คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) 00 21

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

00 21

 

สิงขรสั่งให้คนเปิดประตูห้องนอนของหลานชายหลังจากที่ขังอีกฝ่ายเอาไว้ในนั้นร่วมสองวันเต็ม ๆ ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ชายชราเห็นคือสภาพห้องที่พังเละและยับเยิน ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายแตกหัก เรียกได้ว่าเสียหายจนเหลือเพียงแค่เศษซาก เขากวาดสายตามองไปโดยรอบจนในที่สุดก็มองเห็นหลานชาย อินทรชิตนั่งพิงพนังห้องด้วยท่าทีอ่อนโรยรา สายตาเลื่อนลอยและมีบาดแผลบนหลังมือจากการระบายอารมณ์กับสิ่งของในห้อง สิงขรใจร่วงลงไปอยู่บนพื้น เขาถอยหลังกลับออกไป กระซิบบอกบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งว่า

“ไปตามหมอมา”

ก่อนจะกลั้นใจกลับเข้าไปในห้องใหม่อีกครั้ง สิงขรแทบทนดูสภาพหลานชายไม่ได้ จากชายหนุ่มวัยสามสิบที่ใคร ๆ ต่างยำเกรงและเคารพนับถือ เป็นคนที่เขาหมายมั่นว่าจะให้ขึ้นมาสืบทอดวงศ์ตระกูลในอนาคต แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือมาดของรองประธานที่น่าเกรงขามอีกแล้ว สิงขรค่อย ๆ นั่งลงบนพื้นข้าง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ใจเย็นลงหรือยัง”

อินทรชิตแทบไม่ได้ยินหรือมีปฏิกิริยาใด ๆ กับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเอาแต่นั่งเหม่อลอยทอดสายตามองพนังที่อยู่อีกด้าน

“สิรี” สิงขรเกริ่น ในที่สุดหลานชายของเขาก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง อินทรชิตค่อย ๆ หันหน้ามามอง เสียงแหบแห้งพูดขึ้น

“คุณพฤกษ์..” ชายชราชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดแรกของหลานชาย สิงขรคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังรู้สึกผิดที่เป็นคนยิงพฤกษ์กับมือตนเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเรื่องการตายของสิรี ถ้าเป็นเรื่องของสิรีแล้วละก็อาจจะเยียวยารักษาใจของอินทรชิตแทนความรู้สึกผิดก็เป็นได้ ชายชราคิดได้ดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า

“สิรีตายแล้ว”

“คุณพฤกษ์อยู่ที่ไหนหรือครับ”

“อินทร์” สิงขรจับไหล่หลานชาย “ฟังปู่นะ เรื่องมันจบแล้ว สิรีได้ชดใช้กรรมที่ก่อแล้ว”

“..คุณพฤกษ์ยังอยู่ใช่ไหมครับปู่”

อินทรชิตราวกับวิญญาณไม่อยู่กับร่าง สติของเขายังไม่สมประดี เอาแต่พูดพร่ำถามหาคนที่ตายไปและเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“อินทรชิต อินทร์.. อินทร์ลูก” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบศีรษะสลับกับใบหน้าของหลานชาย สิงขรคิดว่าตนควรพูดความจริงเพื่อเรียกสติของหลานชายให้กลับคืนมาก่อนจะแตกสลายไปมากกว่านี้

“เขาตายไปแล้วนะอินทร์” ชายชรากดศีรษะอินทรชิตลงมาซบบ่าพลางลูบแผ่นหลังปลอบประโลม “ปล่อยวางเสีย ปล่อยเขาไปเถอะอินทร์ อยู่กับปู่ ..อยู่ด้วยกัน”

อินทรชิตตัวสั่นคลอนไปตามแรงสะอื้น เขาซบหน้าร้องไห้ราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ น้ำตาที่หลั่งออกมาไม่ต่างจากน้ำกรดที่กรีดรดหัวใจของชายหนุ่มตอนนี้

เขาเจ็บปวดและแตกสลาย ร้าวราน ทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็น

เขายังไม่พร้อมสำหรับการสูญเสียคนสำคัญ

 

เป็นอย่างที่พนาคาดการณ์เอาไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้เงินหรือเส้นสายมากขนาดไหนถึงจบคดีได้รวดเร็วภายในไม่กี่วันนับจากวันที่พฤกษ์ตาย แน่ล่ะ คนอย่างสิงขรไม่ยอมให้หลานชายคนไหนได้นอนคุก ไม่ว่าจะเป็นอินทรชิตหรืออัคราก็ตาม

แล้วเขาล่ะ ยอมได้หรือที่เรื่องจบลงเช่นนี้ พนาถอนหายใจ คำตอบคือเขาปลดปลงแล้ว.. ในเมื่อหนึ่งชีวิตตายและหนึ่งชีวิตได้ถูกชดใช้ พนาคิดว่ามันก็มากพอแล้วที่จะจบเรื่องนี้เสียที เขาไม่อยากมีสิ่งใดติดค้างและชีวิตคนเรายังต้องก้าวต่อไปข้างหน้าจนกว่าจะหมดสิ้นแรงก็เท่านั้นเอง

เรื่องทั้งหมดจะถูกฝังไว้เป็นอดีต เมื่อกายเนื้อโรยราลูกชายของเขาจะมีตัวตนอยู่แค่ในความทรงจำชั่วนิจนิรันดร์

วันนี้เป็นพิธีฌาปนกิจของพฤกษ์แล้ว พนายืนดูควันไฟสีดำที่ลอยละล่องออกมาจากปล่องของเมรุในขณะที่พงพี มาลีวัลย์ คนงานในบ้านและบอร์ดี้การ์ดคนอื่น ๆ กำลังยืนส่งแขกอยู่อีกด้านหนึ่งของวัด สายตาของชายวัยกลางคนเหม่อลอยไปบนฟ้า เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าควันเหล่านั้นจะพาวิญญาณของพฤกษ์ไปยังที่ใด ไม่อาจรู้เลยว่าอีกฝากหนึ่งของชีวิตที่รออยู่คือนรกหรือสวรรค์ เขาได้แต่ภาวนาให้ลูกชายไปอยู่ในที่ที่สบายไม่ต้องลำบากหรือทุกข์เข็ญอีกและถ้าเป็นไปได้ เขาอธิษฐานจิตอย่างแรงกล้า ไม่ว่าชาติหน้าหรือชาติใดขอให้พฤกษ์ได้เกิดมาเป็นลูกของเขาอีกครั้ง

“จะซ่อนอยู่ตรงไหนไปจนถึงเมื่อไหร่ อย่าคิดนะว่าลุงไม่รู้”

พนาพูดขึ้นเสียงเรียบ ทำเอาบุคคลที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไทรสะดุ้งเฮือก เพียงไม่นาน ร่างสูงกำยำในชุดสูทสีดำล้วนของใครบางคนก็เผยตัวตนออกมาให้เห็น

“รดน้ำศพ สวดอภิธรรม หรือแม้กระทั่งวันเผาก็เอาแต่ยืนดูอยู่จากตรงนั้น แบบนี้มันจะไม่ใจดำเกินไปหน่อยหรืออินทร์

อินทรชิตไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มเอาแต่ยืนก้มหน้าราวกับเด็กน้อยที่รู้สึกผิด พนาเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนใจ พูดต่อไปว่า

“อย่างน้อยก็น่าจะมาเคารพศพ วางดอกไม้จันทน์สักดอกหรือขอขมาเขา”

“ผมไม่คู่ควรครับ” เขาเงยหน้ามองควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟ “ ..คุณพฤกษ์คงไม่อยากเห็นฆาตกรในงานศพตัวเอง”

“ไม่ใช่ความผิดของอินทร์หรอกนะ” พนาตบไหล่หลานชาย “มันเป็นการตัดสินใจของพฤกษ์เขา”

“ผมตั้งใจจะยิงอัครา กะแค่เอาให้บาดเจ็บจนขยับไม่ได้ เล็งตำแหน่งไว้แล้วด้วยแต่ไม่นึกว่าคุณพฤกษ์จะเอาตัวเข้ามาขวาง มันเลยกลายเป็นว่าผม..”

อินทรชิตเงียบไปก่อนความรู้สึกเจ็บแปลบจะแว่บแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย

เขาพูดเสียงเบาหวิว “ฆ่าเขา”

พนาถอนหายใจอีกครั้ง แม้ว่าในวัยเด็ก พฤกษ์จะร้ายกาจมากแค่ไหนแต่เขาก็รู้ดีว่าอินทรชิตนั้นเคารพนับถือและศรัทธาในตัวพฤกษ์มากกว่าใคร จึงไม่แปลกใจหากว่าชายหนุ่มจะรู้สึกผิดและละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไป ดังนั้นพนาจึงกลัวเหลือเกินว่าอินทรชิตจะอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิตของตนเอง

“ให้มันผ่านไปเถอะนะ ลุงไม่ถือโทษใครแล้ว”

เขาตบไหล่ย้ำและยิ้มออกมาอย่างจริงใจ อินทรชิตสบตากับเขา ภายในแววตานั้นมีแต่ความอาลัยอาวรณ์ต่อคนตายที่จากไป พนาคิดว่าควรจะให้อีกฝ่ายได้ทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันอาจต้องใช้เวลานานหลายปี ..หรือบางทีก็อาจทั้งชีวิต

“แล้วอีกคนล่ะ” พนาหมายถึงอัครา ทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะร้อนรีบมาหาตั้งแต่ออกจากคุกวันแรก แต่ผิดคาดที่จนป่านนี้ก็ยังไร้วี่แววของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก อินทรชิตส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง พูดว่า

“ทางนั้นเองก็มีงานศพเหมือนกันครับ ถึงเขาจะอยากมาแค่ไหนแต่ก็มาไม่ได้”

สิรีอย่างนั้นสิ จริงด้วย แม่อัครานี่นา พนาเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“มันจะไม่เป็นไรหรือที่อินทร์มาที่นี่”

“คุณสิรีไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับชีวิตผม”

“แล้วอินทร์จะทำอย่างไรต่อ”

ชายหนุ่มละสายตาที่มองปล่องไฟเมรุมามองคู่สนทนา เสียงทุ้มเข้มพูดด้วยแววตาและสีหน้าว่างเปล่าว่า

“ผมจะบวชตลอดชีวิต”

พนาตกใจ “ไม่ต้องถึงขั้นตลอดชีวิตหรอก คุณสิงขรคงไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น อีกอย่างอินทร์ต้องใช้ชีวิตของตัวเองนะ”

อินทรชิตยิ้มเศร้า ดวงตาของเขารื้นน้ำและมันก็ไหลลงมาอาบแก้ม

“ผมไม่รู้จะใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ไม่มีอีกแล้ว”

“....? ” พนามีลางสังหรณ์บางอย่างที่คล้ายกับว่าตนเองกำลังจะได้ยินเรื่องในเรื่องที่ไม่ควรได้ยินจากปากของหลานชาย เขานิ่งงันไปพักใหญ่ก่อนจะเรียบเรียงความคิดในหัว พูดว่า

“ลุงรู้ว่าอินทร์เคารพพฤกษ์มาก แต่เราก็ไม่ควรยึดติดกับคนที่ตายไปแล้วนะ ..มันจะทำลายชีวิตอินทร์”

อินทรชิตส่ายศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาทว่าอิดโรยค่อย ๆ แหงนมองควันสีดำบนท้องฟ้าอีกครั้ง

“ผมรักคุณพฤกษ์ครับคุณลุง”

“ห๊ะ!? ”

พนาที่ได้ยินดังนั้นก็พลันหูอื้อสมองชาไปชั่วขณะ ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนความดันขึ้นอย่างกะทันหัน เขาหน้ามืดทันทีก่อนจะคว้าโต๊ะหินอ่อนที่อยู่ใกล้มาจับเพื่อทรงตัวไม่ตนเองล้มลงไป พนาค่อย ๆ พาตนเองนั่งลงบนเก้าอี้ เขาหายใจเข้าออกลึก ๆ จนสุดปอด อาการของเขาเหมือนจะดีขึ้นแต่ก็ทรุดลงไปอีกเมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากอินทรชิต

“ผมไม่ได้แค่เคารพเขาแต่ผมรักเขา ไม่ได้รักแบบพี่น้องหรือแบบที่คุณลุงรัก แต่ผมรักเขาเหมือนที่คน ๆ หนึ่งจะรัก รักเหมือนที่อัครารัก รักมาก รักมานานแล้ว แต่ผมรู้ดีว่าเขาเกลียดผม ผมเลยได้แต่เฝ้าดูและเทิดทูนเขาจากที่ที่เขามองไม่เห็น เก็บความรู้สึกนี้มาตลอดไม่เคยบอกเขาหรือบอกใคร มันสายไปแล้วผมรู้ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดออกมาแล้วด้วย”

อินทรชิตยิ้มเศร้า เขายกมือลูบน้ำตาที่อาบใบหน้าออกอย่างลวก ๆ “ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ คุณลุงคงจะผิดหวังที่ได้ยินใช่ไหมครับ”

ความจริงที่หนักอึ้งทำให้พนาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอีกฝ่ายไปว่าอย่างไรดี เขาไม่รู้จริง ๆ ไม่รู้เลย...

 

อินทรชิตใช้เวลาที่เหลือของวันหมดไปกับการตะเวนเข้าออกสถานเริงรมย์ที่รู้จัก และร้านที่เขาเดินตุปัดตุเป๋ออกมานี้ก็เป็นร้านที่สี่แล้ว ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขามองข้ามมิสคอลจากปู่ของตนเองไปก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว อินทรชิตเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เขาเกี่ยวสูทขึ้นพาดที่ไหล่และเดินเซ ๆ ไปจนถึงออดี้สีดำที่จอดอยู่ตรงหน้า

‘เหอะ’ เขาสบถเมื่อเห็นรถยนต์อีกคันที่จอดหลบมุมอยู่ไม่ไกล แม้ตอนนี้จะเมาจนทรงตัวแทบไม่อยู่แต่อินทรชิตก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นบอร์ดี้การ์ดของเขาที่สิงขรส่งมาคอยจับตาดูอย่างแน่นอน ร่างสูงหันไปมองรถยนต์คันดังกล่าวอีก เขาชูนิ้วกลางให้พวกมันอย่างท้าทายก่อนจะขับรถยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว

อินทรชิตไล่กวดกับรถยนต์ของบอร์ดี้การ์ดบนถนนอยู่นานจนในที่สุดก็สามารถสลัดการติดตามของอีกฝ่ายได้ เขาชะลอความเร็วของรถลง ความมึนเมาของแอลกอฮอล์ที่ตะเวนซัดเข้าร่างกายตั้งแต่ตอนค่ำทำให้เขารู้สึกว่าตนเองควบคุมเท้าที่เหยียบคันเร่งกับมือที่วางอยู่บนพวงมาลัยไม่ได้ดั่งที่ใจคิด อินทรชิตไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้รถของเขาขับส่ายไปส่ายมาไม่หยุดจนรถยนต์ที่อยู่ด้านหลังบีบแตรและชะโงกหน้าออกมาพ่นคำหยาบคายสารพัดใส่เขาตลอดทาง อินทรชิตกระพริบตาถี่ ดวงตาของเขาพร่ามัวและเริ่มมองทางข้างหน้าไม่ชัดเจน

..มองไม่เห็นแม้กระทั่งรถสิบล้อที่อยู่เบื้องหน้า

ไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำยามที่ไฟหน้ารถสาดส่องมายังร่างกาย สมองเขามึนงงและกว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่ส่วนหน้าของรถยนต์กระแทกเข้ากับรถสิบล้อเข้าอย่างจัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีใครตั้งตัวติด เสียงของแรงปะทะดังขึ้นกึกก้องไปทั่วท้องถนน ออดี้สีดำพลิกคว่ำอย่างทันทีและอินทรชิตห้อยตัวต่องแต่งอยู่ครึ่งตัว สิ่งที่ยึดร่างของเขาเอาไว้กับเบาะโดยสารคือเข็มขัดนิรภัย แต่นั่นกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยเพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนักไปทั่วทั่งร่างจากการพุ่งชนเมื่อครู่

อินทรชิตรู้สึกอึดอัดซ้ำในคอยังมีรสคาวสนิม เขาหายใจไม่ออกได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ เพื่อโกยอากาศอันน้อยนิดเข้าปอด มีเลือดมากมายไหลออกมาจากจมูก ความเจ็บปวดรุนแรงไหลพล่านไปทั่วร่าง ชายหนุ่มคิดว่าคงจะมีกระดูกส่วนไหนสักชิ้นหลุดออกจากที่เดิมของมันและอวัยวะภายในคงจะไหลลงไปรวมเป็นก้อนเนื้อเละ ๆ อยู่ในท้องอย่างแน่นอน

อ่า.. เขากำลังจะตายแล้วสินะ

นี่แหละคือสิ่งที่เขาควรได้รับ

ความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“คุณพฤกษ์..” เขาเอ่ยชื่อนั้นออกมาพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

 

อินทรชิตลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกอึดอัดราวกับร่างกายถูกบีบอัดให้หดเล็กลง ภาพเบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิดและสัมผัสที่หลังคือความอ่อนยวบของเตียงนอนที่แสนคุ้นเคย เขากระเด้งตัวขึ้นนั่งด้วยความตกใจพร้อมกับเม็ดเหงื่อมากมายที่ผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้า

‘ความทรงจำล่าสุดคือเขาตายไปแล้ว’ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ไม่ผิดแน่ เขายังจำรถสิบล้อนั่นได้ติดตา เมื่อครู่เขายังรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างแต่ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากรู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นเบาหวิวแปลกพิกล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น! อินทรชิตเฝ้าถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาในความมืดมิดนั้น หรือนี่อาจจะเป็นโลกหลังความตาย?

เขาเหมือนคนบื้อใบ้ที่คิดอะไรไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี หลังจากนั่งเหม่ออยู่นานก็ปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดตรงหน้าได้ อินทรชิตพบว่าตนเองอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่มีขนาดกว้างพอสำควร เขาต้องการหาคำตอบกับสิ่งที่ตนกำลังเจออยู่ตอนนี้จึงไม่รั้งรอที่จะลงไปจากเตียง หลังจากลูบคลำไปตามผนังอยู่นานเพื่อค้นหาสวิตช์ไฟในที่สุดเขาก็เจอ อินทรชิตกดเปิดการทำงานของมันอย่างไม่ลังเล ไฟทั่วทั้งห้องสว่างไสวขึ้นจนทำให้เขาต้องหยีตาลง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้อินทรชิตแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

ที่นี่คือห้องนอนของเขาในสมัยที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลวัฒนารายณ์

“นี่ ..มันอะไร เอ๊ะ ..” อินทรชิตยกมือขึ้นจับลำคอ เสียงของเขาที่เคยทุ้มเข้มบัดนี้กลับแหบแห้งราวกับเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มมาได้ไม่นาน แต่สิ่งที่น่าพรั่นพรึงกว่ากันคือลำคอของเขาเล็กลง! อินทรชิตเหลือบไปเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่วางอยู่ไม่ไกล เขามองไปที่มันพลางกลืนน้ำลายลงคอดังอึก สองเท้าเปล่าเปลือยค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้จนกระทั่งในกระจกปรากฏภาพสะท้อนของใครบางคนที่เขาแสนคุ้นเคย

..นั่นคือตัวเขา

ทว่าไม่ใช่ตัวเขาอย่างทุกวันนี้แต่กลับเป็นตัวเขาเมื่อสมัยเด็ก!

“เรื่องบ้าอะไรกัน! ” อินทรชิตอุทานก่อนจะยกมือขึ้นหยิกแก้มนุ่มของตนเองอย่างแรง “โอ๊ย! ” เขาร้องและแน่นอนว่ามันเจ็บทีเดียว อินทรชิตกลับไปสนใจรูปลักษณ์ของตนเองผ่านกระจกเบื้องหน้าอีกครั้ง มิน่าล่ะ ที่รู้สึกอึดอัดก็เพราะว่าร่างกายของเขามันหดเล็กลงไปนี่เอง เขาคิดก่อนจะไล่สายตามอง ตัวโปร่งสูง ผิวขาวสะอาด ผมสีดำตัดสั้นชี้ไปมา ..และชุดนอนลายน้องหมาสีหวานแหวน

หากคาดคะเนดูจากความทรงจำแล้วนี่คงเป็นตัวเขาที่อยู่ในวัยมัธยมต้นไม่ผิดแน่

“เดี๋ยวสิ” อินทรชิตคล้ายกับนึกบางอย่างที่สำคัญที่สุดออก ฉับพลันดวงตาของเขาก็ประกายความหวังขึ้นมา “ ..ถ้าตอนนี้เรากลับมาเป็นเด็ก ถ้าอย่างนั้น..”

เขาหันขวับไปที่ประตูห้องก่อนที่จะวิ่งลงบันไดด้วยหัวใจที่เต้นเร่าจนแทบจะระเบิดความสุขล้นออกมา

 

อินทรชิตไม่รู้ว่าตนเองโง่เง่าหรือตื่นเต้นมากจนเกินไปที่วิ่งลงมายังชั้นล่างของคฤหาสน์แทนที่จะเป็นชั้นสามซึ่งเป็นห้องนอนของคุณพฤกษ์ เขาเดินไปเดินมาราวกับหนูติดจั่นทั่วอยู่นานก่อนจะตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งพื้นและพิงขาโซฟาที่อยู่ใกล้อย่างอับจน อารมณ์และความคิดของเขาพลุ่งพล่านสับสนจนไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้เลย ในอกประเดี๋ยวก็รู้สึกเบาโหวง ประเดี๋ยวก็รู้สึกแน่นจนหายใจลำบาก ยิ่งมองดูตนเองในสภาพที่เป็นอยู่ก็ยิ่งเหลือเชื่อ อินทรชิตไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเจอตอนนี้มันคืออะไร ความฝันหรือ? หรือว่าที่นี่คือโลกหลังความตายจริง ๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นที่นี่ ..คุณพฤกษ์ก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?

ก่อนที่จะได้คิดอะไรไปไกลมากกว่านี้ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนที่ลงมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน อินทรชิตในร่างของเด็กหนุ่มค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นและชะโงกหน้าโผล่ออกมาจากโซฟาหลุยส์สีแดงเข้ม ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ อินทรชิตตาเบิกโพลง ดวงตาของเขาแดงเรื่อกับสิ่งที่เห็น บนบันไดขั้นสุดท้ายนั้นปรากฏร่างหนึ่งที่กำลังยืนโงนเงน เขาจดจำใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยม เป็นคนที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดไม่ผิดแน่ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนหลังตรงแน่ว สองเท้าบางเล็กรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหมายจะใช้ร่างกายทั้งหมดของตนเองโอบอุ้มอีกฝ่ายเอาไว้

“คุณพฤกษ์!!? ” เขาเรียกอีกฝ่ายอย่างร้อนรนปนตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณพฤกษ์คล้ายกับกำลังมึนงงกับอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ แหงนหน้าขึ้นมามองเขา

วินาทีนั้นอินทรชิตแทบไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง คุณพฤกษ์อยู่ในอ้อมแขนเขา! คุณพฤกษ์ยังมีชีวิตอยู่!

“ไอ้เขี้ยว!! ” ก่อนที่เขาจะฝันหวานไปมากกว่านี้ จู่ ๆ คุณพฤกษ์ก็ผลักเขาจนล้มลงไปกับพื้นหินอ่อนอย่างแรงและตามด้วยกำปั้นหนัก ๆ ตะบันซัดเข้าไปที่ใบหน้าอย่างเกรี้ยวกราด

“มึงฆ่ากูไอ้เขี้ยว!! มึงฆ่ากู!!! ” สาบานได้เลยว่าเขาเพิ่งเคยได้ยินคุณพฤกษ์พูดจาหยาบคายขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ทว่าความตกใจอย่างกะทันหันทำให้เขาไม่ได้สนใจว่าคุณพฤกษ์กำลังพูดถึงอะไรอยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วโพรงปาก เขาไม่รู้เลยว่าตนเองในตอนนี้ไปทำอะไรให้คุณเขาโกรธแค้นจนมีสีหน้าน่ากลัวได้ขนาดนี้

คุณพฤกษ์เกลียดเขา.. เป็นความเกลียดชังที่ช่างไร้เหตุผลและมันไม่เคยมีวันลดน้อยลงไปเลย

“อึ่ก..”

ร่างโปร่งกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาและเหวี่ยงลงไปกับพื้นโดยแรง ซ้ำยังใช้เท้าเตะที่หน้าท้องและสีข้างจนเขาจุกเสียดไปทั้งร่าง อินทรชิตสะอื้นตัวโยน ความรู้สึกผิดและละอายใจที่เคยได้พลาดพลั้งฆ่าคนตรงหน้าให้ตายตกไปทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมาอีกหน เด็กหนุ่มไม่แม้แต่ร้องโอดครวญหรือร้องขอความปรานี เขาคิดว่านี่คือสิ่งที่เขาสมควรได้รับจากคุณพฤกษ์ เขายินดีและยอมจำนนหากจะต้องตายด้วยน้ำมืออีกฝ่าย

เอาเลย จะกระทืบหรือทุบตีแค่ไหนก็ได้ เอาให้สาสมกับที่ไอ้เขี้ยวมันบังอาจทำลายชีวิตคุณ

เด็กหนุ่มค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ใบหน้าที่เคยสดใสบัดนี้แปดเปื้อนไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ ซ้ำดวงตาพิสุทธิ์ยังเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มือสองข้างถูกพนมขึ้นมาทั้งที่ตัวเองก็ยังสั่นกลัวไปทั้งร่าง ริมฝีปากบวมเจ่อเอ่ยบางคำออกมาอย่างยากลำบากแต่กระนั้นก็ยังกระเสือกกระสนจะพูดให้คุณเขาฟังด้วยท่าทางเวทนา

“คุณพฤกษ์.. ขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

อินทรชิตวิงวอนแต่คุณพฤกษ์ในตอนนี้สติหลุดไปไกลเสียแล้ว อีกฝ่ายคล้ายคนที่ควบคุมอารมณ์โกรธแค้นเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามขอโทษอีกสักเพียงไรคุณเขาก็ไม่ได้ยิน

..มันแน่อยู่แล้ว

เสียงของเขาไม่เคยส่งไปถึงอีกฝ่ายเลยสักครั้ง

“ผมขอโทษ..”

อินทรชิตเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโรยรา เขาหมดสิ้นแล้วซึ่งความหวังได้แต่นอนทอดร่างให้คุณเขาได้กระทำรุนแรงจนสมใจ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีกำปั้นหรือฝ่าเท้าข้างไหนสัมผัสลงมา เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง เขาเห็นคุณพฤกษ์มีสีหน้าที่ตื่นตระหนก ร่างโปร่งถอยกรูดไปด้านหลัง น้ำเสียงสั่น ๆ พูดขึ้นว่า

“นี่ นี่มันอะไรกัน ทำไมแก..”

เขาไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพฤกษ์ พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่คนอื่น ๆ ในบ้านกรูกันเข้ามา ป้าเมียมและพี่ต่ายถลาเข้ามาช่วยพยุงเขาออกห่างจากคุณพฤกษ์ ขณะนั้นเองเสียงดุดันของใครบางคนก็ดังขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! ”

อินทรชิตหันไปยังต้นเสียง เจ้าสัวพนาหรือคนที่เขาเรียกว่าคุณลุงกำลังเดินลงมาด้วยท่าทางโกรธจัด ข้างหลังนั้นยังมีพงพีและมาลีวัลย์ในวัยเด็กเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง

“พี่อินทร์!! ” เด็กทั้งสองพอเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพไหนก็รีบวิ่งเข้ามาหาโดยเร็วซ้ำยังกอดแขนเขาแน่นหนึบกันคนละข้างราวกับกำลังปกป้องไม่ให้คุณพฤกษ์ได้กล้ำกรายเข้าใกล้

เด็กหนุ่มหันขวับไปมองอีกฝ่าย คุณพฤกษ์คล้ายกับสติไม่อยู่กับตัว ร่างโปร่งเอาแต่หันมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้ามึนงงและสับสน

“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง! ”

เพี๊ยะ!

กระทั่งฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมาที่ข้างแก้มเนียน ทุกสรรพสิ่งพลันหยุดนิ่งและเงียบงันไปในบัดดล ไม่มีใครกล้าพูดหรือหายใจออกมา ไม่สักคนแม้กระทั่งพนาที่เป็นคนลงมือ คุณพฤกษ์ค่อย ๆ หันหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้านุ่มนวลมีรอยแดงรูปฝ่ามือเด่นชัด ดวงตาคู่สวยกระพริบถี่ยิบราวกับกำลังบอกตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือความจริง

ทุกคนกำลังนับหนึ่งถึงสามในใจเพื่อรอให้คุณพฤกษ์วีนแตกและอาละวาดเหมือนอย่างทุกทีที่มีคนมาขัดใจ พนากลืนน้ำลายลงคอดังอึก สีหน้าของผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยตบตีลูกชายคนโตมาก่อนพลันซีดเผือดลงราวกับกระดาษ น้อง ๆ กอดแขนเขาไว้แน่น ในขณะเดียวกันก็ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

ระเบิดกำลังจะลงในอีก..

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร..” คุณพฤกษ์พูดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีเลื่อนลอยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว 

โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาของเด็กหนุ่มได้เฝ้ามองไปยังแผ่นหลังเหยียดตรงของตนเองอย่างเว้าวอน ...และโหยหา

หลังจากนั้น เขาก็ไม่เห็นคุณพฤกษ์ออกมาจากห้องของตนเองอีกเลยตลอดหนึ่งวัน วันนี้เป็นวันที่สอง คุณลุงอนุญาตให้เขาหยุดเรียนได้เท่าที่ต้องการหรือจนกว่าบาดแผลบนใบหน้าและลำตัวจะหายดี เขาลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า รับประทานอาหารร่วมกันกับน้อง ๆ ทั้งสองอย่างสนิทสนมก่อนจะยืนส่งอีกฝ่ายขึ้นรถไปโรงเรียน จากนั้นเขาจึงออกมานั่งเล่นพลางคิดอะไรไปเรื่อย

อย่างแรก นี่ไม่ใช่ความฝัน

อย่างที่สอง นี่ไม่ใช่โลกหลังความตาย

แต่อาจจะเป็นอย่างที่สาม ซึ่งออกจะดูหลุดโลกและน่าเหลือเชื่อไปเสียหน่อย เขาคิดว่าตนเองได้ย้อนกลับมายังในอดีต

เมื่อวานทั้งวัน นอกจากเขาจะเฝ้ารอเผื่อจะได้เจอคุณพฤกษ์เขายังได้ค้นหาข้อมูลทั้งหมดของตนเองในกาลนี้อีกด้วย สุดท้ายก็ได้รู้ว่าตัวเขาในตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบห้าที่ยังอยู่มัธยมต้น นั่นหมายความว่าเขาย้อนกลับมายังอดีตที่ห่างกันสิบห้าปี!

แต่แล้วอย่างไรล่ะ หากเป็นคนอื่นคงตื่นตกใจจนแทบสติแตกไปแล้ว แต่มันคงไม่ใช่กับเขา อินทรชิตกลับรู้สึกดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ เขายิ้มกริ่มแทบจะตลอดเวลา ราวกับสวรรค์ให้โอกาสกันอีกครั้ง โอกาสครั้งนี้เขาจะกำมันเอาไว้ให้แน่นที่สุดและไม่มีวันปล่อยให้เรื่องเลวร้ายแบบนั้นเกิดขึ้นกับคนที่เขารักจนสุดหัวใจอีกเป็นครั้งที่สอง!

 

อินทรชิตเดินป้วนเปี้ยนอยู่ทางขึ้นบันไดชั้นสาม ตอนนี้เป็นเวลาสายแล้วแต่กระนั้นคุณพฤกษ์ที่เขาเฝ้าคอยก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมาจากห้องให้เขาได้เห็นหน้าเสียที เด็กหนุ่มเดินคอตกลงมาจากบันได เขาเดินออกมาด้านหน้าของตัวคฤหาสน์ เห็นลุงแสงกำลังล้างรถยนต์อย่างขะมักเขม้นพลางส่งยิ้มมาให้ อินทรชิตยิ้มตอบกลับไปก่อนจะขอตัวไปเดินเล่นในสวนหย่อมทางด้านปีกซ้าย

ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเดินได้ทั่ว จู่ ๆรถยนต์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอด ลุงแสงที่อยู่ใกล้ทิ้งงานในมือก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเจ้าของรถและชี้มือไปยังอีกด้านหนึ่ง อินทรชิตหันมอง ทางทิศนั้นที่ลุงแสงชี้ไปคือสวนหย่อมปีกขวา

อา สวนที่คุณพฤกษ์หวงนักหวงหนา..

อินทรชิตรอจนลุงแสงไม่ทันสังเกต เขาแอบสะกดรอยตามชายร่างสูงคนนั้นเข้าไปในสวนหย่อมทันที ขณะที่แฝงตัวแนบชิดไปกับพุ่มไม้เพื่อไม่ให้เจ้าตัวสังเกต อินทรชิตก็ลอบสังเกตอีกฝ่ายเสียเอง ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง สรีระร่างกายที่ดูเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าผ่านการออกกำลังกายมาอย่างดี ผิวกายขาวผ่องสะอาดสะอาด แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาและสวมใส่นาฬิกาเรือนแพง เสียดายเหลือเกินที่เขามองเห็นแค่แผ่นหลังกว้าง ๆ นั่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้นจึงไม่ทราบว่าคนตรงหน้าเป็นใครและมีความเกี่ยวข้องอะไรถึงเข้ามาในสวนหย่อมแห่งนี้ได้ 

ทว่าความสงสัยก็ถูกเฉลยในเวลาต่อมาพร้อม ๆ กับอินทรชิตที่ได้เห็นคุณพฤกษ์อีกครั้งหลังจากที่เฝ้ารอมาเกือบสองวัน แต่เรื่องนั้นกลับไม่สำคัญอีกเลยเมื่อเขาได้เห็นคุณพฤกษ์โอบกอดกับชายคนนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหา

ซ้ำยังเรียกอีกฝ่ายว่า “คุณฉัตร”

เด็กหนุ่มยืนมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะว่างเปล่าไร้อารมณ์แต่ทว่าดวงตากลับวูบไหวคล้ายจะเห็น ‘ความไม่พึงพอใจ’ ปรากฏอยู่

ช่อดอกแก้วช่อหนึ่งที่เบ่งบานอยู่ใกล้ ๆ ถูกฝ่ามือเรียวขยำเสียจนกลีบดอกสีขาวแตกระแหงและร่วงลงบนพื้นอย่างน่าสงสาร

อินทรชิตกัดริมฝีปากของตนจนช้ำเลือด

..นี่สินะ ความรู้สึกที่ถูกแย่งของรัก

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา