรหาก็ไม่ค่อยจะรับ”
"อืม”
“กลับมาก็ไม่คิดจะบอกกันก่อนเลย”
“อืม”
“ทำไมใจร้ายนักนะ”
อีกฝ่ายว่าพลางถูปลายคางลงบนผิวซอกคออย่างออดอ้อน การกระทำนั้นจึงแม้จะคุ้นชินมาตลอดสามปีแต่ครั้งนี้มันกลับทำให้พฤกษ์ทำหน้าเหยเกเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะชุดคลุมนอนที่ใส่อยู่คอกว้างเกินไปจึงทำให้ตอหนวดที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ ๆ บาดเข้ากับผิวอ่อนนุ่มจนเกิดรอยแดงจาง ๆ
..แถมยังชวนให้รู้สึกจั๊กจี้พิลึกเสียด้วย
“จะโอดครวญไปทำไม ฉันก็กลับมาแล้วนี่ไงล่ะ”
“โอดครวญไม่ได้หรือครับ” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหูทำเอาขนลุกเกรียวไปทั้งสรรพางค์กาย พฤกษ์กระแอมเบา ๆ ตอบไปว่า
“ก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ทำอย่างกับหมาโดนทิ้งไปได้”
“ผมอาจจะเป็นหมาโดนทิ้งก็ได้นะ คุณพฤกษ์ไงครับ เจ้าของที่ใจร้ายคนนั้น”
พฤกษ์หัวเราะก่อนจะสลัดแขนแข็งแรงที่พันธนาการตนเองไว้ เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายและก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอินทรชิตสูงขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันเสียอีก
“แกสูงขึ้นอีกแล้วเขี้ยว” เขาว่าพลางใช้มือไม้จับสำรวจไปทั่วไหล่หนาและแผ่นอกแน่นตึง เรื่อยไปจนถึงหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเล็ก ๆ อย่างสนใจใคร่รู้
“ดูสิ เสื้อนักเรียนคับจนกระดุมรั้งไม่อยู่แล้ว”
อินทรชิตก้มลงมองมือขาวผ่องที่จับอยู่บนกระดุม ชายหนุ่มเกาแก้มแก้เก้อ ตอบเสียงเบาหวิว
“ตัวนี้ผมเพิ่งจะตัดก่อนคุณพฤกษ์จะไปต่างประเทศ”
“อย่างนั้นหรือ” พฤกษ์พยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“วัยรุ่นก็แบบนี้ล่ะนะ ละสายตาแป๊บเดียวก็ตามไม่ทันเสียแล้ว”
มือบางปล่อยกระดุมเม็ดนั้นก่อนจะส่งหนังสือที่อยู่ในมือให้ชายหนุ่ม
“มาก็ดี ฉันจะขอใช้งานหน่อย” พฤกษ์ยิ้มหวาน อินทรชิตถึงกับเคลิ้มไปไกล
“ผมทำได้ทุกอย่างที่คุณพฤกษ์ต้องการ”
“เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน “เอาหนังสือพวกนี้ไปเก็บเข้าตรงนั้นก็พอ”
อินทรชิตรับคำสั่งและทำตามที่เขาขออย่างรวดเร็ว พฤกษ์คาดคะเนด้วยสายตาในตอนที่มองอีกฝ่ายกำลังเก็บหนังสือเข้าชั้นโดยที่ไม่ต้องเขย่งเท้าเลยแม้แต่น้อย
‘มันคงสูงสักร้อยเก้าสิบแล้ว’ เขาคิด ‘อาจจะสูงเท่า ๆ ตอนทำงานก็ได้’
ระหว่างที่พากันเดินออกจากห้องหนังสือ พฤกษ์ได้หยุดชะงักและถามอีกฝ่ายด้วยคำถามที่ว่า
“แกจะไว้หนวดหรือเปล่า? ”
“ครับ? ” ชายหนุ่มเอียงคอก่อนจะทวนคำถามในหัวใหม่อีกครั้ง “ไม่ครับ ไม่ไว้ มีอะไรหรือครับ”
เขาใช้นิ้วชี้แหวกคอชุดคลุมออกจนเผยให้เห็นผิวขาวผ่อง ทว่าตรงซอกคอนั้นกลับมีรอยแดงจาง ๆ ปรากฏอยู่เป็นหย่อมเล็ก ๆ
พฤกษ์ดึงคอชุดคลุมปิดไว้ดังเดิมและยกฝ่ามือขึ้นตบผิวแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ตอบว่า
“ถ้าไม่ไว้ก็หมั่นโกนบ่อย ๆ หน่อยนะ เวลากอดคนอื่นเขาจะได้ไม่รู้สึกจั๊กจี้แบบเมื่อกี้”
ร่างโปร่งพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงอินทรชิตที่ยืนใจเต้นระส่ำอยู่ตรงนั้นผู้เดียว เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาลูบปลายคางตนเองเบา ๆ
...ก่อนที่ใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสาวน้อย
ท่ามกลางความมืดมัวนั้น ยังมีแสงสลัวจากโคมไฟสาดส่องไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง บนเตียงหลังนั้นที่ควรจะเป็นสถานหลับนอนกลับปรากฏสองร่างเปลือยเปล่ากำลังโถมตัวโอบรัดและคลอเคลียจนไม่มีช่องว่างใดให้ใครหน้าไหนได้แทรกแซง
‘อ๊า’
เสียงของผ้าปูที่นอนและหมอนที่เสียดสีกันก็ดี เสียงของผิวเนื้อที่บดกระทบเป็นจังหวะหนักหน่วงก็ดี หรือเสียงหอบกระเส่าของร่างกำยำที่อยู่ด้านบนเคล้ากับเสียงครางหวานทุ้มของร่างโปร่งที่อยู่ด้านล่างก็ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นทะยานอยากจนแทบจะสำรอก
‘รู้สึกดีเป็นบ้า’ เสียงเข้มคำราม
‘อ๊ะ.. อืม เขี้ยว’
เมื่อเสียงหวานล้ำดังขึ้น ร่างกำยำที่โหมกระหน่ำจนเกือบจะบ้าคลั่งจึงได้สติ เขาโน้มหน้าลงไป บรรจงจูบบนริมฝีปากแดงเรื่อเพียงแผ่วเบาอย่างรักใคร่
‘ครับทูนหัว’
‘เขี้ยว.. แรงอีก’
ชายหนุ่มใต้ร่างพูดขึ้นด้วยเสียงเบาหวิวราวกับลูกแมวน้อยครางออดอ้อนเอาแต่ใจ เขาเคลื่อนตัวไปจูบหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นก่อนจะขยับสะโพกสอบเข้าหาช่องทางสีหวานและกระแทกกระทั้นด้วยรักรุนแรงสนองความต้องการของอีกคนอย่างลึกซึ้ง
‘..คุณพฤกษ์’ เมื่อเขาเอ่ย ดวงตาฉ่ำวาวปรือขึ้นมามองทันที ชายหนุ่มกระตุกไปทั้งร่าง หัวใจสั่นไหวเมื่อได้สบสายตากับบุคคลที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน
อา น้ำเสียงทุ้มหวานที่เอาแต่เรียกชื่อเขา ร่างกายที่เขยื้อนคลอนไปตามแรงกระทำของเขา ใบหน้านุ่มนวลที่เคยราบเรียบกลับเหยเกผิดรูปเพราะความกระสันที่ถูกเขาเติมเต็ม ไหนจะผิวกายขาวผ่องที่ขึ้นสีแดงจัดนั่นอีก
ทุกอย่างของคุณพฤกษ์กำลังทำให้เขาแทบคลั่ง
ไม่ไหวแล้ว..
‘เขี้ยว .. อ๊า’
มากกว่านี้..
‘เด็กดีของฉัน’
อยากให้คุณเรียกชื่อผม โหยหาผม ปรารถนาที่จะถูกผมกระทำอย่างรุนแรงมากกว่านี้
‘ผมรักคุณ ได้ยินไหมครับ คุณพฤกษ์ ..ผมรักคุณ’
“คุณพฤกษ์..” อินทรชิตลืมตาขึ้นโพล่ง กลางกายที่แข็งชันพลันกระตุกถี่ยิบก่อนจะเสร็จสม เขาหอบอย่างรุนแรงเม็ดเหงื่อมากมายผุดพรายเกาะตามกรอบหน้า ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนและความเปียกแฉะใต้ร่มผ้าจึงยันตัวขึ้นจากเตียงก่อนที่ลางสังหรณ์บางอย่างจะสั่งการให้เขาพลิกผ้าห่มออก
และใช่.. ลางสังหรณ์ของมนุษย์มักถูกต้องเสมอ
ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าที่ทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาเป็นทางยาวบ่งบอกว่ารุ่งอรุณยามเช้ามาถึงแล้วอีกครั้ง และ ณ ตอนนั้นเอง สัมผัสเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศก็ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าเรื่องราวก่อนหน้าคือฝันลวง ซ้ำร้ายยังลืมตาตื่นมาเจออีกฝันหนึ่ง
“ฝันเปียก บ้าฉิบ! ”
เลวร้ายเหลือเกิน อินทรชิตในวัยสิบแปดขยี้หัวตัวเองจนกระเซอะกระเซิงดูไม่ได้ วันนี้เป็นอีกครั้งแล้วหรือที่เขาเก็บเอาอีกฝ่ายมาสำเร็จความใคร่แม้กระทั่งในฝัน
“พี่อินทร์เป็นอะไรไปหรือคะ หน้าบูดเชียว” มาลีวัลย์ทักเขาทันทีที่เห็นหน้า อีกฝ่ายกำลังนั่งตัวตรงบนโซฟา มีป้าเมียมยืนถักเปียให้จากด้านหลังอย่างขะมักเขม้น ชายหนุ่มยิ้มบาง ปีนี้เจ้าตัวอายุสิบห้าปีแล้ว กำลังเป็นสาวสวยวัยสะพรั่งไม่ใช่เด็กหญิงหัวอ่อนดังเช่นแต่ก่อนมา
“เปล่าค่ะ” อินทรชิตหันรีหันขวาง “แล้วพีร์ละ? ”
เสียงตึงตังดังจากบันได เป็นพงพีนั่นเองที่วิ่งหน้าตั้งลงมาทั้งที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี ดูท่าน้องชายของเขาคงจะตื่นสายเหมือนอย่างทุกวัน
“แฮ่ก ๆ ” พงพีในวัยสิบหกหอบฮักก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ น้องสาว เอ่ยถามว่า “ทันไหม? ”
มาลีวัลย์เฉิดหน้า “ทันรถ แต่ไม่ทันมื้อเช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าเตรียมแซนวิชให้คุณไปทานบนรถแล้ว”
“ป้าเมียมน่ารักที่สุด~” พงพียิ้มร่าก่อนจะเริ่มยัดเสื้อที่ยังไม่เรียบร้อยดีเข้ากางเกงตามด้วยถุงเท้านักเรียน อินทรชิตยืนมองภาพน้อง ๆ ด้วยความสุข เขาพูดคุยกับเด็กทั้งสองเพียงไม่กี่คำก่อนจะขอตัวไปเรียนบ้าง
ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้เดินจากหน้าประตูใหญ่มาจนถึงโรงรถ ดวงตาคมกริบหันไปเห็นรถยนต์คันสีดำที่จอดนิ่งสนิท เขาวางมือลูบเบา ๆ บนฝากระโปรง มันเป็นคันโปรดของคุณพฤกษ์เขาล่ะ ทว่าตอนนี้กลับถูกทิ้งร้างการใช้งานจนฝุ่นเริ่มจับเพราะเจ้าของที่ว่ากำลังท่องเที่ยวอย่างสบายใจอยู่ที่อีกครึ่งซีกโลก
“เฮ้อ..” ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจปลงตก คุณพฤกษ์ไปต่างประเทศได้สองเดือนแล้วนับจากวันเรียนจบ เป็นเหตุมาจากที่เจ้าตัวไม่รู้จะทำอะไรในระหว่างรอรับปริญญาจึงได้รับการชักชวนจาก‘คุณฉัตรเพื่อนรัก’ให้ออกทริปร่วมกัน ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น เขาคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยคุณพฤกษ์ให้กลับมาโดยง่ายในสามหรือสี่สัปดาห์หรอก และมันก็จริง เพราะผ่านมาสองเดือนแล้วยังไม่มีวี่แววว่าคุณเขาจะส่งข่าวคราวมาเลยว่าจะเดินทางกลับมาตอนไหน คิดมาถึงตรงนี้อินทรชิตก็ได้แต่ภาวนาให้คุณพฤกษ์เบื่อหน่ายหรือไม่ก็เงินหมดเร็ว ๆ ทีเถอะ
...คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มเช็ดมือที่เปื้อนคราบฝุ่นก่อนจะเดินมายังดูคาติสีดำแดงที่จอดรออยู่ถัดมาไม่ไกล จักรยานยนต์คันนี้คุณพฤกษ์เป็นคนซื้อให้เขาเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา
อันที่จริงเขาอยากจะปฏิเสธไปเหมือนกันแต่เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณเขาตั้งใจซื้อให้จะไม่เอามาใช้มันก็ออกจะเสียมารยาทอยู่สักหน่อย
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากรับไว้ก็เพราะหากว่าเขามีรถขับนั่นก็แปลว่าคุณพฤกษ์จะไม่ต้องคอยไปส่งเขาที่โรงเรียนอีกแล้วน่ะสิ
‘คุณพฤกษ์ไม่ไปมหาลัยหรือครับ สายแล้วนี่’
เขาถามคุณพฤกษ์หลังจากวันเกิดผ่านมาได้สองอาทิตย์
‘ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจขับรถ’ คุณเขาอยู่ในชุดคลุมนอนชวนวาบหวิว กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในสวนหย่อมหันมาตอบ
‘เอ่อ แล้วผม..’
‘มีรถแล้วก็ขับไปเรียนเสียสิ อย่าบอกนะว่าไม่มีใบขับขี่’
‘มีครับ’ เขาหน้าม่อยลง ‘เพิ่งทำไปเมื่ออาทิตย์ก่อน’
‘ก็ดีแล้วนี่ เด็กสมัยนี้เขาชอบขับรถโก้ ๆ ไปเรียนเองไม่ใช่หรือ แกคงไม่ใช่ลูกแหง่ที่ต้องให้ที่บ้านคอยรับคอยส่งไปตลอดหรอกใช่ไหม? ’
'โธ่..’ อินทรชิตแสร้งตีหน้าซื่อ ‘รถเยอะจะตายไปนี่ครับ คุณพฤกษ์ไม่กลัวผมเกิดอุบัติเหตุหรือ ผมเพิ่งจะสิบแปดมาได้แค่สองอาทิตย์เองนะครับ’
‘ตอนฉันสิบแปด ฉันขับบีเอ็มไปโรงเรียนได้แล้วนะ’
‘ก็นั่นมันรถยนต์นี่ครับ’
‘งั้นฉันควรซื้อรถยนต์ให้แกอีกคันใช่ไหม? จะเอาอะไรล่ะ บีเอ็ม? เบนซ์? หรือจากัวร์ดี? อืมม.. แต่ดูทรงแล้วออดี้น่าจะเหมาะกับแกมากกว่า’
อินทรชิตเผลอใจเต้นแรง ไม่คาดคิดว่าคุณพฤกษ์ยังจำได้ว่าเขาใช้ออดี้ขับไปไหนมาไหนบ่อยตอนเริ่มทำงานช่วงแรก ๆ
‘ซื้อทำไมครับ ผมขับรถยนต์ไม่เป็นหรอก’ แอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง เขาโกหกไปคำโตเสียแล้ว
‘ขับไม่เป็นวันนี้ อีกเดี๋ยวก็ขับเป็น ขี้คร้านจะขับพาหญิงเที่ยวทั้งวันล่ะสิ’
คนเดียวที่เขาอยากขับพาเที่ยวทั้งวันก็คือคุณนั่นแหละ
‘ไม่มีทาง’ เขาตอบเสียงแข็งก่อนจะเข้าไปออเซาะใกล้ ๆ พยายามรีดเค้นลูกอ้อนทั้งหมดมาใช้ให้เกิดผลที่สุด
‘จะหาว่าเป็นลูกแหง่ก็ช่าง ผมอยากให้คุณไปส่งนี่ครับ’
กระพริบตาปริบ ๆ ไปสองที แน่นอนล่ะ ลูกไม้แบบนี้เป็นใครก็ใจอ่อนทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคุณพฤกษ์ที่ชื่นชอบการถูกเด็ก ๆ ออดอ้อนก็ยิ่งมั่นใจได้ว่ายังไงก็ไม่มีทางปฏิเสธเขาเด็ดขาด
‘เฮ้อ แกเนี่ยนะ’ คุณเขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด
‘แค่วันนี้วันเดียว’
คุณพฤกษ์เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เด็ดขาดในคำพูดเสมอ หากพูดว่า ‘แค่วันนี้วันเดียว’ นั่นย่อมหมายความว่ามันจะไม่มีวันที่สองหรือสามตามมาเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
ลูกไม้ตื้น ๆ ใช้กับคุณเขาไม่ได้ผลเสียแล้ว.. และนับแต่นั้นมาอินทรชิตจึงต้องจำใจขับรถออกไปเรียนเองจนถึงทุกวันนี้
“เบื่อว่ะ เสาร์นี้ไปเล่นบ้านมึงได้ปะ”
“ไม่ได้” เขาตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด อัคราพ่นลมหายออกทางปาก เริ่มโอดครวญอีกครั้งหลังจากถูกเพื่อนสนิทปฏิเสธเป็นรอบที่ร้อยนับตั้งแต่คบหากันมา
“ทำไมวะ ทำไมถึงไม่ได้”
และเขาก็ถามคำถามเดิมมาเป็นร้อยรอบ
“นั่นไม่ใช่บ้านกูเสียหน่อย กูเกรงใจคุณลุงแล้วก็คนอื่น ๆ ”
คำตอบเองก็เป็นคำตอบเดิมที่เขาได้ยินจนเบื่อหน่าย อัคราชักจะเริ่มหงุดหงิด
“เกรงใจทำไมวะ เขากับพ่อกูก็คนกันเอง ไม่ใช่ว่าลุงมึงน่าจะดีใจที่เห็นมึงสนิทกับกูหรอกหรือ”
“....” ชายหนุ่มนิ่งก่อนจะมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยแววตาเห็นใจพลางนึกถึงคำพูดที่พนาเคยพูดไว้
‘ถ้าเป็นไปได้ ลุงไม่อยากให้อินทร์ไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย’
มันคงจะเสียใจน่าดูถ้าหากได้รู้ถึงความจริงในเรื่องนี้
ชายหนุ่มคิดหนัก อัคราที่เคยรู้จักนั้นช่างแตกต่างกับอัคราที่อยู่ตรงหน้าราวกับคนละคน เขาหวนนึกถึงกาลก่อน ผู้ที่ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นผู้ชายที่มักจะทำเรื่องน่ารังเกียจอยู่ตลอดเวลา สมัยเรียนก็ชอบคบซ้อนมั่วเซ็กส์กับชายหญิงไม่เลือกหน้าเป็นที่โจษจันทั้ง ๆ ที่ตนเองก็คบอยู่คุณพฤกษ์เป็นคนรักเปิดเผยอยู่แล้ว เขาในตอนนั้นยังเด็กนักแต่ก็เข้าใจว่าอัคราเจ้าชู้และหน้าไม่อาย แต่เพราะแบบนั้นมันถึงทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อย หากครั้งไหนคุณพฤกษ์เกินจะทานทนก็จบลงที่เลิกรากันไป
‘นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะพูด’ อินทรชิตได้ยินคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’ จากคุณพฤกษ์มาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะบังเอิญได้ยินจากอีกฝ่ายเพราะบังเอิญเอากระเช้าของฝากมาเยี่ยมพนาที่บริษัท
‘ผมกับคุณเราต่างคนต่างไป’
‘อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยพฤกษ์’ เสียงห้าวเข้มของอัคราดังขึ้นพร้อมกับกระชากคุณพฤกษ์ที่กำลังเดินหนีให้หันกลับมา
‘ไม่ได้งี่เง่าแต่ผมแค่เบื่อ มันน่ารำคาญใจน่ะที่เห็นคุณทำตัวทุเรศ ๆ แบบนี้ตลอด’
‘พฤกษ์ มันก็แค่เซ็กส์ แค่วันไนท์ ผมก็เป็นแบบนี้ทำไมต้องคิดมาก ผู้ชายทุกคนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น’
‘ผู้ชายทุกคนเป็น? อ๋อ คิดงั้นเองหรอกหรือ แต่ผมไม่เคยนอนกับใครเลยนะ ถ้าจะบอกว่าผู้ชายทุกคนเป็นแบบนี้มันก็ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย ผมว่าของแบบนี้มันอยู่ที่สันดานส่วนบุคคลมากกว่า’
อัครานิ่งไป สีหน้าอีกฝ่ายเรียบตึงจนน่ากลัว คุณพฤกษ์ไม่ยี่หระกับท่าทางนั้นกลับพูดต่อไปว่า
‘ผมไม่คิดมากหรอกนะถ้าเราไม่ได้คบกัน ถ้าเราโสดด้วยกันทั้งคู่คุณจะไปนอนกับใครที่ไหนก็ได้ ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำ แต่นี่เราคบกัน คุณเป็นผู้ชายของผมแต่ลับหลังผมคุณยังทำแบบนี้โดยไม่นึกถึงความถูกต้องอะไรทั้งนั้น ผมอดทนมาหลายครั้งหลายหนคิดว่าสักวันคุณคงจะคิดได้เอง แต่ยิ่งให้อภัยคุณก็ยิ่งเหลิง ผมไม่สามารถทนกับคุณได้อีกแล้วอัครา คุณมันทุเรศ! สมสู่ไปทั่วยิ่งกว่าหมาจรจัดเสียอีก!! ’
อินทรชิตเห็นดวงตาของคุณพฤกษ์แดงก่ำ หากว่าได้เห็นอีกฝ่ายร้องไห้เขาคงทรมานกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน แต่ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีน้ำตาสักหยดร่วงหล่นลงมา คุณเขาเม้มริมฝีปากแน่นจนสั่น สูดหายใจลึกก่อนจะกลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง
‘ ..อัคร สิ่งที่ผมต้องการจากคุณมีแค่อย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้นคือความซื่อสัตย์ แต่คุณก็พิสูจน์ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการรักผมเพียงแค่คนเดียวมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ’
อินทรชิตที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่คุณอยากรักทำไมถึงเป็นผมคนนี้ไม่ได้? ถ้าเป็นผมจะไม่ทำให้คุณพฤกษ์เสียใจหรือต้องอดทนเด็ดขาด ผมจะให้คุณมากกว่าคำว่าซื่อสัตย์ ผมจะจงรักภักดีกับคุณยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ทำไม! ทำไมถึงต้องเป็นมัน!!
‘พฤกษ์! ’ มันพลักคุณเขาแนบกับผนังแถว ๆ หน้าห้องน้ำชั้นผู้บริหารก่อนจะบดริมฝีปากลงไปขยี้เรียวปากสวยอย่างรุนแรง เขาได้ยินเสียงนุ่มครางเครือพร้อมกับทำท่าทีขัดขืนในตอนแรกทว่าคุณเขาก็โอนอ่อนยอมรับจูบนั้นอย่างยินดีในท้ายที่สุด อินทรชิตที่ยืนมองอยู่แทบกระอักเลือดเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตั้งใจจะมาแอบเจอหน้าคุณเขาแต่กลับต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้เสียทุกครั้งไป
เพี๊ยะ!
‘คนระยำ’ คำด่าทอนั้นดึงสติเขากลับมา คุณพฤกษ์ตบอีกฝ่ายจนหน้าหันไปอีกข้าง อินทรชิตถึงกับกรีดร้องสะใจอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่อัคราหันหน้ากลับมาพร้อมรอยฝ่ามือแดงเถือกเป็นทางยาวบนแก้ม
‘มันเจ็บนะ! ’
'โง่จริง ก็ตีให้เจ็บไง! อย่ามารุ่มร่ามกับผมอีก! นี่! ทำอะไร!? เราเลิกกันแล้วนะ!! ปล่อย! อัคร! อัครา!! ’
อินทรชิตจำได้ว่าวันนั้นอัคราลากคุณพฤกษ์เข้าไปคุยในห้องน้ำอยู่เกือบชั่วโมงก่อนจะพากันออกมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็ได้ข่าวว่าทั้งคู่กับมาคบกันอีกครั้งจนได้
นั่นคือส่วนหนึ่งจากทั้งหมดของอัคราที่เขารู้จักในกาลก่อน
แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมาต้องยอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่าเขาและอัคราต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันมีอะไรหลายอย่างที่พวกเขาสองคนเข้ากันได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความชอบ ความคิดหรือแม้แต่การกระทำก็ไม่เคยสวนทางกันแม้แต่น้อย ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นว่าอีกฝ่ายมักจะตัวติดอยู่กับเขาตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียนไปเสียอย่างนั้น
อาจจะเป็นไปได้ว่าแรกเริ่มเดิมทีอัครานั้นมีพื้นฐานจิตใจในวัยเด็กที่ดีมากกระทั่งสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวได้เข้ามาเปลี่ยนให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นคนที่บิดเบี้ยวเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงขนาดมีความคิดฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล
‘น่าสงสาร’ และ ‘เวทนา’ นั่นคือความรู้สึกที่อินทรชิตมีต่ออัคราในกาลนี้
“เงียบอีกละ พูดเรื่องนี้ทีไรมึงก็เป็นงี้ตลอด เอาจริงปะ กูแค่เบื่อบ้านอยากไปเล่นกับมึงบ้างก็เท่านั้น”
อัคราที่เห็นเพื่อนเงียบไปจึงพูดขึ้น เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ทำไม? ” อินทรชิตถาม “ที่บ้านไม่น่าอยู่หรือ”
“สุด ๆ ” ชายหนุ่มกลอกตา “แม่กูโคตรเจ้ากี้เจ้าการว่ะ กูรู้สึกเหมือนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองเลย ถ้าอยู่บ้านก็จะโดนแม่บอกให้ทำนั่นทำนี่พาไปนั่นไปนี่ งานเลี้ยงงานการกุศลห่าอะไรไม่รู้เยอะแยะ น่าเบื่อมาก มีแค่โรงเรียนเท่านั้นมั้งที่กูรู้สึกปลอดภัยไม่ต้องคอยระแวงแม่”
พูดจบชายหนุ่มก็หงายหลังนอนลงไปกับม้านั่งตัวยาว อินทรชิตหัวเราะเบา ๆ ตอบไปว่า
“มึงนี่น่าสงสารนะ”
“โอ๊ะ แน่นอนสิ” มันผงกหัวขึ้นมาหลิ่วตามอง “สงสารกูก็ให้กูไปบ้านสักทีเถอะน่า”
“ไม่”
“อะไรวะไอ้นี่”
“งั้นเปลี่ยนเป็นกูไปบ้านมึงแทนดีไหม”
“ฮื้อออ” ชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าเลย”
“ทำไม”
“กูไม่อยากให้แม่มาวุ่นวายกับมึง บอกตามตรงแม่กูชอบสแกนเพื่อนกูมาตั้งแต่ไหนแต่ไรละ มึงก็เห็นนี่ว่ากูไม่มีเพื่อนที่ไหนเลยนอกจากเพื่อนที่แอลเอ”
“งั้นก็ไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่ายังไงกูก็ไม่ให้มึงมาอยู่ดี”
“เฮงซวย! ”
อินทรชิตตัดบททันทีก่อนที่เขาทั้งสองจะคุยกันยาวไปมากกว่านี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อัครารบเร้าขอจะมาหาเขาที่บ้านในช่วงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนหรือถกเถียงกันอย่างไรผลมันก็ออกมาเหมือนกับครั้งนี้ที่เขาพยายามหาทุดคำพูดมาปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างไร้เยื่อใย ถึงแม้จะรู้สึกสงสารเพื่อนสนิทอยู่บ้างในบางครั้งที่ต้องทนอยู่กับความกดดันที่บิดเบี้ยวของผู้เป็นแม่แต่อินทรชิตจะไม่ขอเสี่ยงให้คุณพฤกษ์เจอกับอัคราเด็ดขาด
สองริมฝีปากบดเบียด สองลิ้นร้อนผ่าวมัวเมาคลอเคลียไม่ห่างกันไกล เสียงกระทบกันของน้ำลายดังขึ้นเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกวาบหวามและใจสั่นพิลึก และก่อนที่อารมณ์ปรารถนาจะด่ำดิ่งลึกลงไปมากกว่านี้พฤกษ์จึงผละออกมาอย่างแช่มช้า
เขาหอบหายใจรุนแรงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มสงบ
“ข้างหน้ามีโรงแรมอยู่” ฉัตรตะวันกระซิบชิดใบหู พฤกษ์ยกฝ่ามือดันอีกฝ่ายออก ตอบไปว่า
“อยากกลับบ้านครับ”
“โธ่” เขาโอดครวญ “เราเพิ่งจะแลนดิ้งไม่ถึงชั่วโมง”
“คุณแม่คุณคงจะเป็นกังวลแย่”
“นี่เพิ่งจะเที่ยง คุณแม่ท่านไม่ว่าหรอกถ้าผมจะถึงบ้านช้ากว่านี้สักหน่อย”
“ขอล่ะ” พฤกษ์หยิบแว่นสายตาที่ตกอยู่บนพื้นรถขึ้นมาเช็ดก่อนที่จะสวมใส่ “ผมเองก็เพลียเหลือเกิน อยากกลับไปอาบน้ำไว ๆ ”
“คุณอาบที่คอนโดผมได้นะ หลังจากที่เรา..”
“คุณฉัตร”
เจ้าของชื่อนิ่งไปทันทีที่พฤกษ์เอ่ย ฉัตรตะวันแอบขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นั่นจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส
“อย่าโมโหสิครับ” เขาว่าพลางโน้มตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่าย
“กลับก็กลับ ผมไม่รั้งให้คุณอยู่กับผมแล้วก็ได้”
หลังจากรถยนต์ของฉัตรตะวันลาลับกลับออกไปแล้ว พฤกษ์จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้องเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน บอกตามตรงการใช้ชีวิตตัวติดกับฉัตรตะวันมันช่างเป็นอะไรที่สูบพลังชีวิตของเขามากมายเสียเหลือเกิน ไอ้ตอนพากันตะลอนเที่ยวน่ะไม่เท่าไหร่หรอกแต่พอตกดึกอีกฝ่ายมักชอบเข้ามานัวเนียขอมีเซ็กส์แบบจัดเต็มทุกวัน ๆ นี่สิทำเอาเขาแทบรากเลือด
ดีเสียที่อรดีผู้เป็นแม่ของฉัตรตะวันเรียกตัวด่วนถึงได้ยอมกลับกันมาแต่โดยดี ขืนอยู่ต่ออีกสักสองหรือสามอาทิตย์มีหวังเขาได้ตัวเหือดแห้งเหลือเพียงแต่โครงกระดูกเป็นแน่
“คุณพฤกษ์กลับมาตอนไหนคะเนี่ย ทำไมไม่บอกยายเลยล่ะ” เสียงเย็น ๆ ร้องทัก พฤกษ์จึงหันกลับมา เป็นแม่พลอยและป้าเมียมที่ออกมาต้อนรับนั่นเอง
“เมื่อสักครู่ครับ” เขาสวมกอดหญิงชราและตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ขอโทษนะครับแม่พลอย พอดีมันกระชั้นชิดไปหน่อยผมเลยลืมโทรกลับมาบอก”
“ช่างมันเถอะค่ะ กลับมาก็ดีแล้ว” แม่พลอยกล่าวอย่างไม่ติดใจ
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณพฤกษ์” ป้าเมียมส่งยิ้มละไม “เดี๋ยวป้าช่วยยกกระเป๋านะคะ”
“มีของฝากด้วยครับ” พฤกษ์บุ้ยหน้าไปยังถุงกระดาษและข้าวของที่ฉัตรตะวันช่วยขนมาวางไว้ให้เมื่อครู่
“สี่ถุงนี้เป็นของแม่พลอย ป้าเมียม ต่ายและก็ลุงแสง ส่วนอันนี้เป็นขนม เอาไปเก็บในครัวได้เลย ที่เหลือเป็นของพวกเด็ก ๆ ป้าช่วยเอาไปวางในห้องผมก่อน เดี๋ยวผมค่อยเอาไปให้กับเจ้าตัวทีหลังเองดีกว่า”
พฤกษ์สั่งเสร็จสรรพและหันมาถามสารทุกข์สุกดิบแม่พลอยอีกเล็กน้อย เขาหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่เป็นการปิดท้ายก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนหลังจากที่เดินทางมาหลายสิบชั่วโมง
ร่างโปร่งเดินตัวหอมฉุยออกมาจากห้องน้ำ พฤกษ์หยิบชุดคลุมนอนสีแดงเลือดหมูจากตู้ออกมาสวมใส่ เขานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเช็ดเส้นผมให้หมาดก่อนจะเริ่มหยิบเซรั่มบำรุงผิวหน้า ครีมบำรุงผิวกายและผิวมือขึ้นมาทาทีละชิ้นอย่างทะนุถนอมเอาใจใส่
‘พออาบน้ำแล้วก็หายง่วงทันทีเลยแฮะ’ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะลงไปหาอะไรทานหรือเดินเล่นในสวนดี ดวงตาเฉี่ยวคมภายใต้กรอบแว่นก็เหลือบไปเจอกองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ร่างโปร่งเดินเข้าไปใกล้ พอเห็นปกหนังสือก็นึกออกทันทีว่าหนังสือพวกนี้เขานำมาอ่านจากห้องหนังสือก่อนจะออกทริปเที่ยวหลังเรียนจบกับฉัตรตะวัน
พฤกษ์รวบหนังสือจำนวนสามเล่มหนา ๆ ขึ้นมากอดแนบอก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเอามันกลับไปเก็บที่ห้องหนังสือแล้วเลยไปหาอะไรรองท้องในครัว
ทว่าเมื่อลงมาถึงห้องหนังสือ พฤกษ์ก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ บันไดรางเลื่อนถูกถอดออกมาวางเพราะชำรุด
“แย่แล้วสิ” เขาพึมพำ “แต่ถ้าเขย่งเท้าอีกสักหน่อยคงจะถึงล่ะมั้ง”
พฤกษ์คิดเช่นนั้นเพราะเห็นว่าชั้นหนังสืออยู่สูงขึ้นไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน อีกอย่างเขาไม่อยากลากโซฟาตัวเล็กมาเหยียบเพราะมันหนักเกินกำลัง พฤกษ์ไม่ชอบยกของหนัก ไม่ชอบทำอะไรก็ตามที่ชวนให้รู้สึกลำบากลำบนมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มวางหนังสือสองเล่มลง หยิบติดมือมาเล่มเดียว ..และเขย่งเท้า
หมับ
“อ๊ะ? ” พฤกษ์ร้องในคอเสียงเบาเมื่อมีอีกร่างกำยำเข้ามาประชิดตัวจากด้านหลัง อีกฝ่ายใช้แขนแข็งแรงทั้งสองโอบกอดร่างกายของเขาเอาไว้แน่นจนแผ่นหลังแนบชิดสนิทกับแผ่นอกที่เต็มไปด้วย ...กล้ามเนื้อแข็ง ๆ
พฤกษ์รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวหลังต้นคอและได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่เขาจำได้ว่าเป็นคนซื้อให้อีกฝ่ายเมื่อไม่นานมานี้
“เขี้ยว” พฤกษ์เอ่ย “แกเองหรอกหรือ”
ขณะที่เขาเอี้ยวหน้ากลับไปมอง อินทรชิตก็ทิ้งศีรษะซบลงมาบนบ่าเสียแล้ว เจ้าตัวกระชับอ้อมแขนก่อนจะโยกไปมาเบา ๆ พฤกษ์ที่เห็นอาการหงอยเช่นนั้นของชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือกลับไปลูบศรีษะ
“คุณพฤกษ์ไปนานมาก” เสียงเข้มตัดพ้อ
“อืม”
“โทรหาก็ไม่ค่อยจะรับ”
"อืม”
“กลับมาก็ไม่คิดจะบอกกันก่อนเลย”
“อืม”
“ทำไมใจร้ายนักนะ”
อีกฝ่ายว่าพลางถูปลายคางลงบนผิวซอกคออย่างออดอ้อน การกระทำนั้นจึงแม้จะคุ้นชินมาตลอดสามปีแต่ครั้งนี้มันกลับทำให้พฤกษ์ทำหน้าเหยเกเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะชุดคลุมนอนที่ใส่อยู่คอกว้างเกินไปจึงทำให้ตอหนวดที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ ๆ บาดเข้ากับผิวอ่อนนุ่มจนเกิดรอยแดงจาง ๆ
..แถมยังชวนให้รู้สึกจั๊กจี้พิลึกเสียด้วย
“จะโอดครวญไปทำไม ฉันก็กลับมาแล้วนี่ไงล่ะ”
“โอดครวญไม่ได้หรือครับ” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหูทำเอาขนลุกเกรียวไปทั้งสรรพางค์กาย พฤกษ์กระแอมเบา ๆ ตอบไปว่า
“ก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ทำอย่างกับหมาโดนทิ้งไปได้”
“ผมอาจจะเป็นหมาโดนทิ้งก็ได้นะ คุณพฤกษ์ไงครับ เจ้าของที่ใจร้ายคนนั้น”
พฤกษ์หัวเราะก่อนจะสลัดแขนแข็งแรงที่พันธนาการตนเองไว้ เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายและก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอินทรชิตสูงขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันเสียอีก
“แกสูงขึ้นอีกแล้วเขี้ยว” เขาว่าพลางใช้มือไม้จับสำรวจไปทั่วไหล่หนาและแผ่นอกแน่นตึง เรื่อยไปจนถึงหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเล็ก ๆ อย่างสนใจใคร่รู้
“ดูสิ เสื้อนักเรียนคับจนกระดุมรั้งไม่อยู่แล้ว”
อินทรชิตก้มลงมองมือขาวผ่องที่จับอยู่บนกระดุม ชายหนุ่มเกาแก้มแก้เก้อ ตอบเสียงเบาหวิว
“ตัวนี้ผมเพิ่งจะตัดก่อนคุณพฤกษ์จะไปต่างประเทศ”
“อย่างนั้นหรือ” พฤกษ์พยักหน้าอย่างใช้ความคิด
“วัยรุ่นก็แบบนี้ล่ะนะ ละสายตาแป๊บเดียวก็ตามไม่ทันเสียแล้ว”
มือบางปล่อยกระดุมเม็ดนั้นก่อนจะส่งหนังสือที่อยู่ในมือให้ชายหนุ่ม
“มาก็ดี ฉันจะขอใช้งานหน่อย” พฤกษ์ยิ้มหวาน อินทรชิตถึงกับเคลิ้มไปไกล
“ผมทำได้ทุกอย่างที่คุณพฤกษ์ต้องการ”
“เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน “เอาหนังสือพวกนี้ไปเก็บเข้าตรงนั้นก็พอ”
อินทรชิตรับคำสั่งและทำตามที่เขาขออย่างรวดเร็ว พฤกษ์คาดคะเนด้วยสายตาในตอนที่มองอีกฝ่ายกำลังเก็บหนังสือเข้าชั้นโดยที่ไม่ต้องเขย่งเท้าเลยแม้แต่น้อย
‘มันคงสูงสักร้อยเก้าสิบแล้ว’ เขาคิด ‘อาจจะสูงเท่า ๆ ตอนทำงานก็ได้’
ระหว่างที่พากันเดินออกจากห้องหนังสือ พฤกษ์ได้หยุดชะงักและถามอีกฝ่ายด้วยคำถามที่ว่า
“แกจะไว้หนวดหรือเปล่า? ”
“ครับ? ” ชายหนุ่มเอียงคอก่อนจะทวนคำถามในหัวใหม่อีกครั้ง “ไม่ครับ ไม่ไว้ มีอะไรหรือครับ”
เขาใช้นิ้วชี้แหวกคอชุดคลุมออกจนเผยให้เห็นผิวขาวผ่อง ทว่าตรงซอกคอนั้นกลับมีรอยแดงจาง ๆ ปรากฏอยู่เป็นหย่อมเล็ก ๆ
พฤกษ์ดึงคอชุดคลุมปิดไว้ดังเดิมและยกฝ่ามือขึ้นตบผิวแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ตอบว่า
“ถ้าไม่ไว้ก็หมั่นโกนบ่อย ๆ หน่อยนะ เวลากอดคนอื่นเขาจะได้ไม่รู้สึกจั๊กจี้แบบเมื่อกี้”
ร่างโปร่งพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงอินทรชิตที่ยืนใจเต้นระส่ำอยู่ตรงนั้นผู้เดียว เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาลูบปลายคางตนเองเบา ๆ
...ก่อนที่ใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสาวน้อย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ