คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

25) 00 25

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 25

 

อินทรชิตนอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะกลับมาพักที่ห้องตนเองในวันต่อมา เด็กหนุ่มถูกพนาสั่งห้ามไม่ให้ออกมาจากห้องนอนโดยเด็ดขาด จะออกมาได้ก็ต่อเมื่อหายดีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แม้จะพะว้าพะวังใจอยู่กับคุณพฤกษ์แต่เขาค่อนข้างที่จะเคารพคำสั่งของคุณลุง อินทรชิตจึงจำยอมที่จะนอนรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในห้องของตนเอง กระทั่งเวลาผ่านไปราวสองวัน อินทรชิตจึงค่อยรู้สึกว่าตนเองอาการดีขึ้นมาก จากวันแรกที่แทบลุกออกจากเตียงไปไหนไม่ได้แต่ตอนนี้เขาพอที่จะกระดิกกระเดี้ยได้บ้าง เด็กหนุ่มจึงเข้าอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน โชคดีที่ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะต้องรีบเร่งไปโรงเรียนเหมือนอย่างทุกเช้า 

อินทรชิตเดินลงมาจากชั้นสองอย่างแช่มช้า เด็กหนุ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยเพราะเกิดจากการที่นอนอดอู้อยู่แต่ในห้องมาตลอดสามวัน พอปลายเท้าแตะลงบนพื้นหินอ่อน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ลุกไหวแล้วหรือคะ” แม่พลอยนั่นเอง 

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” เขาว่า

หญิงชรายกหลังมือขึ้นอังหน้าผาก สีหน้าที่ขมวดเกร็งพลันอ่อนโยนลง เธอพูด

“ตัวไม่ร้อนแล้ว ไม่มีอาการอะไรใช่ไหมคะ”

“ไม่ครับ” อินทรชิตส่ายหน้า “แต่ยังเพลีย ๆ อยู่นิดหน่อย”

“งั้นเดี๋ยวทานข้าวต้ม” เด็กหนุ่มทำหน้าเหยเก ตอบขึ้นทันทีว่า

“ไม่อยากข้าวต้มเลยครับ ผมกินข้าวต้มทุกวัน วันละสามมื้อ ตอนนี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว”

อินทรชิตพูดพลางทำหน้าอ้อน หญิงชราหัวเราะร่วนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ 

“งั้นอยากทานอะไรคะ แต่งดของเผ็ดนะ”

“โธ่..” เด็กหนุ่มนึกเสียดาย อันที่จริงเขาชอบอาหารรสเผ็ดมาก “ป่วยก็ต้องทานเผ็ดสิครับถึงจะหาย”

“แต่ไม่ดีต่อกระเพาะ” 

อินทรชิตถอนหายใจดังเฮ้อ ตอบเสียงซึมกะทือ

“งั้นเอาอะไรก็ได้ครับที่ไม่ใช่ข้าวต้ม” เขาย้ำคำว่าข้าวต้มอย่างหนักแน่น หญิงชรายิ้มขำปนเอ็นดู

“ได้ค่ะได้ แต่อีกนานกว่าจะตั้งโต๊ะ วันนี้อากาศดีมาก คุณอินทร์ไม่ลองไปเดินออกกำลังที่สวนดูล่ะ”

“เดินเล่นหรือครับ” เขาทวนคำก่อนจะทำสีหน้าหดหู่ลงอีกหลายขุม เสียงหัวเราะของแม่พลอยดังขึ้น เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ 

“ถ้าเรื่องต้นตีนเป็ดล่ะก็ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะค่ะ” หญิงชรากล่าว

“หา” อินทรชิตหูผึ่ง ตาถลนทันทีที่ได้ยิน 

“หมายความว่ายังไงหรือครับ?” 

 

 

ร่างโปร่งยืนมองรถยนต์คันงามที่ภายในมีพ่อของเขา อินทรชิตและบอร์ดี้การ์ดกำลังขับออกไปจากคฤหาสน์ด้วยความกังวล เขายกมือข้างหนึ่งของตนเองขึ้นมาดู มันไม่หยุดสั่นเลยตั้งแต่ที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น

ให้ตายสิ ..เมื่อครู่นี้ ตอนที่เจ้าเด็กนั่นจามจนกำเดาไหลทะลักมันทำให้พฤกษ์กลัวจนตัวสั่นไปหมด

พฤกษ์กลัวเลือด.. นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดี

เขากลัวเลือดจนขึ้นสมองมาตั้งแต่เด็กเพราะเคยเห็นผู้เป็นแม่แท้งน้องสาวต่อหน้าต่อตา ภาพนั้นยังติดตาและอยู่ในหัวคอยวนเวียนตามหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่ได้เห็นเลือด 

‘หยุดสั่นสักทีสิ ..ขอร้องล่ะ หยุดสักที’ พฤกษ์คร่ำครวญอยู่ในใจก่อนจะรู้สึกถึงฝ่ามือเล็ก ๆ ที่ยื่นขึ้นมาจับฝ่ามืออีกข้างของเขา มาลีวัลย์มือสั่นกว่าพฤกษ์มาก อาจจะเพราะตื่นตระหนกที่เห็นอินทรชิตอยู่ในสภาพนั้น

แต่น่าแปลก ..จู่ ๆ มือของเขาก็หยุดสั่นโดยทันที 

และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พฤกษ์กำฝ่ามือของเด็กหญิงไว้แน่น ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อยกับการกระทำของตนเอง ..คล้ายกับว่าในใจลึก ๆ แล้วเขากำลังต้องการที่พึ่งพิง

“พะ พี่อินทร์จะตายไหมคะ” ดวงตารื้นน้ำเงยหน้าขึ้นมามอง พฤกษ์กระชับฝ่ามือ ตอบไปว่า

“อย่าห่วงเลย มันไม่ตายหรอก” 

 

“พ่อว่าเราต้องคุยกันสักหน่อยแล้วพฤกษ์” พนาผู้เป็นพ่อพูดกับเขาในเช้าวันถัดมา พฤกษ์ที่สาละวนอยู่กับการเช็ดแว่นตาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายยังคงสวมใส่หน้ากากอนามัย

“เอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมมีเรียน”

“แกไม่ใช่เด็กมัธยมที่ต้องรีบไปเข้าแถวนะ” 

“มีธุระครับ นัดคนไว้” 

พนาเอียงคอ “งั้นพ่อจะไปส่งแกที่มหาลัย เราจะได้มีเวลาคุยกันในรถ”

พฤกษ์ย่นคิ้ว สีหน้าปฏิเสธอย่างรุนแรง แต่ก่อนที่เขาจะได้ขัดขืนหรือพูดอะไรก็ถูกพี่บิ๊กพี่เบิ้มที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนเข้าชาร์จและล็อกแขนคนละข้างก่อนจะถือวิสาสะ‘ลาก’ขึ้นไปบนรถ

และใช่ รู้ตัวอีกทีเขาก็ขึ้นมาอยู่บนรถเสียแล้ว

“เมื่อกี้หยาบคายมากเลยนะครับ” พฤกษ์พูดขึ้นขณะนั่งหน้ามู่ทู่อยู่บนเบาะหลัง พี่บิ๊กพี่เบิ้มที่นั่งอยู่ด้านหน้าพากันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคนละทาง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!” พนาถอดหน้ากากอนามัยทิ้งก่อนจะหัวเราะ แต่เมื่อเห็นลูกชายมองตาขวางไม่หยุดก็หน้าเจื่อนพร้อมเสียงหัวเราะที่ค่อย ๆ แผ่งลงไป ชายวัยกลางคนพูด

“เอาน่า อย่าไปโกรธพวกนั้นเลย” 

“ใครว่าล่ะ!” ใบหน้าสวยบึ้งตึง “ผมโกรธคุณพ่อต่างหาก” 

“ก็ถ้าไม่ใช้ไม้นี้คนหัวดื้ออย่างแกจะยอมคุยหรือ”

“ผมไม่ได้หัวดื้อครับ” เขาว่า “แค่ไม่อยากทำอะไรที่ไม่อยากทำ”

“เฮ้อ” พนาถอนใจ บ่นพึมพำในคอ “ทำไมโตมาเอาแต่ใจแบบนี้นะ”

“ผมได้ยินนะครับ” พฤกษ์ว่า “เอาเถอะ พูดธุระของคุณพ่อมาได้แล้ว” 

พนากระแอมเบา ๆ เหมือนกำลังเตรียมตัว ดวงตาสีเข้มเหลือบดูท่าทีของลูกชายเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าพฤกษ์ไม่ได้ดูหงุดหงิดอย่างที่กังวลเท่าใดนัก เสียงทุ้มจึงเอ่ย

“พ่ออยากให้แกโค่นต้นอัปรีย์ ..เอ่อ ต้นตีนเป็ดนั่นทิ้งจะได้ไหม”

“ทำไมครับ” พฤกษ์สวนกลับทันทีที่ฟังจบ ส่วนพนาสูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้นเพราะด้วยนิสัยของลูกชายควรจะต้องตอบว่า ‘ไม่ครับ’ แทนที่จะถามหาเหตุผลอย่าง ‘ทำไมครับ’ 

นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี

“ยังต่อถามอีกหรือว่าทำไม” พนาทำหน้าละเหี่ยใจ “เจ้าอินทร์ยังนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลยนะ” 

“อ้อ..” เขาครางรับในคอ ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะนอนค้างอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนั้นสินะ 

“อาการหนักเลยหรือครับ” เขาเนียนถามทั้งที่ใบหน้าเรียบเฉย

“จามจนกำเดาไหลคิดว่ามันหนักหรือเบาล่ะ” 

“ผมถามอยู่นะครับ” พฤกษ์กดเสียงต่ำ “คุณพ่ออย่าย้อนผมสิ”

“เจ้าลูกคนนี้!” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจโดยแรง เขาสงบสติอารมณ์ครู่นึงก่อนจะตอบ

“หนักอยู่ เส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตกแล้วก็ไข้ขึ้น”

“อ้อ” 

พนาขมวดคิ้ว “เด็กคนนึงเกือบแย่แต่แกพูดแค่ ‘อ้อ’ คำเดียวเนี่ยนะ” 

“แล้วผมต้องพูดคำว่าอะไรคุณพ่อถึงจะพอใจหรือครับ?”

“แกนี่มัน..”

พฤกษ์เลิกคิ้ว ถามอย่างเอาเรื่อง “ผมมันทำไม”

“ใจร้าย!” 

ชายหนุ่มเบือนหน้าออกไปนอกรถ โอเค เขามันใจร้ายอย่างที่พ่อบอกจริง ๆ นั่นแหละ

“รู้หรือเปล่าว่าเจ้าอินทร์เป็นแบบนี้มาตลอดห้าปี”

“พูดเป็นเล่น?” พฤกษ์หันขวับ “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง”

“แกเคยสนใจใครบ้างล่ะ” ก็ถูกอีก ในกาลก่อนเขาไม่เคยสนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้นเลย ถึงจะรู้ว่าคนในบ้านใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบากเพราะกลิ่นจากต้นตีนเป็ดแต่เขาไม่เคยรู้เลยจริง ๆ ว่าอินทรชิตจะแพ้กลิ่นตีนเป็ดรุนแรงขนาดนี้

“ใจดีกับเด็กมันบ้าง” พนากระเซ้า “เหมือนที่แกทำกับเจ้าพีร์และเจ้ามะลิ”

“คุณพ่อก็พูดง่ายนะครับ” เขาหัวเราะ ดวงตาหม่นหมอง

“พ่อรู้ว่าพ่อเป็นผิด ผิดทุกอย่างเลย แต่ทุกวันนี้พ่อก็สำนึกผิดและพยายามชดเชยทุกอย่างแล้ว”

“หรือครับ” พฤกษ์หันมามองหน้าผู้เป็นพ่อ 

“คุณพ่อดูไม่เหมือนคนที่รู้สึกผิดเลยนะครับ”

“รู้สึกผิดสิ” พนาว่า “แต่คนเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปนะพฤกษ์ เราจะจมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดไม่ได้ พ่ออยากใช้ชีวิตให้เต็มที่กับสิ่งที่เหลืออยู่ ..นั่นคือพวกลูก”

“...”

“แม้พ่อจะไม่อาจชดใช้ความผิดพลาดแต่พ่อก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง อย่างน้อยถึงไม่มีใครอยู่ให้อภัยพ่อแล้วแต่พ่อก็ให้อภัยตัวเอง”

“คุณพ่อพูดผิดอยู่อย่างหนึ่งนะครับ” พฤกษ์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตากลับร้าวรานยิ่งกว่าสิ่งใด

“ว้าว ไม่มีใครอยู่ให้อภัยงั้นหรือครับ? น่าขำจริง ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างที่ตนว่า

“ก็ผมนี่ไงที่ยังอยู่”

“....”

“ถึงตอนนี้ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น นั่นก็เพราะผมไม่อยากให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือผมไม่มีวันให้อภัยคุณพ่อเด็ดขาด”

พนาแข็งค้างไปทั้งร่างเพราะคำพูดที่เสียดแทงหัวใจตนเองในทุกประโยคของลูกชาย พฤกษ์หันกลับไปมองนอกหน้าต่าง เสียงนุ่มพูดขึ้นอย่างเจ็บปวดว่า

“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้คุณพ่อรู้สึกทุกข์ทรมานไปจนวันตาย”

ขณะที่สองบอร์ดี้การ์ดสะกิดกันไปมาท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ ชายวัยกลางคนก็แสร้งทำเป็นเหมือนว่าตนเองนั้นเข้มแข็งและไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของลูกชาย เขาสูดหายใจลึกและกดข่มความเสียใจอยู่ภายใน

“ทำไมคุยเรื่องต้นตีนเป็ดอยู่ดี ๆ ถึงออกทะเลขนาดนี้ได้นะ”

ผู้เป็นพ่อพูดออกมาหน้าระรื่นเสียจนพฤกษ์นึกหมั่นไส้

“สรุปแกจะให้คำตอบพ่อไหม”

“ไม่รู้ครับ”

“พฤกษ์” เจ้าของชื่อหันมามอง พนายกฝ่ามือขึ้นวางลงบนหลังมือพฤกษ์ พูดว่า

“แกพูดเองไม่ใช่หรือว่าเด็กมันไม่รู้เรื่อง”

“...”

“เรื่องเจ้าพีร์เจ้ามะลิ พ่อเข้าใจได้นะว่าทำไมแกถึงตั้งแง่กับน้อง แต่เจ้าอินทร์ล่ะ? ”

“...”

“เจ้าอินทร์ผิดอะไรงั้นหรือ? ”

“...”

“แกใจดีกับน้องได้ แล้วเด็กอีกคนที่ถูกทอดทิ้งล่ะ”

“...”

พฤกษ์เม้มริมฝีปากแน่น หัวใจของเขาแกว่งผิดจังหวะ ชายหนุ่มเอนศรีษะพิงไปกับหน้าต่างรถยนต์ก่อนจะควานหาคำตอบของคำถาม

คำตอบที่เขารู้ดีแก่ใจ..

อินทรชิตไม่ผิดอะไรเลย

 

“ห้ามกลับแท็กซี่” พนาสั่งทันทีที่จอดรถ

“เลิกเรียนก็โทรมา เดี๋ยวให้เจ้าบิ๊กไปรับ”

“ครับ” พฤกษ์รับคำอย่างไม่ใส่นักก่อนจะลงไป พนามองตามหลังลูกชาย กระทั่งอีกฝ่ายหายลับเข้าไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งเขาจึงหันไปพูดกับคนสนิทว่า

“เบิ้ม”

“ครับเจ้าสัว”

“ขับไปจอดตรงตรอกข้างหน้าแล้วแกตามไปดูหน่อยสิ”

 

“พี่พฤกษ์! ” ทันทีที่เห็นร่างโปร่งของพี่รหัส หลี่เหมาเหมาที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงร้องเรียก พฤกษ์หันไปตามเสียง เห็นหญิงสาวโบกไม้โบกมือมาแต่ไกลจึงคลี่ยิ้มตอบกลับไป

วันนี้เขาเอาเอกสารสรุปที่เคยทำเอาไว้อ่านเองในช่วงสอบตอนปีหนึ่งมาให้เธอ

“ทำไมเปลี่ยนร้าน” พฤกษ์กวาดตามองไปโดยรอบ ที่นี่เป็นร้านกาแฟสไตล์มินิมอลที่เน้นการตกแต่งสีขาวล้วนแกมสีเหลืองอ่อน ๆ เล็กน้อย มันคงจะเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษาไม่น้อยเพราะเขาเคยเห็นเพื่อน ๆ ร่วมคณะถ่ายรูปอัพลงอินสตาแกรมอยู่บ่อยครั้ง

“เหมาเหมาเปลี่ยนมาทำที่นี่เมื่ออาทิตย์ก่อนค่ะ”

“อ้าว” เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และอุทาน “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ”

“เปล่าค่ะ” หลี่เหมาเหมาส่ายหน้า “พอดีที่นี่ให้ค่าแรงเยอะกว่า”

“ฉลาดมาก” เขาชม “ทำไมไม่มีคนเลย เจ้าของร้านกับคนอื่นล่ะไปไหน? ”

หญิงสาวยิ้มจนแก้มปริก่อนจะตอบ

“วันนี้ร้านเปิดช่วงบ่ายค่ะ” เธอว่า “ที่คณะคนเยอะ เหมาเหมาเลยนัดพี่พฤกษ์มาที่นี่ดีกว่า พี่ต้นเจ้าของร้านก็บอกว่าใช้โต๊ะได้เลย”

“ก็ดี” พฤกษ์เลิกคิ้ว “ฉันไม่ชอบคนเยอะ”

ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าหนังหยิบเอาเอกสารสรุปจำนวนหนึ่งออกมาวางเรียงรายตรงหน้า

“ฉันเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เธอได้อังกฤษใช่ไหม? ”

“ได้ค่ะ สไลด์ที่อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษหมด แต่ก็มีภาษาไทยบ้าง”

“โอเค” นิ้วเรียวสวยชี้ลงบนเอกสาร

“มุมกระดาษสีดำคือการเงินเบื้องต้น ของตายตัวเพราะออกเน้นทฤษฎีเยอะ แต่ไฟนอลจะมีคำนวณครึ่งหนึ่งและทฤษฎีอีกครึ่งหนึ่ง ไม่ยากเท่าไหร่ ในนี้มีตัวอย่างอยู่ ถ้าจำได้ หมั่นทำโจทย์เยอะ ๆ เธอก็ทำได้ ส่วนอันนี้..”

พฤกษ์ใช้เวลาอธิบายสรุปและนั่งดูน้องรหัสอ่านหนังสือสอบราวสองชั่วโมงกว่า เขาก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงแล้ว

“เธอมีเรียนกี่โมง”

“สิบครึ่งค่ะ” เธอตอบทั้งที่ตายังไม่ละจากเอกสาร ผ่านไปเกือบนาทีจึงนึกขึ้นมาได้

“ว๊าย! ” หลี่เหมาเหมาร้อง “ลืมดูเวลาเลย”

พฤกษ์ขำในคอก่อนจะช่วยน้องรหัสรวบเอกสารที่กระจายอยู่เกลื่อนโต๊ะมารวมเป็นปึกเดียวกัน

“ฉันมีเรียนเหมือนกัน” เขาว่า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนเองไม่ได้เอารถยนต์มา พฤกษ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่องดู ทันทีที่โทรศัพท์ทำการใช้งานได้ก็เห็นมิสคอลจากฉัตรตะวันเกือบสิบสาย แน่ล่ะสิ อีกฝ่ายคงร้อนใจอยู่ไม่สุขแล้วที่เขาไร้การติดต่อ

โทรให้มารับที่นี่ดีไหม? พฤกษ์นิ่งคิดไป แต่ป่านนี้อีกฝ่ายคงอยู่มหาลัยแล้ว

“เหมาเหมา” หลี่เหมาเหมาที่กำลังเก็บกระเป๋าอยู่เงยหน้าขึ้นมา พฤกษ์กระแอมในคอก่อนจะยกมือดันแว่นสายตา ..และแก้มขาวก็ปรากฏริ้วสีแดง

“เธอ ..เธอมีรถไหม? ”

 

ฉัตรตะวันกำลังหัวเสียอย่างถึงที่สุด หัวเสียถึงขนาดที่ว่าปกติเจอใครเดินสวนมาแล้วยิ้มให้ก็ทำหน้าไร้อารมณ์ใส่แทนที่จะยิ้มตอบอย่างสุภาพและอบอุ่นเหมือนอย่างทุกที

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เดือนปีสองดรอปลงไปเลยแม้แต่น้อย

‘พี่ฉัตรเขาเป็นอะไรไม่รู้ เดินผ่านเมื่อกี้หน้าแบบเกรี้ยวกราดใส่กูมาก’

‘โกรธเมียมามั้ง’

‘บ้า เขายังไม่มี เอ๊ะ หรือมี’

‘พี่พฤกษ์ไง กูจิ้นพี่เขา ลูกคุณหนูตัวขาวดี’

‘มึงบ้าไหมอีโง่ อีจิ้นเหี้ย เขาเพื่อนกัน’

‘แต่ก็หล่อเนอะ ปกติเห็นพี่แกยิ้มตลอด’

‘เปลี่ยนแนวก็เร้าใจ อิอิ’

‘จริงมึง’

 

“ติดต่อไม่ได้เลย” เขาบ่นกับตนเองก่อนจะเดินออกมานั่งรอที่ชุดม้านั่งหน้าคณะ ทว่าหงุดหงิดอยู่ได้ไม่นานก็เห็นมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ คันหนึ่งขับเข้ามาจอดด้านหน้า หากเป็นปกติชายหนุ่มคงมองข้ามมันไปเหมือนทุกที แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่อาจทำเป็นไม่สนใจและปล่อยผ่านสายตาไปได้

นั่นก็เพราะมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวมีพฤกษ์ซ้อนท้ายติดมาด้วย!

“พี่พฤกษ์คะ” หลี่เหมาเหมาเอี่ยวหน้ามาด้านหลัง เห็นพี่รหัสนั่งตัวเกร็งเกาะไหล่เธอมาตลอดทางเหมือนเด็กเล็กแล้วก็นึกเอ็นดูขึ้นมา

“ถึงแล้วค่ะ” เธอว่า

“อ่า..” พฤกษ์คล้ายกับเพิ่งรู้สึกตัว ชายหนุ่มรีบยกมือที่จับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวขึ้นก่อนจะพาตนเองลงมาจากเบาะรถ

“ฮู่ว..” เสียงพ่นลมหายใจดังขึ้น ถึงเขาจะยังขาสั่นไม่หายแต่อย่างน้อยก็โล่งอกโล่งใจอย่างมากที่อยู่รอดปลอดภัยจนถึงมหาลัย

หลี่เหมาเหมาขับรถได้น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ ทั้งรวดเร็วทั้งน่าหวาดเสียว เดี๋ยวเบี่ยงซ้ายเดี๋ยวเบี่ยงขวา เดี๋ยวก็บีบแตร เดี๋ยวก็เบรกและก็เดี๋ยวอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ทำเอาพฤกษ์แทบเสียสติ นั่งตัวสั่นหวั่นเกร็งจนก้นติดเบาะตลอดทาง

‘นี่เรายังไม่ตายสินะ..’

“คุณพฤกษ์” เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมร่างสูงโปร่งของฉัตรตะวันที่วิ่งหน้าตาตื่นมาทางเขา

“ ..สวัสดีค่ะพี่ฉัตร”

“เกิดอะไรขึ้น? ” ฉัตรตะวันเมินคำทักทายของหญิงสาวไปราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มวางฝ่ามือลงบนใต้หมวกกันน็อก คลำหาสายรัดใต้คางก่อนจะปลดมันออกและยกขึ้นจากศรีษะของพฤกษ์

พฤกษ์ยกหลังมือปากเหงื่อตามกรอบหน้า หันไปทางน้องรหัสแล้วพูด

“ขอบคุณที่ให้ติดรถมานะเหมาเหมา”

หลี่เหมาเหมายิ้มกว้างก่อนจะรับหมวกกันน็อกของตนเองคืนจากฉัตรตะวัน

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่พฤกษ์ไหวนะคะ? ”

“อ่า ..อือ หวะ-ไหว”

หญิงสาวยิ้มแห้ง ท่าทางซีดเซียวของพี่รหัสช่างสวนทางกับคำพูดเหลือเกิน ทว่าพฤกษ์ก็ทำให้เธอรู้สึกผิดที่ขับรถเหมือนนรกแตกมาตลอดทาง อันที่จริงเธอแค่อยากมาให้ถึงมหาวิทยาลัยเร็ว ๆ ก็เท่านั้น

“งั้นเหมาเหมาเอารถไปจอดก่อนนะคะ”

หลี่เหมาเหมายกมือไหว้ลาก่อนจะกลับมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับมาหาฉัตรตะวัน อีกฝ่ายมีสีหน้าหงุดหงิดจนแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน

“แค่ขอติดรถเธอมาเอง เมื่อเช้านี้ผมเอาสรุปไปให้เธอ”

“โห” ชายหนุ่มเชิดหน้า “มีนัดกันนอกรอบ? ”

“ผมแค่ช่วยเหลือเธอในฐานะพี่รหัส”

พฤกษ์ถอนหายใจ พูดว่า “อย่างอแงสิครับ”

“ผมเปล่างอแง” ฉัตรตะวันสวน “ใครเขางอแงกัน ไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

“แต่คุณหงุดหงิด คุณฉัตรดูไม่ค่อยชอบเธอ”

“ผมก็ไม่ชอบทุกคนที่สนิทกับคุณมากกว่าผมนั่นแหละ” หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ลูบหน้าตนเองก่อนจะตั้งสติ เมื่อครู่นี้เขาดูอันธพาลกับอีกฝ่ายเกินไปหน่อยเสียแล้ว

“ขอโทษนะ” เขาว่าเสียงหงอย “แก้ไม่เคยหายสักทีไอ้นิสัยขี้หวงเพื่อนแบบนี้”

ใช่ ไอ้นิสัยขี้หวงเพื่อนแบบนี้เขาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่พฤกษ์เองก็เป็นคนรักสันโดษ หวงพื้นที่ส่วนตัว ไม่ชอบทำความรู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ซึ่งต่างจากเขาที่อัธยาศัยดี เข้ากับคนอื่นได้ง่ายและเป็นที่ชื่นชอบของใคร ๆ

ฉัตรตะวันไม่เคยขาดเพื่อน ขณะที่พฤกษ์แทบจะไม่อยากเอาใครมาเป็นเพื่อน

แม้จะรู้ว่าพฤกษ์ไม่สนใจจะเหลือบแลใคร ทว่าเขาก็มักหงุดหงิดทุกทีที่มีใครมาพยายามเข้าใกล้หรือแสดงตัวชัดเจนว่าอยากทำความรู้จักสนิทสนม

เขาไม่อยากให้ใครค้นพบอีกฝ่าย ..ขอให้เขาเป็นเพียงคนเดียวก็พอที่ทำอย่างนั้นได้

“ไม่เป็นไรครับ อย่าคิดมากเลย ผมกับเหมาเหมาไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

พฤกษ์พูดราวกับรู้ความกังวลในใจเขา ก็แน่ล่ะว่าต้องรู้ในเมื่อสถานะของเขาทั้งคู่มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“ผมไม่อยากให้คุณพฤกษ์มีแฟน” ฉัตรตะวันพูดขึ้นขณะที่เขาทั้งคู่เดินเข้าไปในตึกเรียน พฤกษ์ชะงักไปครู่หนึ่ง ภาพของอัคราลอยผ่านเข้ามาในหัวก่อนจะถูกสลัดออกไป

ร่างโปร่งหันมาพูด

“ผมคงไม่มีแฟนเร็ว ๆ นี้หรอก”

 

หลังเลิกเรียน ฉัตรตะวันอาสาพาเขาไปส่งที่บ้าน เมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าทางเข้า พฤกษ์ก็ก้าวลงมาจากตัวรถโดยมีฉัตรตะวันคอยเปิดประตูให้

“ดูแลกันดีเกินไปแล้ว” เขาหัวเราะ

“แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เอง” ฉัตรตะวันยิ้มกว้างอย่างยินดี

ร่างโปร่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่กวักมือเรียกลุงแสงที่ยืนเช็ดกระจกรถอยู่ไม่ไกล ชายมีอายุเมื่อเห็นคนเป็นนายเรียกหาจึงทิ้งงานในมือแล้วรีบมาหาทันที

“มีอะไรให้รับใช้หรือครับ? ” ลุงแสงถาม

“อิน..” พฤกษ์หยุดไปครู่หนึ่ง “เด็กเป็นอย่างไรบ้างครับลุง”

“เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อบ่ายวันนี้เองครับเห็นคุณท่านว่ายังนอนซมอยู่เลย ท่าทางคุณอินทร์คงอาการไม่ค่อยดี”

“อ่า ..” เขาครางรับในคอขณะที่ฉัตรตะวันเองก็ยืนมองพฤกษ์สลับกับลุงแสงที่กำลังพูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ แต่เท่าที่จับความได้ดูเหมือนว่าเด็กอินทรชิตนั่นจะกำลังป่วยหนัก

“เดี๋ยวผมจะเข้าไปในสวนสักหน่อย อย่าเพิ่งบอกใครว่าผมกลับมาแล้วนะครับ” พฤกษ์พูดจบก็ทำท่าจะเดินไปยังสวนหย่อมปีกขวา ทว่าร่างโปร่งก็หันหลังกลับมาอีกรอบ

“อ้อ! ” เขาร้อง “ขวานยังอยู่ในห้องเก็บของใช่ไหม? ”

 

ฉัตรตะวันขยี้จมูกตนเองจนแดงเรื่อเพราะรู้สึกฉุนกลิ่นต้นตีนเป็ดที่คละคลุ้งไปทั่วในอากาศ ตอนนี้เขากำลังเดินตามหลังเพื่อนสนิทเข้าไปในสวนหย่อมด้วยความใคร่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดที่จะทำอะไร แต่ทว่ายิ่งเดินเข้าไปลึกมากขึ้นเท่าไหร่กลิ่นจากต้นตีนเป็ดก็ยิ่งตีขึ้นจมูกมากขึ้นเท่านั้น

ปวดหัว.. ฉัตรตะวันถึงกับต้องหยุดเดินแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ ชายหนุ่มรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ๆ เขาก็ยังไม่เคยชินกับกลิ่นต้นตีนเป็ดเสียที

“กลับไปก่อนดีไหมครับคุณฉัตร เดี๋ยวจะตายเอา”

“ผมโอเคมาก” ฉัตรตะวันโบกมือไหว ๆ ก่อนจะทำท่าเหมือนจะอาเจียน “อุ่ก..”

‘บัดซบเอ๊ย! ’ เขาสบถ ‘ไอ้ต้นเวรนี่’

พฤกษ์มองดูอีกฝ่ายด้วยความอเนจอนาถใจก่อนจะกระชับขวานในมือแน่น ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองพญาสัตบรรณต้นใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่เพียงแค่ต้นเดียว เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ นึกอยากจะล้มเลิกความตั้งใจเดิมแล้วเดินออกจากสวนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่พฤกษ์ไม่ใช่คนหัวใจโลเลกลับกลอก เมื่อตัดสินใจลงไปแล้วไม่มีทางที่จะหันหลังกลับไปเด็ดขาด

“คุณฉัตร” พฤกษ์กำขวานแน่น แผ่นหลังเหยียดขึ้นตรง “คุณว่าคนเรามีวิธีไหนบ้างที่จะกำจัดต้นไม้สักต้น? ”

ฉัตรตะวันไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามความเห็นในเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งที่เจ้าตัวเองก็ตั้งใจจะใช้ขวานที่อยู่ในมือตัดต้นไม้นั่นอยู่ดี ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ทว่าพฤกษ์กลับพูดต่อ

“ผมคิดจะเอาเกลือสักกระสอบมาโรยไว้ใต้โคน ให้มันยืนต้นตายไปทั้งอย่างนี้ แต่ก็อาจจะทำให้ดินเสีย”

“เป็นวิธีที่โหดเหี้ยมดี ว่าแต่ทำไมคุณไม่เอารถแบคโฮมาขุดล่ะ แบบนั้นง่ายกว่าการใช้ขวานตั้งเยอะ คุณพฤกษ์เองก็ไม่ต้องมาเหนื่อยด้วย”

“ใครบอกว่าผมจะเป็นคนตัดกันล่ะ? ”

พฤกษ์ยกขวานในมือขึ้น มุมปากสวยคลี่ยิ้มกว้างทว่าฉัตรตะวันกลับคิดว่าใบหน้าของอีกฝ่ายช่างดูเลือดเย็นแปลกพิกล ให้ตายสิ ท้ายทอยของเขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“คุณฉัตรรักผมไหม? ”

แน่นอนว่าเขารักพฤกษ์ ทั้งในฐานะเพื่อนและฐานะอื่น ทว่าสถานการณ์ตอนนี้มันทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกนอกจากยืนเหงื่อแตกพลั่ก

“คุณ ..คุณพฤกษ์เอาจริงหรือครับ? ”

 

“คุณพฤกษ์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ” แม่พลอยทักขึ้นทันทีที่เห็นเขาเดินกลับออกมาจากสวนหย่อมในช่วงเย็น

“ตั้งแต่บ่ายครับ” ร่างโปร่งตอบ หญิงชรายิ้มแย้มก่อนจะหันไปเจอฉัตรตะวัน ชายหนุ่มมีสภาพอิดโรย ผมเผ้ายุ่งฟูเสื้อนักศึกษาเองก็หลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบและมีเหงื่อไหลท่วมตัวราวกับเพิ่งไปวิ่งมา

“ตายละคุณฉัตร” แม่พลอยร้อง “ไปทำอะไรกันมา”

ฉัตรตะวันยิ้มแหย “ถามคุณหนูเขาดูสิครับ”

หญิงชราหันมามองคุณหนูที่ว่า พฤกษ์ยักไหล่เป็นเชิงว่าใครจะทำไมกับเขางั้นหรือ? ดูทำเข้าสิ อยากจะจับตีเสียให้เข็ด

“ไม่ได้เล่นอะไรพิเรนท์กันใช่ไหมคะ? ”

พฤกษ์ยกมือขึ้นสองข้างเพื่อบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ เขาพูดว่า

“ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกครับ อย่าห่วงไปเลย ผมก็แค่ขอแรงคุณฉัตรช่วยตัดต้นไม้เท่านั้นเอง”

แม่พลอยหรี่ตาลงอย่างจับผิดก่อนจะหันมาหาฉัตรตะวันเพื่อยืนยันในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“เรื่องจริงครับ นี่ไงหลักฐาน” ชายหนุ่มยกขวานด้ามยาวขึ้นให้ดู อา.. คุณพฤกษ์เล่นเขาซะอ่วม ขยับแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

“หืม นี่มันอะไรกันแน่คะ? ” แม่พลอยถามความจริง

“ผมตัดต้นตีนเป็ดทิ้งแล้ว พรุ่งนี้บอกให้คนขนไปทิ้งด้วยนะครับ นอนแอ้งแม้งอยู่ในสวนนั่นแหละ”

“หา!? ” หญิงชราแทบไม่เชื่อหู แต่ก่อนจะได้ถามอะไรต่อร่างโปร่งก็เดินผ่านหน้าไปเสียแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เธอและชายหนุ่มที่ยืนมองตากันปริบ ๆ

“รู้สึกว่าเขาดูเปลี่ยนไปสินะครับ” ฉัตรตะวันพูดขึ้นขณะที่ส่งขวานคืนให้หญิงชราถือ แม่พลอยมองตามหลังเจ้านายหนุ่มไปก่อนแววตาจะประกายความอ่อนโยน

“ยายว่ามันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีนะคะ”

ฉัตรตะวันหัวเราะ “คงจะอย่างนั้นครับ”

 

อินทรชิตวิ่งออกมาจากคฤหาสน์ทันทีที่ฟังแม่พลอยเล่าจบ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้ เขาตรงเข้าไปในสวนหย่อมปีกขวาอย่างไม่นึกลังเลใจแม้แต่น้อย และก็รับรู้ได้ทันทีว่ากลิ่นหอมฉุนของต้นตีนเป็ดได้หายไปแล้ว!

“แฮ่ก..” เด็กหนุ่มหยุดพักกลางคัน ด้วยร่างกายที่ยังป่วยและยังเยาว์ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยได้โดยง่าย อินทรชิตยกมือยันต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อใช้ค้ำร่างกายก่อนจะสังเกตว่าตนเองรีบวิ่งออกมาโดยที่ทำสลีปเปอร์หลุดออกไปข้างหนึ่ง

‘ทำไมถึงน่าสมเพชแบบนี้’ เขาคิดก่อนจะถอดอีกข้างทิ้งไว้ตรงนั้นและเดินต่อไป กระทั่งถึงจุดหมาย อินทรชิตก็พบว่าพื้นที่สนามหญ้าที่เคยมีตีนเป็ดยืนต้นสูงใหญ่บัดนี้กลับเหลือเพียงแค่ตอไม้สั้น ๆ มาแทนที่

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตอต้นตีนเป็ดมากนัก เขาเห็นร่างโปร่งของใครบางคนที่คุ้นเคยยืนหันหลังอยู่ อีกฝ่ายสวมชุดคลุมนอนตัวยาวเหมือนอย่างทุกทีแต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีชมพูนู้ดดูอ่อนหวาน

เป็นคุณพฤกษ์อย่างไม่ต้องสงสัย..

“..คุณพฤกษ์” เขาเรียกเสียงแหบแห้ง รู้สึกภายในลำคอเป็นผุยเพราะขาดน้ำ ในขณะนั้น ร่างโปร่งที่กำลังเหม่อก็หันกลับมามอง พอเห็นว่าเป็นอินทรชิตก็หันหน้ากลับไปมองตอต้นตีนเป็ดเช่นเดิมโดยไม่มีทีท่าอะไร เพียงแค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มฟีบเหี่ยวราวกับลูกโป่งถูกปล่อยลม

อินทรชิตสูดหายใจลึกก่อนจะรวบรวมความกล้าหาญค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้คุณเขา

คุณพฤกษ์เหลือบมองลงมาเล็กน้อย พูดว่า

“ลุกขึ้นไหวแล้วหรือไง? ”

“คะ ครับ” ด้วยความที่กลัวจะพูดอะไรออกไปแล้วอาจจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญ เขาจึงเลือกที่จะพูดน้อยอย่างประหยัดคำเข้าไว้ คุณพฤกษ์ไม่ชอบคนพูดมาก พูดจ้อ หรือพูดเกินกว่าในสิ่งที่ถามและเขาก็จำได้ดีทั้งหมด

ทว่าจู่ ๆ คุณพฤกษ์ก็หันตัวมาหาเขาพร้อมกับฝ่ามือที่ยกขึ้นสูง อินทรชิตใจกระตุกวูบ ร่างทั้งร่างสั่นกลัวขึ้นมากะทันหันและคิดว่าในไม่ช้าคงโดนคุณเขาตีเป็นแน่ เด็กหนุ่มหลับตาปี๋พร้อมกับเกร็งใบหน้าจนแก้มสั่นระริก

“...” แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ไม่ได้รับความเจ็บปวดตรงส่วนไหนของร่างกาย ..จะมีก็เพียงแต่สัมผัสจากหลังมือที่แนบลงหน้าผากของเขาอยู่ตอนนี้

ในอกพลันบีบรัดจนเจ็บปวด มันไม่ใช่ความทุกข์หากแต่คือความสุขที่รัดแน่นจนเขาเจ็บปวด อินทรชิตกระพริบตาปริบก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากดวงตาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

“ไม่ตีหรือครับ..”

“แกพูดอะไร? ” คุณพฤกษ์ว่า “ทำไมฉันต้องตีแกด้วย”

“...” เด็กหนุ่มหาคำตอบไม่ได้ เขาจึงได้แต่ยืนให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

“ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย” ร่างโปร่งขยับออกห่างเล็กน้อยก่อนจะพูด คุณพฤกษ์คิดว่าเขายังคงป่วยทว่าอันที่จริงที่มันเป็นผลมาจากการวิ่งเมื่อครู่นี้ต่างหาก

“ทำไมแกถึงร้องไห้ ยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกหรือ”

“แบบนี้มันดีแล้วหรือครับ” อินทรชิตถามกลับแทนที่จะตอบ คุณพฤกษ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองต้นตีนเป็ดที่บัดนี้เหลือเพียงแค่ตอสั้น ๆ

“ฉันไม่รู้ว่าแกหมายถึงอะไร”

เด็กหนุ่มปาดน้ำตาทิ้ง ถามต่อไปว่า

“ต้นตีนเป็ดนี่ไงครับ ..มันเป็นสิ่งที่มีความหมายกับคุณพฤกษ์และมีค่ามากกว่าผมเสียอีก ถ้าเกิดว่าหายไปมันจะไม่เป็นอะไรหรือครับ”

พฤกษ์หัวเราะในคอเบา ๆ ตอบเด็กหนุ่มที่ยืนกระซิกอยู่ข้างกาย

“มันไม่ได้หายไปสักหน่อย” เขาว่าพลางชี้ไปที่ตอไม้ที่ยังเหลืออยู่

“แกดูนั่นสิ มันยังเหลืออยู่”

อินทรชิตมองตามพลางกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าของเด็กหนุ่มบ่งบอกถึงความละอายใจอย่างถึงที่สุด

“มันเหลือแค่ตอ…”

“ฉันหมายถึงรากของมันต่างหาก” คุณพฤกษ์ยกมือขึ้นกอดอก พูดว่า

“ตราบใดที่รากของมันยังดูดซับสารอาหารได้อยู่ สักวันมันก็จะแตกหน่อและผลิบานขึ้นมาอีกครั้งเป็นต้นไม้ต้นใหม่ในต้นเดิม..”

“...” คุณพฤกษ์หันกลับมาหามองหน้าเขา ดวงตาที่เคยราบเรียบไร้อารมณ์กลับอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาดและรอยยิ้มหนึ่งก็ถูกมอบส่งมาให้อินทรชิตเป็นครั้งแรก

เชื่อไหมว่าเขาเกือบลืมวิธีหายใจไปเลย..

คุณพฤกษ์ยังพูดต่อไปอีกว่า

“ถึงแม้จะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีก็ตาม แต่มันก็คือต้นไม้ต้นเดิมที่คุณแม่เหลือทิ้งไว้ ..และมันไม่ได้หายไปไหน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา