โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
6.3
14) โซ่ตรวน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในคืนวันแสนธรรมดาอาเธอร์ตัดสินใจย้ายเข้าไปในเมืองโอรีเวียอีกครั้ง มันเป็นช่วงต้นฤดูหนาวที่มีงานเทศกาลประจำปี ส่วนบ้านฟาร์มกลางทุ่งเขาขอความช่วยเหลือจากคนของหมู่บ้านนอกกำแพงให้มาดูแลแทนตลอดช่วงเวลาที่พวกเขาไม่อยู่ และแน่นอนว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดี
วันที่ครอบครัวของอาเธอร์ขนย้ายของ ผู้คนมากมายจากหมู่บ้านนอกกำแพงก็มาช่วยเหลือทั้งขนเสบียงและของใช้จำเป็น ส่วนพวกผู้หญิงนั้นมาช่วยจัดช่วยทำความสะอาดบ้าน เพียงเวลาไม่นานทุกอย่างก็เอี่ยมอ่องพร้อมอยู่ แล้วผู้ให้ความช่วยเหลือก็จากไป ปล่อยเวลาส่วนตัวให้กับเจ้าของบ้าน
บ้านหลังนี้ใหญ่โตและแข็งแรงกว่าบ้านกลางทุ่งมาก เพียงแต่ว่ามันแวดล้อมไปด้วยผู้คนแปลกหน้ามากมาย ถนนกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก ทุกอย่างวุ่นวายสับสนเกินไปสำหรับคนที่เกิดอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ แม้ตอนแรกทั้งหมดล้วนแปลกตาชวนตื่นใจแต่เมื่อนานไปกลับกลายเป็นน่าเบื่อน่ารำคาน
คาโอเรียวางกระต่ายลูลงบนพื้นไม้กระดาน มันจำบ้านหลังนี้ได้แต่ด้วยความที่เป็นกระต่ายมันจึงชอบบ้านน้อยกลางทุ่งมากกว่า เจ้าสัตว์ขนฟูตัวน้อยยืนสองขาทำหูตั้งชันสูดจมูกไปมาไม่ยอมวิ่งเล่นเอาเสียเลย
คาโลไรน์เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน โดยมีบุตรสาวตัวน้อยตามเข้าไปด้วย ส่วนฟิโลโซเฟอร์ได้นำกล่องไม้ที่ใช้ซ่อบดาบโบราณเล่มนั้นไปเก็บยังห้องใต้หลังคา อันเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา เด็กชายตัวน้อยจ้องมองดาบเล่มนั้นอยู่นานด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจ สุดท้ายก็โยนเข้าขางฝาไม่สนใจมันอีกก่อนจะหันไปหยิบดาบไม้และดาบสีเงินคู่กายออกมาวางเรียงกันบนที่นอน ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมห่มผ้าให้ ราวกับของสิ่งนั้นเป็นที่รักและหวงแหน
อาเธอร์นั้นออกไปพบปะกับเพื่อนฝูง เนื่องจากว่าตลอดเวลาที่ทุ่มเททำงานในไร่เขาไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก การไปมาหาสู่กับใครแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อมีโอกาสเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาก็อยากออกไปเดินเล่นหาข่าวบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่ลางร้ายและข่าวลือน่ากลัวกำลังคุกรุ่น
แต่แม้ว่าเสียงร่ำลือเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ทุกคนก็ยังก้มหน้าทำหน้าที่ของตน แม้ในใจจะหวาดระแวงกับชะตากรรมในวันข้างหน้า แต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ว่าจะแก้ใขมันได้อย่างไร
ในคืนนั้นเองที่ถนนนอกกำแพงเมืองโอรีเวีย เมื่อประตูใหญ่ได้ปิดลงแล้ว ท้องถนนด้านนอกก็เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน แต่นั่นมิใช่ทั้งหมดเพราะยังคงมีร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ เป็นร่างของหญิงสาววัยแรกรุ่นผู้มีผมสยายยาวเดินขากระเผลกไปตามถนนด้วยเท้าเปลือยเปล่า มุ่งสู่ประตูที่ปิดอยู่
บนข้อเท้าบอบบางข้างหนึ่งลากเอาโซ่ตรวนทองคำมาด้วย เสียงโซ่กระทบกันเมื่อครูดกับพื้นถนนฟังดูหลอดหลอน นางผู้มีใบหน้าแสนเศร้ายังคงมุ่งไปสู่ประตูบานนั้น จนกระทั่งมีนกกลางคืนสีดำฝูงหนึ่งบินโฉบผ่านไปก่อนจะรวมร่างกัน กลายเป็นกาเอลผู้นิยมสวมหน้ากากปีศาจอยู่เสมอ ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังของนาง
“ เจ้าเองที่ใส่ไฟว่าข้าคือซาเหวจลอร์ด ”
หนุ่มน้อยคนนั้นกล่าวโทษ
“ ไม่ชอบหรือไรข้าว่าสนุกดีออก ”
ใบหน้าเศร้าหมองของสตรีนางนั้นเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างฉับพลัน
นางหันมาเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยคนนั้น
“ ข้าไม่ชอบเป็นคนอื่น บอกเป็นร้อยรอบแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ ”
กาเอลว่า
“ แล้วเจ้าเป็นใครกัน ที่ต้องสวมหน้ากากสุดอัปลักษณ์นี่เพราะอะไร ไม่ใช่ต้องการหลบหนีตัวตนที่แท้จริงหรอกหรือ ”
นางย้อนถาม
พลางเชยคางหนุ่มน้อยคนนั้นด้วยปลายนิ้วที่มีเล็บแหลมคม
และหนุ่มคนนั้นก็ก้าวถอยหลังจนหลุดพ้นจากการพยายามสัมผัสของนาง
“ ประตูบานนี้มีอะไรน่าสนใจหรือไร เห็นๆ อยู่ว่ามันปิดยังไม่คิดหาทางที่เป็นไปได้ ”
กาเอลแกล้งถามไปเรื่องอื่น
“ แหม ก็แค่อยากทำตัวให้น่าสงสารเท่านั้นเอง เผื่อมีหนุ่มๆ หน้าตาดีฐานะมั่งคั่งเกิดเห็นใจเก็บข้าไปเลี้ยงดู คนสวยเช่นข้าต้องหาทางสะดวกให้ชีวิตจึงจะถูกต้องตามธรรมเนียม ”
“ แล้วอย่างนี้สะดวกดีแล้วหรือ ”
หนุ่มน้อยผู้สวมชุดคลุมดำ
ก้มลงหยิบโซ่ทองคำที่ใช้ล่ามข้อเท้าของสตรีนางนั้นขึ้นมา
ม้วนเล่นในมือ
“ ในเมื่อนิยมความสบายกลับหาของหนักมาถ่วงตัวเสียได้ ว่าแต่นี่ทองคำจริงหรือเปล่า ”
เขาถามต่อ
“ ใครกันนะที่บอกข้าว่าข้านั้นติดอยู่ในวังวนของตนเอง ใช่แล้วโซ่นี่เป็นตัวแทนของการถูกพันธนาการ แล้วเจ้าคิดหรือว่าคนอย่างข้าใช้ของปลอม ”
“ ช่วยไม่ได้เจ้าเล่นปลอมยันวิญญาณ ข้าเดาไม่ถูกหรอกว่าของๆ เจ้ามีอะไรจริงบ้าง ”
กาเอลว่าพลางหลิ่วตาให้
“ เจ้าเด็กนรกกล้าแขวะข้าหรือ นี่คนที่เลี้ยงดูเจ้ามาเลยนะ ตอบแทนกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ”
สตรีนางนั้นเต้นผาง
แทบจะกระโดดข่วนหน้า
แต่กาเอลนั้นเร็วกว่าเขาจับปลายโซ่
คล้องรอบลำคอขาวผ่องของนางได้ถึงสองรอบ
ก่อนจะดึงรั้งให้มันรัดแน่นจนนางหายใจไม่ออก
ต้องทรุดลงนั่งกับพื้น
“ ทำบ้าอะไรนี่ ”
นางร้อง
“ แค่อยากช่วยให้พ้นทุกข์เท่านั้นเองอดทนอีกนิดข้าไม่ทำเจ้าเจ็บตัวนานนักหรอก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นบอกหน้าตาเฉย
“ เดี๋ยวสิแบบนี้มันใช่หรือ ”
ถึงแม้จะโดนทักท้วง
กาเอลก็ยังออกแรงกดดึงรั้งโซ่
จนสตรีแสนงามทำท่าจะขาดใจตายจริงๆ เขาจึงยอมปล่อย
และคว้าร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขน
แต่ยังไม่วายต่อว่า
“ เจ้าไม่ได้บอบบางเฉกเช่นสตรี อย่าทำเป็นแกล้งเสแสร้งต่อหน้าข้าเลย ”
“ คิดจะสังหารข้าให้ตายคามือยังจะหาว่าข้าเสแสร้งอีกหรือ ”
นางค้อนเบาๆ
แล้วถือโอกาสซบหน้าลงบนซอกคอของเขา
กาเอลหัวเราะเสียงใส
“ ข้าล้อเล่นหรอกน่า สังหารเจ้าแล้วข้าจะอยู่กับใคร มีเจ้าคนเดียวที่สามารถไว้ใจได้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่รักข้า อย่างน้อยข้าก็ยังไม่อยากโดดเดี่ยว ”
นั่นทำให้สตรีนางนั้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ นานเท่าใดนะที่ไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้ เจ้าหัวเราะเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บริสุทธิ์สดใสไร้การเสแสร้ง เกิดอะไรกับเจ้าน่ะเหมือนข้าได้เห็นเจ้าคนเดิมคืนกลับมาอีกครั้ง ”
“ แล้วไม่ดีหรือ ข้าแค่เรียนรู้และปรับตัว อยู่มันเงาของผู้อื่นนานๆ มันอึดอัด เจ้าเองก็เช่นกันที่เห็นอยู่นี่มิใช่ตัวตนของเจ้า ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือกับสิ่งที่เป็น ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ตัวตนของข้าถูกเผาเป็นเถ้าไปเมื่อนานมาแล้ว มันช่วยไม่ได้จริงๆ ทั้งหมดนี่คือข้าสิ่งที่เจ้าเรียกว่ามายามันก็คือข้านั่นแหละ พวกมนุษย์นั่นแหละที่สร้างข้าขึ้นมาและข้าต้องตอบแทนพวกเขา ”
สตรีนางนั้นบอกเสียงเย็น
ไม่มีแววอ่อนหวานขี้เล่นในดวงตาดังเช่นเคย
กาเอลถอนหายใจแล้วดึงนางให้ลุกขึ้น
“ เจ้าปล่อยให้ตัวเองถูกเผาเป็นจุลเองมิใช่หรือ และคนที่สร้างเจ้าขึ้นมาอีกครั้งก็คือซาตานหาใช่มนุษย์ไม่ แต่เอาเถอะในเมื่อชะตากรรมของเราเหมือนกันชีวิตคงถูกขีดให้เดินทางด้วยกันแล้ว ”
เขาพยุงนางให้ลุกขึ้น
“ หืม วันนี้พูดจาเข้าท่านี่ ”
นางยิ้มสดใสในทันที
แล้วกล่าวต่อไปว่า
“ ไม่นึกว่าเจ้าจะมีเวลาไปวุ่นวายที่เมืองโอรีออน นึกว่าต้องเฝ้าดาบโบราณเอาไว้เสียอีก ”
“ เรื่องนั้นข้าไม่ห่วงแล้ว ตราบใดที่ดารีลยังอยู่ดาบนั่นไม่มีทางเปลี่ยนมือไปไหน แต่เจ้าเองก็ไปวุ่นวายกับเมืองโอรีออนเหมือนกันนี่ ”
กาเอลท้วง
“ ก็แหม คนเมืองนั้นน่ารักจะตายข้าก็แค่อยากผูกมิตรเท่านั้นเอง ”
วันที่ครอบครัวของอาเธอร์ขนย้ายของ ผู้คนมากมายจากหมู่บ้านนอกกำแพงก็มาช่วยเหลือทั้งขนเสบียงและของใช้จำเป็น ส่วนพวกผู้หญิงนั้นมาช่วยจัดช่วยทำความสะอาดบ้าน เพียงเวลาไม่นานทุกอย่างก็เอี่ยมอ่องพร้อมอยู่ แล้วผู้ให้ความช่วยเหลือก็จากไป ปล่อยเวลาส่วนตัวให้กับเจ้าของบ้าน
บ้านหลังนี้ใหญ่โตและแข็งแรงกว่าบ้านกลางทุ่งมาก เพียงแต่ว่ามันแวดล้อมไปด้วยผู้คนแปลกหน้ามากมาย ถนนกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก ทุกอย่างวุ่นวายสับสนเกินไปสำหรับคนที่เกิดอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ แม้ตอนแรกทั้งหมดล้วนแปลกตาชวนตื่นใจแต่เมื่อนานไปกลับกลายเป็นน่าเบื่อน่ารำคาน
คาโอเรียวางกระต่ายลูลงบนพื้นไม้กระดาน มันจำบ้านหลังนี้ได้แต่ด้วยความที่เป็นกระต่ายมันจึงชอบบ้านน้อยกลางทุ่งมากกว่า เจ้าสัตว์ขนฟูตัวน้อยยืนสองขาทำหูตั้งชันสูดจมูกไปมาไม่ยอมวิ่งเล่นเอาเสียเลย
คาโลไรน์เดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน โดยมีบุตรสาวตัวน้อยตามเข้าไปด้วย ส่วนฟิโลโซเฟอร์ได้นำกล่องไม้ที่ใช้ซ่อบดาบโบราณเล่มนั้นไปเก็บยังห้องใต้หลังคา อันเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา เด็กชายตัวน้อยจ้องมองดาบเล่มนั้นอยู่นานด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจ สุดท้ายก็โยนเข้าขางฝาไม่สนใจมันอีกก่อนจะหันไปหยิบดาบไม้และดาบสีเงินคู่กายออกมาวางเรียงกันบนที่นอน ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมห่มผ้าให้ ราวกับของสิ่งนั้นเป็นที่รักและหวงแหน
อาเธอร์นั้นออกไปพบปะกับเพื่อนฝูง เนื่องจากว่าตลอดเวลาที่ทุ่มเททำงานในไร่เขาไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก การไปมาหาสู่กับใครแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อมีโอกาสเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาก็อยากออกไปเดินเล่นหาข่าวบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่ลางร้ายและข่าวลือน่ากลัวกำลังคุกรุ่น
แต่แม้ว่าเสียงร่ำลือเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ทุกคนก็ยังก้มหน้าทำหน้าที่ของตน แม้ในใจจะหวาดระแวงกับชะตากรรมในวันข้างหน้า แต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ว่าจะแก้ใขมันได้อย่างไร
ในคืนนั้นเองที่ถนนนอกกำแพงเมืองโอรีเวีย เมื่อประตูใหญ่ได้ปิดลงแล้ว ท้องถนนด้านนอกก็เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน แต่นั่นมิใช่ทั้งหมดเพราะยังคงมีร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ เป็นร่างของหญิงสาววัยแรกรุ่นผู้มีผมสยายยาวเดินขากระเผลกไปตามถนนด้วยเท้าเปลือยเปล่า มุ่งสู่ประตูที่ปิดอยู่
บนข้อเท้าบอบบางข้างหนึ่งลากเอาโซ่ตรวนทองคำมาด้วย เสียงโซ่กระทบกันเมื่อครูดกับพื้นถนนฟังดูหลอดหลอน นางผู้มีใบหน้าแสนเศร้ายังคงมุ่งไปสู่ประตูบานนั้น จนกระทั่งมีนกกลางคืนสีดำฝูงหนึ่งบินโฉบผ่านไปก่อนจะรวมร่างกัน กลายเป็นกาเอลผู้นิยมสวมหน้ากากปีศาจอยู่เสมอ ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังของนาง
“ เจ้าเองที่ใส่ไฟว่าข้าคือซาเหวจลอร์ด ”
หนุ่มน้อยคนนั้นกล่าวโทษ
“ ไม่ชอบหรือไรข้าว่าสนุกดีออก ”
ใบหน้าเศร้าหมองของสตรีนางนั้นเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างฉับพลัน
นางหันมาเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยคนนั้น
“ ข้าไม่ชอบเป็นคนอื่น บอกเป็นร้อยรอบแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ ”
กาเอลว่า
“ แล้วเจ้าเป็นใครกัน ที่ต้องสวมหน้ากากสุดอัปลักษณ์นี่เพราะอะไร ไม่ใช่ต้องการหลบหนีตัวตนที่แท้จริงหรอกหรือ ”
นางย้อนถาม
พลางเชยคางหนุ่มน้อยคนนั้นด้วยปลายนิ้วที่มีเล็บแหลมคม
และหนุ่มคนนั้นก็ก้าวถอยหลังจนหลุดพ้นจากการพยายามสัมผัสของนาง
“ ประตูบานนี้มีอะไรน่าสนใจหรือไร เห็นๆ อยู่ว่ามันปิดยังไม่คิดหาทางที่เป็นไปได้ ”
กาเอลแกล้งถามไปเรื่องอื่น
“ แหม ก็แค่อยากทำตัวให้น่าสงสารเท่านั้นเอง เผื่อมีหนุ่มๆ หน้าตาดีฐานะมั่งคั่งเกิดเห็นใจเก็บข้าไปเลี้ยงดู คนสวยเช่นข้าต้องหาทางสะดวกให้ชีวิตจึงจะถูกต้องตามธรรมเนียม ”
“ แล้วอย่างนี้สะดวกดีแล้วหรือ ”
หนุ่มน้อยผู้สวมชุดคลุมดำ
ก้มลงหยิบโซ่ทองคำที่ใช้ล่ามข้อเท้าของสตรีนางนั้นขึ้นมา
ม้วนเล่นในมือ
“ ในเมื่อนิยมความสบายกลับหาของหนักมาถ่วงตัวเสียได้ ว่าแต่นี่ทองคำจริงหรือเปล่า ”
เขาถามต่อ
“ ใครกันนะที่บอกข้าว่าข้านั้นติดอยู่ในวังวนของตนเอง ใช่แล้วโซ่นี่เป็นตัวแทนของการถูกพันธนาการ แล้วเจ้าคิดหรือว่าคนอย่างข้าใช้ของปลอม ”
“ ช่วยไม่ได้เจ้าเล่นปลอมยันวิญญาณ ข้าเดาไม่ถูกหรอกว่าของๆ เจ้ามีอะไรจริงบ้าง ”
กาเอลว่าพลางหลิ่วตาให้
“ เจ้าเด็กนรกกล้าแขวะข้าหรือ นี่คนที่เลี้ยงดูเจ้ามาเลยนะ ตอบแทนกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ”
สตรีนางนั้นเต้นผาง
แทบจะกระโดดข่วนหน้า
แต่กาเอลนั้นเร็วกว่าเขาจับปลายโซ่
คล้องรอบลำคอขาวผ่องของนางได้ถึงสองรอบ
ก่อนจะดึงรั้งให้มันรัดแน่นจนนางหายใจไม่ออก
ต้องทรุดลงนั่งกับพื้น
“ ทำบ้าอะไรนี่ ”
นางร้อง
“ แค่อยากช่วยให้พ้นทุกข์เท่านั้นเองอดทนอีกนิดข้าไม่ทำเจ้าเจ็บตัวนานนักหรอก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นบอกหน้าตาเฉย
“ เดี๋ยวสิแบบนี้มันใช่หรือ ”
ถึงแม้จะโดนทักท้วง
กาเอลก็ยังออกแรงกดดึงรั้งโซ่
จนสตรีแสนงามทำท่าจะขาดใจตายจริงๆ เขาจึงยอมปล่อย
และคว้าร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขน
แต่ยังไม่วายต่อว่า
“ เจ้าไม่ได้บอบบางเฉกเช่นสตรี อย่าทำเป็นแกล้งเสแสร้งต่อหน้าข้าเลย ”
“ คิดจะสังหารข้าให้ตายคามือยังจะหาว่าข้าเสแสร้งอีกหรือ ”
นางค้อนเบาๆ
แล้วถือโอกาสซบหน้าลงบนซอกคอของเขา
กาเอลหัวเราะเสียงใส
“ ข้าล้อเล่นหรอกน่า สังหารเจ้าแล้วข้าจะอยู่กับใคร มีเจ้าคนเดียวที่สามารถไว้ใจได้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่รักข้า อย่างน้อยข้าก็ยังไม่อยากโดดเดี่ยว ”
นั่นทำให้สตรีนางนั้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ นานเท่าใดนะที่ไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้ เจ้าหัวเราะเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บริสุทธิ์สดใสไร้การเสแสร้ง เกิดอะไรกับเจ้าน่ะเหมือนข้าได้เห็นเจ้าคนเดิมคืนกลับมาอีกครั้ง ”
“ แล้วไม่ดีหรือ ข้าแค่เรียนรู้และปรับตัว อยู่มันเงาของผู้อื่นนานๆ มันอึดอัด เจ้าเองก็เช่นกันที่เห็นอยู่นี่มิใช่ตัวตนของเจ้า ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือกับสิ่งที่เป็น ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ ตัวตนของข้าถูกเผาเป็นเถ้าไปเมื่อนานมาแล้ว มันช่วยไม่ได้จริงๆ ทั้งหมดนี่คือข้าสิ่งที่เจ้าเรียกว่ามายามันก็คือข้านั่นแหละ พวกมนุษย์นั่นแหละที่สร้างข้าขึ้นมาและข้าต้องตอบแทนพวกเขา ”
สตรีนางนั้นบอกเสียงเย็น
ไม่มีแววอ่อนหวานขี้เล่นในดวงตาดังเช่นเคย
กาเอลถอนหายใจแล้วดึงนางให้ลุกขึ้น
“ เจ้าปล่อยให้ตัวเองถูกเผาเป็นจุลเองมิใช่หรือ และคนที่สร้างเจ้าขึ้นมาอีกครั้งก็คือซาตานหาใช่มนุษย์ไม่ แต่เอาเถอะในเมื่อชะตากรรมของเราเหมือนกันชีวิตคงถูกขีดให้เดินทางด้วยกันแล้ว ”
เขาพยุงนางให้ลุกขึ้น
“ หืม วันนี้พูดจาเข้าท่านี่ ”
นางยิ้มสดใสในทันที
แล้วกล่าวต่อไปว่า
“ ไม่นึกว่าเจ้าจะมีเวลาไปวุ่นวายที่เมืองโอรีออน นึกว่าต้องเฝ้าดาบโบราณเอาไว้เสียอีก ”
“ เรื่องนั้นข้าไม่ห่วงแล้ว ตราบใดที่ดารีลยังอยู่ดาบนั่นไม่มีทางเปลี่ยนมือไปไหน แต่เจ้าเองก็ไปวุ่นวายกับเมืองโอรีออนเหมือนกันนี่ ”
กาเอลท้วง
“ ก็แหม คนเมืองนั้นน่ารักจะตายข้าก็แค่อยากผูกมิตรเท่านั้นเอง ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ