คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) 00 18
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 18
“เกะกะ” พฤกษ์ถอยหลังกลับไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่ตัวสูงเท่าอก
ไม่ยักสังเกตว่ามันตัวเตี้ยขนาดนี้ เขาคิด ทั้งที่ตอนเป็นหนุ่มออกจะร่างสูงใหญ่ปานยักษ์ไม่ต่างกับชื่อ
อินทรชิตได้สติกลับคืนมาเดี๋ยวนั้น เขาอึกอัก แสดงออกเก้ ๆ กัง ๆ เสมือนไม่เป็นตนเอง พฤกษ์ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายนักเพราะนึกว่าคงจะเข้ามาใช้ห้องหนังสือ ร่างโปร่งเดินผ่านเด็กหนุ่มราวกับไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น อินทรชิตเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหันกลับไป
“คะ คุณพฤกษ์”
พฤกษ์เหลือบตามอง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“คุณพฤกษ์ทำยังไงกับครูนนท์หรือครับ?”
“อ้อ..” เขาร้อง เรื่องนี้เองหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นที่ชนกันเมื่อครู่คงไม่ใช่ความบังเอิญ มันคงมายืนรอเขาที่หน้าประตูเพื่อรอถามอย่างนั้นสิ
แต่ทว่า ..เปล่าเลย พฤกษ์คิดผิด อินทรชิตไม่ได้เป็นพี่ชายที่แสนดี ที่จงใจยืนรอเพราะต้องการจะถามตนเรื่องคุณครูอานนท์ เด็กหนุ่มเพียงแค่ยกเรื่องอะไรก็ได้ที่นึกออกในหัวตอนนี้เพื่อใช้เป็นเหตุผลที่จะได้พูดคุยกับพฤกษ์ก็เท่านั้น
และเรื่องของคุณครูอานนท์ก็ดูจะเหมาะเจาะที่สุดในเวลานี้
“แกอยากรู้หรือ?”
เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินขนาบข้างไปด้วยกันกับร่างโปร่ง พฤกษ์มองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยพลางค่อย ๆ เล่าเรื่องที่เด็กหนุ่มถามอย่างใจเย็น
“ง่ายจัง” อินทรชิตเอ่ยขึ้นอย่างแสนเสียดายหลังจากที่อีกฝ่ายเล่าจบ
“แกคิดว่าฉันจะจับมันเข้าตะรางหรือ”
“ผมว่านั่นเป็นที่ที่เหมาะสมกับคนแบบนั้นนะครับ”
“จริงของแก” พฤกษ์พยักหน้า ต่อมาจึงถอนหายใจยาวเหยียด “ต่อให้อยากทำแต่ฉันคงทำไม่ได้”
“ทำไมหรือครับ?”
“มันไม่ร้ายแรงพอที่จะจับเข้าคุกได้น่ะสิ”
“ทำไมจะไม่ร้ายแรงล่ะ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสงสัย “จากที่คุณพฤกษ์เล่า ..เขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนี่ครับ”
“นี่แหละปัญหา” เขาหันมามองหน้าอีกฝ่าย “ร้ายแรงของเรากับของคนอื่นไม่เท่ากันไงล่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้จนถึงตอนนี้หรือ ถ้าแกอยากให้มันเข้าคุก มันก็ต้องข่มขืนชำเราใครสักคน แบบนั้นตำรวจหรือสังคมคงไม่ปล่อยให้มันรอดแน่นอน แต่แกคงไม่อยากให้ใครถูกมันข่มขืนหรอกใช่ไหม”
“....”
“แกเข้าใจไหมเขี้ยว ฉันเอามันเข้าคุกไม่ได้ ที่ฉันทำได้คือกีดกันมันออกไปจากชีวิตของเด็กพีร์เท่านั้น”
‘แกเข้าใจไหมเขี้ยว ฉันเอามันเข้าคุกไม่ได้ ที่ฉันทำได้คือกีดกันมันออกไปจากชีวิตของเด็กพีร์เท่านั้น’
คำพูดนั้นของคุณพฤกษ์ยังดังก้องอยู่ในหัวของเขา มันฟังดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่ไม่สนใจใครนอกจากคนของตนเอง แต่เขาคิดว่าที่คุณพฤกษ์พูดมานั้นเป็นความจริงทุกอย่าง จริงอยู่ หากว่าคนแบบคุณครูอานนท์ถูกจับเข้าคุกก็จะสามารถช่วยไม่ให้เด็กอีกหลายคนต้องพบเจอกับฝันร้ายนี้ แต่ทว่าคุณพฤกษ์ไม่ใช่พ่อพระหรือซุปเปอร์ฮีโร่ เขาช่วยทุกคนบนโลกไม่ได้แต่เขาก็ช่วยครอบครัวตนเองเอาไว้ได้
นั่นคือความจริง..
เย็นวันนั้น, คุณพฤกษ์อาสาขับรถไปส่งคุณครูคนใหม่ด้วยตนเอง อินทรชิต พงพีและคนอื่น ๆ จึงออกมาส่งทั้งสองคนที่หน้าประตูใหญ่ กระทั่งรถยนต์คันงามขับออกไปพ้นรั้ว ป้าเมียมก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดี
“แหม ท่าจะมีข่าวดีเร็ว ๆ นะคู่นี้”
“จริงป้า” ต่ายหันมายิ้ม “คุณเหมาเหมาเธอน่ารัก ไม่แน่ว่าสเป็กคุณพฤกษ์อาจจะชอบคนเรียบ ๆ แบบนี้”
“มีอะไรงั้นหรือครับ” อินทรชิตที่ทนฟังอยู่นานทำทีเป็นจูงน้องสาวและน้องชายเนียนเข้าไปถามด้วยท่าทีสุภาพ
“ตอนนั้นคุณอินทร์ไม่อยู่” ป้าเมียมว่ายิ้ม ๆ “เป็นวันที่ฝนตก คุณพฤกษ์พาคุณเหมาเหมามาที่บ้าน เหมือนว่าเธอจะป่วย เป็นครั้งแรกเลยที่ป้าเห็นคุณพฤกษ์อุ้มผู้หญิง แถมคราวนี้ก็มาเป็นครูสอนพิเศษคุณพีร์อีก แหม จะให้ป้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรคะ ถ้าไม่ใช่.. ”
ป้าเมียมลากเสียงยาวทิ้งท้ายให้อินทรชิตเก็บเอาไปคิดต่อเอาเอง เธอหัวเราะคิกคักกับต่ายก่อนจะก่อนจะค่อย ๆ หุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้ามืดครึ้มของแม่พลอยที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งสองหน้าเสียไปในทันทีพลางสะกิดแขนกันยิก ๆ ก่อนจะพากันกลับเข้าไปข้างใน
“พี่อินทร์” มาลีวัลย์กระตุกมือพี่ชายขณะที่พงพีสลัดมือแล้ววิ่งไปกอดเอวหญิงชรา
“คุณยายยยย พีร์หิวแล้วครับ” แม่พลอยแย้มรอยยิ้ม ลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูและพูดว่า
“มีขนมอยู่ในครัวแหน่ะค่ะ ทานรองท้องไปก่อนแต่อย่าทานเยอะนะคะ อีกประเดี๋ยวจะทานข้าวไม่ได้”
“ครับ!! ” เด็กชายตาวาว เขย่งปลายเท้าหอมแก้มแม่พลอยแรง ๆ หนึ่งทีก่อนจะวิ่งหายไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว หญิงชรามองไล่หลังของพงพีอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางหันกลับมามองเด็กอีกสองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“คุณอินทร์คะ” หญิงชราแตะเบา ๆ ที่แขน “มีอะไรหรือเปล่า”
“คุณยายก็คิดเหมือนป้าเมียมหรือครับ? ”
“คิดเรื่องอะไรหรือคะ”
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจก่อนจะพูดต่อ
“คุณพฤกษ์กับ…”
อินทรชิตหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อของหลี่เหมาเหมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกินความสามารถของเธอที่อยู่มานาน
“อ้อ.. ”แม่พลอยยกยิ้มบางเบา พูดว่า
“ยายว่าคุณพฤกษ์ไม่น่าจะชอบเธอหรอกค่ะ”
เด็กหนุ่มหันขวับ “คุณยายก็คิดเหมือนผมใช่ไหม!? ”
แม่พลอยเลิกคิ้ว ทำหน้าซื่อคล้ายกับไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่ตนพูดไป อินทรชิตถอนหายใจยาวเหยียด กระแซะเข้าไปหาหญิงชราก่อนจะพูดเสียงเบาหวิว
“คุณยายก็รู้ใช่ไหมครับ เรื่องที่คุณพฤกษ์ไม่ชอบผู้หญิง”
แม่พลอยนิ่งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะมองอินทรชิตด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป จริงอยู่ที่หญิงชรารู้เรื่องรสนิยมของเจ้านายหนุ่ม ว่าพฤกษ์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเกย์ แต่นั่นก็เพราะเจ้าตัวเป็นคนเปิดใจบอกกับเธอเองด้วยตนเอง ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเอาไปพูดต่อกับใครได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกับฐานะทางสังคมและครอบครัวด้วยแล้วนั้นยิ่งทำให้เธอต้องใคร่ครวญให้หนักก่อนจะเอ่ยตอบอะไรไป
อินทรชิตจ้องแม่พลอยตาแป๋วเพื่อรอคอยคำตอบที่วาดหวังเอาไว้ ทว่าหญิงชรากลับถอดถอนใจและพูดว่า
“ยายไม่รู้หรอกค่ะ”
ก่อนจะเดินหายกลับเข้าไปข้างใน อินทรชิตสบถเสียดายอยู่ในใจด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวก็ดังขึ้น
“พี่อินทร์ค้า..”
เด็กหนุ่มสลัดอารมณ์ที่สุมทรวงอยู่ภายในก่อนจะปั้นหน้ายิ้มส่งให้มาลีวัลย์ราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือคะ”
“ที่ ..ที่บอกว่าคุณพฤกษ์ไม่ชอบผู้หญิงนี่คืออะไรคะ”
มาลีวัลย์พูดอ้อมแอ้ม ดวงตากลมโตรื้นน้ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ร้องไห้ทำไมคะ” อินทรชิตย่อตัวลงเสมอน้อง
“คุณพฤกษ์จะไม่ชอบมะลิหรือเปล่าคะ ..ก็มะลิเป็นผู้หญิงนี่”
“โธ่..” เขาย่นคิ้วพลางลูบเรือนผมสีดำที่ยาวสยายอย่างเอ็นดูและค่อย ๆ อธิบายให้น้องฟังอย่างใจเย็นก่อนที่เด็กหญิงจะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้
“ไม่ใช่นะคะ” เขาว่า “ที่บอกว่าไม่ชอบผู้หญิง ไม่ได้หมายถึงไม่ชอบหรือเกลียด ไม่อยากเข้าใกล้”
“แล้วหมายถึงอะไรคะ”
เขานิ่งไปเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะหาคำอธิบายใดมาบอกเด็กอายุสิบสองให้เข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศนี้ดี สุดท้ายจึงพูดไปว่า
“ก็ประมาณว่า ..ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายใช่ไหมคะ”
“เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่หรือคะ”
อินทรชิตพยักหน้า “คุณป้าชอบผู้ชายเลยอยู่กับคุณลุง ส่วนคุณลุงชอบผู้หญิงถึงได้อยู่กับคุณป้า แต่ในโลกเราไม่ได้มีความรักแค่เฉพาะผู้ชายกับผู้หญิง ยังมีผู้ชายที่รักผู้ชาย ผู้หญิงที่รักผู้หญิงแล้วก็อยู่ด้วยกันเหมือนคุณลุงกับคุณป้าไงคะ”
มาลีวัลย์กระพริบตาปริบ ๆ มองพี่ชายราวกับค้นพบอะไรบางอย่างในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เธอเป็นเด็กฉลาดและเรียนรู้ไวจึงสามารถคิดตามในสิ่งที่เขาพูดได้อย่างดีเยี่ยม
“งั้นก็หมายความว่าคุณพฤกษ์ชอบผู้ชายหรือคะ”
“....” อินทรชิตอึกอักเมื่อถูกน้องสาวจี้ตรงจุด
“เอาเป็นว่าคุณพฤกษ์ไม่ได้ชอบผู้หญิงในแง่คนรัก แต่ชอบผู้หญิงในแง่ของเพื่อน”
เขาเว้นวรรคให้มาลีวัลย์ลุ้นกับคำพูดต่อไปก่อนที่จะเฉลยว่า
“และน้องสาว”
เด็กหญิงจึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจในที่สุด มาลีวัลย์กอดแขนพี่ชายไว้แน่นขณะที่เดินกลับเข้าไปด้านในเพราะใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว
ทว่าในตอนที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น น้องสาวตัวดีก็ทำให้อินทรชิตแทบจะสำลักอาหารที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปากด้วยคำถามที่ว่า
“แล้วพี่อินทร์ชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคะ?? ”
หน้าหนาวใกล้เข้ามาแล้ว, สภาพอากาศในเช้าวันนี้บอกพฤกษ์แบบนั้น วันนี้มีเรียนคาบแรกสิบโมงเช้า ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงตรง ยังมีเวลาเหลือเฟือให้เขาได้หลับต่ออีกสักตื่นก่อนไปเรียน พฤกษ์นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี สุดท้ายจึงเลือกที่จะลงไปเดินเล่นในสวนด้านล่างเพื่อเป็นการออกกำลังกายแทน ร่างโปร่งบิดเร่าร่างกายอย่างเกียจคร้านก่อนจะหยิบชุดคลุมยาวผ้าซาตินเนื้อนิ่มสีน้ำเงินตัวเดิมขึ้นมาสวมใส่ พฤกษ์ผูกปมเชือกหลวม ๆ เสยผมที่ยาวปรกหน้าขึ้นอย่างลวก ๆ และควานหาแว่นสายตาที่อยู่บนหัวเตียงติดมือเป็นอย่างสุดท้ายก่อนออกจากห้อง
“ฮัดชิ่ว!! ” เสียงจามของใครบางคนดังขึ้นทันทีที่ปลายเท้าข้างหนึ่งก้าวพ้นประตูใหญ่ พฤกษ์ก้มลงมอง เห็นพงพีนั่งใส่ถุงเท้าไปถูน้ำมูกไปด้วยสีหน้าคล้ายกำลังจะร้องไห้อยู่ใกล้ ๆ ข้างขา
“สวัสดีครับคะ คุณ ฮัดชิ่ว!! ”
พฤกษ์ไถลตัวหนีทันทีที่เด็กชายเริ่มจามและพูดด้วยสีหน้าเหยเกว่า
“เออ ๆ หวัดดี จะจามก็ปิดปากเสียบ้าง มันสกปรก”
“คะ ครับ ฮัดเช้ย!!!! ”
ไม่ทันขาดคำ พงพีก็จามออกมาอย่างรุนแรงโดยที่ยังไม่ได้ปิดปาก เมือกน้ำมูกที่ทะลักออกมายืดยาวเป็นสายทำให้พฤกษ์ยี้จนต้องเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้นในทันที หลังจากที่อีกฝ่ายไปแล้ว มาลีวัลย์ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็เดินเข้ามาหา เด็กหญิงเห็นหลังคุณพฤกษ์ไว ๆ แต่เดินตามไปไม่ทันจึงหยุดถามพี่ชาย
“พี่พีร์ ฟื้ดดด..” เด็กหญิงสูดน้ำมูกพลางส่งผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้อีกฝ่ายใช้
“อื้อ ฟื้ดดดด..” พงพีก็สูดตามบ้างก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเมือกน้ำมูกที่เปื้อนรูจมูกออก
“คุณพฤกษ์ละคะ”
“เห็นเดินไปทางสวนนู่น.. ฮัดชิ่ว! ”
มาลีวัลย์ชะเง้อมองทางเดินไปยังสวนที่ว่าก่อนจะหันมาถามพงพีด้วยความเป็นห่วง
“พี่พีร์ก็ไม่สบายหรือคะ”
“อือ เหมือนจะอย่างนั้น คันจมูกยุบยิบเลย”
“.. แปลกจัง มะลิก็จามตั้งแต่ตื่นนอนแล้วเหมือนกัน คันที่ตาไม่หยุดเลยด้วย” เด็กหญิงว่าพลางยกมือขยี้ดวงตาที่แดงก่ำ
“มะลิ” อินทรชิตเสียงเขียวมาแต่ไกล เด็กหนุ่มก้าวฉับ ๆ มารั้งมือน้องไม่ให้ขยี้ดวงตา
“ขยี้ตาทำไม เดี๋ยวอักเสบนะคะ”
“ก็มันคันนี่คะ” มาลีวัลย์เบะปาก น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “พอขยี้แล้วน้ำตามันก็ไหล มะลิไม่ได้อยากร้องไห้เสียหน่อย มันไหลของมันเอง”
“ฮัดเช้ย!! ฮัดเช้ย!! ฟื้ดดดดด!! โอ๊ยย!! ”
อินทรชิตหันขวับไปมองน้องชาย เห็นอีกฝ่ายวุ่นวายกับน้ำมูกยาวเฟื้อยก็พลันทำหน้ายี้ใส่อีกคน
“จามอยู่ได้ ฮัดชิ่ว! พีร์จะตายไหมพี่อินทร์! ” พงพีหันมาโอดครวญกับเขาอย่างเหลือทน
อินทรชิตกำลังจะอ้าปากถามไถ่อาการแต่เห็นมาลีวัลย์เดินตัวปลิวผ่านหน้าไปจึงคว้าแขนเอาไว้แล้วถามด้วยความสงสัย
“จะไปไหนคะ ใกล้เวลาตั้งโต๊ะแล้วนะ”
มาลีวัลย์ถูจมูกจนแดงปื้น ตอบไปว่า
“ไปหาคุณพฤกษ์ค่ะ คุณพฤกษ์อยู่ที่สวน มะลิมีเรื่องจะคุยด้วย ฟื้ดดดด..”
อินทรชิตยืนนิ่งก่อนจะมองน้องสาวสลับกับน้องชายไปมาอย่างใช้ความคิด คนนึงจามไม่หยุด คนนึงคัดจมูกและมีอาการคันที่ดวงตา อาการพวกนี้คล้ายกับกำลังแพ้อะไรบางอย่าง..
ในขณะที่กำลังคิด ลมหนาวสายหนึ่งก็พัดผ่านมาปะทะผิวหน้า ดวงตาคมเบิกโพลง! ในลมสายนั้นแฝงเอาบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวปะปนมาด้วย อินทรชิตขนลุกเกรียวยามเมื่อต้องกลั้นใจสูดกลิ่นของสิ่งนั้นเข้าปอดเพื่อเป็นการยืนยันความคิดของตนเอง
ไม่ผิดแน่.. เด็กหนุ่มมั่นใจ แม้กลิ่นของมันจะบางเบาแต่เขาก็สัมผัสได้เพราะความคุ้นชินจากความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่ผ่านมา
ต้นหน้าหนาวแบบนี้กับอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของพวกเด็ก ๆ มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้..
“มะลิ พีร์” อินทรชิตเรียกน้องเสียงสั่น “ช่วงนี้อย่าเฉียดเข้าไปใกล้สวนทางฝั่งปีกขวาเด็ดขาดนะ”
“ทำไมล่ะคะ” มาลีวัลย์กระพริบตาปริบ ๆ มองด้วยความสงสัย ทว่าคำพูดต่อมาของพี่ชายก็ทำให้เด็กทั้งสองหน้าซีดเผือดโดยพร้อมเพรียงกัน
“จะเข้าหน้าหนาวแล้ว” อินทรชิตกลืนน้ำลายราวกับกลืนก้อนกรวดนับร้อยลงคอ เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทมว่า
“ต้นตีนเป็ดกำลังจะออกดอก”
ทันทีที่พฤกษ์เดินเข้ามาในสวนหย่อมปีกขวา กลิ่นหอมของเหล่ามวลดอกไม้สีขาวนวลก็กำจายอบอวลไปทั่ว ร่างโปร่งหยุดยืนใกล้พุ่มมะลิลาที่ออกดอกสะพรั่ง นิ้วเรียวยาวเอื้อมออกไปเด็ดจนก้านดอกหลุดออกมาจากต้นเป็นช่อสามดอก พฤกษ์ยิ้มน้อย ๆ กลิ่นของมันทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวครั้งเมื่อยังเป็นเด็ก เขานึกสนุก นำมาทัดหูข้างหนึ่งเหมือนอย่างที่แม่ของตนมักจะทำอยู่บ่อย ๆ ก่อนจะเดินฮัมเพลงจากไป
เขาเดินดูต้นไม้และแวะชมดอกนั้นดอกนี้ไปเรื่อย กระทั่งหยุดเดินเมื่อถึงที่หมายที่ตั้งใจไว้ พฤกษ์แหงนมองต้นไม้ใหญ่เจ้าของร่มเงาที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้านี้ นี่คือต้นพญาสัตบรรณหรือตีนเป็ด ต้นไม้ที่แม่ของเขาปลูกไว้เป็นไม้มงคลและเป็นร่มเงา มีอายุเทียบเท่ากันกับเขาเพราะปลูกตอนที่พฤกษ์อายุได้สามขวบพอดี ร่างโปร่งทอดสายตามองแต่ละปลายกิ่งที่เริ่มเห็นช่อดอกตีนเป็ดสีขาวผลิบานเป็นหย่อม พฤกษ์ขยับเข้าไปใกล้ มือเรียวแนบลงบนลำต้นที่มีผิวเปลือกขรุขระ ดวงตาคู่งามหลับลงก่อนจะรำพึงในใจ
‘หอมจัง..’
“ฮัดชิ่ว! ”
อินทรชิตที่แอบมองอยู่หลังพุ่มชาฮกเกี้ยนจามขึ้นมาสุดแรงเกิด เด็กหนุ่มรีบทรุดลงซ่อนตัวก่อนจะบีบจมูกตนเองแน่นเพื่อไม่ให้จามออกมาอีกรอบ พฤกษ์ค่อย ๆ ลืมตา คิ้วสวยมุ่นเข้าหากันก่อนจะหันกลับไปมองที่ต้นเสียงอย่างแช่มช้า หลังพุ่มชาฮกเกี้ยนสีเขียวเป็นกำแพงยาวดูเหมือนจะมีบางอย่างขยุกขยิกอยู่อีกฝั่ง
‘ฮัดชิ่ว..’ เสียงจามดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้บางเบากว่าเมื่อครู่ พฤกษ์หรี่ตาลงอย่างใคร่รู้ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้พุ่มชาฮกเกี้ยนที่มีความสูงแค่เอว
“ใคร? ” เสียงเรียบเอ่ยก่อนที่ร่างโปร่งจะชะโงกหน้าดู เห็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งตัวงอเอามืออุดจมูก ท่าทางพิกลน่าสงสัย
“แกเองหรอกหรือไอ้เขี้ยว”
ไอ้เขี้ยวที่คุณเขาเรียกสะดุ้งโหยงทันที เด็กหนุ่มกระวีกระวาดลุกขึ้นยืนโดยพลัน พูดด้วยเสียงสั่น ๆ
“อ่า ..คะ ครับ” อินทรชิตยิ้มเผล่ ตอนนี้เขารู้สึกคันในโพรงจมูกยุบยับจนอยากจะจามออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่เพราะคนตรงหน้าที่จ้องมองมาอย่างสนใจทำให้เขาต้องคอยระวังท่าที เด็กหนุ่มกลัวว่าตนเองจะทำอะไรน่าอายออกไป
“ทำไมทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ท่าทางน่าสงสัย เข้ามาทำอะไร แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครเข้ามาที่นี่สุ่มสี่สุ่มห้า” คุณพฤกษ์เอามือไพล่หลังเดินเข้ามาชิดพุ่มชาฮกเกี้ยน ระดับความสูงที่ต่างกันทำให้อินทรชิตต้องแหงนคอมองคุณเขาอย่างช่วยไม่ได้
แสงแดดอ่อน ๆ ในรุ่งอรุณทาบทับลงมาที่ใบหน้าและทำให้เส้นผมสีดำขลับของคุณเขาส่องประกาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ไม่ใช่กลิ่นต้นตีนเป็ดกำจายลอยมาเตะจมูกยามที่ร่างโปร่งโน้มเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มเคลื่อนสายตาไปด้านข้าง อา คุณพฤกษ์ทัดดอกไม้เล็ก ๆ ที่หูเองหรอกหรือ นั่นดอกอะไร เขาสงสัย สีขาวดอกเล็ก ๆ กลิ่นหอมแรงแต่ไม่คลื่นเหียน อาจจะเป็นมะลิหรือดอกพุด แต่จะเป็นอะไรก็ดูเหมาะสมและงดงามทั้งนั้นเมื่ออยู่ร่วมกับคุณพฤกษ์
ภาพตรงหน้านี้อย่างกับว่าอยู่ในห้วงฝันอย่างไรอย่างนั้น ถ้าเป็นฝันละก็เขาจะไม่ตื่นอีกเลยตลอดชีวิตนี้ อินทรชิตคิดว่าตนเองคงตาฝาดไปเสียแล้วกระมัง เขาเห็นดวงตาภายใต้กรอบแว่นที่มักจะไร้อารมณ์และเฉยชาต่อทุกสรรพสิ่งกำลังอ่อนโยนนุ่มนวลลงอย่างช้า ๆ
อินทรชิตตาค้างไปในบัดดล.. ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอจ้องมองคุณเขาด้วยสายตาลึกซึ้งถึงเพียงไหน จนกระทั่ง
“ฮัดชิ่ว!! ”
“.....” คุณพฤกษ์
“............” อินทรชิต
เด็กหนุ่มกรีดร้องอยู่ภายในก่อนจะหน้าซีดเผือดเป็นกระดาษเมื่อน้ำมูกใสที่สั่งออกมาเมื่อครู่กระเซ็นไปเกาะบนชุดคลุมนอนของคุณเขาเปื้อนเป็นสาย
ฉิบหาย! เขาตัวสั่น บรรยากาศเฮงซวยบัดซบช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย จู่ ๆ ลมหนาวก็พัดเอากลิ่นหอมฉุนชวนคลื่นเหียนของต้นตีนเป็ดผ่านลอยมาราวกับเป็นการกลั่นแกล้ง
“แกไม่สบายหรือ” ใจร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม คุณพฤกษ์ไม่ยักสังเกตเห็นคราบน้ำมูกสีใสบนตัวแถมยังถามกลับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
คุณพฤกษ์เป็นห่วง? เขาอยากจะคิดเข้าข้างตนเองสักหน
“เปล่าครับ” เขาสูดจมูก “หน้าหนาวก็เป็นอย่างนี้ทุกที”
“เปล่าอะไร แกจามนี่” ร่างโปร่งหยุดพูดไปก่อนจะทำทีเหมือนคิดอะไรในหัว เสียงทุ้มพูด
“เมื่อตะกี้เห็นเด็กพีร์มันจามแบบแกเหมือนกัน”
ว่าแล้วก็หันกลับไปมองต้นตีนเป็ดที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง
ใบหน้าสวยเหยเก “แพ้กลิ่นมันอย่างนั้นหรือ”
“จะว่าไปเมื่อก่อนก็มีเรื่องแบบนี้ทุกปีแต่ฉันไม่ได้สนใจว่าใครจะทนกลิ่นมันได้หรือเปล่า อืม เพราะฉันเองก็ชอบกลิ่นตีนเป็ดมากเสียด้วยสิ ตอนนั้นไม่มีใครขัดใจเลยด้วย แม่พลอยก็ไม่กล้าขัด คุณพ่ออยากขัดแต่ก็ทำได้แค่หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปอยู่ที่อื่น ส่วนคนอื่น ๆ ในบ้านก็ไม่มีใครพูดอะไร โห อยู่ตั้งกี่ปีเพิ่งจะมาสังเกตเอาวันนี้เองแฮะ.. ” คุณเขาพึมพำคล้ายกับกำลังทบทวนเรื่องราวในอดีต อินทรชิตที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงพลอยได้ยินไปด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ
“คุณพฤกษ์..”
“มีอะไร” ร่างโปร่งหันขวับ อินทรชิตอึกอักเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาเสียทีจนเขารู้สึกรำคาญใจ
“มีอะไรแกก็พูดสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้” ก่อนพึมพำเสียงเบาหวิว “น่ารำคาญ..”
อา.. คุณเขาคงไม่ได้ตั้งใจให้ได้ยินแต่เขาก็ได้ยินชัดเจนเต็มสองหู อินทรชิตหน้าหงอย ซ้ำยังหางลู่หูตกเสร็จสรรพ ไอ้หมาเขี้ยวทำให้คุณพฤกษ์รู้สึกหงุดหงิดอีกจนได้
“น้อง ..อ่า มะลิฝากผมมาบอกคุณว่าอาทิตย์นี้จะเริ่มสอบปลายภาคแล้ว”
“แล้ว? ” คุณพฤกษ์เลิกคิ้วก่อนจะเอียงคอ
“น้องบอกว่าคุณพฤกษ์คงจะไม่ลืมสัญญาที่พูดไว้ใช่ไหม ..ครับ”
อินทรชิตพูดเสียงเบา ใบหน้าของเด็กหนุ่มหม่นหมองคล้ายโลกถล่มอยู่ตรงหน้า ในขณะที่คุณพฤกษ์ยกมือขึ้นกอดอก โคลงศรีษะไปมา เสียงราบเรียบเอ่ย
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”
ร่างโปร่งก้มลงมอง เห็นความเศร้าสร้อยในแววตาของเด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมา ท่าทางมันเหมือนหมาอย่างที่เขามโนภาพในหัวอยู่บ่อย ๆ
ไม่มีผิด
‘เป็นหมาสินะ มันเป็นหมาตัวโต’ เขาคิด
“มี มีครับ” เด็กหนุ่มกระตือรือร้น “ตอนนั้นมะลิไม่อยากไปเรียน คุณพฤกษ์เลยบอกว่าถ้าทนได้จนถึงสอบปลายภาคจะให้อะไรก็ได้ที่มะลิอยากได้”
‘หนึ่งเดือน’
‘ถ้าแกทนอยู่ได้จนสอบปลายภาคจบ ไม่ว่าอะไรที่แกต้องการหรืออยากได้’
‘ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง’
เคยมีเรื่องแบบนั้นอยู่ด้วยสินะ..
“อ้อ” พฤกษ์ครางรับ เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อครู่นี้ อันที่จริงตอนนั้นเขาแค่พูดอะไรก็ได้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มาลีวัลย์มีแรงฮึด มีกำลังใจ และมีเป้าหมายในการไปโรงเรียนในแต่ละวันก็เท่านั้นเอง
เป็นเพียงคำพูดลอยลมที่ออกมาจากปากแล้วก็ลืมเลือนไปตามกาลเวลา
หนึ่งเดือนแล้วหรอกหรือ ..ไวดีแท้
“คุณพฤกษ์ลืมหรือครับ”
ร่างโปร่งปัดมือผ่านหน้า “เปล่า”
“แต่ว่าคุณทำเหมือนกับ..”
“ไม่ได้ลืม เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อกี้ ช่วงนี้ฉันมีอะไรให้คิดเยอะเลยลืม ๆ ไปบ้าง”
‘คุณพฤกษ์ย้อนแย้ง’ อินทรชิตคิด เขารู้อยู่แล้วว่าคุณพฤกษ์ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของตนเองในตอนนั้น ทว่าคนพูดมักไม่จำ แต่คนฟังจำได้ขึ้นใจอยู่เสมอ คุณพฤกษ์คงไม่รู้หรือสังเกต ตั้งแต่วันนั้นมะลิก็มีแรงฮึดขึ้นมาผิดหูผิดตา เด็กหญิงอดทนต่อการไปโรงเรียน อดกลั้นต่อท่าทีหมางเมินของคนรอบตัวและพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะก้าวผ่านความอึดอัดในแต่ละวัน
จากหนึ่งวัน สองวัน สามวัน เป็นอาทิตย์ สองอาทิตย์ กระทั่งสอบปลายภาควันนี้วันแรก..
‘มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ’
อินทรชิตรู้สึกเคว้งในอกอย่างประหลาด นึกดีใจที่ตนเองอาสามาแทนน้องสาว เขาไม่อยากจะคิดว่าถ้ามาลีวัลย์ยืนอยู่ตรงนี้และได้ยินประโยคเมื่อครู่จะรู้สึกเสียใจมากมายแค่ไหน
แค่นึกถึงน้ำตาน้องสีหน้าของเขาก็พลันมืดครึ้มขึ้นมา
“แล้วสอบกี่วันล่ะ”
เด็กหนุ่มตอบ “สามครับ”
“ประถมมัธยม? ”
“พร้อมกันครับ”
“แกด้วยหรือ”
“ครับ”
“เออ” เสียงทุ้มอุทาน “งั้นตั้งใจเข้าล่ะ ทำให้เต็มที่”
“ครับ? ”
อินทรชิตหัวใจเต้นเร่าแทบจะหลุดออกมาจากอก เมื่อครู่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ คุณพฤกษ์บอกว่าให้เขาตั้งใจ บอกเขาให้เขาทำให้เต็มที่ ..คุณพฤกษ์กำลังอวยพรเขาอยู่อย่างนั้นหรือ!?
กว่าเด็กหนุ่มจะได้สติก็กินเวลาอยู่ครู่หนึ่ง อินทรชิตกระพริบตาอีกทีก็เห็นคุณเขาเดินตัวปลิวห่างออกไปหลายก้าวเสียแล้ว ไม่รอช้า เขาอยากจะยืนยันว่าเมื่อครู่ไม่ได้หูฝาดหรือหลอนประสาทไปเองจึงรีบกระโดดข้ามพุ่มชาฮกเกี้ยนอย่างลืมตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ก้าวไปไม่พ้น ปลายเท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในซอกชาฮกเกี้ยน ร่างของเขาพุ่งลงพื้นหญ้าทันทีที่ข้ามมาถึงอีกฝั่งพร้อมกับ..
“ฮัดเช้ย!!!! ”
คุณพฤกษ์หยุดชะงักและกำลังหันกลับมา อินทรชิตที่เห็นดังนั้นจึงรีบยกมือข้างหนึ่งเช็ดคราบน้ำมูกออกอย่างรวดเร็วก่อนจะซ่อนมือข้างนั้นไว้ด้านหลังด้วยความร้อนรน
“กลิ่นตีนเป็ดมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง”
“....” เด็กหนุ่มนิ่งค้างไปในทันที ไม่ใช่เพราะคำถามเรื่องกลิ่นจากต้นตีนเป็ดที่เป็นปัญหาแต่เพราะน้ำเสียงของคุณพฤกษ์ฟังดูโอนอ่อนและแสนงอนอยู่ในทีนั่นต่างหากที่ทำให้เขาเสียอาการอย่างรุนแรง
‘โคตรน่ารัก’
“ใคร ๆ ก็ไม่ชอบกลิ่นของมัน หน้าหนาวยาวไปถึงหน้าฝนก็มีแต่คนบ่นว่าเหม็นบ้างล่ะ จะอ้วกบ้างล่ะ ไหนจะพวกแกที่เดี๋ยวป่วยเดี๋ยวแพ้ พวกคนงานก็ลมจับหน้ามืด ส่วนคุณพ่อก็ระหกระเหินไปอยู่ที่อื่นทุกที! มันทำไมนัก ฉันไม่เข้าใจเลย ต้นตีนเป็ดหอมจะตายแต่กลับมีคนรังเกียจ ..โหดร้ายที่สุด”
คุณพฤกษ์พูดรัวจนเขารับสารไม่ทันได้แต่นั่งอยู่บนพื้นมองร่างโปร่งตาไม่กระพริบ
“แกคิดว่ามันเหม็นหรือเขี้ยว มันเหม็นตรงไหน? ”
คุณเขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้า
“ผมว่ามันเป็นเรื่องของความชอบน่ะครับ คุณพฤกษ์แค่ชอบในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยโอเค”
“แต่คนทั่วไปมีปัญหากับความชอบของฉัน”
อินทรชิตนั่งบื้อใบ้เพราะไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี ทว่าสีหน้าของคุณพฤกษ์ที่มีความคาดหวังทำให้เขาต้องระมัดระวังคำพูดที่จะพูดออกไป
เขาต้องคิดให้ถี่ถ้วนและเรียบเรียงออกมาให้ดีเพื่อไม่ให้คุณพฤกษ์รู้สึกไม่พอใจ
“เอ่อ.. จริง ๆ มันหอมนะครับ”
นั่นไง! ..ดวงตาของคุณเขาแทบจะเป็นประกายทันทีที่พูดคำว่าหอม
“แต่พออยู่รวมกันมาก ๆ มันก็หอมมาก ๆ หอมจนฉุน หอมจนคลื่นไส้ เหมือนกับเวลาที่ฉีดน้ำหอมมากเกินไปก็อาจจะทำให้คนอื่นเวียนหัวได้ขณะที่คนฉีดไม่รู้สึกอะไร”
“แต่ฉันไม่ได้ชอบฉีดน้ำหอมมาก ๆ ฉันฉีดแค่นิดเดียว”
คุณพฤกษ์กรอกตาไปมา ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางลบหรือบวกกับคำพูดของเขา ร่างโปร่งหยัดตัวลุกขึ้นยืนและก้มลงมองเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งหน้าเซ่ออยู่ เขาหยิบมะลิลาที่ทัดหูออกมาถือ นึกอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้อีกฝ่าย
“อะ ..อะไรครับ”
อินทรชิตเสียงสั่นกับท่าทีที่คาดไม่ถึงของคุณพฤกษ์
“มะลิลา” คุณเขาบอก “ไม่รู้จักหรือ? มันมีกลิ่นหอมแรงโดยเฉพาะตอนเช้า แกไม่ถูกกับตีนเป็ดแต่ดมมะลิลาได้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มรับมะลิลาดอกน้อยสามดอกมาไว้ในอุ้งมือก่อนจะสูดกลิ่นหอมของมันเข้าไปเล็กน้อย
หอมมาก ..หอมจนกลบกลิ่นตีนเป็ดไปจนหมด ถึงกระนั้นก็ชวนให้รู้มึนหัวเล็กน้อยอยู่บ้างแต่นั่นก็ดีกว่าต้องได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากต้นตีนเป็ด
“แกกลับเข้าไปข้างในได้แล้ว เดี๋ยวจะเลยมื้อเช้าไปมากกว่านี้”
“คุณพฤกษ์ไม่ไปด้วยกันหรือครับ”
คุณเขาส่ายหัวน้อย ๆ ตอบว่า
“ฉันอยากเดินต่ออีกนิด”
พูดจบคุณพฤกษ์ก็เดินจากไป ทิ้งให้เขานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว อินทรชิตทอดสายตามองแผ่นหลังเหยียดตรงที่ค่อย ๆ ห่างออกไปจนอีกฝ่ายเลี้ยวหายเข้าไปในส่วนหนึ่งของสวน อินทรชิตถอนหายใจอย่างอ่อนแรงก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นมะลิลาดอกน้อยในมือ
จะว่าไปก็ลืมเช็ดมือที่เปื้อนน้ำมูกไปเสียสนิท เด็กหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงแบฝ่ามืออีกข้างที่กำเอาไว้ออก ทว่าก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีบางอย่างปะปนมากับน้ำมูกใสที่เพิ่งจามออกมาเมื่อครู่
“แย่ล่ะสิ..”
100%
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ