คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) 00 17
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 17
ฉัตรตะวันเดินตามพฤกษ์ตั้งแต่ที่ออกมาจากคาเฟ่ ดวงตาสีเข้มมองแผ่นหลังเหยียดตรงของคนตรงหน้าขณะที่กำลังขบคิดบางสิ่งอยู่ในหัว เขารู้สึกว่าการกระทำของตนเองในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี
ใช่ งี่เง่ามาก
เดิมทีความตั้งใจแรกเริ่มของเขาคืออยากถอยออกมาจากความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนั้นเพื่อให้ตนเองได้ใช้เวลาคิดทบทวนกับการยื่นคำขาดของพฤกษ์ แต่สิ่งที่เขาทำคือการตั้งใจที่จะนิ่งเงียบ ตั้งใจที่จะเมินเฉยต่ออีกฝ่ายเพราะภายในใจลึก ๆ ฉัตรตะวันเพียงแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากพฤกษ์
มันก็เป็นความเอาแต่ใจเล็ก ๆ เท่านั้น
แต่ใครจะคิด พอเขาเงียบ อีกฝ่ายก็ยิ่งเงียบ พอเขาไม่พูด อีกฝ่ายก็ทำราวกับเขาเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังงานที่ลอยอยู่ข้าง ๆ ไปโดยปริยาย ตั้งใจจะงอนเขา ให้เขามีปฏิกิริยากลับมาแม้สักนิดก็ยังดีแต่กลายเป็นว่าเขากลับยิ่งไม่สนใจ
‘งี่เง่าจริง ๆ ทำบ้าอะไรอยู่วะเรา’ เขาคิด
ฉัตรตะวันสะบัดหัวและมองแผ่นหลังคนตรงหน้า ดูเหมือนร่างโปร่งเองก็กำลังเดินใจลอยจนเลยรถยนต์ที่จอดไปหลายก้าว เขาทอดสายตามองพลางรู้สึกอยากจะรู้นัก ว่าตอนนี้ในหัวของพฤกษ์กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใด กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ มีสักเล็กน้อยบ้างไหมที่กระวนกระวายเพราะเรื่องของเขา
...มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ปี๊นนนน!!
ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นทันทีที่เสียงแตรดังลั่น ฉัตรตะวันขมวดคิ้วเครียด เขาเห็นวินมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับสวนมาด้วยความเร็ว
“คุณพฤกษ์!! ”
“!? ”
มอเตอร์ไซค์คันนั้นขับผ่านไปอย่างเฉียดฉิวในตอนที่เขาดึงร่างโปร่งกลับขึ้นมาบนฟุตพาท เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะก้มลงมองพฤกษ์ที่ยังอยู่ในอาการมึนงง อีกฝ่ายกระพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าคล้ายกับเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“โอเคนะ” เขาถามน้ำเสียงเป็นกังวลพลางจับสะเปะสะปะไปทั่วร่างโปร่งเพื่อหาร่องรอยบาดเจ็บ
ดวงตาเรียวสวยภายใต้กรอบแว่นกระพริบช้า ๆ ราวกับกำลังประมวลผลข้อมูลก่อนจะสังเกตว่าใบหน้าของฉัตรตะวันอยู่ใกล้กว่าปกติ ลมหายใจร้อนที่เป่ารดผิวแก้มทำให้พฤกษ์ได้สติเดี๋ยว ชายหนุ่มดันร่างกายใหญ่โตของเพื่อนสนิทออกห่างอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ” เขาพูดและเหลือบไปเห็นรถยนต์ข้างหลัง “สงสัยใจลอยไปหน่อย”
พฤกษ์อมยิ้มน้อย ๆ ขณะที่เดินกลับมายังรถยนต์ก็พลันสะดุดหลุมเล็ก ๆ บนฟุตพาทและเป็นอีกครั้งที่ฉัตรตะวันเอี่ยวตัวมารั้งแขนข้างหนึ่งเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะล้มหน้าคว่ำไปจริง ๆ
“คุณนี่นะ..”
พฤกษ์ได้ยินเสียงถอนหายใจจากร่างสูง รู้สึกตัวอีกที่ก็ถูกฉัตรตะวันลากมาหยุดยังรถของตนเอง
เขาขืนตัว พูดว่า “เดี๋ยวครับ รถผมอยู่โน้น”
“ไปด้วยกันดีกว่า ส่วนรถค่อยมาเอาตอนเลิกเรียนก็ได้ครับ”
พฤกษ์กำลังอ้าปากท้วง ทว่าพอเห็นความเป็นกังวลที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของอีกฝ่ายเขากลับพูดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับยัดเข้าไปในรถเสียแล้ว
“วันนี้คุณเหม่อบ่อยนะรู้ตัวไหม” ฉัตรตะวันโน้มตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ขณะที่เขามองออกไปนอกรถ
“อ่า” พฤกษ์ดันแว่นตาขึ้น “มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“ทีหลังก็อย่าคิดตอนกำลังเดินอยู่ริมถนนแบบนั้นสิครับ” ชายหนุ่มลูบใบหน้าตนเองแรง ๆ ด้วยความหงุดหงิด เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อระงับอารมณ์ร้อนที่ระอุอยู่ในอกไม่ให้พวกมันระเบิดออกมา
เมื่อกี้เขากลัวมากจริง ๆ ในตอนที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นขับสวนมา กลัวว่าหากดึงร่างนั้นเอาไว้ไม่ทันอาจจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นกับอีกฝ่ายก็ได้
เขากลัว..
“หืม? ” ฉัตรตะวันก้มลงมองมือของตนเองที่วางอยู่บนเกียร์รถยนต์ ตอนนี้มันกลับมีอีกฝ่ามือหนึ่งที่ซ้อนทับหลังมือเขา
พฤกษ์ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบา ๆ บนผิวมืออีกฝ่าย เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้น
“ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
อ่า.. ดูเหมือนครั้งนี้เขาก็พ่ายแพ้ให้กับพฤกษ์อีกจนได้
วันศุกร์แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นวันที่พฤกษ์ไม่มีเรียนและเป็นวันที่เขาจะสามารถนอนขี้เกียจได้ตลอดวันจนถึงช่วงบ่ายหากไม่มีเรื่องที่ต้องทำ
“คุณพฤกษ์ค้า..” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นตรงข้ามโต๊ะอาหาร มาลีวัลย์ในชุดนักเรียน ติดโบว์สีขาวบนหางเปียทั้งสองข้างฉีกยิ้มกว้างมาให้เขา
เด็กหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ พูดว่า “วันนี้ไม่ต้องไปเรียนไม่ใช่หรือคะ”
ก็นะ ..ถ้าหากไม่มีเรื่องที่ต้องทำเขาก็คงไม่ตื่นเช้ามานั่งโซ้ยข้าวต้มหมูกับปาท่องโก๋อยู่อย่างนี้หรอก
“ไม่ได้ไปเรียนหรอก ฉันจะออกไปข้างนอก”
“มาแล้วววว!!! ” พงพีที่เสียงมาก่อนตัวสไลด์เท้าเข้ามาในห้องรับประทานอาหารก่อนจะถูกอินทรชิตที่ตามมาทีหลังคว้าคอเสื้อไว้และดุเบา ๆ
“อย่าเล่นสิพีร์”
“เล่นที่ไหน! ” พงพีพ่นลมหายใจก่อนจะยกเท้าให้พี่ชายดู “พีร์กำลังลองถุงเท้าใหม่ต่างหาก”
“ทำแบบนี้ไงถุงเท้ากี่คู่ ๆ เลยอยู่ไม่ถึงอาทิตย์สักที”
อินทรชิตถอนหายใจก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งบ้าง เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเพราะเพิ่งจะสังเกตเห็นคุณพฤกษ์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายอยู่ในชุดนอน หน้าตาง่วงซึมและผมเผ้าไม่ค่อยเรียบร้อยนัก อินทรชิตหัวใจเต้นโครมครามเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เขาบังเอิญได้นั่งใกล้คุณพฤกษ์มากกว่าทุกวัน
ไม่ได้การแล้ว เด็กหนุ่มคิด ต้องทักทายหรือทำอะไรสักอย่างให้คุณพฤกษ์หันมาสนใจ
“คุณพฤกษ์ตื่นเช้าจังเลยครับ! ” เสียงของพงพีดังขึ้น อินทรชิตหันขวับ! เพราะมัวแต่ตื่นเต้น คำทักทายแรกจึงถูกน้องชายตัวแสบแย่งพูดไปต่อหน้าต่อตาเสียอย่างนั้น
“ฉันก็ตื่นเช้าทุกวัน” เสียงนุ่มตอบอย่างกระชับก่อนจะตั้งใจจัดการข้าวต้มหมูของตนเองต่อไปเงียบ ๆ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจเด็กหนุ่มด้านข้าง มิหนำซ้ำหลังจากคุณพฤกษ์รับประทานเสร็จเจ้าตัวก็เดินตัวปลิวขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
วันนี้ยังไม่ได้คุยกับคุณพฤกษ์เลย
อินทรชิตกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจขณะหันกลับมามองน้องชายตัวดีที่กำลังฉีกปาท่องโก๋กินจนแก้มตุ่ยอยู่ข้าง ๆ มาลีวัลย์
‘ฝากไว้ก่อนเถอะพีร์ พักเที่ยงจะเตะแกแทนลูกบอล! ’
พฤกษ์ออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า ร่างโปร่งหยุดอยู่ที่กระจกบานใหญ่ก่อนจะใช้สายตาสำรวจเรือนร่างของตนเองผ่านเงาสะท้อน
“อืม” พฤกษ์ครางในคออย่างพึงพอใจ “ดูดี”
ชายหนุ่มหยิบชั้นในในลิ้นชักออกมาสวมก่อนจะครุ่นคิดถึงเสื้อผ้าที่จะสวมใส่วันนี้ ดวงตาคู่สวยมองไปยังราวแขวนและใช้นิ้วชี้กรีดเนื้อผ้าไล่เปิดไปทีละตัว ๆ ท้ายที่สุดเสื้อผ้าของวันนี้ก็เป็นกางเกงยีนส์สีซีด เสื้อยืดคอกลมสีขาวและสวมทับด้วยเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน
ร่างโปร่งหยิบแว่นสายตาขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดพลางสำรวจตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากห้องนอน
โดยไม่ลืมเอกสารสองสามแผ่นที่เพิ่งพริ้นต์ออกมาอ่านเมื่อคืน..
สิบเอ็ดโมงสามสิบห้านาที พฤกษ์ปรากฏตัวอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยให้บริกรสาวที่เปิดประตูให้ก่อนจะมองหาใครบางคนที่เป็นธุระของเขาในวันนี้
พฤกษ์เห็นอีกฝ่ายแล้ว ผู้ชายตัวสูงสมส่วน ท่าทางอ่อนโยนและใจดี คนที่เขานัดเจอวันนี้ก็คืออานนท์ คุณครูสอนพิเศษของพงพี
อานนท์นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งใกล้กับกระจกของร้านก่อนที่เจ้าตัวจะปิดปกหนังสือลงเมื่อพฤกษ์หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้หวายตรงข้าม
“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายทัก พฤกษ์พยักหน้าและยิ้มอย่างสุภาพตอบกลับไป ทว่าอานนท์ที่อายุมากกว่ารู้สึกหน้าหงิกอย่างเสียไม่ได้ที่ถูกนายจ้างคนนี้ปฏิบัติด้วยท่าทีเย่อหยิ่งไม่ยอมก้มหัวให้ใครทั้งที่ตนเองยังเป็นแค่นักศึกษาอยู่เลยแท้ ๆ
‘เหอะ’ เขาร้องอยู่ในคอก่อนจะแสร้งยิ้มอ่อนโยน
“ครูนนท์มานานแล้วหรือครับ”
อานนท์ส่ายหน้า “ก่อนคุณมายี่สิบนาทีเอง”
“โอ้” พฤกษ์อุทาน มือข้างหนึ่งหยิบแผ่นพับเมนูบนโต๊ะขึ้นมาอ่านผ่าน ๆ
“สั่งอะไรทานก่อนหรือคุยธุระกันก่อนดี? ”
ชายหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้น “ผมสั่งกาแฟแล้ว เชิญคุณเถอะครับ”
พฤกษ์ยักไหล่ก่อนจะเรียกบริกรเพื่อสั่งชามะลิและสปันจ์เค้กหนึ่งชิ้น ในระหว่างที่รอบริกรมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มจึงเริ่มเปิดประเด็น
“เห็นครูนนท์สอนเจ้าพีร์มาหลายเดือนแล้วแต่เราไม่เคยคุยกันเลยนะครับ”
“นั่นสิครับ” อานนท์ยิ้ม พลันนึกไปถึงวันแรกที่ถูกจ้างในฐานะครูสอนพิเศษเขาก็จำได้ทันทีว่าตนเองเคยถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาแบบไหน พฤกษ์คือลูกชายคนโตของครอบครัวอีลีทที่ว่าจ้างเขา ภาพจำครั้งแรกของอานนท์ อีกฝ่ายดูภายนอกเป็นคนสุภาพและนิ่งเฉย ถึงจะไม่เคยพูดจาส่อเสียดหรือแสดงออกมาให้เห็นตรง ๆ แต่เขาก็มักจะถูกพฤกษ์มองด้วยสายตาหยามเหยียดอยู่เสมอ
นั่นทำให้เขาไม่สบอารมณ์เสียทุกครั้งที่ไปสอน
“แต่คุณคงไม่ได้นัดผมออกมาเพื่อทำความรู้จักกันนอกรอบหรอก ..ใช่ไหม? ”
พฤกษ์หรี่ตามองคนตรงหน้า ดวงตาเรียวรีทว่าคมกริบราวกับใบมีดโกนทำให้อานนท์เริ่มเกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาในใจ เขาไม่อยากปล่อยให้คู่สนทนาได้สงสัยนานนักจึงเฉลยด้วยเอกสารที่นำติดมือมาจำนวนสามแผ่น
“มันคืออะไร? ”
ร่างโปร่งยักคิ้ว พูดว่า “ลองอ่านเอาเองสิครับ ..คุณกีรติ”
‘กีรติ’
อานนท์หน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นออกมาจากปากคู่สนทนา ไม่รอช้า ชายหนุ่มแทบจะตะครุบกระดาษทั้งสามแผ่นขึ้นมาอ่านทันทีด้วยมืออันสั่นเทา ประจวบเหมาะที่บริกรนำขนมและชามาเสิร์ฟพอดี พฤกษ์ยิ้มหวานก่อนจะขอบคุณบริกรสาวหน้าตาน่ารักคนนั้น ชายหนุ่มมองใบหน้าของคู่สนทนาที่เริ่มบิดเบี้ยวลงทุกครั้งยามเมื่อไล่อ่านตัวอักษรสีดำที่อยู่ในเอกสารก่อนจะก้มลงมองถ้วยชาในมือ ความหอมนุ่มของมะลิอบแห้งและความหวานของรสชาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแต่กลับกันก็รู้สึกเหงาหงอยอย่างไรชอบกล
“ชื่อเก่าของคุณคือกีรติ คุณครูชำนาญการพิเศษของโรงเรียนรัฐชื่อดัง คุณสอนนักเรียนมอหนึ่ง แต่เมื่อสามปีก่อนถูกร้องเรียนจากผู้ปกครองคนหนึ่งเพราะมีพฤติกรรมเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กนักเรียนชาย แต่น้ำหนักและหลักฐานไม่เพียงพอต่อการดำเนินคดีเลยจบลงที่เรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด เด็กนักเรียนชายถูกกดดันให้ลาออก ต้องไปพบจิตแพทย์ เป็นโรคผวาออกจากบ้านไม่ได้ส่วนคุณก็ยังสอนหนังสือปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นโค้งลง พฤกษ์ยกมือเท้าคางพลางหันหน้าออกไปนอกกระจก ข้างนอกนั่น ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูเหมือนฝนกำลังจะตั้งเค้าในอีกไม่ช้า แย่ล่ะสิ.. เขาไม่ชอบขับรถตอนฝนตก
“ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นคุณก็ลาออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นครูผู้ช่วยในหน่วยราชการท้องถิ่น เป็นครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่นั่น หนึ่งปีหลังจากนั้นก็มีข่าวว่าคุณถูกร้องเรียนในข้อหาเดิม แต่ก็ลงเอยอีหรอบเดิมคือเด็ก เข้า ใจ ผิด”
ร่างโปร่งหัวเราะขึ้นลอย ๆ ขณะที่หันกลับมามองคู่สนทนา กีรติหรืออานนท์นั่งก้มหน้ากัดปากที่สั่นระริกด้วยความรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่มันอะไรกัน! เขาหรืออุตส่าห์เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแถมยังเปลี่ยนที่อยู่จนแทบจะย้ายทะเบียนบ้านเลยด้วยซ้ำ เขามั่นใจว่าไม่มีทางที่คนธรรมดาจะสืบสาวราวเรื่องได้ขนาดนี้หรอก
คนธรรมดาหรือ..!?
ชายหนุ่มดวงตาเบิกโพลงคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรออก เขาลืมไปได้อย่างไรว่าระดับตระกูลวัฒนารายณ์และอิทธิพลของเจ้าสัวพนาผู้เป็นพ่อของอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างไกลจากคำว่าคนธรรมดาไปมาก
‘จบเห่แล้ว บ้าฉิบ! ’ เขาสบถ
“มันน่าตลกดีที่คำพูดของเด็กเสียงไม่ดังเท่าผู้ใหญ่”
“คุณต้องการ อะ..อะไร” อานนท์ถาม แววตาของเขาตื่นกลัวจนไม่เหลือมาดผู้ชายอ่อนโยนและใจดีอีกต่อไป
“ผมต้องการให้คุณเลิกสอน”
“ตะ แต่ว่า ..เรื่องพวกนั้นมันก็แค่เรื่องในอดีต! ตอนนี้ผมไม่ได้ทำแบบนั้นกับเด็กคนไหนอีกแล้วนะครับ! เชื่อผมเถอะ ผมให้สัญญา”
“อือฮึ” ร่างโปร่งพยักหน้าตอบคล้ายกับว่าจะเห็นด้วยพร้อมพูดว่า
“อาทิตย์ที่ผ่านมาผมเฝ้าดูคุณจากกล้องวงจรปิดทั้งวันแต่ก็ไม่ยักจะเห็นคุณทำอะไรเลยนั่นแหละ”
ชายหนุ่มเผลอโล่งใจก่อนจะขยับตัวยืดอก แต่ทว่าคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายทำให้เขาหน้าซีดเข้าไปอีก
“แต่มันก็ไม่มีอะไรมารับรองว่าคุณจะไม่ทำอีกในอนาคตนี่ถูกไหม? ถ้าผมย้อนเทปไปดูของอาทิตย์ก่อน ๆ หรือเดือนก่อนไม่แน่ว่าอาจจะเจออะไรก็ได้ เรื่องสัญญาใคร ๆ ก็สัญญาได้ มันก็แค่การทำให้คุณกับผมเกิดความสบายใจเท่านั้น อีกอย่างถ้าผมไม่นัดคุณมาวันนี้คุณก็คงคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้วใช่ไหมครับ”
พฤกษ์กรีดยิ้ม พูดต่อไปว่า “สิ่งที่ผมทำคือการตัดไฟตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่มันลุกลามก็เท่านั้น และการซื้อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับเด็กก็เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองที่ดีควรทำไม่ใช่หรือครับ?”
‘ผู้ปกครองที่ดี’ อย่างนั้นหรือ?
พฤกษ์หัวเราะเยาะตนเองที่พูดประโยคแสนเท่นั้นออกมา หากนึกย้อนไปถึงกาลก่อน เขาน่ะหรือเป็นผู้ปกครองที่ดี? ผิดแล้ว ไม่ใช่และไม่มีอะไรใกล้เคียงเสียด้วยซ้ำ ที่เขาทำมันก็แค่การเสแสร้งทำเป็นผู้ปกครองที่ดีก็เท่านั้น
สงสารเด็กพวกนั้นหรือ?
ก็อาจใช่และก็ไม่อีกเหมือนกัน
ความรู้สึกแย่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวที่สั่งสมอยู่ในจิตใจมันไม่ได้หายไปไหนเลย พฤกษ์ยังคงเป็นตัวของตัวเองเสมอ แต่ทว่าการมีชีวิตใหม่มันทำให้เขาเริ่มตกตะกอนพอที่จะมองโลกได้กว้างมากขึ้น
จริง ๆ มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกผิดหรือรู้สึกค้างคาใจก็ได้ เขามาจากอนาคตข้างหน้า เป็นคนเดียวที่รู้และไม่รู้สิ่งที่จะเกิดกับทุกคนที่นี่ ทั้งน้องชายและน้องสาวต่างแม่ เขารู้ว่าพงพีจะโตขึ้นไปเป็นเด็กเหลือขอและมาลีวัลย์จะโตขึ้นมาอย่างอ่อนแอจนแตกสลายในที่สุดแต่ไม่เคยรู้ว่าต้นเหตุของปัญหาคือการขาดความดูแลเอาใจใส่ภายในครอบครัว เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขารู้ว่าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปตั้งแต่มัธยมแต่ไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจให้ตนเองมาตลอด เลขาที่เขารู้ว่าเธอเป็นคนเก่งและมีความสามารถแต่เขากลับไม่เคยรู้ว่าเธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่ถูกสังคมเหยียดหยามและต้องทำงานพาร์ทไทม์อย่างหนักเพื่อลดภาระของครอบครัว คนรักที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายชั่วช้าและเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่ที่นี่หรือไม่ แล้วไหนจะน้องชายบุญธรรมที่เขารู้ว่าเด็กคนนี้จะเติบโตขึ้นมาทวงทุกอย่างที่เคยเป็นของตนเองกลับมาและกลายเป็นจุดพลิกผันของเรื่องราวทั้งหมดแต่เขากลับไม่เคยรู้…
นั่นสิ ..นอกจากประวัติความเป็นมาซึ่งเป็นข้อเท็จจริงจากกาลก่อน พฤกษ์ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับอินทรชิตเลยแม้แต่น้อย
‘ช่างมันเถอะ’ เขาคิด ที่ต้องการจะบอกก็คือมันคงเป็นเรื่องแย่และอาจดูโหดร้ายในเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่กลับเลือกที่จะนิ่งเฉย เขาไม่ได้ช่วยเหลือเพราะสงสารหรือเห็นใจแต่พฤกษ์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความสบายใจของตนเอง
เหตุผลมันก็เท่านั้น
ในเช้าของวันอาทิตย์ พงพีนั่งซึมกะทืออยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย พอนึกว่าวันนี้ต้องมาทนเรียนหนังสือกับคุณครูคนนั้นอีกเด็กชายก็ทำหน้าราวกับกลืนยาขมเข้าไป
‘ไม่ชอบเลย’ นั่นคือความคิดแรกที่ปรากฏในหัวของเด็กอายุสิบสามปี พงพีไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกประหลาดนี้ได้อย่างไร แต่เขาไม่ชอบที่ครูอานนท์เข้าใกล้ตนเองมากเกินไปแบบนี้ ไม่ชอบที่ถูกโอบเอว ไม่ชอบที่ถูกลูบหลัง ไม่ชอบตอนที่ถูกหอมแก้ม และไม่ใช่ว่าเด็กชายไม่เคยใกล้ชิดกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน ตอนที่อยู่ที่โรงเรียนก็เคยกอดคอและเล่นอะไรห่าม ๆ ตามประสาเด็ก แต่นั่นก็เป็นเพื่อนที่พงพีรู้สึกสนิทใจที่จะเข้าใกล้ซึ่งแตกต่างกับคุณครูคนนี้ที่ทำให้พงพีรู้สึกอึดอัดและไม่ปลอดภัย
‘ผมไม่ชอบ ครูนนท์อย่าทำได้ไหมครับ’
‘ครูแค่หอมเราเอง ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเขาก็ทำกันทุกคนนั่นแหละ’
ครูอานนท์บอกว่าเอ็นดูเขานักหนา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเอ็นดูของครูอานนท์มีความหมายว่าอย่างไร มันจะเหมือนความรู้สึกที่้เขามีต่อน้องสาวหรือเปล่า?
นานวันเข้า เด็กชายทนความรู้สึกอึดอัดนี้ต่อไปไม่ไหว อินทรชิตจึงเป็นคนแรกที่พงพีตัดสินใจขอความช่วยเหลือ
‘พี่อินทร์เชื่อพีร์ใช่ไหม’ เด็กน้อยถามพี่ชายพลางยกมือปาดน้ำตาป้อย ๆ
‘เชื่อสิ แต่ถ้าจะเอาผิดเขาเราต้องมีหลักฐานนะ’
พี่อินทร์บอกเขาแบบนั้น ทั้งยังทิ้งท้ายว่า
‘รอไปก่อน’
เด็กชายไม่เข้าใจ เขาอยากร้องไห้เสียงดัง ๆ และถามพี่อินทร์ว่ายังต้องรออะไรอีก แค่ความรู้สึกไม่ชอบการกระทำของคุณครูอานนท์ที่ทำกับเขามันก็มากพอแล้วไม่ใช่หรือ
เด็กชายเบะปากทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา วันนี้เขาก็คงต้องรอไปก่อนอีกแล้วใช่ไหม?
“ไม่อยากเรียนเลย แกล้งปวดท้องดีไหมเรา”
พงพีขมวดคิ้วใช้ความคิด แม้จะมีความห้าวหาญที่จะหลบหลีกการเรียนของวันนี้ทว่าลึกลงไปแล้วเด็กน้อยก็ยังเกิดความขี้ขลาด
ถ้าโดนจับได้เขาจะถูกคุณพฤกษ์ตีจนน่องเขียวอีกหรือเปล่า? นั่นเป็นสิ่งที่เด็กชายหวาดกลัว
ใบหน้าเล็กสะบัดไปมาจนเส้นผมสั้น ๆ พริ้วไสว เขาจะคิดแบบนั้นไม่ได้นั่นก็เพราะตอนนี้คุณพฤกษ์ไม่ได้น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
คุณพฤกษ์ที่พูดคุยกับมะลิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน ใช่แล้ว เขาจะไม่ถูกพี่ชายตีจนเจ็บหรือตำหนิจนร้องไห้อีก
ขณะที่พงพีนั่งเอื่อยเฉื่อยคิดอะไรไปเรื่อย เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงรถยนต์ของคุณพฤกษ์อย่างไม่ต้องสงสัย เด็กชายมองเห็นอย่างชัดเจนจากที่ ๆ ตนเองนั่งอยู่ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายออกไปทำอะไรข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่แถมยังกลับมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง
“ครูคนใหม่ของแก ไหว้เสียสิ”
“วะ ว่าไงนะครับ!? ” เด็กชายตาโตหลังจากที่คุณพฤกษ์แนะนำคุณครูหลี่ให้รู้จัก หลี่เหมาเหมาจับแว่นสายตาก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างเขินอายเมื่อถูกพี่รหัสแนะนำตัวในฐานะครูผู้สอน
“ยังจะมือแข็งอีก ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือ”
พงพีสะดุ้งเมื่อถูกคุณพฤกษ์ปราม เด็กชายหันไปพนมมือหญิงสาว “สะ สวัสดีครับครูหลี่”
“สวัสดีจ้ะ” หลี่เหมาเหมารับไหว้ “น้องพีร์ใช่ไหม พี่เป็นรุ่นน้องที่คณะของพี่พฤกษ์ อายุเราห่างกันไม่มาก ดังนั้นเรียกพี่ก็ได้นะคะ”
เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางของเขาเหนียมอายทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายความดีใจจนไม่อาจรอดพ้นสายตาคนที่นั่งมองอยู่อย่างพฤกษ์ไปได้
พงพีหันขวับมามองเขา สีหน้าของเด็กชายเต็มไปด้วยความสงสัย พฤกษ์เอนหลังพิงโซฟา พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า
“เห็นแกไม่ค่อยชอบครูคนเก่า ฉันก็เลยจ้างครูคนใหม่มาแทน” คิ้วสวยเลิกขึ้นข้างหนึ่ง มุมปากพลางยกขึ้นสูง
“หวังว่าแกจะตั้งใจเรียนนะ”
พงพีพยักหน้าตอบแรง ๆ หลายทีจนแก้มกลมกระเพื่อมขึ้นลง เด็กชายตอบเสียงดังฉะฉาน
“จะตั้งใจเรียนครับ!! ”
อินทรชิตตื่นสาย เมื่อคืนเขาทำการบ้านจนดึกแถมลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้เป็นวันเรียนพิเศษของน้องชาย เด็กหนุ่มปิดประตูปึงปังพร้อมกับวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องทั้งที่อยู่ในชุดนอน ร่างโปร่งมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องรับแขก เขาเห็นมาลีวัลย์กำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ใกล้กับผ้าม่านและกำลังมองดูอะไรบางอย่างข้างใน
เขาเดินเข้าไปใกล้น้อง ได้ยินเสียงคุณพฤกษ์และพงพีดังลอยออกมาคล้ายกับกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
ที่สำคัญ ..อินทรชิตได้ยินเสียงผู้หญิง
“มีอะไรหรือคะ ใครมาหรือ? ” เขาถามน้อง
“คุณครูคนใหม่ค่ะ ครูอานนท์ไม่มาสอนพี่พีร์แล้ว”
ครูอานนท์ไม่มาสอนพงพีอีกนั่นถือเป็นข่าวดี และคนที่จัดการเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วก็คือคุณพฤกษ์อย่างแน่นอน
‘เรื่องนี้ฉันจะหาวิธีให้พงพีก็แล้วกัน เอาเป็นว่าไม่เกินอาทิตย์หน้าคงมีทางออก’
คุณเขาทำได้อย่างที่พูดเอาไว้จริง ๆ
“ว่าแต่ครูคนใหม่เป็นใครคะ? ” อินทรชิตพูดขึ้นก่อนจะชะโงกหน้าแอบดูร่วมกันกับน้องสาว เด็กหนุ่มเห็นคุณพฤกษ์เป็นอย่างแรก วันนี้คุณเขาใส่เสื้อคอกลมแขนยาวสีขาวดูสะอาดสะอ้าน ว่าแล้วเชียว อินทรชิตอมยิ้ม คุณเขาเหมาะกับเสื้อผ้าสีโทนอ่อนแบบนี้จริง ๆ แต่ลักษณะท่าทางอย่างนั้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก พอเคลื่อนสายตาไปอีกก็เห็นน้องชายนั่งแกว่งเท้าไปมาทั้งยังยิ้มหน้าแฉล้ม บ่งบอกว่าเด็กตัวแสบกำลังอารมณ์ดีมากมายแค่ไหน
ส่วนหญิงสาวที่ว่านั่น อินทรชิตกวาดตามองเธอปราดเดียวก็ต้องตกใจ เด็กหนุ่มพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา
“เลขาหลี่..”
“มะลิได้ยินเขาเรียกคุณพฤกษ์ว่าพี่” เสียงสั่นเครือของน้องสาวทำให้เขาชะงักความคิดไปในทันที เมื่อก้มลงมอง อินทรชิตเห็นน้องกำชายกระโปรงไว้แน่น จมูกและปากแดงเรื่อ ซ้ำดวงตากลมโตยังมีน้ำสีใสเอ่อคลอ
ชายหนุ่มถอดถอนใจพร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะมาลีวัลย์ด้วยความเอื้อเอ็นดูปนสงสาร เขาย่อตัวลงนั่งยอง ๆ และจับน้องให้หันมามองหน้า
“อิจฉาหรือคะ”
เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงัก ในตอนนั้นเองน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงเผาะลงมาอาบแก้มนุ่ม
“ไม่เป็นไรนะคะ” อินทรชิตเกลี่ยน้ำตาน้องออกอย่างแผ่วเบา พูดว่า
“หลี่เหมาเหมาไม่ใช่คนไม่ดีและไม่ใช่คนที่เราต้องคอยระวังหรอกนะคะ อย่าไปอิจฉาเขาเลย”
มาลีวัลย์สูดน้ำมูก ตอบเสียงกระท่อนกระแท่น
“แต่ แต่ว่า เขา.. ยังได้เรียกพี่ มะลิไม่ชอบนี่คะ มะลิเองก็อยากเรียกบ้าง ฮึก..”
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด อดไม่ได้ที่จะดึงน้องมากอดและลูบหลังปลอบเบา ๆ
“โธ่.. มะลิ”
ในตอนบ่าย อินทรชิตแวะไปแอบดูน้องชายเพราะยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย แต่พอเห็นเจ้าตัวมีสีหน้าที่ร่าเริงและตอบคำถามของหลี่เหมาเหมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วก็ทำให้เขาคลายความกังวลที่อยู่ในใจไปจนหมด
เด็กหนุ่มเดินผ่านห้องหนังสือ เขาหยุดนิ่งราวกับถูกมนต์สะกดเพราะได้ยินเสียงเปียโนดังออกมาจากประตูที่ยังปิดไม่สนิท เป็นคุณพฤกษ์แน่นอนที่อยู่ข้างในนั้น จะทำอย่างไรดี อินทรชิตใจเต้นโครมครามและอยู่ไม่เป็นสุข เขาจะเข้าไปดีไหม หรือทำเป็นไปหาหนังสือเพื่อทำบันทึกรักการอ่านแล้วบังเอิญเจอคุณเขาในห้อง เราจะทักทายคุณพฤกษ์อย่างไรดี คุณพฤกษ์เล่นเปียโนเก่งจัง เพลงอะไรหรือครับ? ให้ตายสิ เห่ยชะมัด
อินทรชิตชั่งใจอยู่นาน กระทั่งเสียงเปียโนหยุดไปได้สักพักจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
“!!!??? ”
เด็กหนุ่มคิดว่าตนเองชนเข้ากับอะไรบางอย่าง จมูกของเขาแนบสนิมไปกับสิ่งนั้น ทว่ามันไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับกัน เขากลับได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้ผ่อนคลายและสัมผัสนุ่มนวลของเนื้อผ้า ยิ่งไปกว่านั้นอินทรชิตรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมาอยู่เหนือศรีษะ
ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปทั้งอย่างนั้น ทว่าหัวใจของเด็กหนุ่มกลับเต้นเร่าอย่างรุนแรงยามที่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
อา.. ดวงตาแสนสวยและริมฝีปากสีแดงระเรื่อของคุณ
(อัพเดต 100%)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ