คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) 00 20

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 20

 

ปั้ง! ...

เสียงกระสุนนัดนั้นดังขึ้นทันทีที่ก้านนิ้วยาวลั่นไกและทุกสรรพสิ่งก็พลันเงียบงันลงพร้อมกับร่างหนึ่งที่ล้มลงมา

ทว่า.. เจ้าของร่างนั้นกลับไม่ใช่อัคราอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก อินทรชิตหัวใจหยุดเต้น ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่งค้างด้วยอาการตกใจกลัวสุดขีด เขาเบิกตาโพลง ร่างโปร่งที่ควรถูกบอร์ดี้การ์ดของเขาคุมตัวเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกลูกหลงอยู่อีกด้านกลับพุ่งตัวเข้ามารับกระสุนนัดนั้นแทน!!

“พฤกษ์!! ” อัคราหวีดร้องเมื่อร่างของคนรักทรุดลงนอนราบต่อหน้า เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานและไหลรินเจิ่งนองไปทั่วพื้นปูนหยาบ

“โอ ..ไม่ ไม่ พฤกษ์ ไม่จริง” ชายหนุ่มค่อย ๆ ช้อนศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นมาโอบกอด เขาวางไม้วางมือสะเปะสะปะ คลำหาลมหายใจและชีพจรของคนรักด้วยความหวังอันน้อยนิด แต่แล้วก็ต้องพบกับความจริงอันโหดร้าย กระสุนนัดนั้นถูกยิงตัดขั้วหัวใจและพฤกษ์ได้เสียชีวิตไปแล้ว

“ไม่ ไม่ ..ไม่เอาแบบนี้” อัคราสะอื้น เขาเอาแต่พร่ำเพ้อราวกับคนเสียสติ ลืมสิ้นไปแล้วว่าตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไหน เขารู้เพียงแต่ว่าทุกอย่างที่ทำมามันช่างโง่งมเสียจริง เขาเองที่พลาด เขาเองที่โง่ เขาเองที่พาความตายมาหาพฤกษ์!

 

“บะ บอสครับ..”

เสียงเรียกจากบอร์ดี้การ์ดข้างตัวดังขึ้น อินทรชิตได้สติเดี๋ยวนั้นเอง ชายหนุ่มกระพริบตาหนึ่งครั้งก่อนจะรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้อยู่ เขาค่อย ๆ ก้มลงมองกระบอกปืนที่อยู่ในมือ น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะลงมาราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความจริ

คุณพฤกษ์.. ตายแล้ว?

“ไม่ ..ผม คุณพฤกษ์..” ร่างสูงได้แต่ยืนค้างเป็นรูปปั้น ปืนที่อยู่ในมือสั่นระริก เขามองร่างที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอัคราด้วยสายตาที่ร้าวราน อินทรชิตรู้สึกราวกับโลกทั้งใบถูกฉีกกระชากออกไปเป็นเสี่ยง ๆ ภายในใจของเขาโหวงเหวงว่างเปล่า หัวสมองมึนชาคิดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะทิ้งตัวลงตรงหน้าอัคราที่กำลังเสียสติอย่างหมดแรง

“คะ ..คุณพฤกษ์” เขาเรียก น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ทว่าอีกฝ่ายกลับนอนนิ่งไม่ไหวติง อัครากระชับอ้อมแขนพลางดึงคนรักให้ออกห่าง ชายหนุ่มส่ายหน้าน้ำตานอง

“มึงไม่มีสิทธิ์มาเรียก”

“ปล่อยเขามาให้ผม” อินทรชิตสะอื้นพลางยื่นมือทั้งสองออกไป “ได้โปรด..”

“ไม่ ..ไม่ ” อัคราพึมพำ ถดตัวออกห่างพร้อมดึงร่างของพฤกษ์เข้ามากอดไว้

เขาชี้หน้าอินทรชิต “เพราะมึงคนเดียว! เรื่องทั้งหมดถึงได้เป็นแบบนี้! เพราะมึง! ”

“เพราะคุณต่างหาก!! ” ชายหนุ่มสูดหายใจลึกก่อนจะพลักอัคราจนล้มหงายลงไปกับพื้นปูนหยาบ อินทรชิตเหลืออด เขาตามไปนั่งคร่อมทับก่อนจะซัดกำปั้นหนัก ๆ เข้าใส่ใบหน้าอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอยากกำจัดผมทิ้งเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไหม! ” เขากระชากคอเสื้ออัคราขึ้นมา ต่อยซ้ำอีกรอบก่อนจะตะคอกรุนแรง

“ผมไม่สนเรื่องมรดกหรือผู้สืบทอดบ้า ๆ บอ ๆ นั่น ผมไม่ต้องการ!! ถ้าคุณอยากได้นักผมยินดีที่จะยกให้อยู่แล้ว! จะตำแหน่งหลานรัก ประธานหรืออะไรอยากได้ก็เอาไป! ผมรู้ว่าแม่คุณวางแผนฆ่าพ่อกับแม่ผมก็ยินดียกโทษให้!! ผมพอแล้ว.. ผมวางมือทุกอย่างแล้วคุณยังต้องการอะไรอีก!! ทำไมคุณยังไม่หยุด! ”

อินทรชิตสะอื้น ขณะที่อัครานั้นอยู่ในสภาพปางตาย อีกฝ่ายนอนนิ่งคล้ายจำยอมแล้วซึ่งทุกอย่าง สายตาว่างเปล่าไม่อยู่กับร่องกับรอยทำให้กำปั้นที่ถูกง้างขึ้นค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยใจที่ร้าวรานว่า

“คุณรู้ว่าผมรักเขา คุณรู้ดีมาตลอดว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของผมคืออะไร คุณรู้ว่าถ้าใช้เขาผมจะยอมทุกอย่าง แล้วนี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม!? อัครา! ตอบผมสิ!!? คุณพฤกษ์ตายเพราะใครถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องคุณ! คนที่สมควรตายควรเป็นไอ้ระยำแบบคุณต่างหากที่หลอกใช้เขา!! ”

เมื่อเขาระบายความอัดอั้นที่อยู่ภายในอกจนสาแก่ใจแล้วจึงปล่อยคอเสื้อของอัคราทิ้ง ปล่อยให้ชายหนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะคลานไปหาพฤกษ์ที่อยู่ไม่ไกล อินทรชิตค่อย ๆ ใช้มือและแขนโอบประคองส่วนศีรษะและช่วงลำตัวของอีกฝ่ายขึ้นมากอดอย่างทะนุถนอม

“คุณพฤกษ์..”

อินทรชิตเสียงสั่นขณะทอดสายตามองเลือดมากมายจากรอยกระสุนบนอก คุณพฤกษ์ของเขาหลับตานิ่ง ริมฝีปากและแก้มเนียนไร้เลือดฝาด อีกทั้งเนื้อตัวยังเย็นเฉียบ ชายหนุ่มหน้าถอดสี ความหวาดกลัวไม่รู้จบกำลังกลืนกินตัวเขาทีละน้อยจนไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะ

ไม่จริง.. เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้

ชายหนุ่มเคลื่อนตัวลงต่ำ แนบใบหูกับอกบางที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ทั้งชีวิตอินทรชิตไม่เคยเชื่อเรื่องศาสนาหรือศรัทธาพระเจ้าองค์ไหน แต่ตอนนี้เขากลับภาวนาและวิงวอนต่อพระเจ้าทุกพระองค์บนโลกขอให้หัวใจของคนที่เขารักแสนรักยังคงเต้นอยู่

“อยู่กับผมก่อนนะ ..คุณพฤกษ์ อยู่กับผม ได้โปรด ผมขอโทษ”

..ถึงแม้ว่าตัวเขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตามว่ามันจะไม่มีวันเต้นอีกเป็นครั้งที่สอง

กระนั้นเขาก็ยังอ้อนวอน

เหล่าบอร์ดี้การ์ดที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้ามาตลอดก็พากันเบือนหน้าหนีไปคนละทางเพราะทนดูภาพอันน่าเศร้าสลดของเจ้านายต่อไปไม่ไหว ประจวบเหมาะกับเป็นเวลาเดียวกันที่เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลดังขึ้น

อินทรชิตคล้ายกับว่าตนไม่ได้ยินเสียงใดบนโลกนี้อีก เพราะตั้งแต่ที่เสียงปืนดังขึ้น โลกทั้งใบของเขาก็เงียบงันลง

เสียงเดียวที่เขาอยากได้ยินคือเสียงของคุณพฤกษ์..

จะเป็นเสียงก่นด่า เสียงดูถูกเหยียดหยามหรือเสียงอะไรก็ตามเขายินดีที่จะฟังไปตลอดชีวิต

“ได้โปรดคนดี อยู่กับผมนะ ผมยอมทุกอย่างแล้ว ได้โปรดอย่าไปไหนเลย.. อย่าไปในที่ที่ผมตามไปไม่ได้เลยนะ”

แต่ความจริงโหดเหี้ยมเสมอและตลอดไป

คุณพฤกษ์ ..ไม่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว ตัวตนของคนที่เขารักไม่มีอีกแล้ว

 

‘คุณพฤกษ์ตายเพราะใครถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องคุณ! คนที่สมควรตายควรเป็นไอ้ระยำแบบคุณต่างหากที่หลอกใช้เขา!! ’

เสียงของอินทรชิตผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องยังคงวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของเขา อัคราค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีเลื่อนลอย เขาบาดเจ็บหนักทั้งร่าง ซ้ำดวงตาข้างซ้ายยังลืมไม่ขึ้น แต่หูและดวงตาอีกข้างของเขายังคงได้ยินและมองเห็นได้ชัดเจน เขามองเห็นแผ่นหลังของอินทรชิตที่กอดร่างไร้วิญญาณของพฤกษ์พลางคิดว่ามันเองก็คงทรมานเหมือนตายไปพร้อมกับพฤกษ์ไม่ต่างไปจากเขาเท่าไรนัก

“อย่าขยับ” ตำรวจนายหนึ่งยกปืนขึ้นจ่อเขาในขณะที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ในหัวของเขาตอนนี้มีคำถามผุดพรายขึ้นมาว่าทั้งหมดนี่เขาทำไปเพื่ออะไรงั้นหรือ?

เพราะเขาอยากฆ่าอินทรชิตให้ตายก่อน แต่อีกฝ่ายเองก็เอาคืนเขาด้วยวิธีเดียวกัน

เพราะกระสุนนัดนั้นหมายเอาชีวิตเขา และถ้าไม่ใช่พฤกษ์ที่เอาตัวมาขวางไว้ก็คงเป็นเขาที่ตาย

เพราะริษยาและต้องการทุกอย่างมาครอบครองงั้นหรือ

เพราะความริษยาของเขาหรือถึงพาพฤกษ์มาตายที่นี่

ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

เพราะเขา

“ฮะฮะ..” อัคราหัวเราะทั้งที่น้ำตาไหลอาบหน้า ทำไมกัน ทำไมถึงมาคิดได้เอาตอนที่เรื่องทุกอย่างมันเลวร้ายบัดซบขนาดนี้

ไม่เอาแล้ว.. ไม่เอาแล้วแบบนี้

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลง เห็นกระบอกปืนของอินทรชิตวางตกเอาไว้บนพื้นก็รีบฉวยเก็บมาไว้ในมือ ตำรวจที่อยู่บริเวณนั้นตกใจจนตั้งตัวไม่ติด ตะโกนไปว่า

“วางปืนลงเดี๋ยวนี้!! ” และ “ไม่งั้นเราจะยิง! ”

อัคราไม่มีสตินึกคิดอีกแล้ว ความสูญเสียทำให้เขาแตกสลายจนยากจะเก็บกู้ ชายหนุ่มมองปืนที่อยู่ในมือ เขานิ่งไปก่อนจะทำในสิ่งที่แม้ตำรวจเองก็ยังตกใจ ชายหนุ่มค่อย ๆ หันปลายกระบอกปืนเข้าปาก สายตาของเขามองไปยังคนรักที่ไร้ลมหายใจก่อนจะหลับตาลงอย่างช้า ๆ

‘ล่วงหน้าไปก่อนนะพฤกษ์ ผมกำลังจะตามคุณไป’ เขาคิดก่อนจะลั่นไก และ..

แช๊ะ! ..

“แม่งเอ๊ย!!! ” อัคราสบถออกมาเพราะปืนดันยิงไม่ออก ไม่มีทางที่กระสุนจะหมดแม็กเพราะอินทรชิตเพิ่งจะยิงออกไปได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น ทำไม เพราะอะไรกระสุนถึงมาด้านเอาตอนที่เขาอยากจะจบชีวิตตัวเองแบบนี้ เขาไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อย่างที่ต้องการ บัดซบ! ชายหนุ่มฟาดมันลงกับพื้นปูนโดยแรงก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง เขาดึงทึ้งเส้นผมของตนเองและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งก่อนจะถูกตำรวจเข้าจับกุมตัวในที่สุด

 

“คะ คุณคะ ..กรุณาปล่อยผู้เสียชีวิตด้วยค่ะ” แพทย์ฉุกเฉินบอกเขา อินทรชิตที่ยังคงกอดพฤกษ์เอาไว้แน่นส่ายหน้าปฏิเสธ

“เขายังไม่ตายใช่ไหมหมอ”

แพทย์ฉุกเฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วนพลางมองไปยังร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เธอทราบมาว่าอีกฝ่ายถูกยิงที่บริเวณใกล้กับหัวใจหรืออาจจะโดนหัวใจไปแล้ว แม้ว่าโอกาสรอดยังมีอยู่แต่ก็ต้องเป็นการทำบายพาสหัวใจทันทีหลังจากที่ถูกยิงเพื่อทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมอง แต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว ความช่วยเหลือมาช้าเกินไป ส่วนหนึ่งนั่นก็เพราะรถฉุกเฉินของเธอติดไฟแดงอยู่นานกว่าจะมาถึง

“บอกผมสิหมอ! ” อินทรชิตกระชากเสียง ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บหนัก

“มะ หมอจะทำเท่าที่ทำได้ค่ะ” เธอประนีประนอมทั้งที่รู้ดีว่าโอกาสรอดเป็นศูนย์ ไม่อย่างนั้นเธอจะพูดคำว่า ‘ผู้เสียชีวิต’ ไปทำไม

“ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดิฉันนะคะ”

เธอลุกขึ้นพลางเรียกเจ้าหน้าที่แพทย์ฉุกเฉินอีกสามคนเตรียมเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณของพฤกษ์เพื่อนำส่งโรงพยาบาล อินทรชิตถูกบอร์ดี้การ์ดสองคนพยุงออกมา ร่างสูงยืนโงนเงน ทอดสายตามองรถพยาบาลที่ขับออกไปก่อนสติจะดับวูบลง

อินทรชิตตื่นขึ้นมาในอีกสองวันบนเตียงของตนเอง สิ่งแรกที่เขาทำคือวิ่งเข้าใส่ประตู พยายามจะเปิดมันออกแต่ก็พบว่าประตูห้องถูกล็อกจากด้านนอก

“เปิด!! ” เขาสั่งแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา อินทรชิตทุบประตูอีกหลายครั้งก่อนจะรู้สึกระบมไปทั่วร่างเพราะบาดแผลฟกช้ำจากการต่อสู้กับอัครา กระนั้นเขาก็ยังไม่เลิกรา กำปั้นแข็งแกร่งทุบซ้ำไปที่บานประตู

“ฉันบอกให้เปิดประตู!!! ”

ชายหนุ่มปลุกปล้ำอยู่กับประตูอยู่เกือบค่อนวัน ท้ายที่สุดความเจ็บปวดจากบาดแผลก็ทำให้เขาทรุดตัวลงนั่งอยู่กับพื้นอย่างอ่อนแรง

ภาพเหตุการณ์วันนั้นฉายชัดอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา

คุณพฤกษ์ไม่อยู่แล้ว ..และเขาเป็นคนฆ่าเองกับมือแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

“คุณพฤกษ์..” ทันทีที่เขาเอ่ยชื่อของอีกฝ่าย น้ำตามากมายที่อดกลั้นไว้ก็พลันไหลออกมา ร่างสูงงอขาเข้าหาตัวก่อนจะกอดเข่าเอาหน้าซบ ความเจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลบนกายกำลังแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วจิตใจ

“คุณพฤกษ์” เขาเลื่อนลอย ไม่มีสติ และเอาแต่เรียกชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งหมดแรงจะเอ่ยคำใดออกไปอีก..

 

 

อีกด้านในห้องทำงานของสิงขร ผู้เป็นใหญ่ในตระกูลเลิศบดินทร์ มีศักดิ์เป็นปู่โดยสายเลือดของอินทรชิต ฝั่งตรงข้ามของชายชราวัยเจ็ดสิบปลายคือชายวัยกลางคนในชุดสูทเนี้ยบทุกระเบียบนิ้ว ผู้ที่มีใบหน้าเรียบเฉยทว่าดวงตากลับแฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ทั้งโศกเศร้า ทั้งสูญเสีย และทั้งโกรธเคือง

เจ้าสัวพนา วัฒนารายณ์

“เสียใจเรื่องลูกชายด้วย ..เจ้าสัว”

สิงขรที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามเอ่ยอย่างจริงใจ พนาไม่ได้รับฟังคำพูดนั้น เขามาที่นี่ด้วยความปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

“ผมไม่ต้องการคำไว้อาลัย ผมต้องการคนรับผิดชอบ”

“หลานชายฉันตอนนี้อยู่ในคุก”

“แต่อีกไม่นานคุณจะทำทุกอย่างเพื่อเอามันออกมา” พนาเอนหลังพิงเบาะ “แล้วอินทร์อยู่ที่ไหน”

“บนห้อง” สิงขรถอนใจ “สภาพจิตใจเขาแย่ทีเดียว”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาทำ” พนาหัวเราะในคออย่างขมขื่น พูดว่า “ผมเลี้ยงเขามาแท้ ๆ ”

“เจ้าอินทร์ไม่ได้ตั้งใจ” ชายชราหรี่ตาลง “เจ้าสัวน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด หลานฉันคนนี้ดูจะเคารพนับถือลูกชายเจ้าสัวเป็นพิเศษ”

พนานึกถึงคำให้การของพวกบอร์ดี้การ์ดที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาเข่นเขี้ยว “พฤกษ์ไม่น่าเอาตัวเองไปช่วยมัน”

“เขารักกัน”

ชายวัยกลางคนกระฟัดกระเฟียด ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีเสียงดังลั่นทันทีที่อีกฝ่ายพูดประโยคนั้น

สิงขรมองมาอย่างเวทนา เสียงเย็น ๆ พูดขึ้น “จนถึงตอนนี้เจ้าสัวก็ยังไม่ยอมรับอีกหรือว่าลูกตัวเองเป็นอะไร”

มือที่กำแน่นพลันคลายออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะกำเข้ากันอีกครั้ง พนาทำเป็นไม่ได้ยินที่สิงขรถาม เขาพูดต่อไปอย่างนึกเจ็บใจว่า

“ผมผิดเอง”

สิงขรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พนาพูดต่อไปว่า

“ถ้าผมไม่พาเจ้าอินทร์กลับมาหาคุณ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด สิงหาอุตส่าห์ไว้ใจฝากหลานไว้กับผม ผมน่าจะเชื่อที่เขาบอกตั้งแต่แรก”

“สิงหาหรือ” สิงขรหัวใจพองโตเมื่อได้ยินชื่อของลูกชายที่ล่วงลับ ชายชราเสียงสั่น “..บอกว่าอะไร”

“ก่อนตาย สิงหาบอกให้ผมดูแลเจ้าอินทร์ให้ดีและถ้าเป็นไปได้อย่าให้เด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับเลิศบดินทร์อีก”

“....” สิงขรหลุบตาลงต่ำ มองภาพครอบครัวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้วยแววตาโศกเศร้า เขาถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง พูดว่า

“เป็นเพราะสิรีใช่ไหม”

ชายชรากำลังพูดถึงสะใภ้คนรอง ผู้เป็นภรรยาของสิงหลและเป็นแม่ของอัคราอย่างสิรี

พนาหันขวับ “คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน..” สิงขรเคาะนิ้วลงไปบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจ้าอินทร์บอกฉันว่าสิรีเป็นคนวางแผนฆ่าสิงหากับมินตรา”

“ผมเป็นคนบอกเขาเอง เขาควรรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ตัวเอง เรื่องครั้งนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุแต่สิรีเป็นคนจัดฉากทั้งหมด”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” สิงขรพูด “ฉันไม่เคยเอะใจมาก่อน สิรีเป็นภรรยาคนดี เป็นสะใภ้ที่ดี ทำไม เพราะอะไร ฆาตกรที่พรากลูกกับหลานฉันอยู่ใกล้ตัวฉันมาตลอด”

“สิรีเป็นคนทะเยอทะยาน แต่สิงหลไม่ได้ทะเยอทะยานเหมือนเธอ”

“หมายความว่าสิงหลไม่ได้รู้เรื่องนี้? ”

พนาส่ายหน้า “บางทีคุณควรจะมองคุณสิงหลเสียใหม่ เขาก็ดีไม่แพ้ใคร ไม่คิดมาแทนที่พี่ชาย พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เพราะคุณเอาแต่เสียใจกับลูกคนโตเลยไม่เห็นหัวลูกคนรอง..”

พนาเว้นจังหวะพูดไป เขามองอีกฝ่ายและพูดต่อไปอย่างระมัดระวัง “ ..มันเลยเป็นแบบนี้”

“ทุกคนล้วนมีปัญหาครอบครัวด้วยกันทั้งนั้นเจ้าสัว” สิงขรสรุปใจความแต่มิวายแว้งกลับไปแขวะคู่สนทนา

“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อ”

ชายชราไม่ได้ให้คำตอบ พนาคาดคะเนว่าอีกฝ่ายคงลำบากใจที่จะจัดการกับลูกสะใภ้ เขารู้มาว่าถึงสิงขรจะปฏิบัติกับลูกคนรองแบบไม่ใส่ใจนักแต่กลับรักและเอ็นดูอัคราที่เป็นหลานชายอย่างถึงที่สุด ดังนั้นแล้วเขาก็คงกังวลหากว่าเป็นคน ‘ลงมือ’ กับสิรีผู้เป็นแม่จะทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับหลานชาย

“อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นบงการทุกคนอีก” พนาพูด น้ำเสียงเขาเคร่งเครียดกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ถึงแม้ว่าลูกชายผมตายแต่เธอจะไม่หยุด เพราะเป้าหมายของเธอคือการกำจัดเจ้าอินทร์ อัคราก็เป็นได้แค่ผลผลิตจากความโลภของเธอเท่านั้น ถูกบงการ ถูกชักใยให้ทำนั่นนี่ เด็กพวกนี้ก็คือผลที่เกิดจากผู้ใหญ่ ดูเอาเถอะคุณสิงขร บ้านของคุณกำลังลุกเป็นไฟโดยมีเธอเป็นเชื้อเพลิง ถ้าคุณไม่อยากสูญเสียหลานชายคนใดคนหนึ่งไป คุณก็ต้องตัดสินใจ ผมยังยืนยันคำเดิมว่าต้องการคนที่จะมารับผิดชอบเรื่องนี้ การตายของพฤกษ์จะต้องมีคนชดใช้! ”

“เจ้าสัวพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร”

พนาสูดหายใจลึก ความเจ็บปวดรวดร้าวจากการสูญเสียลูกชายคนโตทำให้เขาคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ..และความแค้นนี้ต้องมีคนมารับผิดชอบ

ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะในคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ทว่าดูเลือดเย็นอย่างน่ากลัว

“จัดการปัญหาที่ต้นตอ”

 

ถึงสิงขรจะคลางแคลงใจกับคำพูดกำกวมของพนาที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้แต่ชายชราก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อเพราะคำพูดนั้นถูกเฉลยในบ่ายวันถัดมา

สิรี สะใภ้คนรองแห่งเลิศบดินทร์ถูกพบเป็นศพด้วยอุบัติเหตุปล้นฆ่าชิงทรัพย์ภายในรถยนต์ของตนเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสิรี สิงขรแน่ใจว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับสิงหาและมินตราในอดีต

‘เวรต้องระงับด้วยการจองเวรและชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต’ ชายชราคิดหลังจากที่สิงหลโทรศัพท์มาบอกเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับภรรยาของตนเอง

 

“เท่านี้คุณพฤกษ์คงจากไปอย่างสงบ”

พนาที่ยืนเหม่อลอยหันไปมองเลขาคนสนิท

“พฤกษ์ไม่สงบหรอก” เขายิ้มเศร้า “ตอนยังอยู่เขาก็ไม่เคยได้มีความสุข ตายไปก็ไม่มีความสุข ..รู้ไหมดิเรก ฉันไม่ได้ทำเพื่อลูกหรอกนะ ฉันก็แค่หาใครสักคนมารองรับความรู้สึกผิดที่เลี้ยงลูกไม่ดีก็เท่านั้น ถึงวิธีที่การมันจะแย่แต่ฉันไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว ลูกฉันตายไปแล้ว”

“เจ้าสัวยังมีคุณพีร์กับคุณมะลินะครับ”

พนาเงียบไปก่อนจะพูดอย่างขมขื่น “นั่นสินะ..”

 

ในตอนแรกพนาไม่แน่ใจว่าจะจัดงานศพลูกชายเป็นแบบใดดีเพราะตอนที่ยังมีชีวิต พฤกษ์เคยประกาศว่าตนเองไม่นับถือศาสนาใดอีก แต่สุดท้ายหลังจากที่ชั่งใจอยู่นานก็จัดงานศพแบบไทยเพราะถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่นับถือศาสนาแต่ในบัตรประชาชนและสูติบัตรยังคงมีชื่อของศาสนาพ่วงเอาไว้อยู่

งานศพของพฤกษ์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะวัฒนารายณ์ พนาตั้งใจจะสวดอภิธรรมเจ็ดวันแล้วเผาทันทีเพื่อส่งดวงวิญญาณของลูกชายไปสู่ภพภูมิหน้า วันนี้เป็นวันแรกและเป็นขั้นตอนของพิธีรดน้ำศพ แขกเหรื่อย่อมแห่แหนกันมามากที่สุด พนายืนต้อนรับแขกพอเป็นพิธีเนื่องจากสังขารไม่เอื้ออำนวยให้ยืนนาน ๆ จากนั้นจึงให้พงพีและมาลีวัลย์มารับหน้าที่ต่อ

“น่ารำคาญฉิบหาย” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะดึงเนคไทลงมาด้วยความอึดอัด

“พีร์ยืนดี ๆ สวัสดีค่ะคุณน้า” มาลีวัลย์ปรามพี่ชายขณะที่ยกมือไหว้ทักทายแขกที่เดินเข้ามาในงาน

“ทำไมเราต้องมางานนี่ด้วย” พงพีเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดพลางมองตรงไปที่รูปตั้งหน้าศพ ยิ่งมองรูปคนตายเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้เหตุผล ราวกับถูกสายตาคมกริบนั่นมองเหยียดหยามกลับมาเหมือนในตอนที่ยังมีชีวิตไม่มีผิด!

“ตายไปเสียได้ก็ดี” เขาพลั้งปากพูดออกไป มาลีวัลย์ตีแขนพี่ชายดังลั่น พูดตอกกลับไปว่า

“คนตายแล้วจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา! ”

“หรือไม่จริง? ” พงพีหัวเราะเยาะ “คนใจร้ายแบบนั้นตายไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ตายไปแล้วก็จะไม่มีใครคอยดุด่าเราอีก ไม่มีใครคอยตบตีเราหรือทำเหมือนเราไม่ใช่คน เธอคงยังไม่ลืมนะว่าเขาทำอะไรกับพวกเราไว้บ้าง นึกสงสารขึ้นมาหรือไง? มะลิ.. เขาไม่เคยเห็นเราเป็นครอบครัวนะจำได้ไหม หรือเธอยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้เขาหันกลับมารักเธออยู่อีก? ”

“หยุดพูดได้แล้ว..” มาลีวัลย์เสียงสั่น เธอเพิ่งสังเกตว่าแขกเหรื่อที่มาในงานบางคนเริ่มหันมามองพวกเขาและพูดคุยบางอย่าง

‘นั่นหรือลูกที่เหลือของเจ้าสัว’

‘เขาว่าคนละแม่’

‘สงสัยจะเป็นลูกชัง’

มาลีวัลย์วิ่งออกมาจากงานเพราะอึดอัดกับสายตาของผู้คน อันที่จริงเธอมีปัญหาในการเข้าสังคมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่ที่คนพลุ่งพล่านจึงทำให้เธอเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครที่จ้องมองมา หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่งก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองด้วยการหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ถึงแม้จะพยายามเท่าไหร่มือทั้งสองของเธอก็ยังไม่หยุดสั่น

หญิงสาวกอดตัวเองแน่น น้ำตาที่อุตส่าห์อดกลั้นเอาไว้ในหลายวันบัดนี้ค่อย ๆ ไหลออกมาอาบแก้มเป็นสายเพียงเพราะคำพูดของพี่ชายที่สะเทือนใจเธออย่างรุนแรง

‘มะลิ.. เขาไม่เคยเห็นเราเป็นครอบครัวนะจำได้ไหม หรือเธอยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้เขาหันกลับมารักเธออยู่อีก? ’

ใช่ ถูกต้องอย่างที่พงพีพูด จวบจนถึงบัดนี้มาลีวัลย์ยังคงรอคอยและโหยหาความรักความเอาใจใส่จากพี่ชายคนโตอย่างคุณพฤกษ์อยู่

“ทำไมวิ่งออกมา” พงพีที่วิ่งตามน้องสาวออกมานั่งลงบนโต๊ะอีกตัว “ทำไมร้องไห้ ฉันพูดแรงไปหรือ”

“พีร์อย่าถามว่าทำไมได้ไหมทั้งที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้ว” มาลีวัลย์สะอื้นไปพูดไป ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมา

“เมื่อไหร่เธอจะคิดได้นะว่าที่ชีวิตตัวเองเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะใคร”

“มะลิรู้น่า! ” เธอตวาด “รู้แล้ว! ไม่ต้องย้ำได้ไหม! คุณพฤกษ์ตายไปแล้วยังจะเกลียดยังจะแค้นอะไรนักหนา! เขาไม่อยู่ตีเราหรือด่าเราอีกแล้ว! มะลิขอแค่เสียใจหรือร้องไห้ให้เขาไม่ได้หรือไง! ”

“ไม่ได้” พงพีพูดเสียงแข็ง “เขาได้น้ำตาจากความเจ็บปวดในวัยเด็กของเรามามากพอแล้ว เขาจะไม่ได้มันไปอีก”

“คนใจดำ” มาลีวัลย์ว่า แต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สา

“เขาใจดำกว่าฉันเป็นร้อยเท่า”

“คนตายไปแล้วยังไม่รู้จักให้อภัย”

“คนตายไปแล้วไม่ได้แปลว่าสิ่งที่ทำกับคนอื่นจะตายตามไปด้วยนะ”

“...” มาลีวัลย์อับจนจะต่อปากต่อคำกับพี่ชายจึงเลือกที่จะหันหน้าหนีไปอีกด้านและนั่งร้องไห้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว พงพีมองแผ่นหลังน้องสาวที่สั่นคลอนไปตามการสะอื้นก็พลันรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมา ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างหมดปัญหาก่อนจะเดินอ้อมมานั่งตรงหน้ามาลีวัลย์ เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างที่พอจะคลายสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้ลง แต่ทว่าสายตาเจ้ากรรมกลับเหลือบไปเห็นรอยเลือดจาง ๆ ที่ซึมออกมาจากแขนเสื้อของน้องสาว

พงพีคว้าท่อนแขนเรียวก่อนจะถลกแขนเสื้อสีขาวสลับดำขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นบนแขนอีกฝ่ายทำเอาเขาโกรธจัด

“พระเจ้า” เขาอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อเมื่อเห็นรอยกรีดนับสิบปรากฏอยู่ตรงหน้า มาลีวัลย์ตกใจจนหน้าถอดสี เธอไม่คิดว่าพี่ชายจะสังเกตเห็นเพราะวันนี้ใส่เดรสแขนยาวปกปิดเอาไว้ แต่ที่เธอสะเพร่าเพราะเดรสที่ใส่เป็นลายขาวดำ รอยเลือดจากบาดแผลที่ยังปิดไม่สนิทจึงได้ซึมออกมาให้เห็นบนเนื้อผ้าส่วนที่เป็นสีขาว!

“ทำแบบนี้อีกแล้ว! ” พงพีตะคอกใส่น้องสาว “อยากตายมากนักหรือไงมะลิ!!? ”

มาลีวัลย์ไม่ตอบอะไรนอกจากร้องไห้ออกมา เธอยังคงถูกพี่ชายเขย่าตัวจนสั่นคลอนไปทั้งร่าง พงพีจับต้นแขนทั้งสองของน้องสาวพร้อมกับบีบไว้แน่นด้วยความโมโห

ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองโกรธจนดวงตาร้อนผ่าวไปหมด และใช่ ในที่สุดเขาก็กำลังร้องไห้ออกมา

“ทำร้ายตัวเองทำไม” เขาถามน้องเสียงสั่น ความกลัวสุดขีดคลั่งประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน

“มะลิห้ามตัวเองไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้” มาลีวัลย์ส่ายหน้าน้ำตานอง เธอพูดอย่างร้าวราน

“มันไม่รู้สึก มันไปเอง รู้ตัวอีกทีก็เต็มแขน”

พงพีรั้งน้องสาวเข้ามากอดแน่น เขาไม่อยากได้ยินคำพูดน่ากลัวแบบนี้จากปากของมาลีวัลย์อีก ที่เขาร้องไห้ออกมาไม่ใช่เพราะเสียใจเรื่องการตายของพฤกษ์ แต่เขาหวาดกลัวว่าน้องสาวที่เขารักยิ่งกว่าอะไรจะตายตามคนที่เธอรักไปด้วยอีกคน พงพีไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิตนี้ คนที่เขาผูกพันด้วยมีแค่น้องสาวเพียงอย่างเดียว เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด

“ฮือ พีร์ ..” มาลีวัลย์ร้องเรียกชื่อเขา

พงพีกระชับอ้อมแขนพลางใช้มือหนึ่งกดศีรษะน้องเข้ากับอกของตนเอง เสียงเขากระซิบเบาหวิว

“พี่อยู่นี่ พี่อยู่นี่มะลิ”

เขาพร่ำปลอบประโลมน้องสาวราวกับตุ๊กตากระเบื้องแสนสวยที่แตกสลายไปแล้ว

“เสียใจมากเลยหรือ”

มาลีวัลย์สูดน้ำมูก เสียงใสติดจะสั่นเครือพูดขึ้น

“เสียใจมาก”

สองพี่น้องกอดกันกลมเกลียวราวกับต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะแบ่งปันเอาความปวดร้าวออกมาหัวใจของอีกคน ทุกเหตุการณ์ตรงนั้นถูกมองผ่านสายตาเรียวรีของหญิงสาวในชุดสูทสีดำที่ยืนมองอยู่อีกด้าน

หลี่เหมาเหมารู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทจึงเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินเข้าไปในงาน เธอกวาดตามองไปทั่ว และสิ่งแรกที่เห็นคือร่างไร้วิญญาณของเจ้านายที่ถูกผ้าแพรห่มปิดทั่วทั้งร่าง จะมีก็เพียงแต่ท่อนแขนสีขาวซีดที่ยื่นออกเพื่อใช้รดน้ำศพก็เท่านั้น

วินาทีนั้นหัวใจของเธอก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด น้ำตาคือความจริง คือสิ่งตอกย้ำว่าเธอได้เสียเพื่อนคนสำคัญที่สุดในชีวิตไปตลอดกาล

 

1 0 0 %

(#คุณพฤกษ์รวยมาก)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา