ภูผาวายุ
-
เขียนโดย มุมน้ำเงิน
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.55 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
12.67K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 15.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ฝ่าดงผี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “พี่เงินบอกว่าหมู่บ้านข้างหน้ามีผีโพงน่ะสิ”
“ใยต้องกังวล ผีโพงมันไม่ทำร้ายคนก่อน มิใช่หรือขอรับ”
“เท่าที่ข้าเคยได้ยินก็เป็นเช่นนั้น”
ในขณะที่ทั่งคู่สนทนากันอยู่นั้น ขบวนเกวียนก็ได้เดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน ซึ้งเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ มีเรือนไม้ใต้ถุนสูงเก่าๆปลูกอยู่หนาแน่น มีต้นว่านสีขาวปลูกอยู่ทุกครัวเรือน
ผู้คนในหมู่บ้านทีดูภายนอกเป็นเหมือนคนธรรมดาแลดูไม่มีพิษภัย ได้ยินเสียงคณะเกวียนเดินทางมา จับจ้องสายตามองดูคณะเกวียนอย่างไม่ละสายตา
นายเงินเดินไปที่หัวขบวนนำหน้ากองเกวียน สอดสายตามองซ้ายขวา ส่วนนายเพลิงและรำพึง ถืออาวุธคู่กายเดินตีคู่ขนาบกับขบวนเกวียนทั้งสองข้าง บุคคลทั้งสามทำหน้าที่ประหนึ่งทหารเท้าช้าง คอยระแวดระวังภัย
“นั่นปะไร! พวกชาวบ้านก็ดูเป็นคนเยี่ยงเรา หาใด้หน้ากลัวตามทีพี่เงินบอกไม่” ภูผาเอยขึ้นมาสายตาปราดมองดูชาบบ้านเหล่านั้นด้วยความโล่งใจ
“คงจักเป็นอุบายหมายหลอกให้เรากลัวเล่นน่ะสิ ขอรับ”บุญเกิดเอยเสริม พยักหน้าเห็นด้วย
ชาวบ้านที่มีทั้งหญิง ชาย เด็กเล็ก รวมไปถึงคนชราที่จับจ้องมองขบวนเกวียนอยู่ก่อนนี่ เดินออกมายังข้างทางยืนมองขบวนเกวียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง คณะนายเงินเดินไปมองไปคงท่าทีสุขุม ในมือกระชับอาวุธคู่กายแน่น เตรียมรับสถานการณ์
“ดูสิขอรับ พวกเขายังออกมาต้อนรับเราด้วย”
บุญเกิดเอย หันหน้าไปยิ้มๆให้กับชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างทาง
“ประเดี๋ยวคงได้ต้อนรับเราถึงใจแน่ละ ดูหน้าพวกนี่สิ จ้องเราปานจะกินเลือดกินเน้อ”
ภูผาเอยไม่ทันขาดคำ ชาวบ้านที่เหมือนจะดูเป็นปุถุชนคนปกติ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ค่อยๆเปลียนไป สีผิวซีดลงนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดง เล็บนิ้วมือนิ้วเท้าค่อยๆงอกยาวออกมา รูจมูกเริ่มเรืองแสงสีแดงวูปวาบรำไร อ้าปากเผยให้เห็นคมเขี้ยว กลายสภาพเป็นผีโพงเต็มตัว
ภูผาและบุญเกิดมองชาวบ้านพวกนั้นเปลี่ยนสภาพ จึงเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา
“เอาแล้วงัยไอ้เกิด! ดูพวกมันสิ หน้าตาดูเป็นมิตรเชียว”
บุญเกิดเร่งรัวไม้เฆี่ยนไปที่กันควายเร็วปรื๋อ หวังให้ควายเร่งฝีเท้าเดินเร็วกว่านี้
ผู้ที่ทำหนัาที่อารักขากองเกวียนทั้งสาม ตั้งท่าขึ้นเตรียมรับการต่อสู้ นายเงินเผยสีหน้าดุดันขึ้นหันหน้าเอยตะโกนบอกกับบัวลอย “เร่งฝีเท้า” บัวลอยได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือพนมขึ้นกลางอก ปากพึมพำบริกรรมคาถา พลันเกิดอักขระยันต์ยอดมงกุฎเรืองแสงสีทองขึ้นบนหน้าผากของควายทั้งหกตัว ดวงตาควายสีทองอร้าอร่ามเปล่งประกายสาวเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้การควบคุม
ผีโพงพวกนั้น วิ่งกรูเข้าหาคณะเกวียนอย่างบ้าคลั่ง องครักษ์ของกองเกวียนทั้งสามวิ่งตามความเร็วของควายเทียมเกวียน นายเงินใช้ไม่ศอกคู่ใจวิ่งล่ำหน้าขบวนเกวียน เข้าห้ำหั่นฝูงผีโพงอย่างดุเดือดที่ขวางขบวนเกวียนเพื่อเปิดเส้นทาง นายเพลิงกับรำพึงก็คอยป้องกันอยู่ทั้งสองข้าง
ขณะที่กองเกวียนวิ่งฝ่าฝูงผีโพงโดยความเร็ว ผีโพงตัวหนึงกระโดดเข้ามาเกาะเกวียนท้ายขบวน ทีมีภูผากับบุญเกิดอยู่ ภูผาเห็นเช่นนั้นจึงเอี้ยวตัวไปจับดาบที่พนผ้าไว้อยู่ขึ้นมา ขณะที่บุญเกิดนั่งแข็งถือหน้าซีดไม่พูดไม่จา สีหน้าหวาดกลัว
นายเพลิงกับรำพึงไม่ได้สังเกตท้ายขบวนเพราะต้องคุ้มกันบัวลอยผู้ที่กำลังบริกรรมคาถาอยู่ขณะนี้
ผีโพงตัวที่เกาะเกวียนอยู่ พยายามตะเกียกตะกายขึ้นเกวียนไปได้ครึ่งค่อนตัว ผีโพงตัวที่สองก็กระโดดเข้ามาเกาะขาตัวแรกที่กำลังตะกายตัวขึ้น ผีโพงตัวแรกทรุดลงตามแรงฉุดของตัวหลัง ทั้งสองตัวอยู่ในลักษณะที่ถูกลากไถพื้นตามแรงวิ่งของควาย จากที่เกาะอยู่สองตัว ก็มีมาเพิ่มเป็นสี่เป็นห้าตัว ผีโพงตัวที่หก กระโดดใต่ตัวที่ถูกลากขึ้นมาบนเกวียนได้
แม้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากฝูงผีโพงที่มาเกาะ แต่ควายเทียมที่มีนัยน์ตาสีทองอราม ยังคงวิ่งไปข้างหน้าโดยที่ความเร็วคงที่
ภูผาเร่งรีบแกะดาบพันผ้าอย่างลนลานได้ครึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่ทันการ ผีโพงตัวที่หกได้เข้ามาประชิดตัวภูผา ด้วยความตกใจ ภูผาถีบผีตัวนั้นเซถอยหลังไป ชักดาบที่แกะได้ครึ้งเดียวจ้วงแทงปักเข้าไปที่หน้าอกของผีตนนั้นทันที
ดาบปักเข้าไปที่หน้าอกผีตนนั้นจนเกือบจะทะลุ แต่ทว่าผีโพงตนนั้นกลับไม่เสดงอาการใดๆออกมา ผีโพงตนนั้นง้างมือขึ้น ตะปบกรงเล็บหมายจะให้เข้าที่หน้า แต่ภูผาปลอยมือจากดาบที่ปักอกโยกตัวหลบถอยหลังมา
ขณะที่ภูผาถอยหลังหลบกรงเล็บ ได้ดึงผ้าพันดาบติดมือออกมาด้วย เผยให้เห็นด้ามดาบสีเงินเงาวับจับตา ภูผาเอื่อมตัวไปคว้าดาบนั้นเอาไว้พร้อมกับยกเท้าถีบผีตนนั้น ดาบหลุดออกจากอกทันที
ขณะที่ภูผาถีบผีตนนั้นพร้อมกับดึงดาบ จู่ๆก็หมดสติวูปตกลงจากเกวียนทันทีพร้อมกับผีตนนั้นด้วยแรงถีบ
บุญเกิด ที่ยังคงนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ถึงการหายไปจากเกวียนของภูผา ยังคงนั่งตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่เช่นนั้น บรรดาผีที่เกาะอยู่ท้ายเกวียน เมือเห็นภูผาหมดสติทิ้งตัวลงจากเกวียน ก็ต่างพากันปล่อยมือ กลิ้งระเนระนาดไปตามความเร็วของเกวียน เปลี่ยนเป้าหมายพุ่งตรงไปที่ภูผาทันที
ขบวนเกวียนยังคงวิ่งกันต่อไปเรือยๆโดยที่ไม่รู้ถึงการหายไปของภูผา เดินทางบุกฝ่าดงผีโพง จนถึงแม่น้ำใหญ่คณะกองเกวียนวิ่งข้ามสพานไม้มายังอีกฝั่ง พวกผีโพงที่ไล่ตามมาก็พลันหยุดลงก่อนถึงแม่น้ำแล้วเดินแยกย้ายกันหายไป
บัวลอย หยุดบริกรรมคาถา อักขระสีทองบนหน้าผากและดวงตาของควายเทียมเกวียนได้กลับคืนสู่ปกติ อาการจากที่วิ่ง กลายเป็นเดินเนิบช้า เป็นสัญญานว่าคณะกองเกวียนได้ผ่านพ้นอันตรายแล้วหลังจากข้ามสพานมา
บุญเกิดที่นังตัวแข็งทื่อด้วยความตะลึงอยู่พลันได้สติ เอยขึ้นมา “รอดเสียทีนะขอรับ คุณภ........” พรางหันหน้าไปที่ท้ายเกวียน “คุณภูผา! คุณภูผา!”
นายเงินเดินตรวจดูคณะไถ่ถามอาการของทุกคน ทุกคนบนเกวียนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เว้นแต่มีอาการหวาดกลัวของมะลิ ดวงแข และบุญเกิด เท่านั้น นายเพลิงและรำพึงได้รับบาดเจ็บจากการถูกกรงเล็บขีดเล็กน้อย พอเดินมายังเกวียนท้ายขบวน ที่นายเงินสังเกตเห็นว่า ภูผาหายไป จึงรีบวิ่งเข้ามาเอยถามบุญเกิด
“ไอ้เกิด ไอ้ผาหายไปใหนรึ”
บุญเกิดเอยตอบท่าทางเลิ่กลั่กแฝงด้วยไปด้วยความเป็นห่วง “มิรู้จ๊ะ ข้าหันมาก็มิเจอแล้ว”
นายเงินตะโกนบอกแก่คณะเดินทางทันที
“พวกเอ็งทั้งหมด ไปรอข้าอยู่ที่หนองน้ำเชี่ยว ด้านหน้า หากพลบค่ำข้ายังมิกลับมา พวกเอ็งเดินทางต่อได้เลย” ทุกคนในคณะเดินทาง ยกเว้นมะลิ ดวงแข กับบุญเกิด เอยตอบนายเงินมาเป็นเสียงเดียวกัน “จ๊ะครู”
บุญเกิดกระโดดลงเกวียนมาเอยกับนายเงินด้วยท่าทีร้อนรนเป็นห่วงนายของตน
“พี่เงินจักไปตามหาคุณภูผาใช่มั้ยจ๊ะ ให้ข้าไปด้วยเถิด”
นายเงินจับใหล่บุญเกิด ยิ้มให้แล้วเอยออกไปตรงๆ
“สภาพเช่นเอ็ง ไปก็รังจะเป็นภาระของข้าเปล่าๆ เอ็งอยู่ที่นี่รอข้าดีกว่า”
มะลิและดวงแข ลงจากเกวียนทันทีที่รู้ว่าภูผาหายตัวไป
“ไอ้เกิด พี่ภูผาหายไป ใยเอ็งมิรู้ ห๊ะ! คอยดูเถอะหากพี่ผาเป็นกระไรไป แม่จะเพ่งกระบาลเอ็งให้”
ดวงแขเอ็ดบุญเกิด บุญเกิดอึ๋มอั้ม แสดงสีหน้ายอมรับผิด ขณะที่ดวงกำต่อว่าบุญเกิด มะลิ ยืนเงียบๆสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย
นายเงินหันหน้าสาวเท้าข้ามสพานกลับไปนังหมู่บ้านผีโพงผีโพงทันที.....
——————————
“ใยต้องกังวล ผีโพงมันไม่ทำร้ายคนก่อน มิใช่หรือขอรับ”
“เท่าที่ข้าเคยได้ยินก็เป็นเช่นนั้น”
ในขณะที่ทั่งคู่สนทนากันอยู่นั้น ขบวนเกวียนก็ได้เดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน ซึ้งเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ มีเรือนไม้ใต้ถุนสูงเก่าๆปลูกอยู่หนาแน่น มีต้นว่านสีขาวปลูกอยู่ทุกครัวเรือน
ผู้คนในหมู่บ้านทีดูภายนอกเป็นเหมือนคนธรรมดาแลดูไม่มีพิษภัย ได้ยินเสียงคณะเกวียนเดินทางมา จับจ้องสายตามองดูคณะเกวียนอย่างไม่ละสายตา
นายเงินเดินไปที่หัวขบวนนำหน้ากองเกวียน สอดสายตามองซ้ายขวา ส่วนนายเพลิงและรำพึง ถืออาวุธคู่กายเดินตีคู่ขนาบกับขบวนเกวียนทั้งสองข้าง บุคคลทั้งสามทำหน้าที่ประหนึ่งทหารเท้าช้าง คอยระแวดระวังภัย
“นั่นปะไร! พวกชาวบ้านก็ดูเป็นคนเยี่ยงเรา หาใด้หน้ากลัวตามทีพี่เงินบอกไม่” ภูผาเอยขึ้นมาสายตาปราดมองดูชาบบ้านเหล่านั้นด้วยความโล่งใจ
“คงจักเป็นอุบายหมายหลอกให้เรากลัวเล่นน่ะสิ ขอรับ”บุญเกิดเอยเสริม พยักหน้าเห็นด้วย
ชาวบ้านที่มีทั้งหญิง ชาย เด็กเล็ก รวมไปถึงคนชราที่จับจ้องมองขบวนเกวียนอยู่ก่อนนี่ เดินออกมายังข้างทางยืนมองขบวนเกวียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง คณะนายเงินเดินไปมองไปคงท่าทีสุขุม ในมือกระชับอาวุธคู่กายแน่น เตรียมรับสถานการณ์
“ดูสิขอรับ พวกเขายังออกมาต้อนรับเราด้วย”
บุญเกิดเอย หันหน้าไปยิ้มๆให้กับชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างทาง
“ประเดี๋ยวคงได้ต้อนรับเราถึงใจแน่ละ ดูหน้าพวกนี่สิ จ้องเราปานจะกินเลือดกินเน้อ”
ภูผาเอยไม่ทันขาดคำ ชาวบ้านที่เหมือนจะดูเป็นปุถุชนคนปกติ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ค่อยๆเปลียนไป สีผิวซีดลงนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดง เล็บนิ้วมือนิ้วเท้าค่อยๆงอกยาวออกมา รูจมูกเริ่มเรืองแสงสีแดงวูปวาบรำไร อ้าปากเผยให้เห็นคมเขี้ยว กลายสภาพเป็นผีโพงเต็มตัว
ภูผาและบุญเกิดมองชาวบ้านพวกนั้นเปลี่ยนสภาพ จึงเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา
“เอาแล้วงัยไอ้เกิด! ดูพวกมันสิ หน้าตาดูเป็นมิตรเชียว”
บุญเกิดเร่งรัวไม้เฆี่ยนไปที่กันควายเร็วปรื๋อ หวังให้ควายเร่งฝีเท้าเดินเร็วกว่านี้
ผู้ที่ทำหนัาที่อารักขากองเกวียนทั้งสาม ตั้งท่าขึ้นเตรียมรับการต่อสู้ นายเงินเผยสีหน้าดุดันขึ้นหันหน้าเอยตะโกนบอกกับบัวลอย “เร่งฝีเท้า” บัวลอยได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือพนมขึ้นกลางอก ปากพึมพำบริกรรมคาถา พลันเกิดอักขระยันต์ยอดมงกุฎเรืองแสงสีทองขึ้นบนหน้าผากของควายทั้งหกตัว ดวงตาควายสีทองอร้าอร่ามเปล่งประกายสาวเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้การควบคุม
ผีโพงพวกนั้น วิ่งกรูเข้าหาคณะเกวียนอย่างบ้าคลั่ง องครักษ์ของกองเกวียนทั้งสามวิ่งตามความเร็วของควายเทียมเกวียน นายเงินใช้ไม่ศอกคู่ใจวิ่งล่ำหน้าขบวนเกวียน เข้าห้ำหั่นฝูงผีโพงอย่างดุเดือดที่ขวางขบวนเกวียนเพื่อเปิดเส้นทาง นายเพลิงกับรำพึงก็คอยป้องกันอยู่ทั้งสองข้าง
ขณะที่กองเกวียนวิ่งฝ่าฝูงผีโพงโดยความเร็ว ผีโพงตัวหนึงกระโดดเข้ามาเกาะเกวียนท้ายขบวน ทีมีภูผากับบุญเกิดอยู่ ภูผาเห็นเช่นนั้นจึงเอี้ยวตัวไปจับดาบที่พนผ้าไว้อยู่ขึ้นมา ขณะที่บุญเกิดนั่งแข็งถือหน้าซีดไม่พูดไม่จา สีหน้าหวาดกลัว
นายเพลิงกับรำพึงไม่ได้สังเกตท้ายขบวนเพราะต้องคุ้มกันบัวลอยผู้ที่กำลังบริกรรมคาถาอยู่ขณะนี้
ผีโพงตัวที่เกาะเกวียนอยู่ พยายามตะเกียกตะกายขึ้นเกวียนไปได้ครึ่งค่อนตัว ผีโพงตัวที่สองก็กระโดดเข้ามาเกาะขาตัวแรกที่กำลังตะกายตัวขึ้น ผีโพงตัวแรกทรุดลงตามแรงฉุดของตัวหลัง ทั้งสองตัวอยู่ในลักษณะที่ถูกลากไถพื้นตามแรงวิ่งของควาย จากที่เกาะอยู่สองตัว ก็มีมาเพิ่มเป็นสี่เป็นห้าตัว ผีโพงตัวที่หก กระโดดใต่ตัวที่ถูกลากขึ้นมาบนเกวียนได้
แม้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากฝูงผีโพงที่มาเกาะ แต่ควายเทียมที่มีนัยน์ตาสีทองอราม ยังคงวิ่งไปข้างหน้าโดยที่ความเร็วคงที่
ภูผาเร่งรีบแกะดาบพันผ้าอย่างลนลานได้ครึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่ทันการ ผีโพงตัวที่หกได้เข้ามาประชิดตัวภูผา ด้วยความตกใจ ภูผาถีบผีตัวนั้นเซถอยหลังไป ชักดาบที่แกะได้ครึ้งเดียวจ้วงแทงปักเข้าไปที่หน้าอกของผีตนนั้นทันที
ดาบปักเข้าไปที่หน้าอกผีตนนั้นจนเกือบจะทะลุ แต่ทว่าผีโพงตนนั้นกลับไม่เสดงอาการใดๆออกมา ผีโพงตนนั้นง้างมือขึ้น ตะปบกรงเล็บหมายจะให้เข้าที่หน้า แต่ภูผาปลอยมือจากดาบที่ปักอกโยกตัวหลบถอยหลังมา
ขณะที่ภูผาถอยหลังหลบกรงเล็บ ได้ดึงผ้าพันดาบติดมือออกมาด้วย เผยให้เห็นด้ามดาบสีเงินเงาวับจับตา ภูผาเอื่อมตัวไปคว้าดาบนั้นเอาไว้พร้อมกับยกเท้าถีบผีตนนั้น ดาบหลุดออกจากอกทันที
ขณะที่ภูผาถีบผีตนนั้นพร้อมกับดึงดาบ จู่ๆก็หมดสติวูปตกลงจากเกวียนทันทีพร้อมกับผีตนนั้นด้วยแรงถีบ
บุญเกิด ที่ยังคงนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ถึงการหายไปจากเกวียนของภูผา ยังคงนั่งตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่เช่นนั้น บรรดาผีที่เกาะอยู่ท้ายเกวียน เมือเห็นภูผาหมดสติทิ้งตัวลงจากเกวียน ก็ต่างพากันปล่อยมือ กลิ้งระเนระนาดไปตามความเร็วของเกวียน เปลี่ยนเป้าหมายพุ่งตรงไปที่ภูผาทันที
ขบวนเกวียนยังคงวิ่งกันต่อไปเรือยๆโดยที่ไม่รู้ถึงการหายไปของภูผา เดินทางบุกฝ่าดงผีโพง จนถึงแม่น้ำใหญ่คณะกองเกวียนวิ่งข้ามสพานไม้มายังอีกฝั่ง พวกผีโพงที่ไล่ตามมาก็พลันหยุดลงก่อนถึงแม่น้ำแล้วเดินแยกย้ายกันหายไป
บัวลอย หยุดบริกรรมคาถา อักขระสีทองบนหน้าผากและดวงตาของควายเทียมเกวียนได้กลับคืนสู่ปกติ อาการจากที่วิ่ง กลายเป็นเดินเนิบช้า เป็นสัญญานว่าคณะกองเกวียนได้ผ่านพ้นอันตรายแล้วหลังจากข้ามสพานมา
บุญเกิดที่นังตัวแข็งทื่อด้วยความตะลึงอยู่พลันได้สติ เอยขึ้นมา “รอดเสียทีนะขอรับ คุณภ........” พรางหันหน้าไปที่ท้ายเกวียน “คุณภูผา! คุณภูผา!”
นายเงินเดินตรวจดูคณะไถ่ถามอาการของทุกคน ทุกคนบนเกวียนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เว้นแต่มีอาการหวาดกลัวของมะลิ ดวงแข และบุญเกิด เท่านั้น นายเพลิงและรำพึงได้รับบาดเจ็บจากการถูกกรงเล็บขีดเล็กน้อย พอเดินมายังเกวียนท้ายขบวน ที่นายเงินสังเกตเห็นว่า ภูผาหายไป จึงรีบวิ่งเข้ามาเอยถามบุญเกิด
“ไอ้เกิด ไอ้ผาหายไปใหนรึ”
บุญเกิดเอยตอบท่าทางเลิ่กลั่กแฝงด้วยไปด้วยความเป็นห่วง “มิรู้จ๊ะ ข้าหันมาก็มิเจอแล้ว”
นายเงินตะโกนบอกแก่คณะเดินทางทันที
“พวกเอ็งทั้งหมด ไปรอข้าอยู่ที่หนองน้ำเชี่ยว ด้านหน้า หากพลบค่ำข้ายังมิกลับมา พวกเอ็งเดินทางต่อได้เลย” ทุกคนในคณะเดินทาง ยกเว้นมะลิ ดวงแข กับบุญเกิด เอยตอบนายเงินมาเป็นเสียงเดียวกัน “จ๊ะครู”
บุญเกิดกระโดดลงเกวียนมาเอยกับนายเงินด้วยท่าทีร้อนรนเป็นห่วงนายของตน
“พี่เงินจักไปตามหาคุณภูผาใช่มั้ยจ๊ะ ให้ข้าไปด้วยเถิด”
นายเงินจับใหล่บุญเกิด ยิ้มให้แล้วเอยออกไปตรงๆ
“สภาพเช่นเอ็ง ไปก็รังจะเป็นภาระของข้าเปล่าๆ เอ็งอยู่ที่นี่รอข้าดีกว่า”
มะลิและดวงแข ลงจากเกวียนทันทีที่รู้ว่าภูผาหายตัวไป
“ไอ้เกิด พี่ภูผาหายไป ใยเอ็งมิรู้ ห๊ะ! คอยดูเถอะหากพี่ผาเป็นกระไรไป แม่จะเพ่งกระบาลเอ็งให้”
ดวงแขเอ็ดบุญเกิด บุญเกิดอึ๋มอั้ม แสดงสีหน้ายอมรับผิด ขณะที่ดวงกำต่อว่าบุญเกิด มะลิ ยืนเงียบๆสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย
นายเงินหันหน้าสาวเท้าข้ามสพานกลับไปนังหมู่บ้านผีโพงผีโพงทันที.....
——————————
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ