คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.31K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) 00 26

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 26

 

“คุณฉัตรไปสนามบินเป็นเพื่อนแม่หน่อยค่ะ ลูกชายคุณสิรีเพิ่งกลับมาจากแอลเอ”

ฉัตรตะวันถูกผู้เป็นแม่บุกมาหาถึงคอนโดและปลุกให้เขาลุกขึ้นจากเตียงด้วยประโยคนั้น ชายหนุ่มนั่งคอตกสะลึมสะลือ ผมเผ้าไม่เป็นทรง ดวงตาทั้งสองยังไม่ทันจะลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ

อรดีลูบหน้าลูกชาย พูดว่า

“ไปอาบน้ำแต่งตัวหล่อ ๆ ค่ะ เดี๋ยวสาย”

“วันนี้เป็นวันพักผ่อน..” ฉัตรตะวันล้มตัวลงนอนต่อ “ผมเหนื่อย ผมจะไม่ไปไหน”

เขาพูดอย่างอ่อนแรงและเน้นน้ำเสียงว่าเหนื่อยอย่างจริงจัง ผลจากเมื่อวานที่ใช้แรงช่วงแขนอย่างมากในการเหวี่ยงขวานต่อเนื่องเป็นชั่วโมงทำให้วันนี้ฉัตรตะวันถึงกับปวดระบมไปทั้งร่างจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

ขอเถอะ ..ปล่อยให้เขานอนโง่ ๆ ไปอย่างนี้ก็พอ

“คุณฉัตร” อรดีลากเสียง “นี่เป็นเรื่องสำคัญนะคะ แม่อยากให้คุณฉัตรรู้จักหุ้นส่วนของแม่”

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง “หุ้นส่วน? ”

“เราจะเปิดห้องเสื้อกัน ช่วงนี้แม่กำลังสนใจอะไรพวกนี้อยู่”

“แล้วมันเกี่ยวกับผมยังไง” เขาว่า “ผมไม่อยากรู้จักกับเพื่อนคุณแม่สักหน่อย”

“แต่แม่อยากให้คุณฉัตรรู้จักกับลูกชายฝั่งนั้น”

“ผมจะได้ประโยชน์อะไร? คอนเน็กชั่นหรือครับ? ”

อรดีหัวเราะ ว่าแล้วเชียว ลูกชายของเธอฉลาดอย่างที่คิด

“คุณฉัตรรู้จักนามสกุลเลิศบดินทร์ไหมคะ? ”

คราวนี้ฉัตรตะวันลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง

“เชื้อเจ้าหรือเปล่าครับ” เขาลุกขึ้นนั่ง “ผมเคยได้ยินอยู่บ้าง”

“เจ้าเก่าค่ะ” อรดีอธิบาย “เหมือนว่าฐานันดรศักดิ์จะหมดแค่รุ่นคุณปู่เขา ลูก ๆ หลาน ๆ ก็ไม่ได้สืบเชื้อสายต่อ ตอนนี้เป็นแค่สามัญชนเหมือนเรา ๆ ”

“...”

“รู้จักคอนเน็กชั่นดี ๆ เอาไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ คุณฉัตรก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? ”

ฉัตรตะวันถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะจำใจลุกขึ้นจากเตียงในที่สุด

 

“ตาอัคร! ” เสียงแหลมแผดขึ้นขณะที่หญิงสาวหันไปมองลูกชายที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“เคี้ยวอะไรอยู่ได้ในปากจ๊อบ ๆ แจ๊บ ๆ ”

“หมากฝรั่ง”

“หมากฝรั่ง? ถ้างั้นก็เคี้ยวให้มันเบา ๆ หน่อยสิ แม่หนวกหูนะ”

“แม่หนวกหูก็ปิดหูสิ ใครใช้ให้มานั่งฟังล่ะ”

“นี่! ” เธอตวาดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในร้านกาแฟจึงค่อย ๆ ลดเสียงลง

“หางเสียงน่ะไปไหน”

“โอ๊ย” เด็กหนุ่มร้อง “จะอะไรนักหนากับอีแค่หางเสียง อยู่แอลเอไม่เห็นต้องพูดเลย”

“ก็นี่มันไม่ใช่แอลเอ! แกต้องไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองสิ เข้าใจไหมตาอัคร!? ”

“คร้าบ เข้าใจคร้าบ”

เด็กหนุ่มวัยสิบห้ารับคำผู้เป็นแม่อย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะก้มลงเล่นนินเทนโดสวิตช์ที่อยู่ในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนอยู่บนเครื่องเขาเอาแต่นอนจนไม่มีเวลาเล่น ตอนนี้ล่ะ เขาจะเล่นมันให้สมใจอยากไปเลย

ขณะนั้นเอง เสียงประตูกระจกก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามาในร้าน อัคราเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าจากจอเกมขึ้นมามองข้างหน้า สิ่งแรกที่สะกดสายตาของเขาคือผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง ชายคนนี้สูงราวร้อยแปดสิบหรืออาจจะมากกว่านั้นหากคาดคะเนด้วยสายตา ท่าทางเรียบร้อยและมีความสุภาพบุรุษสูง ใบหน้าหล่อเหลาเกินมาตรฐานทั่วไปอยู่มากจนจัดอยู่ในประเภทเพอร์เฟค รูปร่างสมส่วนไม่ผอมบางมีกล้ามเนื้อเหมือนคนที่รักการออกกำลัง ผิวกายหรือก็ขาวสะอาดสะอ้านจนเห็นเส้นเลือดที่ลำคอ แต่งตัวด้วยเชิ้ตสีดำและกางเกงขายาวสีเดียวกันกับเสื้อ

‘หล่อมาก’ และ ‘โคตรจะฮอตเนิร์ด’ อัคราให้นิยามอีกฝ่ายไปแบบนั้น ..สาบานเลยว่าเด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตุผู้หญิงที่มากับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มันน่าตกใจที่ผู้ชายคนนั้นดึงดูดสายตาของเขาและคนอื่นในร้านให้หันไปรวมที่เจ้าตัวได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น!

อัคราไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองได้มองชายคนนั้นอยู่นาน กระทั่งอีกฝ่ายเดินมาหยุดลงตรงหน้า

“รอนานไหมคะสิรี”

“อ้าวอร” แม่ของเขาร้อง “ไม่นานเลยจ้ะ มานั่งก่อนสิ อัครลูก ขยับให้พี่เขานั่งหน่อยสิ”

อัคราแทบไม่ได้ยินเสียงผู้เป็นแม่เรียก เด็กหนุ่มยังคงมองหน้าผู้ชายคนนั้นตาไม่กระพริบ ให้ตายสิ เขาไม่เคยเห็นใครดูดีและน่ามองขนาดนี้มาก่อนเลย!

“ขยับไปหน่อยสิ” เรื่องไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ชายหนุ่มตรงหน้าพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสุภาพพลางยิ้มกว้างส่งมาให้ รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นทำเอาเสียแทบเคลิ้มฝัน

“คะ ครับ” อัคราเอ่ยอย่างตะกุกตะกักก่อนจะย้ายไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ด้านใน อีกฝ่ายนั่งลงอย่างระมัดระวังและหันมายิ้มบางตอบเป็นการขอบคุณ

“ตาอัคร นี่คุณอรเพื่อนแม่นะ อรนี่อัครา เป็นลูกชายเราเอง”

“คุณฉัตร” ถึงคราวที่อรดีต้องแนะนำ เธอหันมาหาลูกชาย

“นี่คุณสิรีที่แม่เล่าให้ฟัง สิรีนี่ฉัตรตะวัน เป็นลูกชายของเราเอง”

ขณะที่ฟังจบสายตาของอัคราเองก็ค่อย ๆ หันไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายหลังจากถูกแนะนำตัวก็คลี่ยิ้มละมุนแจกจ่ายให้ทุกคนรอบโต๊ะ เด็กหนุ่มได้แต่มองแล้วนิ่งไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ความรู้สึกหนึ่งแว่บผ่านขึ้นมาในหัว

‘ฉัตร ..ตะวัน’ เขาคิด ‘ก็สมชื่อดี’

 

ฉัตรตะวันกำลังหงุดหงิด เขาคิดว่ามันคงจบไปตั้งแต่อยู่ที่ร้านกาแฟในสนามบิน ทว่าเขาคิดง่ายเกินไปเมื่อสุดท้ายผู้เป็นแม่กลับทิ้งภาระอันหนักอึ้งให้เขาและหนีไปช็อปปิ้งกับสิรีเพื่อนรักสองคนอย่างไม่รู้สึกผิด!

“คนไทยเป็นอะไรกับหัวชาวบ้านวะ มองอยู่ได้”

ฉัตรตะวันหันขวับมามอง เขาเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงท่าทางหยาบกร้านคนหนึ่ง ท่าทางดูโตกว่าวัยคงเพราะเติบโตมาคนละสังคม มีใบหน้าหล่อเหลาค่อนไปทางดิบเถื่อน ผิวสีแทน แต่งตัวด้วยเสื้อฮู้ดสีดำรองเท้าราคาแพงระยับที่เขาเคยเห็นในช็อปและสิ่งหนึ่งที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุดก็คงจะเป็นผมสีแดงแสบทรวงของเจ้าตัวที่ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมองชนิดเหลียวหลัง

อัครา.. ฟังเป็นชื่อที่คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่จนแล้วจนรอดฉัตรตะวันก็นึกไม่ออกเสียทีว่าเคยได้ยินจากที่ไหน แต่เอาเถิด นั่นไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่า ‘ไอ้เด็กนี่แหละคือภาระอันหนักอึ้งของเขา’

“โห รถพี่สวยดีว่ะ”

เด็กหนุ่มอุทานก่อนจะลากกระเป๋ามาหยุดข้างกายเขา ฉัตรตะวันเหลือบมอง พอเห็นดวงตาเป็นประกายวิบวับของอีกฝ่ายก็ทำหน้าหนักใจทันที

“ที่บ้านคุณไม่มีรถมารับหรือ” นั่นสิ เขาเองก็สงสัย

“แม่ทะเลาะกับพ่อน่ะเลยอวดดีมารับเอง” อัคราว่า เขาจึงร้องอ้อในคอเป็นอันเข้าใจ สรุปแล้วก็เป็นเด็กที่บ้านระหองระแหงกันอย่างนั้นสินะ

“แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ไปส่งคุณนี่” ฉัตรตะวันพูดอย่างหงุดหงิดเพราะภาระนั้นดันตกเป็นหน้าที่เขาที่ต้องไปส่งอีกฝ่ายให้ถึงบ้าน

เด็กหนุ่มหัวเราะ พูดเสียงเศร้า “แม่ก็เป็นแบบนี้แหละ”

พ่อแม่ทะเลาะกัน ครอบครัวระหองระแหงและไม่แน่เด็กคนนี้อาจจะชอบทำตัวมีปัญหาก็ได้ ชายหนุ่มพิจารณาอีกฝ่ายในหัวเสร็จสรรพ

“ว่าแต่ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น”

“พูดอะไร? ” ฉัตรตะวันเลิกคิ้ว

“พี่แทนตัวว่าผม เรียกผมว่าคุณ เราอายุห่างกันห้าปีเองอะ”

“งั้นผมควรเรียกคุณว่าอะไร? น้องอัครงั้นหรือ? ”

“ก็..” พอถูกเรียกว่าน้อง เด็กหนุ่มก็พลันกระดากอายจนต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้ม

“อะ อัครเฉย ๆ ก็ได้ ผมก็จะเรียกพี่ว่าพี่ฉัตรเหมือนกัน”

พี่ฉัตร..

ขณะที่ฉัตรตะวันพอได้ยินคำนี้กลับรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เขายิ้มกว้างแต่สายตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

“คุณจะเรียกผมว่าพี่ก็ไม่ขัดหรอกนะ แต่ผมชอบเรียกของผมแบบนี้มากกว่า”

พูดให้ถูกคือเขาไม่จำเป็นต้องให้พื้นที่ความสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากจนเกินขอบเขต เขาไม่ได้สนใจอัครา เขาแค่สนนามสกุลของอีกฝ่าย สำหรับเขาแล้วนั่นก็เป็นเพียงแค่ ‘เส้นสาย’ อีกเส้นหนึ่งที่เขาจะไขว่คว้าเอาไว้ก็เท่านั้น

“แต่ผมอยากสนิทกับพี่นี่” อัคราพูดขณะที่เก็บกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ เด็กหนุ่มปิดกระโปรงรถดังลั่นก่อนจะเดินเข้ามาหา

“พี่ดูเท่ดี ดูน่าเคารพและผมก็ประทับใจพี่มาก” ฉัตรตะวันยิ้มบาง ถึงจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มแห่งการค้าแต่สำหรับอัคราแล้วมันเป็นรอยยิ้มที่น่ามองมากเลยทีเดียว

“ผมก็อยากสนิทกับคุณ” ในฐานะคอนเน็กชั่น

อัครายิ้มกว้างหลังจากได้ยินคำพูดนั้น แต่ก่อนจะได้พูดคุย อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถเสียแล้ว เด็กหนุ่มไม่รอช้า เขาคว้าโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดไว้ในมือแน่นก่อนจะตามเข้าไปในข้าง ๆ คนขับ

“เจ๋ง! ” เขาร้อง “งั้นเรามาแลกเบอร์กัน”

“จะเอาเบอร์ไปทำอะไร” ฉัตรตะวันถามขณะที่กำลังออกรถ

“ก็เผื่อเราจะได้แฮงเอ้าท์กันสักวัน”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ผมไม่ดื่มกับเด็กอายุสิบห้าหรอกนะ ที่นี่มีกฎหมาย”

อัครายักไหล่ เขาไม่สนใจนัก ซ้ำยังท้าทายกลับ

“อเมริกาก็มีกฎหมายนะพี่”

“21 ปีขึ้นไปถึงจะดื่มได้? ” ฉัตรตะวันพูด

“ใครสน” เด็กหนุ่มยกยิ้ม “ผมเริ่มดื่มตั้งแต่เกรดเจ็ด”

ฉัตรตะวันคิ้วกระตุกเมื่อคิดได้ว่าเกรดเจ็ดที่เจ้าตัวยืดอกภูมิใจนักหนานั้นมีอายุเท่ากับเด็กมอหนึ่ง!

“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอวดเท่าไหร่”

“who cares? ” อัคราว่าพลางยักคิ้วตอบ เล่นเอาเส้นเลือดข้างขมับของเขาเต้นตุบ ๆ ด้วยความโมโห

ว่าแล้วเชียวไอ้เด็กนี่มัน

‘เด็กเปรต’ ..สินะ

 

“คุณพฤกษ์ค้า..” พฤกษ์ละสายตาจากวรรณกรรมเล่มหนาที่กำลังอ่านอยู่ เขาหันไปหาต้นเสียง เห็นมาลีวัลย์ในชุดเอี๊ยมกระโปรงสีเขียวอ่อนน่ารักวิ่งหน้าตาตื่นมาหา เด็กหญิงนั่งแหมะลงข้าง ๆ ก่อนจะยื่นกระดาษจำนวนหนึ่งส่งมาให้เขาดู พฤกษ์รับมาและพบว่าทั้งหมดมันเป็นโบรชัวร์ยูนิฟอร์มของโรงเรียน

“ชุดนี้น่ารักไหมคะ” นิ้วเล็กชี้ไปยังกระดาษแผ่นหนึ่ง พฤกษ์มองตาม เห็นเด็กสาวตัวน้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น มีกระโปรงและโบว์สีเทากำลังยืนยิ้มแป้น

“ก็ดี น่ารักดี” เขาว่า “เรียบ ๆ ไม่หวือหวา แต่กระโปรงออกจะสั้นไปหน่อย”

“ชุดนี้ล่ะคะ” มาลีวัลย์ชี้อีก คราวนี้เป็นชุดเดรสยาวสีกรมท่า มีเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวแขนยาว ตรงคอผูกริบบิ้นที่ทำจากผ้าสีแดง พฤกษ์พิจารณาชุดนั้นอีกครั้งพลางจินตนาการในหัวว่ามันคงจะน่ารักมากทีเดียวหากอยู่บนตัวของมาลีวัลย์

“น่ารักมาก น่าจะเหมาะกับแก”

“เย่~” เด็กหญิงยิ้มร่า “งั้นมะลิกับพี่พีร์จะเข้าโรงเรียนนี้”

“นี่แกเลือกโรงเรียนจากยูนิฟอร์มอย่างนั้นเรอะ”

“ก็คุณพ่อบอกให้มะลิเลือกเรียนจากที่ชอบนี่คะ”

“ช่างเถอะ” พฤกษ์ปวดขมับ เขาถอนหายใจออกมาและถามขึ้นอีกครั้ง

“เมื่อกี้แกว่าไงนะ พงพีก็จะเข้าที่เดียวกัน? เด็กนั่นไม่ได้ต่อที่เดิมหรือไง”

“นึกว่าคุณพฤกษ์รู้แล้วเสียอีก” มาลีวัลย์ตาโตแต่ก่อนที่จะได้อธิบายอะไรให้กระจ่าง เจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาเสียแล้ว

“มาพอดี” เขาว่าพลางกวักมือเรียกยิก ๆ “มานั่งนี่ มีเรื่องจะถาม”

พงพีทำสีหน้าตื่นก่อนจะเดินมานั่งแทรกลงตรงกลางระหว่างเขาและมาลีวัลย์ ผู้เป็นน้องสาวที่จู่ ๆ ก็ถูกเบียดถึงกับโมโห แผดเสียงใส่หูพี่ชายดังลั่น

“ทำไมต้องมาแย่งที่มะลิด้วย!! ”

“ใครเขาแย่ง! ” เด็กชายสะดุ้งเฮือกก่อนจะเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “คุณพฤกษ์บอกให้พี่มานั่งเองนี่! ”

“พี่พีร์!! ”

“ทำไม!!! ”

“พอก่อน..” พฤกษ์พูดขึ้น ทว่าไม่มีเด็กคนไหนฟัง

“ลุกออกไป! ”

“ไม่ลุก!! ”

“พี่!! –พีร์!! ”

“เรียกทำไม!! ”

“ไอ้พี่พีร์!!! ”

“ก็เรียกทำไมล่ะ!! ”

“หยุดเดี๋ยวนี้”

“...” พงพี

“...” มาลีวัลย์

ได้ผลยิ่งกว่าเสกคาถา เพียงแค่พฤกษ์ตวาดออกมาคำเดียวเท่านั้นเด็กทะโมนทั้งสองถึงกับตาลีตาเหลือกเงียบกริบกันแทบไม่ทัน ชายหนุ่มยกมือขึ้นนวดขมับ ให้ตายสิ ทำไมถึงรู้สึกปวดหัวแปล๊บขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“มะลิแกมานั่งข้างนี้” มาลีวัลย์บึนปาก แม้จะไม่พอใจที่ตนเองเป็นฝ่ายต้องลุกออกไปแต่สุดท้ายก็จำยอมย้ายตนเองมานั่งอีกข้าง เป็นอันว่าพฤกษ์นั้นได้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพงพีและมาลีวัลย์

“คนนิสัยไม่ดี” มาลีวัลย์ว่า เด็กหญิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายที่นั่งอยู่อีกข้างก่อนขยับตัวกอดแขนพฤกษ์ไว้แน่น

พฤกษ์ถอนหายใจ เขาส่ายหน้าอย่างระอากับนิสัยเด็กน้อยของทั้งสอง

“ได้ยินว่าแกจะเข้าที่เดียวกันอย่างนั้นหรือ”

พงพีพยักหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย ตอบว่า “ครับ”

“ทำไม” เขาถาม “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” เด็กชายเอ่ย แต่พอสบเข้ากับสายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นนั้นแล้วก็พลันให้ความรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ จนต้องยอมรับความจริง

“ที่จริงก็มีนิดหน่อย” พงพีเกาศรีษะแกรก ๆ

“ผมไม่ชอบโรงเรียน ที่นั่นมีแต่คนปากเสีย”

มาถึงตรงนี้ มาลีวัลย์ที่เมื่อครู่ยังโกรธพี่ชายอยู่หยก ๆ ก็นั่งนิ่งไปเสียดื้อ ๆ เด็กหญิงเม้มริมฝีปากแน่น พฤกษ์รู้สึกถึงกระชับที่แขนของตนเอง เขาก้มลงมอง เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายก็ใจอ่อนยวบขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กนั่นเบา ๆ

คงจะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาล่ะมั้ง

“ฉันเข้าใจ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่แกไม่อยากพูดถึงใช่ไหม? ”

“ครับ..” เด็กชายถอนหายใจ “แต่ผมก็เสียดายเพื่อนบางคน พอย้ายที่เรียนเราคงเจอกันน้อยลง ..หรืออาจจะไม่ได้เจอกันอีก”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” เขาว่าพลางตบหลังอีกฝ่ายปุ ๆ

“กว่าแกจะโตเป็นผู้ใหญ่ แกจะได้เพื่อนมาแล้วก็เสียเพื่อนไปเยอะชนิดที่ว่าตัวแกเองยังคิดไม่ถึงเชียวล่ะ”

“ใช่แล้ว! ” มาลีวัลย์โผล่หน้าออกมายิ้มแป้น “ที่นั่นเราอาจจะเจอเพื่อนดี ๆ ก็ได้นะพี่พีร์”

“อื้อ..” พงพีครางรับในคอ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เด็กชายเหลือบไปเห็นโบรชัวร์ที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ เขาสะดุดตากับยูนิฟอร์มของโรงเรียนหนึ่งจึงหยิบมาดู

พฤกษ์หรี่ตาลง เห็นเด็กชายอมยิ้มอยู่คนเดียวขณะที่จ้องมองกระดาษในมือ ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของมาลีวัลย์ก็ดังขึ้น

“พี่พีร์ดูอะไรน่ะ ของโรงเรียนเราอันนี้ต่างหาก”

เด็กหญิงว่าพลางชูโบรชัวร์ยูนิฟอร์มของโรงเรียนที่ถูกใจขึ้นให้พี่ชายดู พงพีรับมันมาอย่างง่ายดาย เขากวาดตาดูรอบหนึ่งและพูดกับน้องสาวว่า

“สวยดี มะลิชอบหรือ”

“มะลิชอบค่ะ คุณพฤกษ์ก็ช่วยเลือกนะ”

“อื้อ” พงพียิ้มตอบก่อนจะส่งโบรชัวร์คืนมาลีวัลย์ไป ทว่าสายตายังคงให้ความสนใจกับโบรชัวร์แผ่นเดิมเมื่อก่อนหน้า พฤกษ์ที่เกิดความสงสัยในพฤติกรรมนั้นจึงแอบลอบมอง ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าสิ่งใดที่พงพีกำลังให้ความสนใจอยู่

มันเป็นชุดยูนิฟอร์มสีชมพูพาสเทล ..ที่ทั้งดูอ่อนหวานและนุ่มนวล

“แกชอบชุดนี้หรือพีร์”

“ห๊ะ!? ” พงพีสะดุ้งโหยงก่อนจะทิ้งโบรชัวร์ในมือทันควัน

“เปล่าครับเปล่า” เด็กชายหน้าตาตื่นรีบโบกไม้โบกมือพัลวันก่อนจะพูดเสียงเบาหวิวว่า “..ไม่ได้ชอบ”

“ฉันเห็นแกยิ้ม”

“ชุดไหนหรือคะ เอ๊ะ อันนี้หรือ” มาลีวัลย์หยิบโบรชัวร์แผ่นนั้นที่พงพีทิ้งไปขึ้นมาดู

“มะลิไม่ชอบสีชมพู” เด็กน้อยว่า “พี่พีร์ชอบหรือ”

“ไม่ได้ชอบ! ”

พงพีตวาดลั่นก่อนจะรีบก้มหน้างุดเดินออกไปไกล เสียงมาลีวัลย์หัวเราะคิกคักไล่ตามมา

“มีอะไรน่าตลก” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“พี่พีร์ไงคะตลก” เด็กน้อยหัวเราะชอบใจใหญ่

“ฉันไม่เข้าใจ”

มาลีวัลย์ดึงแขนเขาให้เอียงตัวลงต่ำก่อนจะกระซิบใกล้ ๆ ใบหู

“พี่พีร์ปากแข็ง จริง ๆ แล้วพี่เขาชอบสีชมพูค่ะ”

พฤกษ์ร้องหื้อ “อย่างนั้นหรอกหรือ”

“ค่ะ” เด็กน้อยยิ้มแป้น “เมื่อก่อนผ้าม่านห้องพี่พีร์ก็สีชมพู ผ้าห่มกับหมอนก็สีชมพู ในห้องพี่พีร์มีแต่สีชมพูหวาน ๆ ทั้งห้อง กระปุกดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด กางเกงในงี้ก็สีชมพู๊ชมพูนะคะ”

“เมื่อก่อน? แสดงว่าตอนนี้ไม่? แล้วทำไมมันถึงบอกว่าไม่ชอบสีชมพูล่ะ”

“เพราะคุณพ่อไม่ชอบค่ะ พี่พีร์ก็เลยต้องไม่ชอบไปด้วย”

“อ่า..” พฤกษ์นิ่งไป เขาพอจะเข้าใจสถานการณ์ของพงพีขึ้นมาบ้างแล้วเพราะในกาลก่อน ตอนที่เขาเปิดตัวว่าตนเองเป็นเกย์ก็ถูกผู้เป็นพ่อต่อต้านอย่างรุนแรงอยู่หลายปีเหมือนกัน พูดก็พูดเถอะ พนาพ่อของเขาถึงจะเห็นว่าตามใจและรักลูก ๆ มากเพียงใดแต่ความเป็นจริงก็เป็นตาแก่ที่ค่อนข้างจะหัวโบราณ ยึดถือเรื่องฐานะทางสังคม ชื่อเสียงและขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างสุดโต่ง ไม่คดไม่งอและไม่เคยยืดหยุ่นกับอะไรก็ตามที่ตนเองคิดว่ามันนอกคอกไม่อยู่ในกรอบที่ตีเอาไว้

‘วิปริตกันไปหมด! แกเป็นผู้ชายแท้ ๆ นะพฤกษ์!! ’

นั่นเป็นคำพูดที่พฤกษ์จำได้หลังจากตัดสินใจบอกพ่อว่าตนเองเป็นอะไร เป็นโชคร้ายที่นอกจากจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น คนที่เรียกตนเองว่าพ่อยังคิดว่าเขาป่วยเป็นโรคจากจิตเภทอีกต่างหาก

เขาจำได้ จำได้แม่น ความรู้สึกในตอนที่ถูกคนของพ่อลักพาตัวไปโรงพยาบาล มันเป็นอะไรที่แย่เกินกว่าที่ใครหลายคนจะจินตนาการออก

เขาแค่รักผู้ชาย ..เขาไม่ได้ป่วย

“เฮ้อ” แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเรื่องของกาลก่อนและเขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าหากบอกความจริงออกไปตอนนี้มันจะไปซ้ำรอยเดิมหรือเปล่า

‘ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องบอก’ พฤกษ์ตัดสินใจกับตนเอง

“คุณพฤกษ์เป็นอะไรคะ”

“เปล่า”

“คุณพฤกษ์เป็นนี่คะ คิ้วยุ่งเชียว”

คิ้วยุ่งหรือ.. พฤกษ์ยกมือขึ้นแตะระหว่างคิ้วและใช้ปลายนิ้วนวดคลึงเบา ๆ เป็นอย่างที่มาลีวัลย์ว่า คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“เรื่องพี่พีร์หรือคะ”

มาลีวัลย์ลอดตัวเข้าใต้หว่างแขนเบียดขึ้นมานั่งบนตัก พฤกษ์ส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะจับเด็กหญิงนั่งทรงตัวดี ๆ

‘ดูเหมือนช่วงนี้จะตามใจจนเหลิงเสียแล้ว’ พฤกษ์คิดแต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญที่น้องสาวทำตัวสนิทสนมกับตนเองกว่าแต่ก่อน

“แค่คิดว่ามันแปลกหรือไงที่เด็กผู้ชายจะชอบสีชมพู”

“ก็ผู้หญิงชอบสีชมพูกันนี่คะ”

“แกยังไม่ชอบเลยนี่” เขาว่าพลางยกมือขึ้นลูบหน้าม้าที่กระดกขึ้นให้เป็นทรง

“จริงด้วย” มาลีวัลย์ร้อง เหมือนเพิ่งจะนึกออก “แบบนี้มะลิจะแปลกไหมคะ มะลิชอบสีเข้ม ๆ หน่อย อย่างสีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีดำ แปลกหรือเปล่า”

“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย” พฤกษ์หัวเราะก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น

“ใครเป็นคนกำหนดว่าสีชมพูเป็นสีของผู้หญิงหรือสีไหนเป็นของผู้ชาย ทำไมต้องใช้สีในการกำหนดความชอบของเด็กคนหนึ่งด้วย ฉันว่ามันไม่ผิดเลยนะที่พงพีจะชอบสีชมพูหรือแกจะชอบสีดำ บางทีเด็กนั่นอาจจะชอบเพราะมันน่ารักก็ได้”

“คุณพ่อบอกว่าผู้ชายไม่ควรชอบสีชมพู คุณพ่อไม่อยากให้พี่พีร์เป็นตุ๊ด”

“ชอบสีชมพูไม่ได้แปลว่าต้องอยากเป็นผู้หญิงเสมอไปนะ หรือแกอยากเป็นเด็กผู้ชายล่ะ? ”

มาลีวัลย์ส่ายหน้ารุนแรง ผมเปียสะบัดไปโดนปลายคางเต็ม ๆ จนพฤกษ์ต้องรวบเปียทั้งสองข้างมาถือไว้ในมือ

“เห็นไหม แกก็ไม่ได้อยากเป็นผู้ชายนี่ แล้วทำไมพงพีถึงต้องเป็นตุ๊ดกับอีแค่ชอบสีชมพูด้วยล่ะ? แล้วถ้าสมมติมันเกิดเป็นขึ้นมาจริง ๆ แกจะทำยังไง? จะเกลียดพี่ตัวเองหรือไง? ”

“ทำไมต้องเกลียดล่ะคะ…”

ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์แหงนขึ้นมามองเขาอย่างสงสัย พฤกษ์ไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่เด็กหญิงนอกเสียจากตั้งคำถามกลับด้วยน้ำเสียงหม่นหมองและสงสัยไม่ต่างกัน

“นั่นสิ ทำไมต้องเกลียดด้วยล่ะ”

 

พงพีเดินหน้าบึ้งออกมาจากห้องโถงด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก ร่างโปร่งหยุดเดินก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างลักษณะนุ่มฟูเป็นก้อนกลมกำลังคลอเคลียอยู่ที่ข้อเท้า

“จูดี้! ” เด็กชายก้มลงมอง เป็นเจ้ากระต่ายฮอลแลนด์ลอปสีเทาของน้องสาวนี่เอง!

“หลุดมาจากไหนน่ะไอ้อ้วน” เขาร้องทักก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าจูดี้ขึ้นมากอด รู้สึกว่าตัวมันจะหนักขึ้นกว่าสองอาทิตย์ก่อนเสียอีก คงเพราะกินดีอยู่ดีสินะเนี่ย

“อ้าว อยู่นี่เอง” เสียงอินทรชิตดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาหา

“มีอะไรหรือพี่อินทร์” พงพีมองพี่ชายด้วยความสงสัย

“คุณลุงเรียกให้ไปเอาของฝากน่ะ มานี่สิ”

ของฝาก.. เด็กชายทวนคำในหัวก่อนจะทำสีหน้าราวกับกลืนยาขม เขาถอยหลังร่นก่อนที่มือของอินทรชิตจะว่งลงบนไหล่ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ถามว่า

“มีอะไร”

“พีร์ไม่ไปได้ไหม ไม่อยากได้ของฝากเลย คุณพ่อซื้อแต่อะไรมาก็ไม่รู้”

อินทรชิตถอนหายใจยาวเหยียด

“เอาเถอะ รับ ๆ ไปให้มันจบ ๆ ไม่ชอบก็เก็บไว้เฉย ๆ ก็ได้”

เมื่อเห็นว่าน้องชายยังคงทำหน้าหงอย เขาจึงวางมือลงบนศรีษะอีกฝ่าย ลูบอย่างแผ่วเบาและปลอบประโลมอย่างจริงใจ

“ไม่ต้องกลัวนะ พี่ก็จะไปกับพีร์ด้วย”

พงพีพยักหน้าตอบหงึกหงักก่อนจะกระชับเจ้าจูดี้ที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่นแล้วเดินตามพี่ชายไปยังห้องนั่งเล่น ทันทีที่มาถึง เด็กทั้งสองก็เห็นถุงและกล่องกระดาษมากมายกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ เป็นพงพีที่ตาวาววับ รีบปล่อยเจ้าจูดี้ทิ้งลงพื้นและโผเข้าหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทันทีอย่างหลงลืมตัว อินทรชิตที่ตามหลังมาถึงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ พงพีก็เป็นเช่นนี้และเด็กก็ยังเป็นเด็ก ที่มักตื่นเต้นกับสิ่งของที่อยู่ในกล่อง ทว่าเขาไม่ใช่เด็กเหมือนพงพีจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากมายนัก ตรงกันข้ามเสียอีก อินทรชิตกลับรู้สึกว่าตนเองนิ่งเฉยไร้ความสนใจมากกว่า

เขาก้มลงช้อนเจ้ากระต่ายสีเทาที่ถูกทอดทิ้งขึ้นมาอุ้มและลูบขนนุ่มฟูของมันอย่างเอ็นดู ขณะที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นพนาที่เดินออกมาจากประตูอีกด้านพร้อมด้วยถ้วยกาแฟที่อยู่ในมือ

“เอ้า เจ้าพีร์ เจ้าอินทร์” ชายวัยกลางคนเรียก พนายิ้มละไมพลางตบโซฟาเรียกให้เด็กทั้งสองมานั่งใกล้ ๆ อินทรชิตเดินไปนั่งลงอย่างเงียบเชียบในขณะที่พงพีกลับเลือกที่จะนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ด้านข้างแทน

“เลือกเอาที่ชอบได้เลยนะ แบ่งให้คนอื่นด้วย”

โดยที่ไม่มีใครคาดคิด พฤกษ์ปรากฏกายขึ้น ชายหนุ่มเพิ่งแยกกับมาลีวัลย์เมื่อครู่และบังเอิญผ่านมาได้ยิน ร่างโปร่งเดินตรงเข้ามา พนาจึงเอ่ยทักลูกชายคนโตทันที

“พฤกษ์ มาพอดีเลย”

“ของอะไรเยอะแยะ” เขาว่าพลางนั่งลงระหว่างผู้เป็นพ่อและอินทรชิต

“ของฝาก” พนาตอบ “ติดศุลกากรอยู่ตั้งหลายวันเพิ่งจะมาถึงวันนี้”

ชายวัยกลางคนบ่นอุบอิบคนเดียว พฤกษ์ไม่ได้ใคร่จะสนใจนักจึงเอื้อมมือไปรื้อข้าวของที่กองพะเนินอยู่ด้านหน้า ส่วนมากเห็นจะมีแต่เสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ เครื่องประดับยิบย่อยแล้วก็ของเล่นราคาแพง พฤกษ์ไม่ได้ขาดเหลืออะไรเขาจึงไม่ค่อยต้องการสิ่งใดจากผู้เป็นพ่อมากนัก แต่พอเห็นกล่องน้ำหอมจากแบรนด์ที่ใช้อยู่เป็นประจำก็หยิบขึ้นมาถือไว้ในมือทันที การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของอินทรชิตทุกอย่าง

“ไม่ใช่กลิ่นเดิมนี่ครับ” เด็กหนุ่มว่าขณะที่เขาแกะกล่องเอาน้ำหอมออกมาลองฉีดเบา ๆ ที่ข้อมือ พฤกษ์ทำหน้าฉงนพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว ‘มันรู้ได้อย่างไร? ’

“คือว่า..” อินทรชิตเหงื่อตก เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากในเรื่องที่ควรเป็นความลับออกไปเสียแล้ว

“จริงด้วย” แม้จะสงสัยแต่พฤกษ์ก็ทำทีไม่ใส่ใจสิ่งใดมากนัก

“จมูกไวดีเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มกรีดยิ้ม น้ำเสียงยังคงเย้ยหยันอยู่ในที “อย่างกับหมาแหน่ะ”

อินทรชิตยิ้มเจื่อน ริ้วสีแดงค่อย ๆ ปรากฏบนผิวแก้ม ขณะที่พนากระแอมในคอขัดขึ้นมา

“คุณพ่อมีอะไรงั้นหรือครับ” เขาเลิกคิ้ว

“เปล่า” ชายวัยกลางคนว่า “น้ำหอมของแกน่ะพ่อซื้อมาสองขวด กลิ่นเดิมที่แกชอบอยู่อีกถุงข้าง ๆ นั่น”

“อ้อ” พฤกษ์ร้อง เก็บน้ำหอมในมือลงกล่องก่อนจะหยิบอีกกล่องในถุงขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นกลิ่นที่ตนชอบและใช้ประจำ รอยยิ้มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากส่งผลให้ใจของใครบางคนเต้นโครมคราม

“ดูอะไรอยู่น่ะพีร์”

เสียงเข้มของผู้เป็นพ่อเอ่ย พฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้น เห็นพงพีนั่งทำตาหลุกหลิกคล้ายกับผู้ร้ายกำลังปกปิดพิรุธบางอย่าง

“ห๊ะ ..เอ่อ นาฬิกาครับ..” เด็กชายว่าพลางชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้น มันคือนาฬิกาข้อมือเรือนสีชมพูหวานสำหรับเด็กที่เป็นลิขสิทธิ์แท้จากดิสนีย์ พนาถึงกับตาเขม็ง จ้องสิ่งที่อยู่ในมือลูกชายคนรองด้วยความไม่สบอารมณ์นัก

พฤกษ์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแน่ว หรี่สายตาลงมองอย่างครุ่นคิดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า

“นั่นไม่ใช่ของลูก” พนาพูดเสียงเย็น ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ พูดว่า “สีดำต่างหากของลูก ส่วนสีชมพูของน้อง”

“ผมแค่หยิบมาดูเฉย ๆ ” พงพีพูดเสียงซึมกะทือก่อนจะค่อย ๆ วางนาฬิกาเรือนนั้นลงบนกล่อง เด็กชายเหลือบมองนาฬิกากล่องสีดำที่อยู่ด้านข้าง จำยอมหยิบมันขึ้นมาและถอนหายใจอย่างปลดปลง

“แกชอบเรือนนั้นหรือ ถ้าชอบก็เอาไปสิ มะลิมันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าแกอยากจะได้”

ดวงตาของพงพีเป็นประกายในทันทีขณะนั้นเองเสียงของพนาก็ดังขึ้น

“ไม่ได้”

พงพีนั่งตัวเครียดเกร็งเมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ย พฤกษ์ยกขาขึ้นไขว่ห้างขณะที่อินทรชิตเลือกที่จะเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบเชียบโดยไม่ปริปากพูดอะไร

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบขณะถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดรอยเปื้อน “มันมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ? ”

“มีสิ” พนาแค่นเสียง “เด็กผู้ชายที่ไหนเขาจะใส่สีชมพูกัน อายเพื่อนตายเลยสิแบบนั้น”

“น่าอายตรงไหน? ” พฤกษ์หัวเราะ เขาสวมแว่นสายตาและถามออกไปว่า “แกอายจริงหรือเปล่าพงพี”

เด็กชายเม้มริมฝีปาก ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ๆ เหมือนอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาไม่เคยเลยที่จะรู้สึกอายในสิ่งที่ตนเองชมชอบ ทว่าพอหันไปเห็นสีหน้ามืดครึ้มของผู้เป็นพ่อก็ทำเอาเด็กชายหวาดกลัวจนไม่กล้าตอบสิ่งที่อยู่ในใจ

“เมื่อกี้คุณพ่อบอกเองไม่ใช่หรือครับ ว่า‘เลือกเอาที่ชอบได้เลยนะ’ ก็นี่ไงที่ชอบ แล้วคุณพ่อจะมาพาลหงุดหงิดทำไม”

พนาขบกรามแน่น “แต่ต้องไม่ใช่สีชมพู พีร์เป็นผู้ชายก็ต้องเลือกอะไรที่มันเหมาะกับผู้ชายสิ เรื่องนี้แกก็น่าจะรู้ดีนี่! ”

“มันก็แค่สี ก็แค่นาฬิกา” พฤกษ์ยักไหล่ “คุณพ่อไม่เห็นต้องไปยัดเยียดให้มันชอบเลย”

“แกอยากให้น้องเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วหรือไง! ”

“เอาอะไรมาตัดสินหรือครับว่าชอบสีนี้แล้วจะเป็นตุ๊ด”

“พฤกษ์! ”

“อย่ามาขึ้นเสียงกับผมนะ” เขาว่าอย่างใจเย็นก่อนจะหยิบกล่องน้ำหอมมาถือไว้ พนาเงียบเสียงลงอย่างหงุดหงิดและทุกสายตามองไปยังร่างโปร่งที่ลุกขึ้นยืนตัวตรงสง่า

พฤกษ์พูดว่า

“คราวหลังคุณพ่อก็บอกให้ชัด ๆ สิครับว่าให้เลือกอย่างที่ตัวเองชอบหรือให้เลือกอย่างที่คุณพ่ออยากให้ชอบ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา