โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
6.3
38) ดอกเดซี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกลางดึกคืนนั้น ท้องถนนยังสว่างไสวด้วยตะเกียงโคมมากมายเรียงรายตามสองข้างทาง พระจันทร์สีเงินกลมโตลอยเด่นเหนือท้องฟ้า อากาศที่เข้าใกล้หน้าหนาวก็เย็นเฉียบพอสมควร และกลิ่นหอมหวานจากอาหารมากมายที่ผู้คนนำออกมาขายบ้างแจกจ่ายบ้างตามแต่ใจปรารถนา
เด็กชายตัวน้อยเคยหลงทางในเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาได้หนุ่มน้อยพ่อมดผู้ลือชื่อมาเป็นสหาย หนึ่งปีผ่านไปในโอรีเวียของเขาจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น เพราะเขาได้เรียนรู้เส้นทางต่างๆ ในเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ถ้าหากว่าเขาหลงแล้วมีคนที่หน้าตาสวยเฉียบขาดยิ่งกว่านางสตรีใดอาสาพามาส่ง มันก็คุ้มค่าหากจะทำเป็นหลงทางอีกครั้ง
ฟิโลโซเฟอร์เดินมาตามถนนสายหลัก จนมาถึงสะพานหินข้ามลำธารสายหนึ่ง ความทรงจำครั้งเก่าก่อนย้อนกลับมา ชวนให้หวั่นใจอยู่ลึกๆ สตรีแสนงามในชุดสีแดงสดผู้พยายามมอบแอปเปิ้ลให้กับเขา เด็กชายชาวซีนาร์ยมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบวี่แววของนาง
แทนที่จะรู้สึกรู้สึกโล่ง เด็กชายตัวน้อยกลับรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ เวลาและสถานที่เช่นนี้ดึงดูดนางแต่นางกลับเพิกเฉย สตรีนางนั้นคงมีเรื่องอื่นให้นางสนใจ คงมิใช่เรื่องดีแน่
หลังจากผ่านสะพานหินมาได้ไม่นาน เขาก็พบกับตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งพื้นถนนปูด้วยหินสีดำหยาบๆ บางครั้งสูงชันจนต้องตัดเป็นขั้นบันได เส้นทางแห่งนี้เปลี่ยวทึบเพราะขนาบข้างไปด้วยผนังกำแพงสูงทำให้แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลงมาไม่ถึง
แต่ยังมีใครบางคนที่จิตใจดีนำเทียนหอมมาวางเรียงไว้ตลอดทาง ให้ความสว่างกับถนนที่ไร้ความราบเรียบ ไม่เช่นนั้นคงมีคนสะดุดหัวทิ่มได้เลือดกันบ้างแล้ว
แสงสว่างนวลกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเทียนทำให้บรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวดูไม่อึดอัด ตามรอยแตกของหินยังมีพืชต้นเล็กๆ งอกงามขึ้นมาได้ มันกระจายเป็นหย่อมๆ ตามสองข้างทาง
ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองพุ่มดอกเดซี่ด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันงอกเงยขึ้นมาได้แต่แปลกที่มันงดงามเหลือเกิน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นไม้ชนิดนี้ผลิบานอยู่เต็มทุ่งแต่เขาไม่เคยคิดใส่ใจ ในคืนนี้มันกลับดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด เด็กชายตัวน้อยเกิดความคิดหนึ่ง เขาจึงก้มลงเด็ดมันขึ้นมาแล้วเดินทางต่อไป
“ เจ้ามาสาย ”
เสียงหนึ่งทักขึ้นก่อนที่จะทันเห็นตัว
“ แล้วมันใช่ความผิดของข้าหรือ ”
เด็กชายตัวน้อยโต้ตอบ
เขาลอดกิ่งแอปเปิ้ลเข้าไปด้านใน
เทียนหอมมากมายที่เรียงรายตรงโคนต้น
ทำให้ต้นแอปเปิ้นต้นใหญ่สว่างเรื่อเรืองขึ้น
เขาจึงเห็นดารีลนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งสูงในชุดคลุมยาวสีขาวที่ดูไม่คุ้นตานัก
กับรัดเกล้าเงินรูปเถาวัลย์เส้นเล็กๆ
จึงทำให้เดาออกว่ามันคือชุดสำหรับงานพิธี
ดารีลโยนแอปเปิ้ลลูกหนึ่งลงมาให้เขา
“ พิธีเฉลิมฉลองจบไปแล้วอดดูพลุไฟเลยไหมล่ะ ”
เขาว่า
“ ช่างพลุไฟสิ ”
เด็กชายตอบโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
“ อดล่องเรือด้วย ”
หนุ่มน้อยกล่าวต่อ
แต่ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองปนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ ตอนนี้ยังทันนี่ข้าเห็นเรือเต็มคลองเว้นแต่เจ้าไม่อยาก ”
เด็กชายว่า
พลางปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้
“ แน่ล่ะ ตอนนี้มันดึกมากแล้วแถมอากาศยังหนาวเย็น เกิดเจ้าทำเรือคว่ำข้าไม่แข็งตายเลยหรือ ”
“ ตลกละ ข้ารู้นะว่าหากเจ้าพอใจต่อให้เป็นแผ่นน้ำแข็งเจ้าก็นอนเล่นมาแล้ว ”
ในที่สุดเด็กชายชาวซีนาร์ย
ก็ปีนมาจนอยู่ในระดับเดียวกับดารีลจนได้
เขาก้มลงมองพื้นด้วยอาการหวั่นๆ
เกิดหนุ่มน้อยคนนี้คลั่งขึ้นมาอีก
หากพลาดหล่นลงไป
จะถึงตายหรือไม่นะ
“ ไหนๆ เจ้าก็ไปถึงบ้านข้าแล้ว ใยไม่เรียกหาข้าล่ะ เกิดข้าไม่พบจดหมายเจ้าจะไม่รอเก้อหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ ช่วยไม่ได้นี่นา ข้าแอบเข้าจากหน้าต่างชั้นบนสุด ให้เดินลงชั้นล่างก็เสียเวลาเปล่า อีกอย่างในช่วงเวลาแบบนี้ข้าต้องไปให้ทันงานพิธีก่อนที่จะมีผู้ใดกล่าวตำหนิ หากคืนนี้เจ้าไม่มามันก็หมายความว่าเจ้าไม่มา ข้าต้องใส่ใจกับเรื่องเพียงเท่านี้หรือ ”
ดารีลบอก
“ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรอ ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
แล้วยื่นดอกเดซี่ที่เพิ่งเก็บมาให้
“ มันคืออะไร ”
คนมีอายุมากกว่าเกิดความสงสัย
“ ข้าจำได้ว่ายังไม่เคยให้อะไรเจ้าเลย แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรให้อะไร ของมีค่าต่างๆ เจ้าก็หาเองได้แต่สิ่งนี้คงยังไม่มีใครให้เจ้าอย่างแน่นอน ”
“ ดอกหญ้าริมทางนี่นะ ”
ดารีลตีหน้าย่น
“ มันออกจะสวยเจ้าไม่ชอบหรืออย่างไร ”
“ ถ้าข้าเป็นเด็กสามขวบก็คงชอบ ”
แต่ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้น
เขาก็ยังรับเอามาถือไว้
“ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากได้อะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
“ สิ่งที่ข้าปรารถนาเจ้าไม่มีทางมีหรอก ”
หนุ่มน้อยรูปงามว่า
“ ไม่มีก็ไม่เป็นไรนี่นาจริงไหม ”
เด็กชายยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์จุดประสงค์เพื่อแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น
ดารีลเอียงร่างหลบ
“ อย่ามาทะลึ่งกับข้า เจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้นหรอก ”
แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นรอยแผลเล็กๆ
ที่ข้างแก้มเด็กน้อย
เหตุจากเมื่อวานที่เขาเกิดอารมณ์คึก
กระโดดลงลานประลองต่อหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม
และต่อหน้าฟีไลร่าเด็กหญิงผมสีเงินคนนั้นด้วย
“ เจ้าไปทำอะไรมานี่ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นแตะแผลเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว
รอยแผลก็ค่อยๆ จางหายไป
“ นักรบย่อมต้องมีบาดแผลอย่าได้ใส่ใจเลย ”
คำตอบนั้นทำเอาดารีลตาขุ่น
“ ข้าลงมาแล้วตั้งหลายสนามยังไม่เคยได้สักแผล เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ แค่ลานประลองเล็กๆ ยังมีแผลได้ กว่าจะลงสนามรบจริงคอคงขาดตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ”
จริงอย่างว่า
เด็กชายเพ่งพิศดูใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้น
พบว่าไร้ริ้วรอยอย่างแท้จริง
“ ก็แน่ล่ะเจ้าทำแผลเก่งนี่นา แต่อย่างน้อยแผลตรงนี้ เจ้าควรปล่อยไว้นะ ”
เขาชี้มือไปที่ระดับต่ำกว่าไหล่
ของหนุ่มน้อยคนนั้น
ดารีลทำท่าจะปัดมันออก
เด็กชายจึงชิงคว้ามือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“ อย่าบอกนะว่าลบไปแล้ว ข้าอุตส่าห์บรรจงสร้างมันขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องลงมืออีกครั้ง ”
“ รอยแผลเป็นมันคือสัญลักษณ์ที่ทำให้คนจำเราได้ ข้าไม่อยากให้มีอยู่เพราะมันลำบากเวลาต้องปลอมตัว รอยแผลพวกนั้นจะบ่งบอกตัวตนของแต่ละคน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับหัวเราะ
“ โธ่เอ๋ยดารีล ถึงไม่มีสักแผลข้าก็จำได้ เจ้าน่ะสังเกตง่ายจะตาย ”
เด็กชายตัวน้อยเคยหลงทางในเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาได้หนุ่มน้อยพ่อมดผู้ลือชื่อมาเป็นสหาย หนึ่งปีผ่านไปในโอรีเวียของเขาจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น เพราะเขาได้เรียนรู้เส้นทางต่างๆ ในเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ถ้าหากว่าเขาหลงแล้วมีคนที่หน้าตาสวยเฉียบขาดยิ่งกว่านางสตรีใดอาสาพามาส่ง มันก็คุ้มค่าหากจะทำเป็นหลงทางอีกครั้ง
ฟิโลโซเฟอร์เดินมาตามถนนสายหลัก จนมาถึงสะพานหินข้ามลำธารสายหนึ่ง ความทรงจำครั้งเก่าก่อนย้อนกลับมา ชวนให้หวั่นใจอยู่ลึกๆ สตรีแสนงามในชุดสีแดงสดผู้พยายามมอบแอปเปิ้ลให้กับเขา เด็กชายชาวซีนาร์ยมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบวี่แววของนาง
แทนที่จะรู้สึกรู้สึกโล่ง เด็กชายตัวน้อยกลับรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ เวลาและสถานที่เช่นนี้ดึงดูดนางแต่นางกลับเพิกเฉย สตรีนางนั้นคงมีเรื่องอื่นให้นางสนใจ คงมิใช่เรื่องดีแน่
หลังจากผ่านสะพานหินมาได้ไม่นาน เขาก็พบกับตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งพื้นถนนปูด้วยหินสีดำหยาบๆ บางครั้งสูงชันจนต้องตัดเป็นขั้นบันได เส้นทางแห่งนี้เปลี่ยวทึบเพราะขนาบข้างไปด้วยผนังกำแพงสูงทำให้แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลงมาไม่ถึง
แต่ยังมีใครบางคนที่จิตใจดีนำเทียนหอมมาวางเรียงไว้ตลอดทาง ให้ความสว่างกับถนนที่ไร้ความราบเรียบ ไม่เช่นนั้นคงมีคนสะดุดหัวทิ่มได้เลือดกันบ้างแล้ว
แสงสว่างนวลกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเทียนทำให้บรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวดูไม่อึดอัด ตามรอยแตกของหินยังมีพืชต้นเล็กๆ งอกงามขึ้นมาได้ มันกระจายเป็นหย่อมๆ ตามสองข้างทาง
ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองพุ่มดอกเดซี่ด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันงอกเงยขึ้นมาได้แต่แปลกที่มันงดงามเหลือเกิน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นไม้ชนิดนี้ผลิบานอยู่เต็มทุ่งแต่เขาไม่เคยคิดใส่ใจ ในคืนนี้มันกลับดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด เด็กชายตัวน้อยเกิดความคิดหนึ่ง เขาจึงก้มลงเด็ดมันขึ้นมาแล้วเดินทางต่อไป
“ เจ้ามาสาย ”
เสียงหนึ่งทักขึ้นก่อนที่จะทันเห็นตัว
“ แล้วมันใช่ความผิดของข้าหรือ ”
เด็กชายตัวน้อยโต้ตอบ
เขาลอดกิ่งแอปเปิ้ลเข้าไปด้านใน
เทียนหอมมากมายที่เรียงรายตรงโคนต้น
ทำให้ต้นแอปเปิ้นต้นใหญ่สว่างเรื่อเรืองขึ้น
เขาจึงเห็นดารีลนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งสูงในชุดคลุมยาวสีขาวที่ดูไม่คุ้นตานัก
กับรัดเกล้าเงินรูปเถาวัลย์เส้นเล็กๆ
จึงทำให้เดาออกว่ามันคือชุดสำหรับงานพิธี
ดารีลโยนแอปเปิ้ลลูกหนึ่งลงมาให้เขา
“ พิธีเฉลิมฉลองจบไปแล้วอดดูพลุไฟเลยไหมล่ะ ”
เขาว่า
“ ช่างพลุไฟสิ ”
เด็กชายตอบโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
“ อดล่องเรือด้วย ”
หนุ่มน้อยกล่าวต่อ
แต่ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองปนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ ตอนนี้ยังทันนี่ข้าเห็นเรือเต็มคลองเว้นแต่เจ้าไม่อยาก ”
เด็กชายว่า
พลางปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้
“ แน่ล่ะ ตอนนี้มันดึกมากแล้วแถมอากาศยังหนาวเย็น เกิดเจ้าทำเรือคว่ำข้าไม่แข็งตายเลยหรือ ”
“ ตลกละ ข้ารู้นะว่าหากเจ้าพอใจต่อให้เป็นแผ่นน้ำแข็งเจ้าก็นอนเล่นมาแล้ว ”
ในที่สุดเด็กชายชาวซีนาร์ย
ก็ปีนมาจนอยู่ในระดับเดียวกับดารีลจนได้
เขาก้มลงมองพื้นด้วยอาการหวั่นๆ
เกิดหนุ่มน้อยคนนี้คลั่งขึ้นมาอีก
หากพลาดหล่นลงไป
จะถึงตายหรือไม่นะ
“ ไหนๆ เจ้าก็ไปถึงบ้านข้าแล้ว ใยไม่เรียกหาข้าล่ะ เกิดข้าไม่พบจดหมายเจ้าจะไม่รอเก้อหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“ ช่วยไม่ได้นี่นา ข้าแอบเข้าจากหน้าต่างชั้นบนสุด ให้เดินลงชั้นล่างก็เสียเวลาเปล่า อีกอย่างในช่วงเวลาแบบนี้ข้าต้องไปให้ทันงานพิธีก่อนที่จะมีผู้ใดกล่าวตำหนิ หากคืนนี้เจ้าไม่มามันก็หมายความว่าเจ้าไม่มา ข้าต้องใส่ใจกับเรื่องเพียงเท่านี้หรือ ”
ดารีลบอก
“ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรอ ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
แล้วยื่นดอกเดซี่ที่เพิ่งเก็บมาให้
“ มันคืออะไร ”
คนมีอายุมากกว่าเกิดความสงสัย
“ ข้าจำได้ว่ายังไม่เคยให้อะไรเจ้าเลย แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรให้อะไร ของมีค่าต่างๆ เจ้าก็หาเองได้แต่สิ่งนี้คงยังไม่มีใครให้เจ้าอย่างแน่นอน ”
“ ดอกหญ้าริมทางนี่นะ ”
ดารีลตีหน้าย่น
“ มันออกจะสวยเจ้าไม่ชอบหรืออย่างไร ”
“ ถ้าข้าเป็นเด็กสามขวบก็คงชอบ ”
แต่ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้น
เขาก็ยังรับเอามาถือไว้
“ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากได้อะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
“ สิ่งที่ข้าปรารถนาเจ้าไม่มีทางมีหรอก ”
หนุ่มน้อยรูปงามว่า
“ ไม่มีก็ไม่เป็นไรนี่นาจริงไหม ”
เด็กชายยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์จุดประสงค์เพื่อแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น
ดารีลเอียงร่างหลบ
“ อย่ามาทะลึ่งกับข้า เจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้นหรอก ”
แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นรอยแผลเล็กๆ
ที่ข้างแก้มเด็กน้อย
เหตุจากเมื่อวานที่เขาเกิดอารมณ์คึก
กระโดดลงลานประลองต่อหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม
และต่อหน้าฟีไลร่าเด็กหญิงผมสีเงินคนนั้นด้วย
“ เจ้าไปทำอะไรมานี่ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นแตะแผลเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว
รอยแผลก็ค่อยๆ จางหายไป
“ นักรบย่อมต้องมีบาดแผลอย่าได้ใส่ใจเลย ”
คำตอบนั้นทำเอาดารีลตาขุ่น
“ ข้าลงมาแล้วตั้งหลายสนามยังไม่เคยได้สักแผล เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ แค่ลานประลองเล็กๆ ยังมีแผลได้ กว่าจะลงสนามรบจริงคอคงขาดตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ”
จริงอย่างว่า
เด็กชายเพ่งพิศดูใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้น
พบว่าไร้ริ้วรอยอย่างแท้จริง
“ ก็แน่ล่ะเจ้าทำแผลเก่งนี่นา แต่อย่างน้อยแผลตรงนี้ เจ้าควรปล่อยไว้นะ ”
เขาชี้มือไปที่ระดับต่ำกว่าไหล่
ของหนุ่มน้อยคนนั้น
ดารีลทำท่าจะปัดมันออก
เด็กชายจึงชิงคว้ามือของเขาเอาไว้เสียก่อน
“ อย่าบอกนะว่าลบไปแล้ว ข้าอุตส่าห์บรรจงสร้างมันขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องลงมืออีกครั้ง ”
“ รอยแผลเป็นมันคือสัญลักษณ์ที่ทำให้คนจำเราได้ ข้าไม่อยากให้มีอยู่เพราะมันลำบากเวลาต้องปลอมตัว รอยแผลพวกนั้นจะบ่งบอกตัวตนของแต่ละคน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับหัวเราะ
“ โธ่เอ๋ยดารีล ถึงไม่มีสักแผลข้าก็จำได้ เจ้าน่ะสังเกตง่ายจะตาย ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ