โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
8) ข้าที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันทั้งวันเด็กชายตัวน้อยเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ในหัวมีเรื่องราวมากมายวุ่นวายสับสน ทั้งเรื่องที่เป็นไปได้และเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดารีลจากไปแล้วจริงๆ หรือจากกันโดยยังไม่ทันเอ่ยคำลา ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ภาพจำสุดท้ายยังเป็นดารีลที่หัวเราะร่าเริงในเมืองที่ล่มสลายไปแล้วอย่างแพสทรูแลนด์ เขาผู้อารมณ์ดีอยู่ได้แม้ถูกใส่ความและโดนจองจำโดยไร้ซึ่งความผิด คนแบบนี้สามารถคิดสั้นได้จริงหรือ
เพื่อนๆ ของเขาได้กลับไปในตอนเย็นของวันนั้น ฟิโลโซเฟอร์เดินตามหลังขบวนเกวียนไปเรื่อยๆ จนขบวนเกวียนทิ้งห่างลับสายตา แต่เขาก็ยังไม่หยุด
ในที่สุดก็เดินมาถึงสี่แยกหัวมุมถนน แต่จิตใจของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกจากคนผู้เดียว เด็กชายตัวน้อยหยิบกระพรวนทองเหลืองออกมาด้วยความรู้สึกว้าวุ่น กลัวความจริงที่ต้องรับรู้
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเทือกเขาสีดำทอดตัวยาวเหยียด ซาเหวจลอร์ดอย่างนั้นหรือ ใช่คนเดียวกับที่เขาฝันถึงอยู่เสมอไหมนะ
“ ถ้าเจ้าพาเขาไป ข้าจะตามทวงคืนแน่ ต่อให้ต้องง้างทั้งเทือกเขาปีศาจนั่นก็ตามที ”
เด็กชายประกาศกับตนเอง
เขาก้มลงมองกระพรวนในมือ
ของสิ่งนี้ดารีลมอบให้เมื่อนานมาแล้ว
บอกว่าหากเขาสั่นกระพรวน
ดารีลจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรและจะตอบสนองเขา
เว้นแต่ว่า
หากหนุ่มน้อยคนนั้นตายแล้ว
ดารีลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่เป็นทางเดียวที่จะรู้
แต่เด็กชายก็หวาดกลัวเหลือเกิน
สุดท้ายความคิดถึงก็มีมากกว่า
เขาจึงกลั้นใจสั่นกระพรวน
เสียงของมันหวานใสเหมือนเช่นเคย
ฟิโลโซเฟอร์ยืนนิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป
สายลมพัดแผ่วๆ แต่มันคือลมทุ่งที่เขารู้จักดี
หาใช่สิ่งที่เขาต้องการไม่
อึดใจต่อมาเด็กชายจึงแผดเสียงร้อง
“ ดารีล ข้ารู้เจ้ายังอยู่หยุดเสียที อย่าทำแบบนี้ ”
ทันใดก็มีลมพัดผ่านมาวูบหนึ่ง
เป็นลมที่เศร้าโศกและอ้างว้าง
ฟิโลโซเฟอร์โล่งใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับที่
เขาก้มลงพูดกับกระพรวนทองเหลือง
“ กลับมาเถอะ อย่าไปไหนไกลเลยข้ารอเจ้าอยู่ ”
แล้วก็นั่งรออยู่ตรงนั้น
หวังว่าจะเห็นพ่อมดน้อยขี่ม้ามาตามถนน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า
เหล่านกกลางคืนเริ่มโผบินอีกครั้ง
ฟิโลโซเฟอร์จึงตัดใจ
เดินคอตกกลับบ้าน
บางทีดารีลอาจอยู่ไกลไป
ต้องเดินทางหลายวัน
แต่ไม่เป็นไรหรอก
เขารอได้
แค่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่
ก็ดีใจมากแล้ว
เด็กชายตัวน้อยกลับเข้าบ้าน
รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย
แล้วนั่งทำงานเรื่อยเปื่อยจนดึก
จึงขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา
อันเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา
ทันทีที่เดินพ้นบันได
เขาก็มองเห็นสิ่งหนึ่งตรงริมหน้าต่าง
ที่ๆ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา
ร่างในชุดคลุมดำนั่งกอดเขาอยู่ตรงนั้น
โดดเดี่ยวและเศร้าหมอง
ฟิโลโซเฟอร์รีบวิ่งเข้าไปหาทันทีที่จำได้
เขานั่งลงตรงหน้าหนุ่มน้อยคนนั้น
“ เจ้าหายไปไหนมา รู้ไหมทุกคนเป็นกังวลกันมาก ”
เด็กน้อยเอ่ยถาม
วางมือบนแขนของคนผู้นั้นอย่างห่วงใย
“ ข้าไปมาหลายแห่ง ทั้งป่าลึก แม่น้ำใหญ่หรือแม้กระทั่งในถ้ำกลางหุบเขา แต่ไม่มีที่ใดเลยที่จะสามารถอยู่อย่างเป็นสุข ทุกสิ่งที่เคยมีได้ล่มสลายไปหมดแล้ว ข้าเหมือนตัวคนเดียวหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง ไม่อาจคาดหวังสิ่งใดได้อีกต่อไป ”
ฟิโลโซเฟอร์จับใบหน้าของดารีล
บังคับให้จ้องตากับเขา
ภายใต้แสงสว่างของเงาจันทร์
“ ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนเจ้าอย่าพูดว่าตัวคนเดียว ไม่ว่าเป็นหรือตายสุขหรือทุกข์ข้าจะไม่หันหลังให้เจ้า เพราะฉะนั้นจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ”
ดารีลปิดปากเด็กน้อยเอาไว้
ก่อนที่จะพูดอะไรมากมายกว่านี้
“ เจ้าหญิงลูเซียน่าเพียงผู้เดียวที่รักข้าอย่าจริงใจ สุดท้ายต้องมาจบชีวิตเพราะข้า ฉะนั้นเจ้าอย่าคิดเดินเคียงข้างข้าเลยนะ ข้าที่ไม่สามารถปกป้องใครได้อีกต่อไป หากยังดึงดันอยู่เช่นนี้ชะตากรรมของเจ้าจะไม่ต่างจากนาง เจ้ายังมีคนข้าหลังอีกมากมาย ปล่อยข้าให้มอดไหม้ในกองเพลิงเพียงลำพังเถิด ”
“ อย่าห่วงไปเลยข้ามิใช่เจ้าหญิงลูเซียน่าและข้าแกร่งกว่านาง เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องปกป้องข้าแต่เป็นข้าต่างหากที่จะปกป้องเจ้า ”
ดารีลไม่ตอบว่าอะไร
เขาแค่ซบหน้าลงบนเข่าของตนเอง
เก็บความเศร้าโศกและเจ็บแค้นไว้ในใจ
แต่เพียงผู้เดียว
เด็กชายตัวน้อยอยากรู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น
เขาหนีออกจากวงล้อมของเหล่ามังกรได้อย่างไร
และตอนนี้ร่างของเจ้าหญิงลูเซียน่าซ่อนอยู่ที่ใด
แต่กลัวว่าคำถามเหล่านั้น
จะไปทิ่มแทงหัวใจที่กำลังเจ็บช้ำ
จึงเลือกที่จะมองข้ามไป
“ เจ้าไม่เป็นไรนะ ”
เด็กชายเอ่ยถามอีกครั้ง
“ ข้าที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งยังหาหนทางไม่พบ ดังหมุนวนอยู่ในกับดักที่ไร้ทางออก ถ้าหากพูดว่าไม่เป็นไร มันคงเป็นแค่คำโกหก ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ