บ่วงบทกวี

-

เขียนโดย ชักช้าา

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.37 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,608 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 23.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) กวีบทที่ ๑ กานต์กวีมีมนต์บันดลให้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

    เวลา ๑๘.๓๙ น.

    ณ กรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง .

 

ในยามแสงอาทิตย์กำลังจะตกดินหรือลับเหลี่ยมตึกที่สูงระฟ้า

..ห้วงหนึ่งสัมผัสถึงความเงียบสงบ

เป็นสัญญาณว่าแสงจันทร์เริ่มคลี่ม่าน  รัตติกาลกำลังจะผ่านโคจร ต่อจากนี้ โลกจะถูกปกคลุมด้วยความมืด..หนึ่งชั่วคืน

 

   บรรยากาศยามเย็นกำลังดี อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างไอแดดร้อนกับสายลมหนาว เป็นสัญญานว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะใกล้เข้าสู่เวลาพลบค่ำ ช่วงเวลานี้ดูจะเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจในสวนหลังบ้าน เดินออกกำลังกายเหยาะๆ ในสวนสาธารณะ หรือบางคนอาจจะเตรียมตัวไปดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางบรรยากาศสุดหรูใจกลางเมืองกรุงเทพฯ  

   แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับมานั่งอุดอู้อยู่ในรถฟอร์จูนเนอร์คันสีดำสนิท มองออกไปทางไหนก็พบเจอแต่ รถ รถ รถ !!! - ชีวิตดีๆที่ลงตัวในกรุงเทพ -.-

   "หึ พ่อนะพ่อ คิดอะไรถึงได้มาเดินทางไปต่างจังหวัดตอนคนเลิกงานกำลังกลับที่พักกันเวลานี้เล่า รถก็เลยติดแหง็กเป็นปลากระป๋องโรซ่าอยู่แบบนี้มาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว "  ผมบ่นพึมพำคนเดียวพลางถอนหายใจเฮือกใจอย่างกับหมดอะไรตายอยาก 

   ผมกานต์ครับ กานต์กวี โชตินวจินดา เป็นหลานชายสุดโปรดของ อาจารย์พฤกษ์ฤทธิ์ โชตินวจินดา ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์คนล่าสุดของประเทศไทย  ใช่ครับ วันนี้เป็นวันงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่คุณปู่ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งจัดขึ้นในเขตชานเมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ผมกำลังเดินทางไปในขณะนี้ 

   ถึงจะเป็นหลานชายสุดโปรดปรานของนักเขียนชื่อดัง แต่กระนั้นผมก็ไม่ได้พิสวาทในศาสตร์ของวรรณกรรมเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบทกวี นิราศ ร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ได้ยินทีไรก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสียทันที คงเป็นเพราะว่าผมมักจะได้ยินเสียงแว่วเป็นบทกวีแปลกๆ เวลาที่ผมเหม่อลอยไร้ซึ่งสติ มันทำเอาผมขนลุกขนพองไปเสียดื้อๆ 

   บางครั้งบทกวีนั้นมีความสุข มีความหวัง แต่บางครั้งบทกวีนั้นกลับเศร้าสลดหดหู่น่ารันทด ทำเอาผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวมานับครั้งไม่ถ้วน เหตุการณ์ประหลาดนี้อยู่กับผมมาตลอด20ปี โดยไม่ได้บอกกล่าวกับใคร

   ผมจึงต้องทำให้ตัวเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พยายามหาอะไรทำให้รู้สึกไม่เงียบเหงา ผมจึงเป็นคนที่ค่อนข้างจะคลั่งศิลปินเกาหลีเสียมากๆ ชอบเต้น ชอบร้องเพลงเสียงดังๆ ชอบทำอะไรสนุกๆ

   แต่ทว่าหลีกหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะคุณพ่อกับคุณแม่สุดที่รักของผมเนี่ย อยากให้ผมได้รับราชการเหมือนกับท่านทั้งสอง แถมยังบังคับให้ผมร่ำเรียนทางด้านวรรณกรรมภาษาไทย จะได้สืบสานปณิธานของคุณปู่ ทำหน้าที่เป็นหลานชายคนโปรด จะได้เป็น "กานต์กวี ที่แปลว่ากวีผู้น่ารัก " ดังที่คุณปู่ได้มอบชื่อนี้ไว้ให้ตอนผมเกิด 

   รถเคลื่อนมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย เป็นเวลา 20.19 น. บรรยากาศย่ำค่ำดูเหมือนจะรู้สึกเย็นสบายเสียยิ่งกว่าที่กรุงเทพฯเป็นไหนๆ บ้านเรือนไทยหลังใหญ่โตที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถท่ามกลางธรรมชาตินี้ ประดับประดาไปด้วยแสงไฟระย้าเป็นแนวทางยาวไปจนถึงงานเลี้ยง 

   ผมเดินเข้ามาถึงบริเวณงานเลี้ยงพร้อมกับคุณพ่อและคุณแม่ ที่เอาแต่ทักทายญาติสนิทมิตรสหาย พูดคุยกันจอแจ จนราวกับลืมลูกชายคนนี้ไปเสียแล้ว

   ผมเดินเอื่อยเรื่อยๆเข้ามาใจกลางงานที่อยู่ใต้ถุนบ้านเรือนไทย ซึ่งข้างในนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ และดูจะเป็นที่ของผู้ใหญ่ที่มียศฐาบันดาศักดิ์ ไม่ชอบความวุ่นวายมากนัก จึงเข้ามานั่งจิบเครื่องดื่ม พูดคุยกันเชิงการเมืองตามประสาคนมีความรู้ความสามารถ

   เสียงเรียกหาชื่อผมดังมาจากโต๊ะไม้ไม่ไกลนัก ปรากฎร่างชายสูงวัยดูจะมีภูมิฐานขึ้นทันตาเห็น คือคุณปู่ของผมเอง ท่านเดินเยื้องย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับกุมบ่าของผมไว้แน่น

   " อ้าวมาถึงกันแล้วรึ เด็กชายกวีผู้น่ารักของปู่ " คุณปู่กล่าวทักทายเชิงหยอกล้อ ทำราวกับว่าผมยังเป็นเด็กเล็กเด็กน้อยของท่านไม่เคยเปลี่ยน

   " มาถึงสักพักแล้วครับ พ่อกับแม่อยู่ในงานข้างนอกนู่น เดินทักทายญาติสนิทมิตรสหาย จนคิดว่าเป็นเจ้าภาพไปเสียเองแล้ว " คนตรงหน้าหลุดหัวเราะคิกคัก เมื่อได้ฟังผมแอบแซวพ่อและแม่ที่ทำหน้าที่เกินกว่าเจ้าของงานเสียจริงๆ ก่อนที่ผมจะยกกระเช้าดอกไม้สีขาว ที่ตระเตรียมมาจากกรุงเทพฯ มอบให้คุณปู่เพื่อเป็นการแสดงความยินดี 

   " ยินดีด้วยนะครับ อาจารย์พฤกษ์ฤทธิ์ โชตินวจินดา แหม่ะ... นี่ผมต้องเรียกท่านอาจารย์ปู่มั้ยครับเนี่ย จะได้สมฐานะศิลปินแห่งชาติคนใหม่ ^^ " ผมพูดแซวคุณปู่ที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างชอบใจ

   " ไม่ต้องขนาดนั้นไอ้หลานรัก ปู่เป็นกวี ไม่ใช่ฤๅษีชีเปลือย มาเรียกอาจารย์ปง อาจารย์ปู่อะไรกัน ปะๆ ไปหาไรกินในงานเสียก่อน เดินทางมาเหนื่อยๆ นี่มีขนมไทยโบราณที่หลานชอบด้วยนะ ผู้ว่ากระทรวงวัฒนธรรมแกเอามาเสริมทัพให้เป็นกองเลย "

   " รออะไรล่ะครับท่านอาจารย์ปู่ ผมนี่กำลังหิวเลย แบบนี้ต้องไปจัดซะแล้ว ไม่ได้กินซะนาน^^ " ผมกล่าวอย่างตื่นเต้นพลางยกมือขึ้นมาลูบท้องน้อยๆของตัวเอง เป็นการบอกกล่าวว่าหิวจริงๆ

   "เอาเถอะๆ กินเสร็จแล้ว ถ้าเบื่อๆก็ขึ้นไปนอนเล่นบนบ้านก่อน พ่อแม่หลานก็คงจะคุยกันถึงดึกๆนู่นแหละ "

   " งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ลาบปากอยากกินขนมไทยมานานละ คุณปู่ก็ไปรับแขกเถอะครับ ก่อนจะโดนแย่งหน้าที่เจ้าภาพไปนานกว่านี้นะครับ ฮ่าๆ " ผมพูดแซวพลางยิ้มกว้างอย่างสนุกปาก ก่อนจะเดินลัดเลาะหาขนมหวานกินอย่างพึงพอใจ

   หลังจากเดินหาของกินจนเมื่อยแข้งเมื่อยขา ก็ขึ้นมานั่งเล่นบนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ พลางจ้วงขนมที่หยิบติดไม้ติดมือมาจากงานเลี้ยงขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเริ่มเดินสำรวจภายในบ้าน เหมือนทุกครั้งทุกคราวที่มาเยี่ยมคุณปู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ แต่ทว่ากลับเหมือนมีอะไรดลใจปราถนาให้ผมเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ห้องที่ผมไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปเลย เพราะเป็นโซนเขียนหนังสือของคุณปู่ที่ดูจะเงียบเหงาที่สุดในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่นี้ บรรยากาศในห้องดูวังเวงจนน่าขนลุกขนพอง

   ขาซ้ายก้าวข้ามธรณีประตูห้องเข้าไป ความรู้สึกแปลกประหลาดวูบวาบเข้ามาอย่างน่าแปลกใจ หรือจะเป็นเพียงอาการตื่นเต้นที่ผมไม่เคยได้เข้ามาในห้องนี้เลย ผมเดินสำรวจชั้นหนังสือวรรณกรมต่างๆที่คุณปู่เก็บสะสมไว้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานตัวเอง หรือผลงานนักเขียนกวีนิพนธ์คนอื่นๆ ถูกจัดแจงให้เป็นระเบียบเข้ามุมของชั้นวางอย่างสวยงาม

   ก่อนที่ผมจะเลือกหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เพียงเพราะว่าดูเบาบางกว่าเล่มอื่นๆ เหตุคือผมไม่ชอบหนังสือวรรณกรรมหนาๆ ดูแล้วเหนื่อยแทนทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน  ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้จรดนิ้วหัวแม่มือดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาจากชั้นวางอย่างเบามือ แต่กระนั้นกลับมีหนังสืออีกเล่มติดออกมาด้วย และหล่นลงไปที่พื้นอย่างแรง ราวกับว่าหนังสือเล่มนั้นถูกวางไว้ข้างในส่วนลึกของชั้นวาง แต่กระนั้นเหตุใดถึงหล่นออกมาง่ายดายเสียจริงๆ

   ผมก้มมองหนังสือเล่มนั้นด้วยความงุนงงปนสงสัย สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหาใช่หนังสือไม่ แต่กลับเป็นสมุดข่อยโบราณที่เก่ารอมร่อราวกับจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เนื้อกระดาษดูหยาบกระด้าง ผิวของแผ่นกระดาษมีสีน้ำตาลอ่อนๆ เหลือบจะเป็นสีเหลืองทองแก่ๆ หน้าปกถูกสลักปักชื่อด้วยหมึกดำสนิทไว้ว่า " กานต์กวี "

   ผมจ้องมองมันพร้อมกับตั้งคำถามมากมายในใจ เหตุใดสมุดข่อยโบราณคร่ำครึเล่มนี้ ถึงมีชื่อเหมือนกันกับชื่อของผม มันเกี่ยวโยงสัมพันธ์อะไรกับตัวผมกันแน่ แล้วทำไมวัตถุโบราณล้ำค่าเช่นนี้ ถึงมาอยู่ในชั้นวางหนังสือทั่วๆไปของคุณปู่ แทนที่จะได้ไปเก็บรักษาสภาพไว้ที่ห้องหอสมุดแห่งชาติ 

   ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยอาการถนอมมืออย่างที่สุด เกรงว่ามันจะชำรุดเสียหาย จนกลายเป็นคนบ่อนทำลายสมบัติชาติไปเสียก่อน สายตาเหลือบมองลงข้างล่างของหน้าปกสมุดข่อยโบราณ ปรากฎตัวอักษรไทยเล็กๆถูกขีดเขียนไว้ คล้ายจะเป็นชื่อเจ้าของ และช่วงเวลาที่บันทึก 

 

" หลวงสุนทรวิสาร

     พุทธศักราช ๒๓๖๐ " 

 

   ดวงตาที่เคยสดใส หม่นหมองลงไปทันใดนั้น เมื่อได้อ่านชื่อผู้เขียน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาค้นหาชื่อของเขาในอินเทอร์เน็ต กลับไม่พบเจออะไรเลย ไม่มีแม้แต่บุคคลใดที่จะมีนามเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ของไทยมาก่อน ผมขมวดคิ้วแน่นไม่เข้าใจเลย เป็นถึงขุนนางขุนหลวงในวัง พุทธศักราชก็ปรากฎตรงกันกับสมัยรัชกาลที่ 2 ยุคที่วรรณกรรมรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ เหตุใดเขาถึงไม่ได้รับการจดจำและจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เลย แล้ววรรณกรรมเล่มนี้ เหตุใดถึงถูกลืมเลือนตลอดกาล . . .

 

   ผมเริ่มเปิดอ่านเนื้อความในสมุดข่อยด้วยความงุนงง ประสงค์จะไขข้อข้องใจในคำถาม แต่สิ่งที่ปรากฎในหน้าสมุดคือ บทกวี . . .

   ผมขืนใจอ่านกวีบทแรก ด้วยความใคร่อยากรู้

"

"

   ความร้อนผ่าวบังเกิดขึ้นในดวงตา สายน้ำตาเอ่อคลอ พลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง หัวใจเต้นแรงระทึกหนักขึ้น หนักขึ้น

   บทกวีนั้น . . . ช่างเหมือนกับเสียงขับกล่อมที่แว่วหูมาตลอด 20 ปี

 ราว กับ เป็น บท กวี เดียว กัน 

 

  ขณะนี้ร่างกายของผมแข็งทื่อ กล้ามเนื้อแขนขาของร่างกายหยุดทำงานไปชั่วขณะ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะเปิดไปหน้าถัดไป ทว่าเสียงขับกล่อมบทกวียังคงดังขึ้น ดังขึ้น. . .   เป็นเสียงบทกวีที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ราวกับได้อยู่ใกล้ต้นกำเนิดบทกวีนี้อย่างถึงที่สุดแล้ว

 

" มิอาจเรียก เพรียกหา ชะตาใหม่

มิอาจย้อน คืนไป ได้แปรผัน

มิอาจแก้ แด่รักนี้ ที่ผูกพัน

มิอาจฝัน จะได้รัก สักเพลา " 

 

   เสียงขับกล่อมบทกวีผ่านไปบทแล้วบทเล่า น้ำตายังคงไหลเอ่อไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับหนักขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิมเสียงลมหายใจฮึดฮัดค่อยๆหอบถี่ขึ้นราวกับกำลังจะขาดอากาศหายใจ นิ้วมือเรียวบิดเกร็ง จนรู้สึกปวดร้าวไปถึงไขกระดูก ออกซิเจนในปอดค่อยๆลดน้อยลงไปชั่วขณะ สายตาเริ่มพร่ามัว มองอะไรไม่เห็นชัด ไม่รู้เหตุเพราะหยดน้ำตาที่ปกคลุมไว้ หรือเพราะอาการหน้ามืดคล้ายจะหมดสติกันแน่

   สิ่งรอบกายกำลังหมุนเคว้งคว้าง ร่างกายเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศโดยไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วงของโลก ก่อนที่ม่านดวงตาจะค่อยๆปิดลงช้าๆ ลมหายใจค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังจมดิ่งลงไปในห้วงมหาสมุทรเสียอย่างนั้น

   ทันใดภาพภวังค์ก็ปรากฎร่างชายหนุ่ม 2 คนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำที่ลึกที่สุด ไร้ซึ่งอาการตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด ราวกับทั้งสองได้หมดลมหายใจและตายจากกันไปเสียแล้ว

   ภาพทุกอย่างค่อยๆคลาย กลายเป็นสีดำสนิท

ทุกโสตประสาทของร่างกายหยุดทำงาน

ผม ผู้ไม่รับรู้อะไรบนโลกใบนี้อีกแล้ว . . . 

 

" กานต์กวี มีมนต์ บันดลให้

ชี้ชะตา พากลับไป ดั่งใจฝัน

กลับไปแก้ แด่อดีต ที่ผูกพัน

อีกฝั่งนั้น อธิษฐาน นับวันรอ "

________

 

" อีกฝั่งนั้น อธิษฐาน นับวันรอ "

 

   " ท่านหมื่นขอรับ มีบ่าวจากเรือนท่านเจ้าพระยาพระคลัง มาส่งข่าวว่าคุณก้านฟื้นแล้วหนาขอรับ ท่านหมื่นจักไป..." ไอ้ชิดผู้เป็นบ่าวรับใช้หน้าห้องของหมื่นสุนทรวิสาร หาได้ไถ่ถามความประสงค์จนครบจบประโยคไม่ ทว่าอีกฝ่ายกลับเร็วยิ่งกว่าเสียอย่างนั้น รีบรุดออกไปโดยไม่รอฟังคำกล่าวของมันจนจบ

    " ท่านหมื่นคอยไอ้ชิดด้วยสิขอรับ !! "  เกิดมาขาสั้นแถมต้องมาเป็นบ่าวรับใช้คนขายาวอย่างคุณเหม ซวยกระไรเช่นนี้หนากู -_-

sds

 

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป 

#บ่วงบทกวี

เป็นนิยายเรื่องแรก ขออภัยหากใช้คำผิดพลาดประการใด

ฝากบ่วงบทกวีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา