คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) 00 16
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 16
“มานี่ ..มานั่งใกล้ ๆ ”
อินทรชิตคล้ายรู้สึกว่าตนเองหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ เขายังคงนั่งบื้อใบ้อยู่อย่างนั้นจนคุณพฤกษ์ต้องเรียกซ้ำ
“ไม่ได้ยินที่เรียกหรือไง”
“....” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ๆ
“ไอ้เขี้ยว”
“ครับ ..ดะ ได้ยินครับ! ”
อินทรชิตละล้าละลังกวาดการบ้านบนโต๊ะขึ้นมากอดไว้แนบอกก่อนจะค่อย ๆ คลานไปนั่งข้างขาของคุณเขาแล้วใช้เบาะโซฟาเป็นที่รองเขียนหนังสือแทน คุณพฤกษ์วางมือข้างหนึ่งบนศรีษะของมาลีวัลย์ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ ถามว่า
“ขอฉันดูหน่อย”
ร่างโปร่งรับกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่าน อินทรชิตแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังพิจารณาข้อความยาวยืดบนกระดาษ เพียงไม่นาน คิ้วสวยก็เลิกขึ้น ซ้ำแววตาที่เคยเรียบนิ่งก็พลันอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด นิ้วเรียวดันแว่นสายตาที่ตกลงมา พูดว่า
“บทพากย์เอราวัณ”
อินทรชิตพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย เด็กหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้างดงามที่กำลังมองตัวอักษรในกระดาษด้วยความหลงใหลได้เลย
“บทพากย์เอราวัณคืออะไรคะ? ” มาลีวัลย์ผงกหัวขึ้นมาถาม ดวงตากลมโตมีประกายระยิบระยับของความใคร่รู้ คุณพฤกษ์ผินหน้ามามองเด็กหญิง ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“บทพากย์คือบทที่แต่งขึ้นเพื่อใช้แสดงในหนังใหญ่หรือโขน เอราวัณคือช้าง เป็นช้างของพระอินทร์”
อินทรชิตสำทับ “ชั้นของมะลิก็เรียนนะคะ สุครีพหักฉัตรไง มาจากเรื่องเดียวกันนี่แหละ รามเกียรติ์”
“ไม่เชิงว่ามาจากเรื่องเดียวกัน” เสียงนุ่มเอ่ย “บทพากย์เอราวัณเอามาจากรามายณะ”
“รามายณะกับรามเกียรติ์ไม่เหมือนกันหรือครับ”
“คนละเรื่องเดียวกัน ..เข้าใจง่าย ๆ ว่ารามายณะเป็นของต้นฉบับทางอินเดีย เป็นวรรณกรรมที่ได้เล่าต่อ แก้ไขและดัดแปลง ไทยเราก็รับเอาวัฒนธรรมมาด้วยเหมือนกันแล้วนำมาดัดแปลงเนื้อหาให้เข้ากับวัฒนธรรมความเชื่อของตัวเองจนออกมาเป็นรามเกียรติ์อย่างที่พวกแกเรียนกันอยู่ทุกวัน”
มาลีวัลย์ทำท่านึก “จำได้แล้ว แต่ของมะลิเป็นกาพย์ยานีสิบเอ็ดนี่คะ ไม่เหมือนของพี่อินทร์เลย”
“ฉันทลักษณ์แบบนี้เรียกว่ากาพย์ฉบังสิบหก”
เด็กหนุ่มเด็กหญิงมองหน้ากันไปมาตาใสแจ๋ว
“ช่างเถอะ พูดไปแกจะปวดหัวเสียเปล่า ๆ ”
ร่างโปร่งคลึงขมับ พูดต่อไปว่า “ให้ทำอะไร ถอดความหรือ”
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ
ใบหน้าสวยหันกลับมาอ่านบทกลอนในกระดาษอย่างใช้ความคิดส่วนอินทรชิตก็ยังคงลอบมองคุณเขาอยู่เงียบ ๆ ด้วยสายตาเหม่อลอยคล้ายกำลังขบคิดอะไรอยู่ในใจ
..นานแค่ไหนกันที่ไม่ได้มองหน้าคุณพฤกษ์ตรง ๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดุด่าหรือทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ใส่
“หืม” อินทรชิตกระพริบตามอง ได้ยินเสียงทุ้มร้องในคอก่อนเจ้าตัวจะก้มลงมองศีรษะกลม ๆ ของมาลีวัลย์ที่ชะโงกหน้ามาส่อง ชายหนุ่มไม่ทันได้รู้ตัวว่าเด็กหญิงลุกจากตักปีนขึ้นมานั่งเบียดอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอเห็นท่าทางตื่นเต้นและแววตาเป็นประกายก็พลันทำให้บรรยากาศรอบตัวอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด
“แกก็อยากรู้ด้วยหรือ”
มาลีวัลย์ยิ้มแผล่ “อยากสิคะ แต่บางคำก็อ่านย้ากยากจัง”
“ไหน” คุณพฤกษ์ถาม “คำไหนอ่านไม่ออก”
“คำแรกค่ะ” เสียงใสตอบก่อนจะชี้นิ้วลงบนจุดหนึ่งของกระดาษ คุณพฤกษ์หันมามองเขาแล้วยิ้มเยาะ อินทรชิตเห็นดังนั้นจึงยืดคอขึ้นไปดูบ้างก่อนจะนิ่งไปไม่ยอมพูดยอมจาในครู่ต่อมา
คุณพฤกษ์ยืดหลังเหยียดตรง นิ้วเพรียวขาวสะบัดกระดาษในมือหนึ่งครั้ง ก่อนเสียงทุ้มนุ่มละมุนหูค่อย ๆ เปล่งออกมาอย่างเฉื่อยช้าน่าฟัง
“อินทรชิต”
ใบหน้าของคนอ่อนกว่าแดงเรื่อลามไปถึงใบหู เด็กหนุ่มสะท้านไหวไปทั้งร่างยามที่เสียงนั้นร้องเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี อินทรชิตค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก็เห็นว่าคุณพฤกษ์มองลงมาอยู่ก่อนแล้ว สายตาที่ราบเรียบและเยือกเย็นราวกับแม่น้ำที่ไม่มีปลาตัวใดแหวกว่ายทำให้เด็กหนุ่มต้องเบือนหน้าหนีอย่างหมดหนทาง
“..บิดเบือนกายินเหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณ”
อินทรชิตใจเต้นรัวจนแทบคลั่ง แม้ว่าเสียงหวานนุ่มนั้นของคุณพฤกษ์จะไม่ได้เอ่ยถึงตนหากแต่เป็นวรรคแรกของบทพากย์เอราวัณก็ตามที แต่นั่นก็เพียงพอแล้วกับความรู้สึกที่เขาได้รับเอามาและตักตวงความสุขนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว
“อินทรชิต อินทรชิต ..ชื่อพี่อินทร์นี่เอง! ” มาลีวัลย์โพล่งขึ้นและหันมามองพี่ชายที่นั่งหน้าแดงจัด เด็กหนุ่มที่ได้ยินเสียงน้องพูดถึงตนจึงเรียกสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปกลับมาได้อย่างหวุดหวิด อินทรชิตยิ้มน้อย ๆ ตอบน้องไปว่า
“ใช่ ..ชื่อพี่เอง”
“อินทรชิตแปลว่าอะไรหรือคะ” ตาใสแจ๋วหันกลับมามองร่างโปร่ง “เมื่อกี้มะลิได้ยินคำว่ากายินด้วย แล้วอะไรริน ๆ คช ๆ สักอย่างนี่แหละ”
“อินทรชิต แปลว่า ผู้พิชิตพระอินทร์ ผู้รบชนะพระอินทร์ หรือผู้มีชัยเหนือพระอินทร์ แล้วแต่ผู้พูดจะให้ความหมายแต่ก็ประมาณนี้แหละ”
มาลีวัลย์พยักหน้าหงึกหงักประสาเด็ก คุณพฤกษ์หันไปหาเด็กหนุ่ม ยกกระดาษแผ่นบางในมือตีแสกหน้าอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา พูดว่า
“จดไปด้วย แกต้องถอดความไม่ใช่หรือ เอาแต่มองฉันวันนี้การบ้านจะเสร็จไหม”
“อ่า ..ครับ ๆ ” เด็กหนุ่มรับเสียงเบาก่อนจะรีบจดคำพูดของคุณเขาลงในสมุดโดยเร็ว
“อินทรชิตบิดเบือนกายินเหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณ หมายถึง อินทรชิตปลอมแปลงกายเหมือนพระอินทร์กำลังขี่ช้างเอราวัณ”
ดวงตาเฉี่ยวคมเหลือบมอง เห็นเด็กหนุ่มกำลังตั้งอกตั้งใจจดบันทึกลงในสมุดก็พูดต่อไปว่า
“อมรินทร์ แปลว่า พระอินทร์ มีอีกคำที่คล้ายกันคือคำว่าอมเรนทร์ เกร็ดความรู้แล้วกัน แกจะจดไปก็ได้ไม่จดก็ดะ..”
“จดครับ! ผมจดทุกคำเลย! ”
“อะ อืม ดี..” ร่างโปร่งชะงักทันทีก่อนที่ตนจะหลุดพูด ‘ดีมาก’ ออกไป อินทรชิตเองก็หยุดมือที่กำลังเขียนคล้ายกำลังรอฟัง ทว่าจนแล้วจนรอดคุณพฤกษ์ไม่ได้พูดต่อให้จบอย่างที่เขาเฝ้าหวังเอาไว้ อีกฝ่ายเบือนหน้ากลับมามองกระดาษที่อยู่ในมือ กระแอมขึ้นเบา ๆ และพูดบทต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน…” เสียงคุณพฤกษ์หยุดไปกลางปล้องทั้งที่เพิ่งพูดบทที่สองของบทพากย์เอราวัณไปได้แค่วรรคแรก อินทรชิตหันกลับไปมองต้นเหตุ เห็นแม่พลอยกำลังถือถาดอาหารเข้ามาในห้องรับแขก หญิงชรากวาดตามองพวกเขาทั้งสามด้วยความตกใจในครั้งแรกก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน แม่พลอยยิ้ม วางถาดสแตนเลสลงกับโต๊ะก่อนจะพูดว่า
“คุณพฤกษ์รับซุปหน่อยนะคะ กำลังร้อน ๆ น่าทานเชียว”
อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ มองซุปถ้วยโตที่มีควันสีขาวลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ส่วนคุณพฤกษ์ทำหน้าเหย พูดว่า
“ไม่เอาครับ อิ่มแล้ว”
แม่พลอยถอดถอนใจ
“คุณอรดีเธอฝากคุณฉัตรเอามาเยี่ยมเมื่อบ่ายนี้ เห็นเธอว่าดีกับคนป่วยอ่อนเพลีย”
พฤกษ์ชะงักไปก่อนจะกลับมาอยู่ในอากัปกิริยาปกติ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นพลิกอ่านกระดาษที่อยู่ในมือ น้ำเสียงราบเรียบพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“คุณฉัตรมาหรือครับ”
“มาค่ะ” ป้าเมียมที่ยกเครื่องดื่มมาสมทบว่า
“ราว ๆ ช่วงบ่ายแต่ตอนนั้นคุณพฤกษ์หลับอยู่เลยฝากของให้แล้วกลับไปเลยค่ะ”
พฤกษ์พยักหน้า ไม่ได้ซักอะไรต่อแต่คาดเดาได้ว่าจนถึงตอนนี้มิสคอลและข้อความแชทจากฉัตรตะวันคงปรากฏอยู่เต็มโทรศัพท์ของเขาเป็นแน่
เอาไว้มีอารมณ์ค่อยตอบดีกว่า.. พฤกษ์นวดขมับพลางนึกถึงท่าทางเป็นกังวลของอีกฝ่าย
“นี่ซุปอะไรหรือคะคุณยาย” เสียงใสว่า ก่อนที่ร่างเล็กจะปีนลงจากโซฟาไปเกาะอยู่ที่ขอบโต๊ะ จมูกรั้นสูดดมทำเสียงฟุดฟิดอยู่หลายทีก่อนจะถูกหญิงชราเอ็ด
“คุณมะลิ นั่งดี ๆ สิคะ คุณอินทร์ก็ด้วย ทำไมไปนั่งอยู่ตรงพื้น” ประโยคหลังแม่พลอยหันขวับไปมองพฤกษ์ด้วยสายตาจับผิดทันที ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง โยนกระดาษในมือทิ้งข้างตัวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่ในที
“อย่ามามองผมอย่างนั้น มันไปนั่งของมันเอง ไม่เกี่ยวกับผมเสียหน่อย”
หญิงชราหรี่ตาลง หันถามเด็กหนุ่มเสียงอ่อน
“จริงหรือคะ? ”
อินทรชิตพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อจึงร้อนรนพูดออกไปว่า
“คุณพฤกษ์ช่วยสอนการบ้านครับ ผมเลยคิดว่านั่งอย่างนี้น่าจะถนัดกว่า”
แม่พลอยพยักหน้าตอบ สีหน้าคลายความกังวลใจ พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นจึงเชิดคอขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า
“เห็นไหม”
แม่พลอยยิ้ม “ยายเห็นแล้วค่ะ”
ร่างโปร่งยักไหล่ เหลือบไปเห็นมาลีวัลย์ที่มองซุปในถ้วยตาเป็นประกาย
“แกอยากกินหรือมะลิ”
เด็กหญิงกระพริบตาปริบ ๆ สองทีแทนคำตอบ พฤกษ์หันไปทางป้าเมียม
“ตักซุปแบ่งหน่อยสิครับ” ก่อนจะมองอินทรชิตที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร “แกจะกินด้วยไหม”
อินทรชิตอยากจะปฏิเสธเนื่องด้วยเป็นอาหารที่มาจากฉัตรตะวันแต่เพราะคุณพฤกษ์ออกปากชวนด้วยตนเองทำให้เขาไม่อยากปฏิเสธช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะลุกจากพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาโดยไม่ลืมที่จะเว้นระยะห่างจากคุณพฤกษ์สักเล็กน้อย
ไม่นานนัก ซุปที่ตักแบ่งสองถ้วยเล็กก็ถูกส่งต่อให้เด็กทั้งสอง มาลีวัลย์ตาเป็นประกายสุกใสรีบตักเนื้อหมูติดกระดูกอ่อนเข้าปากเคี้ยวดังกร้วม ๆ ในขณะที่อินทรชิตจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยสายตาว่างเปล่าและรับประทานไปแบบเงียบ ๆ
พฤกษ์เห็นมาลีวัลย์รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยจึงเกิดอยากลองบ้างทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งบอกว่าอิ่มแล้ว มือเรียวขาวผ่องบรรจงจับช้อนกระเบื้องตักน้ำซุปสีขุ่นขึ้นมาก่อนจะเกลี่ยหลังช้อนกับขอบถ้วยอย่างละเมียดละไมและนำเข้าปาก รสชาติแรกที่พฤกษ์รับรู้คือความเผ็ดร้อน ต่อมาจึงเป็นความหวานละมุนและรสขมปิดท้าย เขาตักเนื้อหมูติดกระดูกอ่อนรับประทานอีกคำ เคี้ยวจนละเอียดและกลืนลงคอก่อนจะหันไปถามแม่พลอย
“ซุปตังกุยหรือครับ? ”
แม่พลอยระบายยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้างคะ ยายลองชิมแล้วกำลังดีเลย”
พฤกษ์ตักน้ำซุปอีกคำ ตอบว่า “อร่อยครับแต่หวานนำไปหน่อย”
“ตังกุยคืออะไรคะ? ”
พฤกษ์วางถ้วยลง ตอบสั้น ๆ “โสม”
“เขาใส่โสมอย่างเดียวหรือคะ? ”
“ใส่หลายอย่าง ที่ขมแล้วก็เผ็ดร้อนเพราะส่วนมากใส่สมุนไพร”
“อื้มม.. ไม่ค่อยขมเท่าไหร่นี่คะ” เด็กหญิงว่าพลางซดน้ำเสียงดัง “ออกจะหวาน”
พฤกษ์เริ่มรำคาญ “ที่หวานก็เพราะใส่พุทราจีนเยอะยังไงล่ะ”
“แล้วพุทราจีน..”
“.....” มาลีวัลย์อ้าปากค้างไว้ไม่ได้พูดต่อเพราะพฤกษ์จ้องตาเขม็ง เด็กหญิงยิ้มเจื่อนก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานซุปตังกุยของตนไปอย่างเงียบ ๆ อีกคน
แม่พลอยที่ยืนมองภาพตรงหน้าก็พลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความอุ่นซ่านภายในอกก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อนและปล่อยให้คนอื่นจัดการเก็บกวาดต่อ
ต่ายเป็นคนเข้ามาเก็บถ้วยที่รับประทานเสร็จ ในสามมีเพียงพฤกษ์คนเดียวที่รับประทานไปได้แค่สามสี่คำก็ไม่รับประทานต่อ ในความจริงพฤกษ์อิ่มจากมื้อเย็นมาพอสมควรแต่เพราะอรดีอุตส่าห์ลงมือทำและฉัตรตะวันที่อุตส่าห์ขับรถนำมาให้ถึงที่ เขาถึงต้องรับประทานเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายความห่วงใยและน้ำใจของอีกฝ่าย
“เธอมองหน้าฉันเหมือนมีอะไรจะพูดอยู่ในใจนะต่าย” พฤกษ์ที่รับน้ำเปล่ามาจิบถามขึ้นเพราะเห็นต่ายลอบมองตนด้วยท่าทีแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่
“ว่าไง? ” หญิงสาวหัวเราะเจื่อน กอดถาดสแตนเลสในอกแน่นพลางเหลือบมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าปลอดจากสายตาของป้าเมียมเธอจึงพูดขึ้นอย่างเขินอาย
“ถะ ถามได้ไหมคะคุณพฤกษ์ คือ.. คือ”
พฤกษ์เอียงหน้า ทำท่ารอฟังอย่างตั้งใจในขณะที่กำลังดื่มน้ำไปด้วย หญิงสาวเห็นดังนั้นก็ตาแดงรื้นกอดถาดสแตนเลสในอกแน่นขึ้นไปอีกก่อนจะถามด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า
“คุณฉัตรเขามีแฟนแล้วหรือคะ เมื่อตอนบ่ายต่ายเห็นคอคุณเขามีรอยดูดเต็มไปหมด”
พร่วด!
เคร้ง!
“แค่ก ๆ!! ” พฤกษ์สำลักน้ำจนหน้าแดงแปร๊ดในขณะที่อินทรชิตทำช้อนกระเบื้องตกลงไปในถ้วยซุป เด็กหนุ่มคล้ายกับว่าวิญญาณกำลังหลุดลอยออกจากกายหยาบทันทีที่ได้ยินคำว่า ..รอยดูด
อินทรชิตไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังกำหมัดไว้แน่นจนมือข้างนั้นสั่นระริก ยิ่งเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็เหมือนกับเป็นการยืนยันอะไรบางอย่างที่เคลือบแคลงอยู่ในใจตั้งแต่ที่เขาได้เห็นฉัตรตะวันเมื่อช่วงบ่ายวันนี้
ไม่ผิดแน่ ..พวกเขาสองคน
“อะไรนะ!? ” พฤกษ์กระชากเสียงถามขณะที่สำลักจนแสบคอ “แค่ก! เล่าให้ละเอียดอีกทีซิ! ”
ต่ายสะดุ้งก่อนจะละล้าละลังตอบเจ้านายทั้งน้ำตาปริ่ม
“มะ เมื่อตอนบ่าย คุณฉัตรเขามาหาคุณพฤกษ์ ตะ ต่ายก็ไปรับใช้ปกติแต่บังเอิญไปเห็นรอยที่คอคุณฉัตรเข้า จะว่าบังเอิญก็ไม่ได้ คุณฉัตรเขาไม่ได้ปิดนี่คะ ..ละ เล่นใส่เสื้อคอกว้างขนาดนั้นเป็นใครก็เห็นอยู่ดี ป้าเมียมก็เห็นนะคะ ตะ แต่ว่า ฮือ ฮึก.. คะ คุณพฤกษ์คะ ทำไงดี ต่ายแอบปลื้มคุณฉัตรมานานแล้ว คุณฉัตรเขาจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ แล้วหรือคะ โฮฮฮฮฮฮฮืออออออออ”
พฤกษ์ได้ยินเสียงคร่ำครวญนั้นก็พลันอยากตายขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ร่างโปร่งไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่โบกมือไล่ให้หญิงสาวออกไปให้พ้น เขาทิ้งแผ่นหลังพิงพนักโซฟาพร้อมถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเป็นกังวล
อินทรชิตมองอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบและทำราวกับตนเองไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ทว่าในแววตาของเด็กหนุ่มกลับมีประกายความเกรี้ยวกราดบางอย่างลุกโชน!
ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น
“รอยดูดมันคืออะไรคะ? ทำไมต้องดูดที่คอด้วยล่ะคะ? ”
พร้อมกับสีหน้าเหยเกของพฤกษ์ที่ไม่รู้ว่าตนเองจะอธิบายอย่างไรให้มาลีวัลย์เข้าใจได้โดยไม่วกเข้าเรื่องบนเตียงดี
“อย่าไปรู้เรื่องของผู้ใหญ่เลยค่ะ”
ประโยคนั้นถูกพูดออกมาโดยอินทรชิตที่นั่งเงียบมาตลอด พฤกษ์หันไปมองก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้เหมือนลูกหมากำลังประจบเอาใจเจ้าของ ..แต่แล้วเขากลับมีความรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นของอินทรชิตดูน่าหวาดระแวงอย่างไรชอบกล
ในตอนนั้นเองใบหน้าในวัยหนุ่มของอินทรชิตก็ซ้อนทับขึ้นมาทำเอาเขาขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง!
พฤกษ์สลัดใบหน้านั้นออกจากหัวและมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง อินทรชิตยังคงยิ้มซื่อ ๆ ให้เขาเหมือนทุกที
...มันก็แค่เด็ก จะไปกลัวอะไร
หลายวันมานี้พฤกษ์รู้สึกว่าฉัตรตะวันทำตัวห่างเหินกว่าปกติ จะพูดว่าห่างเหินก็ไม่เชิงนักเพราะอีกฝ่ายยังคงตามติดเขาไปไหนมาไหนเหมือนเดิมเพียงแต่บรรยากาศระหว่างพวกเขามันคลุมเครืออย่างไรชอบกล ฉัตรตะวันยังคงนั่งข้างเขาในคลาสเรียนและในตอนรับประทานในโรงอาหารของคณะ ยังคงชอบจอดรถอยู่ข้างรถของเขา เรายังคงเดินไปไหนมาไหนด้วยกันในตอนว่าง ๆ
แต่อีกฝ่ายกลับพูดกับเขาน้อยลงจนแทบนับคำได้
เขาเข้าใจว่าเหตุการณ์หลังจากวันนั้นมันคงเป็นเรื่องที่ผ่านไปได้ยากสำหรับฉัตรตะวันจึงทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างพวกเขาเกิดความกระอักกระอ่วนแบบนี้ พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีนมปั่นสตรอเบอร์รี่กับชีสเค้กน่าทานที่สั่งไว้ก็ถูกวางลงมาตรงหน้าพร้อมหญิงสาวในชุดนักศึกษาสีซีดปอน ๆ
ตอนนี้เขาอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย เป็นคาเฟ่ร้านเดียวกันกับที่หลี่เหมาเหมาทำงานพาร์ทไทม์อยู่
พฤกษ์มาหาน้องรหัสโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง
“พี่พฤกษ์ไม่มีเรียนหรือคะ” หลี่เหมาเหมาถามขณะที่รวบกระโปรงก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม พฤกษ์กวาดตามองน้องรหัสรอบหนึ่งก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไปตัดแว่นสายตาอันใหม่มาแล้วด้วยตนเองทั้ง ๆ ที่เขาเสนอจะรับผิดชอบเรื่องเงินให้
“มีตอนบ่าย” พฤกษ์ทัก “เธอเปลี่ยนทรงแว่นหรือ? ”
“อ้ะ ค่ะ.. ดูเป็นอย่างไรบ้างคะ ที่ร้านบอกว่าทรงนี้เหมาะกว่าแต่เหมาเหมาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลย”
เธอว่าก่อนจะดันแว่นสายตาขึ้นเล็กน้อย พฤกษ์จำได้ว่าแว่นอันเก่าของหลี่เหมาเหมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรอบหนาเตอะกินพื้นที่บนหน้าเกือบครึ่ง แต่แว่นอันใหม่นี้เป็นทรงกลมคล้ายคลึงกับแว่นของเขาเพียงแต่ต่างกันที่สีกรอบ ของหลี่เหมาเหมาเป็นสีดำ ส่วนของพฤกษ์เป็นสีโรสโกลด์ที่ขับผิวหน้าให้ดูโดดเด่น
“น่ารักดี” พฤกษ์ออกความเห็นไปอย่างซื่อสัตย์
“เหมาะกับเธอมาก เปลี่ยนทรงแว่นก็เปลี่ยนบุคลิกไปด้วย ดูน่ารักสมวัย มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ เธอน่ารักอยู่แล้ว”
หลี่เหมาเหมาที่ได้ยินคำว่าน่ารักออกมาจากปากพฤกษ์ถึงสามครั้งในบทสนทนาเดียวก็เม้มริมฝีปากแน่น แก้มสองข้างขึ้นสีแดงเรื่อลามไปถึงใบหูจนเธออยากจะมุดหน้าลงไปหลบชายหนุ่มอยู่ใต้โต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“อะแฮ่ม ..เอ่อ แล้วพี่พฤกษ์มีอะไรจะคุยกับเหมาเหมาหรือคะ หระ หรือว่าแค่แวะมานั่งเล่นเฉย ๆ ”
“มีสิ” พฤกษ์ดันชีสเค้กไปตรงหน้า หลี่เหมาเหมามองเขาตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย
“กินซะสิ เธอดูผอมลงนะ”
“แต่ ..นี่ของลูกค้า เหมาเหมาเป็นพนักงาน” หลี่เหมาเหมาอึกอัก
พฤกษ์ฉวยนมปั่นดูดไปอึกหนึ่ง พูดว่า “แต่นี่เงินฉัน”
หลี่เหมาเหมาจนปัญญา เธอมองไปยังเคาน์เตอร์ เห็นเจ้าร้านทำมือให้สัญญาว่าโอเคจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง ..ทว่าก็ยังไม่กล้ารับประทานอยู่ดี
“กิน ๆ ไปเถอะ มันไม่ตายหรอก”
“อ่า..” หญิงสาวทนการรบเร้าไม่ไหวจึงตักชีสเค้กเข้าปากไปคำหนึ่งเพื่อให้ชายหนุ่มสบายใจ พฤกษ์พอได้เห็นอย่างนั้นจึงยกยิ้มพออกพอใจก่อนจะเริ่มเปิดประเด็น
พฤกษ์ชูนิ้ว “ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องเดียว”
“งานที่บอกไปวันก่อนยังจำได้ไหม วันนี้ฉันต้องการคำตอบ”
หลี่เหมาเหมาชะงักก่อนจะค่อย ๆ วางช้อนลง เธอนิ่งไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนคำพูดของพฤกษ์ในวันนั้น
‘งานง่าย ๆ อย่างดูแลเด็กคนหนึ่ง ช่วยสอนการบ้าน ทำกิจกรรมหรืออะไรก็ได้ที่ฝึกสมาธิให้ดีขึ้น’
‘ชั่วโมงละห้าร้อย เฉพาะวันอาทิตย์ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น มีอาหารให้สามเวลา จะรับเงินเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนก็ได้ สนใจไหม? ’
“วันนั้น ..เหมาเหมานึกว่าพี่พูดเล่น”
“ไม่ได้พูดเล่นเสียหน่อย”
“ชั่วโมงละห้าร้อย เจ็ดชั่วโมงก็สามพันห้า” หลี่เหมาเหมาเริ่มนับนิ้ว สนนราคาออกมาก็แทบจะทำให้หญิงสาวร้องไห้น้ำตานอง
“เหมาเหมาทำงานทั้งวันยังได้แค่สามร้อยเอง”
พฤกษ์หัวเราะ ดันแว่นที่ตกสันจมูกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“จริง ๆ คนก่อนได้ชั่วโมงละพัน”
หลี่เหมาเหมานิ่งค้างไปอย่างไม่เชื่อหู
“แล้วทำไมถึงเลิกจ้างหรือคะ หรือว่าเพราะแพงไปเลยมาจ้างเหมาเหมาแทน”
พฤกษ์ส่ายหน้าก่อนจะมองออกไปนอกร้านเห็นรถยนต์คันหรูที่คุ้นตาขับมาจอดเทียบด้านหน้า ดวงตาเรียวรีหรี่ลงอย่างครุ่นคิด..
“เปล่าหรอก เหตุผลอื่นน่ะ”
“อ๋อ” หญิงสาวลากเสียง ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อให้เขารำคาญใจ พฤกษ์เคลื่อนสายตากลับมามองอีกฝ่าย มุมปากสวยยกขึ้นเล็กน้อย
“ตกลงหรือเปล่าล่ะ”
“ต้องทำอะไรบ้างหรือคะ คล้าย ๆ พี่เลี้ยงเด็กหรือเปล่า เหมาเหมาจะได้เตรียมตัวถูก”
“ไม่เชิง” พฤกษ์ยักไหล่ “คล้ายครูสอนพิเศษมากกว่า”
หลี่เหมาเหมาพยักหน้าหงึกหงัก
“เด็กที่ว่าชื่อพีร์เป็น ..เอ่อ น้องคนละแม่ อายุสิบสาม ฉันจะจ้างเธอทุกวันอาทิตย์ ช่วยสอนการบ้าน ติวบทเรียนล่วงหน้าหรืออะไรทำนองนี้”
หลี่เหมาเหมานำกระดาษที่ใช้จดรายการอาหารมาจดรายละเอียดคร่าว ๆ เท่าที่พอจะจำได้และไม่ลืมถามเรื่องสำคัญ
“พี่พฤกษ์ช่วยส่งพวกเนื้อหาในแต่ละวิชาของน้องให้เหมาเหมาได้ไหมคะ อยากรู้ว่าที่น้องเรียนมันอยู่ประมาณไหนจะได้เตรียมตัวถูก”
“ได้สิ” พฤกษ์พยักหน้า “เอาไว้ฉันจะส่งไลน์ไป”
“ลืมไป ความจริงเด็กมันค่อนข้างไฮเปอร์สักหน่อยนะ ออกจะสมาธิสั้น ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยแต่ไม่ต้องห่วง ไม่ได้น่ากังวลขนาดนั้น ที่บ้านพาไปหาหมอกินยาอยู่ตลอด”
“โอเคค่ะ” หญิงสาวกดปากกา “แล้ว—”
หลี่เหมาเหมาหยุดพูดไปก่อนจะชะงักเมื่อมีร่างสูงของชายคนหนึ่งหย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ เธอหายใจติดขัดและเครียดเกร็งไปทั่วท้ายทอย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเพราะผู้ที่มาพร้อมกับบรรยากาศอันน่าอึดอัดขมุกขมัวแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียว
ฉัตรตะวัน..
“แล้วอะไรล่ะ พูดต่อสิ” พฤกษ์ยกนมปั่นขึ้นดูดอีกหลายอึก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ไม่ได้ให้ความสนใจหรือทุกข์ร้อนกับชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่เลยแม้แต่น้อย
หลี่เหมาเหมากระแอมอยู่ในคอก่อนจะชำเหลืองมองชายหนุ่มข้างกาย เธอเห็นฉัตรตะวันนั่งนิ่งเป็นปูนปั้น นิ่งเสียจนแทบจะหล่อรวมเข้ากับเสาและผนังของร้านอย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ คือจะถามเรื่องการเดินทางค่ะ เหมาเหมาจำไม่ได้ว่าบ้านพี่พฤกษ์อยู่ตรงไหน”
หญิงสาวว่าพลางก้มหน้างุด ในหัวพลันนึกถึงครั้งก่อนที่ป่วยจนต้องเป็นภาระให้อีกฝ่ายคอยดูแล
“เรื่องนั้นเองหรอกหรือ” พฤกษ์เคาะนิ้วทั้งห้าลงบนโต๊ะคล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิด ไม่นานนัก ใบหน้าสวยก็ยิ้มน้อย ๆ พฤกษ์พูดว่า
“จะยากง่ายอะไร เดี๋ยวฉันไปรับเธอที่บ้านก็ได้”
หลี่เหมาเหมาเบิกตาโพลง ขณะที่ฉัตรตะวันหันขวับมามองด้วยสายตาแข็งกร้าว
“จะ ..จะดีหรือคะ แล้วขากลับ”
“ขากลับฉันก็จะไปส่งเหมือนเดิม”
“แต่..”
“ไม่มีแต่ ตกลงตามนี้”
“ถ้าอย่างนั้น—”
“อเมริกาโน่ร้อน”
หลี่เหมาเหมาสะท้านไหวทั้งร่าง เธอหยุดพูดโดยพลันก่อนจะค่อย ๆ หันไปหาชายหนุ่ม
“เป็นพนักงานแล้วทำไมไม่ทำงาน”
ฉัตรตะวันเลิกคิ้วขึ้นสูง พูดซ้ำด้วยสีหน้าเย็นเยียบขณะที่มองไปยังร่างโปร่งตรงหน้า พฤกษ์เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี มองสบสายตาดุดันของอีกฝ่ายอย่างไม่มีความกริ่งเกรงใด ๆ
พวกเขามองตากันนิ่งอยู่ราวหนึ่งนาทีก่อนฉัตรตะวันจะเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมายาวเหยียด
บอกแล้ว ..เขาไม่มีวันเอาชนะพฤกษ์ได้ ไม่มีวัน
“อ่า ...อเมริกาโน่ร้อนนะคะ รอสักครู่ค่ะ”
หลี่เหมาเหมาหน้าเจื่อนลงไปในทันที หญิงสาวละล้าละลังลุกขึ้นพรวด พฤกษ์ยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งเป็นการร่ำลาก่อนที่เธอจะจากไปทำหน้าที่ของตนเอง เมื่อหลี่เหมาเหมาไปแล้ว ทั้งโต๊ะจึงตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง พฤกษ์ใช้หลอดดูดเขี่ยนมปั่นสตรอเบอร์รี่ที่ละลายแล้วเล่นแก้เบื่อ ในขณะที่ฉัตรตะวันกลับนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดไม่จาอะไร
หลี่เหมาเหมากลับมาอีกครั้งพร้อมอเมริกาโน่ร้อน เธอวางมันลงและรีบผละจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักนิด หญิงสาวกลับมาที่เคาน์เตอร์ด้วยท่าทางหงอยเหงา ชายหนุ่มเจ้าของร้านจึงเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นาน
“คู่นั้นเขาเป็นอะไร ทำไมทำท่าเหมือนจะต่อยกันเลย”
หลี่เหมาเหมายู่หน้า พูดว่า
“เขาไม่ต่อยกันหรอกค่ะ” ก่อนจะหันไปยังโต๊ะของชายหนุ่มทั้งสอง พี่รหัสของเธอนั่งเขี่ยหลอดเล่น ท่าทางผ่อนคลาย ส่วนคนที่ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกำลังนั่งทำหน้าบึ้งตึงทว่ากลับจ้องพี่รหัสของเธอตาไม่กระพริบ หลี่เหมาเหมามองปราดเดียวก็พอจะเดาสถานการณ์ออกว่าระหว่างสองคนนี้ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
...เห้อ ทะเลาะอะไรกันนะ ปกติก็เห็นดีกันตลอด
หลังจากที่นั่งแช่อยู่นาน ในที่สุดพฤกษ์ก็ตัดสินใจออกจากคาเฟ่ในอีกสิบห้านาทีต่อมา ร่างโปร่งเดินไปที่เคาน์เตอร์ เห็นหลี่เหมาเหมากำลังขะมักเขม้นจัดเค้กอยู่จึงเปิดกระเป๋าสตางค์ออก หยิบธนบัตรห้าร้อยขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนนุ่มพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เหมาเหมา”
หลี่เหมาเหมาหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นว่าเป็นพี่รหัสของตนเอง หญิงสาวเกือบจะฉีกยิ้มกว้างทว่าเมื่อมองดูให้ดีแล้วก็เห็นร่างสูงกำยำของฉัตรตะวันยืนซ้อนอยู่ด้านหลังตามติดพฤกษ์พี่รหัสของเธอราวกับเงาตามตัว!
หลี่เหมาเหมาผงะเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน
“จะกลับแล้วหรือคะ”
พฤกษ์พยักหน้า “มีเรียนอีกตัวน่ะ”
เขาพูดก่อนจะสอดธนบัตรในมือใส่ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนสีดำที่หญิงสาวสวมอยู่บนตัวแล้วเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไร หลี่เหมาเหมายังคงยืนทำหน้าเซ่อซ่า ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลันจนเธอไม่ทันตั้งตัว กว่าจะเรียนสติสัมปชัญญะกลับมาได้ก็เป็นตอนที่เจ้าของร้านเดินผ่านมาพอดี
หลี่เหมาเหมารีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน ก่อนจะพบธนบัตรห้าร้อยสภาพเรียบกริบเหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนหนึ่งใบ ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นเบิกโพลง
ทันใดนั้นชายหนุ่มเจ้าของร้านก็ผิวปากแซว
“โห ..ให้ทิปหนักขนาดนี้เพิ่งจะเคยเห็นนะเนี่ย หรือจะคิดอะไรกับเหมาเหมารึเปล่าน้า~”
ฉับพลันแก้มนุ่มหญิงสาวก็ขึ้นสีแดงเรื่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
♡
#คุณพฤกษ์รวยมาก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ