บ่วงบทกวี

-

เขียนโดย ชักช้าา

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.37 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,611 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 23.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) กวีบทที่ ๒ “ ชี้ชะตาพากลับไปดั่งใจฝัน ”

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

" มรณะประหนึ่งฝันอันชั่วครู่

วัฏสารสู่หนไหนให้โหยหา

ลุกจากหลุมที่กลบฝังอีกครั้งครา

บอกโลกว่ายังไม่ตายมลายไป "

______

ความเจ็บปลาบไปทั่วสรรพางค์กาย ขมับปวดร้าวไปถึงท้ายทอยส่วนบน ราวกับเพิ่งผ่านการโดนของแข็งฟาดตรงศรีษะมาไม่นานนี้ ดวงตาที่กำลังปิดสนิทค่อยๆคลายคลี่หรี่ปรือขึ้นมาอยู่ในสภาพเช่นเดิม หลังจากสลบไสลไปหลายชั่วคืน

ร่างชายหนุ่มผู้ที่กำลังทอดยาวอยู่บนเตียงไม้ขึงมุ้งสีขาวนวล หมอนรองหัวถูกทับซ้อนกันหลายชั้นจนดูผิดแผกธรรมชาติของการหลับนอน การกระทำเช่นนี้เป็นการรองรับไม่ให้น้ำหนักถูกกดทับไปที่ศรีษะมากจนเกินไป ดูจะเป็นการรักษาอาการเจ็บปวดที่เขากำลังเป็นอยู่นั่นเอง

แต่กระนั้นเขาก็จำไม่ได้ว่าเหตุใดถึงมีอาการเช่นนี้ ในเมื่อเขาอยู่ที่งานเลี้ยงคุณปู่และกำลังนั่งอ่านบทกวีในสมุดข่อย และหลังจากนั้น. . . ความทรงจำต่อจากนั้นหายไป เขาจำอะไรไม่ได้เลย มานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มค่อยๆกวาดมองไปรอบห้อง ก็ดูเหมือนจะเป็นห้องนอนห้องหนึ่งในบ้านเรือนไทยของคุณปู่ดูจะไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่นัก  ทว่าสิ่งที่เขากำลังจะมองเห็นต่อจากนี้ ทำให้ร่างกายของเขาสะดุ้งโหยงราวกับเจอผีห่าซาตานจนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ

" เฮ้ยย นะ นะ นะนายเป็นใครอ่ะ มาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง ละ ละ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้อ่ะ !?" ภาพตรงหน้าปรากฎชายร่างกำยำสวมโจงกระเบนสีพื้น อกเปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวที่ดูจะคล้ำกร้ำแดดเสียเต็มที กำลังนั่งจ้องตาถลึงมองมาที่เขา ราวกับแสดงอาการตกใจไม่ต่างกัน สีหน้าแววตาลุกวาวดูตื่นเต้นขึ้นทันตาเห็น

" คุณก้าน !! คุณก้านฟื้นแล้วหรือขอรับ คุณก้านฟื้นแล้วจริงๆ โถ่บุญรักษาจริงเชียวนายของบ่าว หากไม่ฟื้นบ่าวคงโดนจับลงหวายจนตายคาขื่อเสียแน่ๆ โถ่บุญรักษา " คนพูดไม่อยู่นิ่งพลางคลานเข่าเข้ามาหาอีกฝ่ายอย่างกุลีกุจอ แสดงสีหน้าท่าทางราวกับเจอปาฏิหาริย์เสียอย่างนั้น

" ฮะ เฮ้ยอย่าเข้ามานะ ใครคือก้าน ไอก้านคือใคร คุณปู่ล่ะ คุณปู่ชั้นอยู่ไหน พ่อแม่ล่ะ ทะ...ทะ...ทำไมนายถึงเข้ามาในห้องนี้ได้ หรือเป็นโจรมาขโมยของ ละโทรศัพท์อยู่ไหนล่ะ ชั้นจะโทรแจ้งตำรวจ เข้ามาโดยพลกาลแบบนี้ หลักฐานคาหนังคาเขานายไม่รอดแน่ ! "

อีกฝ่ายหยุดชะงักลงไปทันใดเมื่อได้ยินเขากล่าววาจาที่ดูแปลกแปร่ง หาใช่สำเนียงวาจาของคนปกติที่เขาพูดกัน ฟังแล้วไม่สามารถเข้าใจในความหมายได้

" คุณก้านกล่าวอันใดขอรับ บ่าวมิกระจ่างในความหมาย " คนเป็นบ่าวยังคงทำสีหน้างุนงงปนสงสัย

" ฮะ !? อะไรกันวะเนี่ย นี่พูดไม่รู้เรื่องหรอ คือชั้นต้องแจ้งตำรวจนะ ถ้านายยังจะพูดภาษาแปลกๆอีก คนบ้าป่ะเนี่ย ขึ้นมาบนบ้านนี้ได้ยังไง คนอื่นไปไหนกันหมดวะ! " คนพูดกล่าวพร้อมกับแสดงอาการไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า ยิ่งคิดหาคำตอบ ยิ่งปวดหัว 

" หรือว่าคุณก้านจะวิปลาสไปเสียแล้ว!! โถ่คุณก้านของบ่าวถูกคนร้ายใช้ไม้แข็งฟาดขมับจนสลบไปเสียหลายคืน พอฟื้นขึ้นมาก็จำกระไรมิได้ แถมยังพูดมิเหมือนชาวบ้านทั่วไปเสียอีก " คนพูดตัดพ้อพร้อมทำสีหน้าราวกับจะร้องห่มร้องไห้

" เดี๋ยวนะ ชั้นถูกทำร้ายหรอ !?  ถึงว่าได้เจ็บหัวจังเลย แล้วนี่นายช่วยชั้นไว้ละพาชั้นมารักษาหรอกหรอ " คนเจ็บกล่าวถาม

" ใช่ขอรับ คนของบ่าวไปเจอคุณก้านนอนสลบอยู่ตรงท่าน้ำวัดมะกอก แถมขมับยังมีเลือดไหลไม่หยุดเลย จึงรีบพามาที่เรือนท่านเจ้าพระยาพระคลังกับคุณหญิงบัว ให้หมอเมืองมารักษาอาการ นี่คุณก้านสลบไปเสียหลายคืน จนบ่าวในเรือนมันนึกว่าคุณก้านจะมิรอดเสียแล้วหนาขอรับ " คนฟังขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจในภาษา แต่ก็พอประติดประต่อความหมายอยู่ได้บ้าง

" เอ่อออืมช่างมันเถอะ นี่นาย..ละเรือนเจ้าพระยาพระคลัง...คุณหญิงบัว ...อะไรนั่น เป็นใครหรอ ชั้นจะไปขอบคุณเขาที่ให้มาพักฟื้นน่ะ" คนพูดกล่าวด้วยความเกรงอกเกรงใจ

" ชิบหายละกูไอ้ยอด คุณก้านวิปลาสไปเสียแล้ว!! " คนกล่าวพูดพลางใช้นิ้วมือทั้งหาทึ้งหัวตัวเองอย่างแรง

" นี่นาย!! วิปลาสอะไร ชั้นไม่ได้บ้าซะหน่อย แล้วนี่ชั้นชื่อกานต์นะไม่ใช่ก้านอะไรของนาย ไหนล่ะพาไปขอบคุณท่านสิ "

" จะมิวิปลาสได้อย่างไรขอรับ ก็เจ้าพระยาพระคลังกับคุณหญิงบัวมาศ เป็นท่านคุณพ่อแลคุณแม่ของคุณก้านอย่างไรล่ะขอรับ !! " คนกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น แสดงอาการราวกับจะร่ำไห้ไปเสียดื้อๆ

" ห้ะ!!! กูจะบ้าตายรายวันว่ะ นี่มันอะไรกันวะเนี่ยยย เกิดอะไรขึ้นกับกู กูอยู่ที่ไหน ใครก็ได้บอกกูที๊!!!!! " เขาตะโกนบ่นพึมพำในลำคอ อยากจะตะโกนให้ดั่งลั่นออกมาแต่ก็กลัวว่าจะโดนกล่าวหาว่าบ้าอีก

คนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงไม้ใช้สายตากวาดมองไปรอบห้องอีกครั้ง แม้จะดูคล้ายบ้านเรือนไทยของคุณปู่ แต่ทว่าที่แห่งนี้ไม่ปรากฎเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่เลย มีแต่ข้าวของเครื่องใช้โบราณถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บางสิ่งดูเหมือนจะไม่เคยพบเห็น บางสิ่งก็เคยผ่านๆตามาบ้างเวลาดูละครพีเรียดที่ฉายทางโทรทัศน์ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างทุลักทุเล ก้าวย่ำไปหยุดอยู่ตรงบานหน้าต่างริมห้อง ก่อนจะพบว่า ... 

" เชี้ยยยย ที่ไหนวะเนี่ยย ทำไมมีแต่คนแต่งตัวเหมือนไอบ้าที่นั่งอยู่ในห้องนี้กันไปหมด ก้มลงมองตัวเองก็ยังแต่งคล้ายคนโบราณไปอีก มองไปทางไหนก็เจอแต่บ้านไม้เรือนไทยนับหลังไม่ถ้วน ไม่มีรถราเคลื่อนไหวให้เห็นเลยแม้แต่ซักคันเดียว "

ลมหายใจออกแผ่วเบาค่อยๆกลายเป็นลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะถูกถอนหายใจออกมาอย่างยาวยืด ราวกับหมดแรงที่จะหาคำตอบใดๆอีกแล้ว มันไม่มีความหมายที่จะหาคำตอบ เพราะยิ่งมองหายิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งถลำลึกสู่ความเป็นจริงเข้าทุกที

กานต์กวีผู้นี้หมดสิ้นความหวัง สิ่งเดียวที่เขาจะนึกได้คือ เขากำลังย้อนเวลากลับมายุคสมัยก่อนใช่หรือไม่ ที่นี่ไม่ใช่ปัจจุบันแน่ๆ ทุกอย่างดูแปลกใหม่สำหรับเขาไปเสียหมด

" งั้นชั้นขอถามนายอย่างหนึ่งได้มั้ย ... "

คนพูดมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ยังหวังว่าคำตอบที่ได้มาจะน่าพึงพอใจ

"กระไรหรือขอรับ "

" นี่คือรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ใด "

แววตาเค้นถามคนตรงหน้า หวังจะได้คำตอบตามที่ปราถนา

" สมัยแผ่นดินกลางขอรับ "

" แผ่นดินกลางงั้นหรือ พระนามของกษัตริย์คือ... "

"พูดมิได้ขอรับ เขาห้ามกล่าวถึงชื่อพระเจ้าแผ่นดิน "

" เหอะหน่าา ไม่มีใครได้ยินหรอก กระซิบเบาๆก็ได้ "

" สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า... " 

รัชกาลที่ ๒ !!!

ขาทั้งสองข้างแทบจะทรุด เขาพาตัวเองกลับมานั่งบนเตียงไม้ไร้ซี่งเรี่ยวแรงจะยืนต่อไหว ก่อนน้ำตาจะเอ่อล้นออกมาโดยควบคุมไม่ได้ ความคิดถึงพ่อและแม่ก็พลันเข้ามาในโสตประสาท แล้วในโลกปัจจุบันล่ะ โลกปัจจุบันของกานต์กวี ยังมีเขาอยู่อีกหรือไม่ เขายังไม่อยากตาย . . .

 

" จะหนีอื่น หมื่นแสน ในแดนโลก

พอย้ายโยก หลบลี้ หนีพ้นได้

แต่หนีหนึ่ง ซึ่งมีชื่อ คือหนีตาย

หนีไม่ได้ ใครไม่พ้น สักคนเดียว "

 

 


 เมื่อคิดปลงอนิจจังชีวิต จำต้องติดอยู่ในร่างนี้ไปเสียก่อน ความอยากรู้อยากเห็นในชีวิตที่น่าตื่นเต้นของโลกสมัยก่อนจึงผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ทว่าไม่รู้จักเริ่มจากอะไรดี จึงทำการสืบสาวเอาความจริงเอาจากไอ้ยอด บ่าวคนสนิท 

" นี่ ชั้นว่าชั้นหน่ะคงจะจำอะไรไม่ค่อยได้อย่างที่นายว่าจริงๆแหละ ก็เพราะโดนไม้ฟาดหัวมา สมองชั้นก็คงจะเบลอๆไปบ้างแหละเนอะ นี่นายช่วยชั้นฟื้นความจำให้ชั้นหน่อยสิ "

" คุณก้านพูดว่ากระไรขอรับ บ่าวมิรู้ความ " คนฟังเกาหัวด้วยความสงสัย

" อ่ะๆ งั้นตอบคำถามชั้นมาก็พอ โอเค๊ !?" คนพูดทำนิ้วหัวแม่มือจรดกับนิ้วชี้ นิ้วที่เหลือปล่อยให้ชี้ขึ้น เป็นสัญลักษณ์แสดงอาการตอบตกลง

" อะ เออะ โอ เค ? " หน้าไอ้ยอดขมวดมุ่น พลางทำทำมือตามคนตรงหน้า

" ใช่ โอเคไง แปลว่านายตกลงแล้ว งั้นเริ่มเลอ คิคิ ชั้นชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใคร อายุเท่าไหร่ มีงานมีการทำมั้ย หรือใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองไปวันๆ ( แต่ชั้นชอบนะ สุขสบายดี ^^ ) " 

" เอ่อ ก้านขอรับ คุณหน่ะชื่อทองก้าน เป็นบุตรชายคนโตของนายทองบุญรับราชการตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังแลคุณหญิงบัวมาศ อายุ ๒๐ ปี ไม่มีงานมีการทำ ไม่ชอบร่ำเรียนหนังสือหนังหา ชอบเที่ยวเตร่เกเรไปเรื่อย คุณท่านให้ไปเรียนเขียนกวีที่เรียนท่านอาลักษณ์ก็แอบหนีหายไปเตร็ดเต่แต่ที่อื่นจนเกิดเรื่องเกิดราวโดนทำร้ายนี่กระไรล่ะขอรับ " ไอ้ยอดพูดพร่ำออกมาราวกับเก็บกดมาเสียนาน

" เอ่อนี่ชั้นน ไม่มีข้อดีเลยหรอ ที่นายกล่าวมานี่ก็เสียๆทั้งนั้นเลยนะ ... "

" โถ่ไอ้กานต์ ย้อนเวลามาทั้งทีดันมาสิงสู่ร่างคนนิสัยแบบนี้นะเรอะ เฮอะช่างเหมือนนิสัยเราจริงๆ ไอคำคมที่ว่า ไม่ต้องเป็นตัวเองมากก็ได้ เป็นคนอื่นที่ดีกว่านี้เถอะ สงสัยว่าจะจริงสะแล้วไอ้กานนนนต์... "
 

" มีนะขอรับ ถึงคุณก้านจะมิชอบอยู่ในกรอบในกรง แม้นจะชอบไปเที่ยวเตร่ แต่คุณก้านก็มิใช่คนเสเพล ที่จะหลงผิดไปคบนักเลงหัวไม้ พากันเสพฝิ่นจนเสียผู้เสียคนเหมือนลูกพระยาคนอื่นๆ เหตุนี้คุณท่านเลยปล่อยให้คุณอินเป็นอิสระ มิได้บังคับขับไส เพราะมิได้นอกลู่นอกทางจนเกินงาม บ่าวนี่โชคดีเสียจริงๆได้มารับใช้คนอย่างคุณก้าน "

" เหอะ อวยกันจังเลยน้าาาา บ่าวนายบ้านนี้เนี่ย จาอ้วกกกก 8_8 " คนพูดทำท่าราวกับจะอาเจียน

" แต่หลังจากนี้ไปชั้นจะเป็นคนใหม่ละนะ พี่ยอดเตรียมรับมือได้เลย ทุกคนต้องซาบซึ้งในคุณงามความดีของไอ้ก้านผู้นี้อย่างแน่นอน คิกคิกคิก "

"พะ พะ พี่.... เยาะ ยอด  " คนฟังทำสีหน้าเหย๋เกราวกับมีอะไรไม่ถูกต้องครรลองธรรม 

" ใช่พี่ยอด หลังจากนี้ก็จะเรียกว่า พี่ยอด ^^ "

" วิปลาสไปเสียแล้วจริง .... "

" ไอ้พี่ยอด เดะโดน เดะโดน ! "  คนเป็นนายพูดพลางจะทำท่าเตะอีกคน ตามประสาคนสนิทชิดเชื้อกันมานาน

" นี่พี่ยอด ปกติชั้นชอบไปเที่ยวที่ไหนหรอ ..." 

" ถะ..ถามไปทำไมขอรับ ... " 

" เหอะหน่าาา มีหน้าที่ตอบก็ตอบ เจ้านายถาม "

" เอ่ออ ตลาดท่าเตียนท้ายวังขอรับ ... "

" ตลาดหรอ o.o หูยยตลาดที่นี่จะเหมือนตลาดที่ปัจจุบันมั้ยนะ อยากรู้จริง ... ทำไงดี ...." เขาบ่นพึมพำในลำคอ

"ทำไงดีพี่ยอด .. อยากรู้จัง ... "

" มิได้หนาขอรับ "

"ไปมิได้ ขืนพาคุณไป บ่าวโดนคุณท่านลงหวายเป็นแน่ คุณก้านควรจะนอนพักฟื้นดูอาการก่อนหนาขอรับ "

" มิพาไปตอนนี้ก็จะโดนข้าลงหวายเสียเหมือนกัน เจ้าจะเอารึไอ้ยอดชาย !! " เขาทำเสียงแข็งกร้าวแววดุดันอย่างกับละครจักรๆวงศ์ๆตอนเช้า

" อะ อะ เอ่อออ คึคึคุณก้านอย่าบังคับใจบ่าวสิขอรับ บ่าวมิอยากโดนใครหลงหวายทั้งนั้น มันเจ็บนะขอรับ บ่าวมิอยากโดนหวายอีก ฮึก..." น้ำเสียงไอ้ยอดเปลี่ยนไปทันทีราวกับเกรงกลัวการถูกเฆี่ยนเป็นที่สุด ทำให้อีกฝ่ายต้องเปลี่ยนโทนเสียงกลับมาพูดโดยปรกติ

" นี่พี่ยอด ไม่ต้องกลัว ชั้นไม่ทำอะไรพี่หรอก แล้วก็จะไม่ให้ใครมาทำอะไรพี่ด้วย พี่เป็นคนของชั้นนะ  ถือว่าพาชั้นไปผ่อนคลาย เนี่ยนอนมาหลายวันละ เผื่อความจำชั้นจะดีขึ้นมาบ้าง จะได้หายไวๆไง " ไอ้ยอดทำท่าลังเลใจไปชั่วครู่ ก่อนถูกอีกฝ่ายลากไปแกมบังคับ

" โอเคตกลง นำทางไปเลอออ พี่ไกด์ยอด " เขาแสดงอาการราวกับตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ไปเที่ยวตลาดท่าเตียนท้ายวังของจริง

" นำไปสิพี่ยอด ว่าแต่เราจะเดินกันไปทางไหนอ่ะ ไม่เห็นถนนซักสาย "

" ถนนกระไรขอรับ ไปทางเรือ พายเรือไปขอรับ.. "

" ห้ะพายเรือไปหรอ เชี้ยยยยยยยโรม๊านนส์สัสสส ถ้าได้มาพายเล่นกับพี่เฌอแตมเอกอิ้งก็คงจะดีสิน้าา งุ้ยๆๆๆ~~ " 

" งุ้ยๆกะไรรึขอรับ " ไอ้ยอดเลิกคิ้วถามคนเป็นนายด้วยความสงสัยในสำเนียงแปลกประหลาดนี้

" โฮะ ยุ่งหน่าา ปะ ปะ ไปได้แล้ว ลงเรือไปพี่ยอด "

" งุ้ยแปลว่ากระไร บ่าวอยากรู้ คุณก้านไปเอามาจากไหนขอรับ "

 


เรือพายออกมาจากท่าน้ำหน้าเรือนเจ้าพระยาพระคลังได้ครู่หนึ่ง มองเห็นเรืออีกลำพายมุ่งมาทางฝั่งนี้ กำลังจะสวนทางกัน ปรากฎเป็นร่างชายหนุ่ม2คน กำลังนั่งอยู่บนเรือลำขนาดพอดีตัว

" พี่ยอดนั่นใครหนะ บนเรือลำนั้น " เขายกมือชี้นิ้วแบบแอบๆไม่ให้เสียมารยาทจนเกินไป

"อ๋อ นั่นคุณเหมอย่างไรเล่าขอรับ หมื่นสุนทรวิสาร บุตรชายคนเดียวของท่านเจ้าพระยาโกษาธิบดี รับราชการเป็นอาลักษณ์ในวังหลวง เรือนท่านอยู่ถัดไปไม่ไกลจากเรือนเรานี่เองขอรับ "

 

"หมื่นสุนทรวิสาร หรอ  . . . " 

"ชื่อนี้มัน ... " เขาจำชื่อคนๆนี้ได้ หลวงสุนทรวิสาร ที่เขียนไว้บนสมุดข่อย แถมพุทธศักราชที่ปรากฎในสมุดเล่มนั้นก็ยังตรงกับช่วงเวลาที่เขาย้อนกลับมาอีก

หรือนี่จะเป็น. . . 

เจ้าของสมุดข่อย ที่สลักปักชื่อ "กานต์กวี" คนที่ทำให้เขา ย้อนเวลากลับมา ณ ที่แห่งนี้ . . .

 

สายน้ำช่างฉ่ำเย็น ละเล่นลิ้วลิ่วสายลม

พัดพาโลกใบกลม ให้ผัดผ่านกาลเวลา

รับรู้ถึงรสรัก ชะตาผลักให้มาหา

แว่วเสียง หยดน้ำตา ขับขานมาในกวี " 

 

แว่วเสียงบทกวีดังขึ้นในโสตประสาทหู เขาตกอยู่ในห้วงภวังค์นั้นอีกครั้ง ราวกับจะบอกอะไรบางอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างเงียบสนิท ภาพชายพายเรืออยู่ตรงหน้าค่อยๆคลาย กลายเป็นสีดำสนิท ไรซึ่งเรี่ยวแรงจะนั่งหยัดตรง ร่างบางของชายหนุ่มล้มฟุบลงไปข้างกาบเรือจนคนพายเรือตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาพยุงร่างอีกฝ่าย ทว่าเรือกลับพลิกคว่ำลง ร่างทั้งสองจมดิ่งลงไปในแม่น้ำ อีกคนพยายามตะเกียกตะกายคว้าร่างอีกฝ่ายซึ่งไม่มีสติ แต่ไม่เป็นผล เขากำลังจมดิ่งลงไปก้นแม่น้ำ

ชายหนุ่มร่างกำยำกระโดดลงจากเรืออีกลำที่กำลังจะสวนกันไป กระโจนพุ่งมุ่งหมายจะไปคว้าร่างของคนตัวเล็กนั้น ทว่าเมื่อร่างของทั้งสองประชิดเข้าหากัน คนที่ไม่สติกลับฟื้นคืนมาอย่างน่าแปลกใจ แววตาทั้งสองประสานกันภายใต้แม่น้ำที่ราวกับมีมนต์ใดปรากฎขึ้นมา เสียงกวีก็ดังขึ้นภายใต้ห้วงแม่น้ำสายนั้น มีเพียงเขาทั้งสองที่ได้ยิน 

 

เพราะรักนี้ มีอาเพศ สังเวชจิต

มิอาจคิด ลิขิตได้ ดั่งใจฝัน

จำต้องพราก จากไป ในคืนวัน

จึงหมายมั่น พลันคิด ปลิดชีวิน "

 

 

บทกวีบอกกล่าวความโศกเศร้าราวกับกำลังบอกกล่าวความทรงจำในอดีต ความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดขึ้นในใจของทั้งสอง จนหลั่งเป็นสายน้ำตาที่ไหลบ่ารวมกันไปกับสายน้ำ

ภายใต้แผ่นน้ำที่กำลังไหลไปตามทาง ไม่ทราบได้ว่าจะไปบรรจบกันที่ตรงไหน แต่ในขณะนี้ คนที่เคยพลัดพรากจากกันไปเมื่ออดีตชาติ ได้มาบรรจบพบกันอีกครั้ง ณ สายน้ำแห่งนี้ สายน้ำแห่งโศกนาฏกรรมความรักเมื่อครั้งก่อน

_______

 ครั้นเมื่อได้สติร่างหนาคว้าเอวบางของอีกฝ่ายตะเกียกตะกายมุ่งขึ้นสู่ผืนน้ำ ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เป็นการทดแทนอากาศที่ขาดไป

คนตัวสูงประคองร่างอีกฝ่ายพาขึ้นเรือเพื่อไปส่งที่เรือนเจ้าพระยาพระคลังโดยไม่พูดไม่จากัน ปล่อยให้บ่าวอีกสองคนพายเรืออีกลำตามกันไป 

 


 

- เรือนท่านเจ้าพระยาพระคลัง -

ท่านเจ้าพระยาพระคลังแลคุณหญิงบัวกำลังนั่งสนทนากันอยู่ที่โถงชานเรือนรับแขก ก่อนจะเห็นหมื่นสุนทรวิสารพาร่างไร้ซึ่งกำลังของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนขึ้นมาบนเรือน สังเกตุเห็นว่าร่างของทั้งสองนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ แต่กระนั้นเหตุใดถึงไปอยู่ด้วยกันได้ ยังนึกคิดว่าลูกชายตนนอนพักดูอาการอยู่ในเรือนเล็กฝั่งนู้นอยู่เลย

" เอ้าพ่อเหมเองรึ มาๆพาน้องมานั่งตรงนี้เสียก่อนเถิด " เจ้าพระยาพระคลังกล่าวต้อนรับอย่างยินดีปนสงสัย

" เกิดอันใดขึ้น ถึงพากันไปเปียกโชกปานนี้ ลูกชายดิฉันไปสร้างความเดือดร้อนอันใดให้แก่พ่อหรือเปล่า  " 

"เปล่าดอกขอรับท่านอา ผมเห็นน้องมันพายเรือเล่นอยู่กับไอ้ยอดเยื้องๆเรือนกระผม จึงได้ออกมาดู สักพักเรือก็พลิกคว่ำ ถึงได้วิ่งออกมาช่วยขอรับ " คุณเหมกล่าวบิดเบือนความจริงไป ประสงค์จะแก้ต่างให้บุตรชายเจ้าพระยาพระคลัง จะได้ไม่เกิดปัญหา แต่ทว่าไม่เป็นผล

" ไอ้ยอด !! มึงนี่หาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว กูจักสั่งสอนมึงกระไรดี เหตุพาลูกกูไปเที่ยวเตร่ แทนที่จะให้ลูกกูนอนพักอยู่บนเรือน เฆี่ยนให้หลังขาดเสียดีไหมมึง " คนพูดตบเข่าดังฉาด ราวกับไม่พอใจเสียอย่างมาก

" บ่าวผิดไปแล้วขอรับคุณท่าน บ่าวรับผิดทุกอย่าง จักเฆี่ยนจักตีบ่าวก็ตามประสงค์แต่คุณท่านเลยขอรับ บ่าวผิดไปแล้ว " คนพูดแสดงท่าทีหนาวสั่นไม่รู้ว่าหนาวเพราะตัวที่เปียกโชกหรือเพราะความกลัวในลหุโทษที่จะได้รับ 

" แม้นหากลูกกูเป็นกระไรไปอีกครา มึงไม่มีหัวไว้นั่งหน้าสลอนอยู่เยี่ยงนี้แน่ ไปเอาหวายมา กูจักสั่งสอนไอ้เดนนี้ให้หลาบจำเสียสักที " พูดพลางชี้นิ้วสั่งบ่าวในเรือนให้ไปเอาวายมาโดยเร็ว

" ไม่ได้นะครับ !! จะไม่มีการเฆี่ยนตีเกิดขึ้น ถ้าจะตีก็ตีที่ผม เพราะผมเป็นคนบังคับพี่ยอดให้พาไปเอง แล้วถ้าจะหาคนผิดก็คือผมเอง ไม่ใช่พี่ยอด !! " 

ในชานเรือนขณะนี้ทุกคนกลับนั่งนิ่งเงียบ บ่าวไพร่ในเรือนกลอกตามองกันไปมา กระซิบกระซาบกันอย่างสนุกปาก เหตุเพราะสำเนียงแปลกแปร่งผิดหูของคนที่กำลังพูดไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป แถมยังเรียกทาสรับใช้ว่าพี่เสียอีก คนพูดเห็นท่าไม่ดีจึงรีบรุดแก้ประโยค รวบรวมคำโบราณเท่าที่จะจำได้จากตอนเรียนมาใช้ให้มากที่สุด ก่อนจะพ่นประโยคสุดสะพรึงใส่คนเป็นพ่อ

" กระหม่อมผิดเองเจ้าค่ะ กระหม่อมพาพี่ยอดไปเอง ได้โปรดเฆี่ยนตีกระหม่อมแทนเลยเจ้าค่ะเด็จพ่อเด็จแม่ "

สิ้นเสียงพูดของเจ้านาย ทันใดนั้นอีจวงบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณหญิงบัวก็หลุดหัวร่อออกมาอย่างดังราวกับอดกลั้นไม่ไหวเสียเต็มทีกับคำพูดคำจาที่แปลกประหลาดนั้น  ทว่าพอคนพูดพยายามพูดให้ดูเหมือนชาวโบราณทั่วไปกลับใช้ภาษาไม่ถูกกับตำแหน่งเสียอย่างนั้น ฟังแล้วเหมือนบทลิเกแลละครกลางแปลง ทำเอาคนพูดมีสีหน้าเจื่อนไปทันทีทันใด ราวกับเสียความมั่นใจไปเสียดื้อๆ

" อีจวงมึงนี่ เสียมารยาทจริง เดี๋ยวกูจักเฆี่ยนมึงเสียอีกคน " คุณหญิงบัวกล่าวปรามบ่าวรับใช้คนสนิท

" ไม่ต้องมาสนใจสำเนียงผู้ดีของกระผมหรอก ถึงจะฟังแปลกแปร่งไปแต่กระนั้นก็ใช้ได้สำหรับคนมีการศึกษาเท่านั้น เข้าใจเนอะ ... "

เขาพูดแก้เขินแต่แอบเหน็บแนมอีจวงบ่าวที่ไร้มารยาทพอเป็นพิธี ทำเอาอีจวงก็หน้าเจื่อนไปเสียเหมือนกัน

ถึงจะฟังดูพิลึกพิลั่นเต็มทน แต่คุณเหมก็แอบยิ้มกริ่มอยู่เบาๆเหตุเพราะชอบใจในการตอบโต้ที่ฉับไวแลเฉลียวฉลาดของคนที่นั่งข้างๆ 

" เอาเถอะ เอาเป็นว่าปัญหาจบนะครับ ไม่มีใครเฆี่ยนตีใคร ทุกคนแยกย้ายไปทำงานได้ ส่วนพี่ยอด ปะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ชั้นหนาวจะตายอยู่แล้ว " คนพูดทำท่าทีหนาวสั่นก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป หวังจะไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่โคตรจะอึดอัดนี้ 

" เดี๋ยว ยังไปมิได้ พ่อยังมิได้สะสางเรื่องที่เอ็งแอบหนีเรียนเขียนกลอนที่พ่อได้ฝากฝังไว้กับพ่อเหมเขาเลยหนา หมายมั่นจะให้ลูกชายคนโตได้เป็นกวีผู้มีความรู้ความสามารถ แต่กลับมิได้ดั่งใจ คิดว่าไปร่ำไปเรียน สุดท้ายมิเคยโผล่หัวไปเรียน แต่แอบไปเที่ยวเตร่แถวตลาดจนเกิดเรื่องเกิดราวให้ถึงแก่ชีวิต มิตายเสียก็ดีเท่าไหร่แล้ว เรื่องนี้จักให้พ่อลงโทษไอ้ยอดเยี่ยงไรดีรึ "

สีหน้าของเขาหมองลงไปทันตา เรื่องนี้สมควรแก่โทษเสียจริงๆ ทั้งนายทั้งบ่าว คนเป็นนายแอบไปเที่ยวเตร่คนเดียว คนเป็นบ่าวก็ละเลยในหน้าที่ไม่ตามไปดูแลในวันเกิดเหตุ จนนายถึงแก่ชีวิต หากจะแก้ตัวอย่างไรก็แก้ไม่ได้   

" อะ อะ  เอ่อ... " เขายืนแข็งทื่อพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่มีคำแก้ตัวใดๆหลงเหลือในหัวสมองอันน้อยนิด

" ว่าอย่าไรล่ะพ่อ จะให้พ่อลงโทษมันเยี่ยงไรดีหนา ให้อดข้าวอดน้ำสักวันสองวัน หรือจะให้เฆี่ยนจนถึงแก่ชีวิตเสียบ้าง เอาเยี่ยงไรดีรึ "

" อย่าถึงกระนั้นเลยครับท่านอา กระผมเกรงว่าจะดูโหดกับไอ้ยอดมันเสียเกินไป อีกทั้งเรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาเรียนกับกระผม ถึงกระนั้นให้กระผมจัดการให้ดีหรือไม่ " คนพูดกล่าวอาสา เพื่อตั้งใจจะให้ปัญหานี้คลี่คลายลง ไม่อยากให้บ่าวมันเสียขวัญ

" มิต้องดอกพ่อ จะเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ เรื่องนี้ เยี่ยงไรไอ้ยอดก็ต้องได้รับโทษเสียบ้าง มิอย่างนั้นก็เลี้ยงให้เสียข้าวสุกเสียเปล่าๆ อีกทั้งหลังจากนี้ก็คงมิรบกวนพ่อแล้ว ดีฉันว่าจะส่งเจ้าก้านไปร่ำเรียนกับอาจารย์ในเขตพระนคร เผื่อจะโดนกำราบฤทธิ์เสียบ้าง ดีฉันตามใจมามากเกินเสียแล้ว " 

ได้ยินอย่างนั้น ใจเขารู้สึกต่อต้านขึ้นทันทีทันใด อย่างไรในเมื่อเขาได้มาเจอกับเจ้าของสมุดข่อยเล่มนั้นแล้ว เขาไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้ค้นหาความจริงจากผู้ชายคนนี้เป็นแน่ ว่าเหตุใดถึงสลักปักชื่อของเขาไว้ เหตุใดบทกวีที่เขาแว่วหูมาตลอด ๒๐ ปี ถึงเป็นบทกวีเดียวกันกับในสมุดข่อยที่คนตรงหน้าเป็นคนประพันธ์มันเอาไว้

" ไม่ได้นะครับ ผมไม่ไปอ่ะ ผมจะเรียนกับพี่.. / พี่ชื่ออะไรนะ.. ? " คนพูดหันไปหาคนร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายทำหน้าเชิงสงสัย ก่อนจะยกนิ้วชี้ที่เรียวยาว ชี้เข้าหาหน้าตัวเองเป็นเชิงคำถาม อีกคนพยักหน้าเป็นการยืนยัน

" เหม ... "

" เออใช่ พี่เหม ผมจะเรียนกับพี่เหมคนเดียวเท่านั้น ผมไม่เรียนกับคนอื่นอ่ะ ยังไงก็จะเรียนกับคนนี้ " คนพูดชี้นิ้วเรียวยาวไปที่อีกฝ่ายที่นั่งทำหน้าประหลาดใจ อากัปกิริยานี้ช่างน่าดุเสียจริงๆ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ -"- ก่อนที่คนเป็นพ่อจะกล่าวแทรกขึ้นมาทันใด

" ขืนให้ร่ำเรียนกับครูคนเดิม เอ็งก็ยังเป็นแบบเดิม เดี๋ยวก็แอบไปเตร็ดเตร่เถลไถลอีก พ่อมิวางใจ "

 " หน่าาา เด็จพ่อ นะๆ ผมสัญญาเลยว่าครั้งนี้ผมจะตั้งใจเรียนกับครูพี่เหมแบบไม่เถลไถลเลยคร้าบบ นะๆ " คนเป็นลูกพูดพลางทำสีหน้าอ้อนวอนราวกับสนิทชิดเชื้อกันมานาน ทว่าสายเลือดมันเปลี่ยนกันไม่ได้จริงๆ แม้นดวงจิตจะเปลี่ยนไปแต่สายใยของครอบครัวยังรู้สึกถึงเสมอ

" พ่อจะเชื่อใจเอ็งได้เยี่ยงไร "

" หากกระผมผิดคำพูดนี้ คุณพ่อเฆี่ยนพี่ยอดได้เลยครับ " 

" แหะๆ ใช่มั้ยพี่ยอดจ๋า " เขาหันไปคลี่ยิ้มบางๆให้ไอ้ยอดที่นั่งทำสีหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ เหตุเพราะรู้ว่าโดยปกตินายของตัวเองต้องหาทางแอบไปเที่ยวอีกเป็นแน่แท้ 

" ว่าเยี่ยงไรล่ะพ่อเหม เห็นควรกับน้องมันหรือไม่ " คนเป็นพ่อหันไปถามความสมัครใจของคนเป็นครู

" เอ่อ หะเห็นครับเห็น เห็นด้วยครับท่านอา  " ใจคนพูดยังไม่ไปไหน ยังคงตกอยู่ในห้วงของอากัปกริยาที่น่าดุน่าตีของคนตรงหน้าเมื่อครู่นั้น

" ฝากน้องด้วยนะพ่อ คราวนี้มิต้องช่วยกันปิดบังแล้วหนา เวลาเจ้าก้านมันแอบหนีไปเที่ยว พ่อก็ช่วยน้องมันปิดบังดีฉันตลอดจนได้ใจ " 

" ครับท่านอา ..." 

" ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับท่านอาจารย์คนหล่อ " 

เขาส่งยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจในข้อตกลงให้กับคนข้างๆ ทำเอาอีกฝ่ายเบิกตาค้างจนเสียอาการไปชั่วขณะ

>//<

" ปะ พี่ยอด ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดกัน หนาวจะแย่ " ไม่ทันได้ก้าวพ้นจากเรือนรับรอง เสียงคนเป็นครูจำเป็นก็พูดตามหลังมาติดๆ

" อะ..เอ่อ ท่านอาครับกระผมขออาบน้ำ ผลัดผ้าที่นี่นะครับ ท่านอาพอจะมีผ้าโจงเหลือๆบ้างไหมครับ " 

" เออๆเอาสิ ตามสบายเลยพ่อ ไปอาบน้ำผลัดผ้าที่เรือนเล็กพร้อมเจ้าก้านมันเสียเลยสิ ผ้าโจงก็เอาของน้องมันก่อนนั่นแหละมิต้องเกรงใจหนาพ่อ "

" หะ หะ ...ห้ะ ! อาบน้ำพร้อมกัน?? ม่ายยย ผมไม่ยอมอาบน้ำพร้อมกับใครทั้งนั้นนน ยิ่งคนแปลกหน้าด้วยไม่มีทางงงโว๊ยยยยยยย  #_#  "

 

sds

______________

 

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป

 

#บ่วงบทกวี

เป็นนิยายเรื่องแรก ขออภัยหากใช้คำผิดพลาดประการใด

ฝากบ่วงบทกวีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ^^

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา