เกิดใหม่ทั้งทีดันได้อาชีพแปลกๆมาซะงั้น!!
4.8
เขียนโดย FANTOM
วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 16.03 น.
24 ตอน
2 วิจารณ์
15.92K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 16.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) นักคำนวณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากผมได้รับอาชีพมา พวกข้อมูลต่างๆก็ไหลเข้าหัวผมมาแบบไม่หยุด จนทำให้ผมหมดสติไปในที่สุด
และผมก็กำลังจะตื่นขึ้นที่บ้านของผม
"อย่าพึ่งลืมตานะ!" ออก้าตะโกนดังลั่น
ผมที่ได้สติขึ้นมาเลยหลับตาละนอนอยู่แบบนั้นไป
"เกิดอะไรขึ้นหรอ" เดโมถามออก้า
"นายหมดสติไปหลังจากที่ได้รับอาชีพ" ออก้าอธิบาย
"แล้วทำไมถึงห้ามฉันลืมตาล่ะ" เดโมถามต่อ
"หลังที่นายล้มหมดสติไป ฉันที่อยู่ใกล้ๆก็รีบเข้าไปดู แล้วฉันก็รู้ได้ว่าสมองนายทำงานหนักเกินไปหลังจากได้รับข้อมูลจำนวนมากผ่านการมองเห็น คงจะเป็นเพราะอาชีพของฉันเลยทำให้รู้หน่ะ" ออก้าอธิบาย
จากนั้นผมทำการคำนวณความเสียหายของสมองที่ได้รับ ก็ได้พบว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากเพราะออก้าเข้ามาช่วยเหลือผมในทันที แต่!...เรื่องแบบนี้ผมสามารถคำนวณได้ยังกันหรือจะเป็นเพราะอาชีพนักคำนวณของผม คิดๆไปแล้วผมยังสามารถมองเห็นได้อยู่ในขณะที่หลับตาอยู่ มันไม่ได้ชัดเหมือนตอนมองด้วยแต่เป็นการเห็นภาพจากการสะท้อนของเสียงกับวัตถุ คงจะคล้ายกับคลื่นโซนาร์
"ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะออก้า เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ" เดโมหันไปพูดกับออก้า
"ไม่เอา! นายบาดเจ็บอยู่แล้วฉันก็เป็นนักบวชแล้วด้วย!" ออก้าพูดเสียงแข็ง
"ไม่เป็นอะไรหน่า เดี๋ยวคุณพ่อของเธอที่แอบอยู่ตรงนั้นจะเป็นห่วงเอานะ"
เดโมได้ใช้นิ้วชี้ไปยังแถวๆประตูของห้อง ที่ที่คุณพ่อของออก้ากำลังซ่อนตัวอยู่ ออก้าที่เห็นเดโมชี้ไปนั้นก็มองตามไปก็เห็นคุณพ่อของเธอที่กำลังซ่อนตัวมองเธอด้วยสายตาเหมือนบอกว่า กลับบ้านกันก่อนเถอะนี่ก็ดึกมากแล้วให้เดโมได้พักผ่อนเถอะลูก เมื่อออก้าเห็นดังนั้นจึงยอมกลับบ้านของเธอไปและจากนั้นพ่อกับแม่ของเดโมก็เข้ามา
"เป็นยังไงบ้างล่ะลูก" คุณแม่ถามอาการ
"ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ แต่ผมน่าจะยังไม่สามารถลืมตาได้ไปสักพักใหญ่ๆเลยครับเพราะถ้าลืมตาก็คงจะเป็นแบบวันนี้อีก" เดโมตอบคุณแม่ไป
"ก็เหมือนลูกจะตาบอดเลยสิ" พ่อพูดขึ้น
"ก็ไม่เชิงครับ ผมยังสามารถมองเห็นได้จากได้ยินอยู่" เดโมตอบพ่อ
"ถ้าแบบนั้นหยุดกิจกรรมพัฒนาการดีกว่าไหม" คุณแม่เสนอ
กิจกรรมพัฒนาคือ การให้เด็กอายุช่วง10-13ปีคอยช่วยทำงานในหมู่บ้านหรือฝึกฝนตัวเองเพื่อไปเรียนต่อในเมืองหลวงเพราะในหมู่บ้านก็มีแต่คนที่มีอายุมากแล้วหรือไม่ก็คนแก่เลยซะส่วนใหญ่ เด็กที่ไปเรียนต่อที่เมืองหลวงก็ไม่ค่อยจะกลับมากัน
"ไม่เป็นหรอกครับ สบายมากครับคุณแม่" เดโมตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"แล้วลูกอยากได้อะไรเป็นอาวุธล่ะ" พ่อถามขึ้น
"ผมคิดว่าไม้เท้าคงดีที่สุดแล้วครับในตอนนี้" เดโมตอบไป
"งั้นเดี๋ยวพ่อจะสร้างให้นะ"
พอพูดเสร็จพ่อก็พาคุณแม่ออกจากห้องไป เพื่อให้ผมได้พักผ่อนในคืนนี้
จริงๆแล้วผมสามารถมองเห็นได้จากที่หัวใจเต้นแล้วเกิดเสียงได้อยู่ แต่มันก็ไม่ค่อยกว้างซะเท่าไหร่และเมื่อมาคิดๆดูแล้วขนาดแค่ได้ยินเสียงเพียงอย่างเดียวก็ยังทำให้ผมสามารถมองเห็นได้เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมเวลาผมลืมตาถึงรับข้อมูลไม่ไหวคงจะต้องฝึกฝนกันอีกยาวๆแน่เลย
วันรุ่งขึ้นคุณแม่ที่รับหน้าที่เป็นคุณครูสอนเวทให้กับเด็กๆในหมู่บ้าน ซึ่งก็มีเด็กๆที่มีอาชีพสายเวทและไม่มีมาเรียนเหมือนกันรวมถึงผมด้วย เอาจริงๆคนที่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ได้ในหมู่บ้านก็มีเพียง2คนคือ คุณแม่ที่เป็นนักเวทกับพ่อที่เคยเป็นทหารมาก่อน เมื่อถึงคาบเรียนกับคุณแม่ เด็กๆที่มีอาชีพสายเวทก็จะเรียนรู้ได้ไวมากๆ ส่วนพวกที่มีอาชีพไม่ตรงสายก็ยังพอใช้ได้อยู่บ้าง ที่เด่นสุดคงจะเป็นเด็กผู้หญิงที่รุ่นเดียวกับผมชื่อว่าอากะ ตัวค่อนข้างเล็กผมสีแดง อากะได้อาชีพสายโจมตีสีฟ้า อย่างนักเวทไฟ เลยทำให้เธอเก่งการใช้เวทไฟสุดๆ แต่ในมองมุมของผมเธอก็คือโลลิบ้างพลังดีๆนี่เอง และในส่วนของตัวกระผมไม่สามารถใช้เวทโจมตีได้เลยแม้แต่นิดเดียว ที่ใช้ได้ก็มีแต่เวทจำพวกเสริมร่างกายต่างๆแถมก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรด้วย คุณแม่บอกว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาชีพของผมมาก่อน อัลฟาจึงอาสาไปช่วยหาข้อมูลที่เมืองหลวงถ้าได้เรื่องยังไงเดี๋ยวจะมาบอก แต่ก็คงไม่ใช่เร็วๆนี้เพราะการไปมาระหว่างเมืองหลวงกับหมู่บ้านนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากและนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ออกไปไม่ค่อยกลับมา แต่ไม่ใช่กับอัลฟาเลย
ต่อมาก็มาถึงวิชาต่อสู้ที่สอนโดยพ่อ ถึงจะไม่ใช่ทหารเก่งอะไรมากแต่ก็มีทักษะสูง เด็กในหมู่บ้านที่พอจะสู้สูสีกับพ่อได้ในปีนี้ก็คงจะเป็นไทกะ เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับผม ได้รับอาชีพสายโจมตีสีฟ้า อย่างอัศวิน(ใช้ดาบและโล่เก่ง) ส่วนผมนั้นไม่ได้ถูกให้ฝึกดาบจริงจังเอาแค่พื้นฐานพอแล้วเอาเวลาไปลงกับการฝึกฝนสมรรถภาพทางกายแทน ดูเหมือนผมจะฟาดได้ดีอยู่แต่ก็เบาหวิวอยู่ดีการฝึกสมรรถภาพทางกายนั้นมีเป้าหมายคือการสร้างกล้ามเนื้อ พลังกาย และทักษะการเอาตัวรอดเบื้องต้น คนที่มาฝึกกับผมด้วยก็จะเป็นเด็กๆที่มีอาชีพสายสนับสนุน รวมถึงออก้าด้วย
ดูเหมือนว่าหลังจากที่ออก้าได้รับอาชีพร่างกายของเธอก็ดูจะไม่เป็นไรแล้ว และในฐานะที่เป็นสีทองคนที่สองของหมู่บ้านก็ทำให้เธอเป็นที่สนมากขึ้นเลยทีเดียวแต่ด้วยความขี้อายเธอเลยเอาแต่เกาะติดผมไม่ได้ไปไหน อาชีพของออก้าคือสายสนับสนุนสีทอง นักบวชแห่งความรัก อัลฟาบอกว่าในเมืองหลวงก็มีอาชีพนี้อยู่โดยหลักๆก็จะคล้ายกับนักบวชที่ใช้เวทรักษาทั่วไปแต่สำหรับนักบวชแห่งความรักประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกรักผู้ร่ายต่อผู้ถูกร่าย
ในส่วนของผมแล้วนั้นหลังจากได้รับอาชีพนักคำนวณมาก็ทำให้ปฏิกิริยาการตอบสนองของผมไวขึ้นอย่างมาก ผมเลยต้องฝึกสมาธิเพิ่มเติมพร้อมกับการฝึกสมรรถภาพทางกาย
จากนั้นพ่อก็เอาไม้เท้าที่เขาทำเองมาให้กับผมด้วยความสงสัยจึงได้ถามพ่อไปว่า
"ทำไมไม่ให้พวกคนที่อาชีพสนับสนุน การสร้างทำล่ะทำไมถึงต้องลำบากลงทุนทำเอง" เดโมถามพ่อ
ที่ผมพูดแบบนั้นออกไปนั้นก็เพราะไม่อยากให้พ่อที่มีแขนเดียวลำบากเพราะผมมากเกินไป
"มันเป็นคำขอจากลูกชายของพ่อเชียวนะ พ่อคนนี้ก็ต้องทำให้สิ พ่อไม่ต้องการความสงสารหรอกนะที่พ่อพิการแบบนี้หน่ะ พ่อก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน" พ่อลูบหัวของเดโม
"งั้นผมจะรักษามันอย่างดีครับ ขอบคุณครับ" เดโมบอกพ่อไป
หลังจากนั้นผมก็ไปฝึกสมาธิคนเดียวจนเสร็จระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน ก็เจอกับพวกลุงๆที่เครียดกันอยู่
"มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ ดูเครียดๆนะครับ" เดโมเดินเข้าไปถาม
"อ้าว เดโมเองหรอ รู้ได้ยังว่าลุงกำลังเครียดเนี่ย...เรื่องนั้นชั่งเถอะก็ผลผลิตมันไม่ค่อยดีเลยสิช่วงนี้" คุณลุงทำเสียงเศร้าๆ
เดโมได้ลองดมกลิ่นผลผลิตและสัมผัสดินดูแล้วก็คำนวณได้ว่าสาเหตุเกิดจากดินขาดสารอาหารเนื่องจากการปลูกซ้ำไปซ้ำมา
"ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่ดินขาดสารอาหารครับ" เดโมพูดกับคุณลุง
"แบบนี้นี่เอง แล้วเดโมพอจะรู้วิธีแก้ไหมล่ะ" คุณลุงถาม
"ลองใช้วิธีปลูกพืชหมุนเวียนดูไหมครับ" เดโมเสนอ
"ปลูกพืชแบบหมุนเวียน?" คุณลุงสงสัย
ผมก็เลยอธิบายการปลูกพืชแบบหมุนเวียนคุณลุงฟัง ว่าหลังจากนี้ให้ปลูกพืชตระกูลถั่วก่อน จากนั้นค่อยปลูกอย่างอื่นอีก2อย่างก่อนที่จะกลับมาปลูกพืชถั่วอีกที
"ลุงจะลองดูนะ ขอบคุณมาก" คุณลุงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ที่คุณยอมเชื่อคำที่ผมพูดก็เพราะว่าเป็นคำพูดของลูกหัวหน้าหมู่บ้านกันเลยทีเดียว เห็นแบบนี้พ่อก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย จากนั้นผมก็เดินผ่านบ้านของออก้า คุณแม่ของออก้ากำลังจะเตรียมข้าวเย็นกัน แต่คุณแม่ของออก้าดูจะเป็นกังวลอยู่
"เป็นอะไรหรอครับคุณแม่ออก้า" ผมเดินเข้าไปถามคุณแม่ออก้า
"พอดีวัตถุดิบมันที่มีมันน้อยเลยไม่รู้จะทำเมนูอะไรดี" คุณแม่ออก้าตอบ
"แล้วมีอะไรเหลือบ้างครับ" เดโมถามต่อ
"มีกระดูกอ่อนหมู มันฝรั่ง แล้วก็พวกผักอีกนิดหน่อย จะไปถามบ้านอื่นก็คงไม่ทันแล้วด้วยสิ" คุณแม่ออก้าตอบด้วยความกังวล
"ลองซุปกระดูกอ่อนหมู สูตรผมดูไหมล่ะครับ" เดโมเสนอ
"ได้สิจ๊ะ! ได้กินฝีมือเดโมทั้งที" คุณแม่ออก้าตอบรับด้วยความดี
จากนั้นผมก็เข้าไปเตรียมอาหารกับคุณแม่ออก้า คุณแม่ออก้าจะเป็นคนหั่นวัตถุดิบ ส่วนผมจะเป็นคนปรุงรสทั้งหมดเองในระหว่างที่กำลังทำกับข้าวกันอยู่ออก้าและคุณพ่อของออก้าก็กลับมาพอดี
"อ้าว เดโมมาทำอะไรเนี่ย" คุณพ่อออก้าถามเดโม
"พอดีมาช่วยเรื่องข้าวเย็นหน่ะครับ" เดโมตอบ
"โอ้...จะได้กินฝีมือเดโมหรอเนี่ย" คุณพ่ออก้าพูดด้วยความสนใจ
ออก้าที่กลับมาก็ดูเขินๆผิดปกติ แล้วเธอก็รีบขอตัวไปอาบน้ำก่อน หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็อาบน้ำเสร็จแล้วลงมากินข้าวด้วยชุดที่น่ารักๆ
"มีอะไรให้ฉันช่วยนายไหม" ออก้าเดินเข้ามาถามเดโม
"งั้นช่วยจัดจานหน่อยละกันนะ" เดโมตอบออก้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"แล้วจะอยู่ทานด้วยกันเลยไหมหล่ะจ๊ะ" แม่ของออก้าถามเดโม
"คงไม่ครับ ผมต้องกลับไปเตรียมมื้อเย็นที่บ้านเหมือนกัน" เดโมตอบ
หลังจากที่เดโมพูดจบ ก็ทำให้ออก้าดูเศร้าๆไป ไม่นานซุปกระดูกอ่อนหมูก็เสร็จ ที่ทุกคนมั่นใจฝีมือการทำอาหารของผมก็เพราะเวลาไปที่บ้านของผมแต่ก่อน ก็จะได้กินอาหารแปลกๆที่ผมกับคุณแม่ช่วยกันทำ ในโลกก่อนของผม ผมต้องคอยทำอาหารกินเองตั้งแต่สมัยประถมแล้วเพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาทำให้ผม ผมก็เอาเลยความรู้ของโลกก่อนมาใช้กับการทำอาหารในโลกนี้หลังจากได้อาชีพนักคำนวณก็ทำให้ผมทำอาหารได้ดีขึ้นอย่างมาก ทั้งการกะความสุกและรสชาติผมสามารถคำนวณได้หมดเลย
เมื่อทำเสร็จผมเลยขอตัวกลับก่อน
"ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ" เดโมกล่าวคำลา
"ขอบคุณมากนะจ๊ะ ซุปอร่อยมากเลย" คุณแม่ออก้ายิ้มชอบใจ
"พรุ่งนี้!! จะมีการฝึกแบบกลุ่มนายต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกันให้ได้นะ!!" อยู่ๆออก้าก็พูดขึ้นมา
"อื้มได้สิ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ" เดโมตอบกลับ
เมื่อออก้าได้ยินคำตอบนั้นเลยทำให้เจ้าตัวอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
และผมก็กำลังจะตื่นขึ้นที่บ้านของผม
"อย่าพึ่งลืมตานะ!" ออก้าตะโกนดังลั่น
ผมที่ได้สติขึ้นมาเลยหลับตาละนอนอยู่แบบนั้นไป
"เกิดอะไรขึ้นหรอ" เดโมถามออก้า
"นายหมดสติไปหลังจากที่ได้รับอาชีพ" ออก้าอธิบาย
"แล้วทำไมถึงห้ามฉันลืมตาล่ะ" เดโมถามต่อ
"หลังที่นายล้มหมดสติไป ฉันที่อยู่ใกล้ๆก็รีบเข้าไปดู แล้วฉันก็รู้ได้ว่าสมองนายทำงานหนักเกินไปหลังจากได้รับข้อมูลจำนวนมากผ่านการมองเห็น คงจะเป็นเพราะอาชีพของฉันเลยทำให้รู้หน่ะ" ออก้าอธิบาย
จากนั้นผมทำการคำนวณความเสียหายของสมองที่ได้รับ ก็ได้พบว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากเพราะออก้าเข้ามาช่วยเหลือผมในทันที แต่!...เรื่องแบบนี้ผมสามารถคำนวณได้ยังกันหรือจะเป็นเพราะอาชีพนักคำนวณของผม คิดๆไปแล้วผมยังสามารถมองเห็นได้อยู่ในขณะที่หลับตาอยู่ มันไม่ได้ชัดเหมือนตอนมองด้วยแต่เป็นการเห็นภาพจากการสะท้อนของเสียงกับวัตถุ คงจะคล้ายกับคลื่นโซนาร์
"ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะออก้า เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ" เดโมหันไปพูดกับออก้า
"ไม่เอา! นายบาดเจ็บอยู่แล้วฉันก็เป็นนักบวชแล้วด้วย!" ออก้าพูดเสียงแข็ง
"ไม่เป็นอะไรหน่า เดี๋ยวคุณพ่อของเธอที่แอบอยู่ตรงนั้นจะเป็นห่วงเอานะ"
เดโมได้ใช้นิ้วชี้ไปยังแถวๆประตูของห้อง ที่ที่คุณพ่อของออก้ากำลังซ่อนตัวอยู่ ออก้าที่เห็นเดโมชี้ไปนั้นก็มองตามไปก็เห็นคุณพ่อของเธอที่กำลังซ่อนตัวมองเธอด้วยสายตาเหมือนบอกว่า กลับบ้านกันก่อนเถอะนี่ก็ดึกมากแล้วให้เดโมได้พักผ่อนเถอะลูก เมื่อออก้าเห็นดังนั้นจึงยอมกลับบ้านของเธอไปและจากนั้นพ่อกับแม่ของเดโมก็เข้ามา
"เป็นยังไงบ้างล่ะลูก" คุณแม่ถามอาการ
"ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ แต่ผมน่าจะยังไม่สามารถลืมตาได้ไปสักพักใหญ่ๆเลยครับเพราะถ้าลืมตาก็คงจะเป็นแบบวันนี้อีก" เดโมตอบคุณแม่ไป
"ก็เหมือนลูกจะตาบอดเลยสิ" พ่อพูดขึ้น
"ก็ไม่เชิงครับ ผมยังสามารถมองเห็นได้จากได้ยินอยู่" เดโมตอบพ่อ
"ถ้าแบบนั้นหยุดกิจกรรมพัฒนาการดีกว่าไหม" คุณแม่เสนอ
กิจกรรมพัฒนาคือ การให้เด็กอายุช่วง10-13ปีคอยช่วยทำงานในหมู่บ้านหรือฝึกฝนตัวเองเพื่อไปเรียนต่อในเมืองหลวงเพราะในหมู่บ้านก็มีแต่คนที่มีอายุมากแล้วหรือไม่ก็คนแก่เลยซะส่วนใหญ่ เด็กที่ไปเรียนต่อที่เมืองหลวงก็ไม่ค่อยจะกลับมากัน
"ไม่เป็นหรอกครับ สบายมากครับคุณแม่" เดโมตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"แล้วลูกอยากได้อะไรเป็นอาวุธล่ะ" พ่อถามขึ้น
"ผมคิดว่าไม้เท้าคงดีที่สุดแล้วครับในตอนนี้" เดโมตอบไป
"งั้นเดี๋ยวพ่อจะสร้างให้นะ"
พอพูดเสร็จพ่อก็พาคุณแม่ออกจากห้องไป เพื่อให้ผมได้พักผ่อนในคืนนี้
จริงๆแล้วผมสามารถมองเห็นได้จากที่หัวใจเต้นแล้วเกิดเสียงได้อยู่ แต่มันก็ไม่ค่อยกว้างซะเท่าไหร่และเมื่อมาคิดๆดูแล้วขนาดแค่ได้ยินเสียงเพียงอย่างเดียวก็ยังทำให้ผมสามารถมองเห็นได้เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมเวลาผมลืมตาถึงรับข้อมูลไม่ไหวคงจะต้องฝึกฝนกันอีกยาวๆแน่เลย
วันรุ่งขึ้นคุณแม่ที่รับหน้าที่เป็นคุณครูสอนเวทให้กับเด็กๆในหมู่บ้าน ซึ่งก็มีเด็กๆที่มีอาชีพสายเวทและไม่มีมาเรียนเหมือนกันรวมถึงผมด้วย เอาจริงๆคนที่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ได้ในหมู่บ้านก็มีเพียง2คนคือ คุณแม่ที่เป็นนักเวทกับพ่อที่เคยเป็นทหารมาก่อน เมื่อถึงคาบเรียนกับคุณแม่ เด็กๆที่มีอาชีพสายเวทก็จะเรียนรู้ได้ไวมากๆ ส่วนพวกที่มีอาชีพไม่ตรงสายก็ยังพอใช้ได้อยู่บ้าง ที่เด่นสุดคงจะเป็นเด็กผู้หญิงที่รุ่นเดียวกับผมชื่อว่าอากะ ตัวค่อนข้างเล็กผมสีแดง อากะได้อาชีพสายโจมตีสีฟ้า อย่างนักเวทไฟ เลยทำให้เธอเก่งการใช้เวทไฟสุดๆ แต่ในมองมุมของผมเธอก็คือโลลิบ้างพลังดีๆนี่เอง และในส่วนของตัวกระผมไม่สามารถใช้เวทโจมตีได้เลยแม้แต่นิดเดียว ที่ใช้ได้ก็มีแต่เวทจำพวกเสริมร่างกายต่างๆแถมก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรด้วย คุณแม่บอกว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาชีพของผมมาก่อน อัลฟาจึงอาสาไปช่วยหาข้อมูลที่เมืองหลวงถ้าได้เรื่องยังไงเดี๋ยวจะมาบอก แต่ก็คงไม่ใช่เร็วๆนี้เพราะการไปมาระหว่างเมืองหลวงกับหมู่บ้านนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมากและนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ออกไปไม่ค่อยกลับมา แต่ไม่ใช่กับอัลฟาเลย
ต่อมาก็มาถึงวิชาต่อสู้ที่สอนโดยพ่อ ถึงจะไม่ใช่ทหารเก่งอะไรมากแต่ก็มีทักษะสูง เด็กในหมู่บ้านที่พอจะสู้สูสีกับพ่อได้ในปีนี้ก็คงจะเป็นไทกะ เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับผม ได้รับอาชีพสายโจมตีสีฟ้า อย่างอัศวิน(ใช้ดาบและโล่เก่ง) ส่วนผมนั้นไม่ได้ถูกให้ฝึกดาบจริงจังเอาแค่พื้นฐานพอแล้วเอาเวลาไปลงกับการฝึกฝนสมรรถภาพทางกายแทน ดูเหมือนผมจะฟาดได้ดีอยู่แต่ก็เบาหวิวอยู่ดีการฝึกสมรรถภาพทางกายนั้นมีเป้าหมายคือการสร้างกล้ามเนื้อ พลังกาย และทักษะการเอาตัวรอดเบื้องต้น คนที่มาฝึกกับผมด้วยก็จะเป็นเด็กๆที่มีอาชีพสายสนับสนุน รวมถึงออก้าด้วย
ดูเหมือนว่าหลังจากที่ออก้าได้รับอาชีพร่างกายของเธอก็ดูจะไม่เป็นไรแล้ว และในฐานะที่เป็นสีทองคนที่สองของหมู่บ้านก็ทำให้เธอเป็นที่สนมากขึ้นเลยทีเดียวแต่ด้วยความขี้อายเธอเลยเอาแต่เกาะติดผมไม่ได้ไปไหน อาชีพของออก้าคือสายสนับสนุนสีทอง นักบวชแห่งความรัก อัลฟาบอกว่าในเมืองหลวงก็มีอาชีพนี้อยู่โดยหลักๆก็จะคล้ายกับนักบวชที่ใช้เวทรักษาทั่วไปแต่สำหรับนักบวชแห่งความรักประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกรักผู้ร่ายต่อผู้ถูกร่าย
ในส่วนของผมแล้วนั้นหลังจากได้รับอาชีพนักคำนวณมาก็ทำให้ปฏิกิริยาการตอบสนองของผมไวขึ้นอย่างมาก ผมเลยต้องฝึกสมาธิเพิ่มเติมพร้อมกับการฝึกสมรรถภาพทางกาย
จากนั้นพ่อก็เอาไม้เท้าที่เขาทำเองมาให้กับผมด้วยความสงสัยจึงได้ถามพ่อไปว่า
"ทำไมไม่ให้พวกคนที่อาชีพสนับสนุน การสร้างทำล่ะทำไมถึงต้องลำบากลงทุนทำเอง" เดโมถามพ่อ
ที่ผมพูดแบบนั้นออกไปนั้นก็เพราะไม่อยากให้พ่อที่มีแขนเดียวลำบากเพราะผมมากเกินไป
"มันเป็นคำขอจากลูกชายของพ่อเชียวนะ พ่อคนนี้ก็ต้องทำให้สิ พ่อไม่ต้องการความสงสารหรอกนะที่พ่อพิการแบบนี้หน่ะ พ่อก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน" พ่อลูบหัวของเดโม
"งั้นผมจะรักษามันอย่างดีครับ ขอบคุณครับ" เดโมบอกพ่อไป
หลังจากนั้นผมก็ไปฝึกสมาธิคนเดียวจนเสร็จระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน ก็เจอกับพวกลุงๆที่เครียดกันอยู่
"มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ ดูเครียดๆนะครับ" เดโมเดินเข้าไปถาม
"อ้าว เดโมเองหรอ รู้ได้ยังว่าลุงกำลังเครียดเนี่ย...เรื่องนั้นชั่งเถอะก็ผลผลิตมันไม่ค่อยดีเลยสิช่วงนี้" คุณลุงทำเสียงเศร้าๆ
เดโมได้ลองดมกลิ่นผลผลิตและสัมผัสดินดูแล้วก็คำนวณได้ว่าสาเหตุเกิดจากดินขาดสารอาหารเนื่องจากการปลูกซ้ำไปซ้ำมา
"ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่ดินขาดสารอาหารครับ" เดโมพูดกับคุณลุง
"แบบนี้นี่เอง แล้วเดโมพอจะรู้วิธีแก้ไหมล่ะ" คุณลุงถาม
"ลองใช้วิธีปลูกพืชหมุนเวียนดูไหมครับ" เดโมเสนอ
"ปลูกพืชแบบหมุนเวียน?" คุณลุงสงสัย
ผมก็เลยอธิบายการปลูกพืชแบบหมุนเวียนคุณลุงฟัง ว่าหลังจากนี้ให้ปลูกพืชตระกูลถั่วก่อน จากนั้นค่อยปลูกอย่างอื่นอีก2อย่างก่อนที่จะกลับมาปลูกพืชถั่วอีกที
"ลุงจะลองดูนะ ขอบคุณมาก" คุณลุงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ที่คุณยอมเชื่อคำที่ผมพูดก็เพราะว่าเป็นคำพูดของลูกหัวหน้าหมู่บ้านกันเลยทีเดียว เห็นแบบนี้พ่อก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย จากนั้นผมก็เดินผ่านบ้านของออก้า คุณแม่ของออก้ากำลังจะเตรียมข้าวเย็นกัน แต่คุณแม่ของออก้าดูจะเป็นกังวลอยู่
"เป็นอะไรหรอครับคุณแม่ออก้า" ผมเดินเข้าไปถามคุณแม่ออก้า
"พอดีวัตถุดิบมันที่มีมันน้อยเลยไม่รู้จะทำเมนูอะไรดี" คุณแม่ออก้าตอบ
"แล้วมีอะไรเหลือบ้างครับ" เดโมถามต่อ
"มีกระดูกอ่อนหมู มันฝรั่ง แล้วก็พวกผักอีกนิดหน่อย จะไปถามบ้านอื่นก็คงไม่ทันแล้วด้วยสิ" คุณแม่ออก้าตอบด้วยความกังวล
"ลองซุปกระดูกอ่อนหมู สูตรผมดูไหมล่ะครับ" เดโมเสนอ
"ได้สิจ๊ะ! ได้กินฝีมือเดโมทั้งที" คุณแม่ออก้าตอบรับด้วยความดี
จากนั้นผมก็เข้าไปเตรียมอาหารกับคุณแม่ออก้า คุณแม่ออก้าจะเป็นคนหั่นวัตถุดิบ ส่วนผมจะเป็นคนปรุงรสทั้งหมดเองในระหว่างที่กำลังทำกับข้าวกันอยู่ออก้าและคุณพ่อของออก้าก็กลับมาพอดี
"อ้าว เดโมมาทำอะไรเนี่ย" คุณพ่อออก้าถามเดโม
"พอดีมาช่วยเรื่องข้าวเย็นหน่ะครับ" เดโมตอบ
"โอ้...จะได้กินฝีมือเดโมหรอเนี่ย" คุณพ่ออก้าพูดด้วยความสนใจ
ออก้าที่กลับมาก็ดูเขินๆผิดปกติ แล้วเธอก็รีบขอตัวไปอาบน้ำก่อน หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็อาบน้ำเสร็จแล้วลงมากินข้าวด้วยชุดที่น่ารักๆ
"มีอะไรให้ฉันช่วยนายไหม" ออก้าเดินเข้ามาถามเดโม
"งั้นช่วยจัดจานหน่อยละกันนะ" เดโมตอบออก้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"แล้วจะอยู่ทานด้วยกันเลยไหมหล่ะจ๊ะ" แม่ของออก้าถามเดโม
"คงไม่ครับ ผมต้องกลับไปเตรียมมื้อเย็นที่บ้านเหมือนกัน" เดโมตอบ
หลังจากที่เดโมพูดจบ ก็ทำให้ออก้าดูเศร้าๆไป ไม่นานซุปกระดูกอ่อนหมูก็เสร็จ ที่ทุกคนมั่นใจฝีมือการทำอาหารของผมก็เพราะเวลาไปที่บ้านของผมแต่ก่อน ก็จะได้กินอาหารแปลกๆที่ผมกับคุณแม่ช่วยกันทำ ในโลกก่อนของผม ผมต้องคอยทำอาหารกินเองตั้งแต่สมัยประถมแล้วเพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาทำให้ผม ผมก็เอาเลยความรู้ของโลกก่อนมาใช้กับการทำอาหารในโลกนี้หลังจากได้อาชีพนักคำนวณก็ทำให้ผมทำอาหารได้ดีขึ้นอย่างมาก ทั้งการกะความสุกและรสชาติผมสามารถคำนวณได้หมดเลย
เมื่อทำเสร็จผมเลยขอตัวกลับก่อน
"ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ" เดโมกล่าวคำลา
"ขอบคุณมากนะจ๊ะ ซุปอร่อยมากเลย" คุณแม่ออก้ายิ้มชอบใจ
"พรุ่งนี้!! จะมีการฝึกแบบกลุ่มนายต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกันให้ได้นะ!!" อยู่ๆออก้าก็พูดขึ้นมา
"อื้มได้สิ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ" เดโมตอบกลับ
เมื่อออก้าได้ยินคำตอบนั้นเลยทำให้เจ้าตัวอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ