ขุนเขา สายน้ำ คาวเลือด
เขียนโดย Liusanmei
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.20 น.
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 14.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ ๔ ปะทะคารม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔ ปะทะคารม
กลางดึกคืนนั้น ณ เรือนลำนำเมธา เรือนพักของวาตะ
“โอ๊ยย พี่หญิงเบามือหน่อย” วาตะร้อยโวยวาย
“เจ้ายังมีเรี่ยวแรงดีอยู่ถึงได้ร้องดังได้ปานนี้” เจ้านางน้อยสุรนารีกล่าวพลางเอายาทาหลังให้วาตะ “ฉะไหนเจ้าไม่บอกไปว่าเป็นข้าใคร่ได้มะพร้าว โทษทัณฑ์อาจจะเบาลงกว่านี้เป็นได้”
วาตะเงียบครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “แม้ข้าไม่เดินไปหาเรื่อง เพียงรั้งอยู่เฉยๆ เรื่องก็มาหาข้าได้ เพิ่มอีกเรื่องจะเป็นไร”
เจ้านางน้อยสุรนารีถอนหายใจเบาๆ ไม่กล่าววาจาใดต่อพลางลูบศีรษะน้องชายเบาๆ ส่งยาในมือให้ทาสรับใช้
“หมอหลวงบอกว่าแผลไม่สาหัสนัก เพียงทายาก็ทุเลา เจ้านอนนิ่งๆ เป็นพอ”
วาตะส่งเสียงอืมเป็นการรับคำ
สถานการณ์ในตอนนี้ช่างน่าอึดอัดอย่างยิ่ง แม้เหล่าราชกุมารภายนอกยังรักใคร่กลมเกลียวกันแต่แท้ที่จริงแล้วเหล่ามารดาแต่ละคนต่างคอยสกัดแข้งตัดขากุมารองค์อื่นที่เด่นดังเกินหน้าเกินตาบุตรของตนอยู่ มาตรแม้นเหล่ากุมารจะไม่ทราบเรื่องราวใด เพราะเพียงยังทรงพระเยาว์ เลยปลดปล่อยความใส่ซื่อบริสุทธิ์ไร้มลทินออกมาจากใจอย่างเต็มที่ คบหาพูดคุยกันอย่างสื่อตรงไร้เสแสร้งแต่อีกไม่นานเกินรอ เพียงราชกุมารเหล่านี้เติบโตขึ้นจนพอรับทราบได้ ก็จะถูกผู้คนแลสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายทารุณ กัดกร่อนคุณความดีในดวงจิตไปสิ้นเป็นแน่ เพราะการแก่งแย่งชิงอำนาจ เพราะราชบัลลังก์มันมีอำนาจดึงดูดผู้คนได้อย่างน่าประหลาด
น้อยหนักหนาผู้ที่จะไร้ความโลภ น้อยหนักหนาผู้ที่จะไร้ความอาฆาตริษยา ยิ่งน้อยหนักหนาผู้ที่ข้องเกี่ยวเกลือกกลั้วกับอำนาจ เงินทอง แลยศถาบรรดาศักดิ์แล้วใจจะมั่นคงไม่สั่นคลอน
เมื่อเหล่าราชกุมารยังทรงพระเยาว์ก็เป็นเครื่องมือแห่งความโสมม แม้ราชกุมารเหล่านี้เติบโตขึ้น ถึงพลันสลัดคราบจากการตกเป็นเครื่องมือแลขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนาในตนเองได้กลายเป็นผู้ถือเครื่องมือนั้นไป
...
วันต่อมาครั้นยังไม่สว่างดีวาตะก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงพูดคุยที่ดังลอดหูเข้ามา
“ตื่นแล้วๆ พี่๔ตื่นแล้ว”
“พี่๔เจ็บไม๊”
วาตะขมวดคิ้วกล่าวทั้งๆ ที่นอนคว่ำหน้าอยู่ “เจ้าอยากลองหรือไม่เล่า”
“ไม่ล่ะๆ”
“พี่๔ดูสิ เจ้า๖มันก็มานะ นั่งโน้น”
วาตะพลันจะขยับตัวลุกแต่ดันร้องลั่นล้มลงนอนดังเดิม พลางมองอักขระแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่”
อักขระ กล่าวตอบว่า “ข้าเจ็บน้อยกว่าพี่แล้วกัน”
เหล่าราชกุมารทั้ง๕พากันหัวเราะ ราชกุมารมากันทุกคนรวมทั้งไอศุริยะ ด้วย
ยามคราวคนป่วยไข้การแสดงน้ำมิตรคือการไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ แต่ไอศุริยะ ไม่ได้มาด้วยเหตุนั้นเป็นแน่ มันมาดูอาการวาตะหนึ่ง มาเพราะรักษาหน้าตนเองหนึ่ง ทั้งยังมาเพื่อไม่ให้แปลกแยกในหมู่ราชกุมารอีกประการหนึ่งด้วย
ในยามนี้นับว่าไอศุริยะ คือพี่ใหญ่ที่สุด เพราะในหมู่องค์ชายยามนี้เป็นมันที่อายุมากที่สุด เพราะองค์ชายใหญ่ทุรพลไปเป็นตัวประกันเมื่อครั้งกระโน้น
“เจ้า๔ ครานี้เจ้าวู่วามยิ่ง หากบอกต้นสายปราบเหตุที่แน่ชัด คงไม่ต้องเลือดตกยางออกปานนี้” ไอศุริยะ กล่าว
วาตะได้ยินดังนั้นก็ทราบในอกว่าต้องเป็นพี่สามเป็นแน่ที่เล่าเรื่องราวให้ไอศุริยะฟังอย่าละเอียด เพราะไอศุริยะและสรฏะสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยเพราะมีมารดาผู้เดียวกันด้วย และเนื่องด้วยมันทั้งสองถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกันจึงพลันสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีคนรู้เบื้องหลังว่าเป็นพี่หญิงสุรนารีเป็นผู้ใคร่ได้มะพร้าว วาตะก็หาได้สนใจไม่ เพราะหากมันผู้ใดขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นใหม่เพื่อที่จะลงโทษพี่หญิงสุรนารีแล้วมันผู้นั้นจะต้องถูกมองว่าถือสาเอาความกับเด็กในเรื่องเล็กน้อยเป็นแน่ ไม่ส่งผลในด้านดีกับตนเอง วาตะคิดเช่นนี้แล้วก็ไม่ได้ว่ากล่าวกระไร ยอมรับฟังไอศุริยะ ตักเตือนอย่างว่าง่าย
“เจ้าใจร้อนไปหน่อย” ไอศุริยะ ยังคงกล่าวต่อ “เจ้า๖ยามนี้อาการไม่สาหัสนัก เสนารักษ์ให้นอนพักสี่ห้าวันก็หายเป็นปกติ”
“ขอรับ” วาตะรับคำ
“ข้าแจ้งพระยาสมานเรียบร้อยแล้ว เจ้าหายดีเมื่อไหร่ค่อยไปรายงานตัวกับท่าน” ไอศุริยะ กล่าว
“ขอรับ” วาตะรับคำ
เหล่าอนุชนทั้งหลายรั้งอยู่คุยเล่นจนตะวันขึ้นดีแล้วก็พากันจากไป
ครู่ใหญ่เจ้านางน้อยสุรนารีก็พาเสนารักษ์เข้ามาดูแผลให้วาตะ เสนารักษ์ใส่ยาทำแผลแล้วจึงกล่าวว่า “แผลนี้ไม่สาหัสนัก อีกสองวันก็เดินเหินได้เป็นปกติ” หมอผู้นี้ยิ้มมองวาตะพลางกล่าวต่อว่า “ข้าเคยทำแผลให้ทหารที่ถูกโบยอยู่บ่อยครั้ง แม้มันเหล่านั้นอายุมากกว่าเจ้านับสิบปี แต่ก็ใช้เวลาราว๑๐กว่าวันจึงพอเดินเหินได้ พ่อหลวงท่านมีเมตตาแล้ว” หมอผู้นั้นกล่าวพลางคารวะและออกไป
เจ้านางน้อยสุรนารีเพียงสบตาวาตะไม่กล่าววาจาใด
...
สามวันต่อมาแผลของวาตะเริ่มตกสะเก็ด วาตะจึงพอเดินไปเดินมาในเรือนได้บ้าง มันจึงเดินไปยังสวนไผ่หลังเรือน ระเบียงด้านหลังเรือนของวาตะทอดยาวไปตามแนวไผ่ ระหว่างระเบียงและสวนไผ่ มีลานกว้างพอให้กวัดแกว่งทวนยาวได้อย่างสบาย พื้นเทด้วยหินก้อนเล็กๆ สีขาว มองดูจากระเบียงสีตัดกันกับสวนไผ่พอดี เพียงแค่ก้าวลงไปก็ถึงลานหิน วาตะเดินไปลูบคลำกระบองที่มันเอาไว้ฝึก พลางมองต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายเป็นแนวพลันรู้สึกเจ็บปวดในใจ
มันอายุเพียงเท่านี้กลับต้องย่างขาเข้าสู่สงครามที่ไม่มีวันจบ สงครามภายในที่เหล่าเชื้อพระวงศ์แก่งแย่งชิงดีกันเอง
“มิสู้เป็นชาวบ้านประเสร็จกว่า” วาตะเปรยขึ้น
“เจ็บตัวเท่านี้ท้อแท้แล้วหรือ” เสียงหนึ่งดังมาจากในสวนไผ่ แต่วาตะกลับมองไม่เห็นตัวมัน
“ผู้ใด” วาตะจับกระบองในมือยกขึ้นมาตั้งท่าเตรียม มือกระชับกระบอกแน่น
ชายหนุ่มผู้นั้นพลันก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า มันสวมเสื้อผ้าดูแปลกตา ทั้งยังดูรุ่มร่ามกว่าปกติด้วย มันสวมผ้าคลุมดำยาวถึงโคนขา เสื้อสีน้ำตาลเข้มแขนยาว สวมโจงกระเบนสีน้ำตาล ผมกล้ามวยไว้กลางศีรษะอย่างเรียบง่าย ใบหน้าดูคมคายคล้ายรูปสลัก อายุน่าจะราว๓๐กว่า
“เจ้าไม่ลองเดาดู” ชายหนุ่มนั้นเอ่ยขึ้น พลางเดินออกมาจากสวนไผ่อย่างเชื่องช้า
“พิรี้พิไร” วาตะกล่าวเพียงเท่านั้นก็พุ่งตัวออกไปทันที ชายหนุ่มนั้นเพียงยืนอยู่เฉยๆ วาตะกลับฟาดกระบองไปไม่หยุดหย่อนอยู่ครู่หนึ่งแต่พลันกระบองที่จู่โจมออกไปกลับไม่โดนตัวชายผู้นั้นเลย วาตะแปลกใจอย่างยิ่งจึงกระโดดถอยห่างออกมาพลางหอบหายใจเพ่งมองชายผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ เบื้องล่างพลันเห็นรอยเท้าใกล้จุดที่เท้าชายผู้นั้นเหยียบมีรอยเท้าสองสามรอย
‘ที่แท้มันหลบกระบองเราหรือนี่’ วาตะคิด
“เจ้ามันไร้ปัญญา ใจร้อนวู่วาม ใช้แต่กำลังไม่ใช้ความคิด โง่งม”
วาตะยืนอึ้งนิ่งอยู่ไม่รู้จะกล่าววาจาใด ทั้งตนเองก็เอาชนะมันไม่ได้ ทั้งคำพูดก็พลอยอับจนไปด้วย แววตามันยังคงฉายแววระแวดระวังอยู่ตลอด แต่ชายผู้นั้นหาได้แยแสสนใจมันไม่ ชายหนุ่มผู้นี้กลับก้าวเดินตรงมาที่วาตะกิริยาประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตนพลางกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“ถ้าแม่เจ้ายังอยู่คงปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะลูกเบาปัญญาเช่นเจ้าเป็นแม่นมั่น”
“ท่านรู้จักแม่ข้าหรือ” วาตะดวงตาเป็นประกายฉายแววใคร่รู้
“รู้จักดี” ชายผู้นั้นเอ่ยพลางเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าวาตะ “เพราะข้าเป็นคนที่แม่เจ้าไว้ใจที่สุด”
วาตะยังคงนิ่งอยู่ ชายผู้นั้นจ้องมองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างพินิจพิจารณา “ใบหน้าเจ้าคล้ายแม่เจ้ามาก” ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยน้ำเสียงฉาบย้อมด้วยความเศร้าสลด แววตาเหม่อมองไปยังเรือน มองอย่างหวนคำนึง ประหนึ่งไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน แต่มันพลันข่มกลั้นอารมณ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ฝังไว้ส่วนลึกที่สุดของจิตใจ เบนหน้าหนีเดินไปนั่งที่พื้นระเบียง ห้อยขาลงมาเกี่ยงหินที่พื้นเล่นพลางกล่าวว่า
“ปีนี้เจ้าอายุได้๑๒แล้วกระมัง” ชายผู้นั้นชายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า เห็นไม่มีท่าทีตอบก็กล่าวต่อว่า “สำนักพรรค์นั้นสอนเจ้าได้เท่านี้นะหรือ”
เด็กหนุ่มแววตาผุดไฟโทสะขึ้นกล่าวว่า “ท่านเป็นใครกันแน่ เกี่ยวข้องอันใดกับแม่ข้า”
ชายหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอ มองเด็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะเชื่อคำข้ารึ”
“ก็ขึ้นอยู่ว่าท่านกล่าวสิ่งใด”
“ถ้าข้ามาฆ่าเจ้า?”
“ข้าคงไม่เห็นแม้ตัวท่าน”
ชายผู้นั้นหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ฝีไม้ลวดลายเจ้าจัดว่าไม่เลว แต่ออกจะคร่ำครึไปหน่อย การต่อสู้ที่เดิมพันด้วยเลือดต่างจากการร่ายรำบนเวทีนัก หลายกระบวนท่าที่เจ้าใช้ออกมาอย่างฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น” ชายผู้นั้นกล่าววาจาทั้งๆ ที่นอนราบบนระเบียง
วาตะที่ยืนนิ่งถือไม่กระบองอยู่เบื้องหน้ามันพลันมองกระบองในมือโดยไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มลอบมองเด็กน้อยตรงหน้าพลางกระโดดตัวขึ้นมายืนตรงหน้าวาตะแล้วเอ่ยว่า
“ข้าเป็นทหารในสังกัดกองเสือดำที่พระเจ้ามหาทิวาธีรภพจัดตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครองดูแลมารดาเจ้า บัดนี้ข้าได้รับมอบหมายให้มาคุ้มกันคณะทูต และคุ้มกันเจ้า”
“คณะทูต? คุ้มกันข้า”
ชายผู้หนุ่มผงกศีรษะกล่าวตอบว่า “ท่านตาเจ้าใคร่อยากเห็นหน้าหลาน เลยส่งทูตมาหาพ่อเจ้า บัดนี้น่าจะคุยกันอยู่ในท้องพระโรง”
“ท่านตารึ” วาตะเบนหน้าไปมองสวนไผ่ คล้ายไม่ใส่ใจ คล้ายไม่ยินดี ประหนึ่งว่าจะมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาในชีวิตมันเพิ่มอีกประการ ชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายทราบความในใจมันจึงกล่าวว่า
“ที่นั่นต่างจากที่นี้”
“ที่ไหนก็เหมือนกัน ที่ไหนมีคน ที่นั่นก็มีเรื่อง”
ชายหนุ่มพลันได้ยินคำนั้นก็ลอบถอนหายใจ เดินไปหยิบถาดน้ำชาที่วางอยู่ที่ระเบียงมารินดื่มมองดูเบื้องหลังเด็กหนุ่มตรงหน้า แม้ว่าอายุเพียง๑๒ปี แต่กิริยาท่าทางมันกลับประหนึ่งชายหนุ่มเจนโลกฉะนั้น สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่ว่าจะเอาเด็กน้อยไร้เดียงสาเพียงใด มาใช้ชีวิตอยู่ในวังวนแห่งการแก่งแย่งและอำนาจนานปีเพียงนี้ เด็กผู้นั้นก็จะกลับกลายเป็นเช่นมันได้ทุกผู้คน
วาตะยังคงยืนมองสวนไผ่อยู่เนิ่นนาน จึงเบนหน้ากลับมา เสียบกระบองลงที่วางอาวุธแล้วมานั่งดื่มชาข้างชายหนุ่มผู้นั้น พลางเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ข้ายังไม่ทราบนามท่านจอมยุทธเลย”
ชายหนุ่มผู้นั้นมองมันด้วยแววตาประหลาดใจพลางกล่าวว่า เรียกข้า “อาทิด” ก็ได้
“ได้ท่านอาทิด ท่านว่าข้าโง่งม รู้จักใช้กำลังไม่ใช้ปัญญา ข้ายังไม่เข้าใจ”
ชายผู้นั้นพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าโง่งมยิ่ง” ชายผู้นั้นมองวาตะด้วยหางตา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางกล่าวต่อว่า “ชายางี่เง่าพวกนั้นใคร่จะโบยเจ้า เจ้าก็รับไม่ใช่โง่งมหรอกรึ”
“แต่ถ้าข้าไม่รับ พี่หญิงก็...” วาตะกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ก็ถูกแทรกขึ้นอีกว่า
“นางปิยะนุชนั้นเพียงต้องการผู้รับผิด เช่นไรเจ้าไม่โยนไปให้พี่๓เจ้าเล่า พี่สามเจ้ามีนางยุวดีนั้นคุ้มกะลาหัวอยู่อย่างไรเสียมันไม่ปล่อยให้ลูกมันรับโทษทันแน่” ชายผู้นั้นกล่าว
“แต่พี่หญิงข้าจะเดือดร้อน” วาตะกล่าวคอตก
“พี่หญิงเจ้าฉลาดกว่าเจ้าเป็นไหนๆ ถ้านางอยู่ที่นั่นด้วยไม่มีทางที่นางจะได้รับโทษ ทั้งเจ้ายังไม่ต้องเจ็บตัวด้วย” ชายผู้นั้นกล่าวพลางรินชาใส่ถ้วย
“เช่นนั้นข้าก็ใส่ความพี่๓แล้ว”
“นี้อย่างไรเล่าถึงโง่งม พี่๓เจ้าเถรตรงยิ่ง เขาย่อมเล่าความจริงทุกประการให้พระเจ้าพังคราชฟัง ถึงแม้พี่หญิงเจ้าจะถูกลากมาเกี่ยวด้วย แต่ผู้ใดที่ได้ฟังความจะไร้ปัญญาโยนขี้นี้ใส่เจ้า เจ้าไปฟันต้นไม้ให้ล้มลงหรือ มีแต่กำลัง ไร้สมอง” ชายผู้นั้นกล่าว
วาตะได้แต่เงียบงันไป
“เอาเถอะ สวรรค์ยังไม่ให้เจ้าสิ้นชีพ อย่างไรเสียต้องมีเรื่องมาหาเจ้าอยู่ร่ำไป” ชายผู้นั้นหัวเราะร่า “เสียดายไม่มีสุรา”
วาตะมองหน้าชายหนุ่มข้างตนอย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำไมท่านรู้เรื่องในบ้านข้าดีเสียยิ่งกว่าข้าเล่า”
“เจ้ามันไร้สมอง มีแต่ตา มองจนตายก็หารู้เรื่องไม่”
“นี้นะหรือ”
ชายผู้นั้นชายตามองวาตะ “เจ้าว่าเจ้าเก่งนักหรือ เจ้ารู้จักเพียงใช้กำลัง ไม่ใช้ความคิด”
“วิธีท่านมันต่างกระไรโยนขี้ใส่หัวชาวบ้าน”
“หรือเจ้าใคร่ได้มาใส่กระบาลเจ้าเล่า เจ้ารู้กระไร อาจมบนหัวผู้อื่นหรือจะหนักเท่าอาจมบนหัวเจ้า ความผิดเดียวกัน โทษทัณฑ์กลับต่างกัน”
วาตะครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานไม่กล่าววาจาใด
ชายหนุ่มผู้นั้นล้มตัวลงนอนถอนหายใจฮัมเพลงไปพลางดื่มชาไปพลาง มองเด็กหนุ่มด้านข้างไปพลางสุขใจยิ่งเนิ่นนานวาตะจึงกล่าวว่า “ข้าจะได้ไปที่วิเทหราช (เมืองหลวงของแคว้นสุวรรณไกรสร) หรือ”
“ไม่ง่ายนัก”
“เช่นใดจึงไม่ง่าย”
“ถ้าเจ้าเป็นบิดา เจ้าจะยินยอมมอบบุตรให้ผู้อื่นดูแลหรือ”
...
“ถูกโบยยี่สิบไม้” เสียงตวาดลั่นท้องพระโรง เสียงนี้ทรงพลังอำนาจอย่างยิ่ง เป็นเสียงมาจากชายสูงอายุรูปร่างท้วมผู้หนึ่ง “เป็นเพียงพระชายาถึงกลับกล้าตัดสินลงโทษพระราชโอรส ทั้งยังไม่ใช่โอรสตนอีก ท่านไม่เห็นศีรษะพ่ออยู่หัวแล้วหรือ”
“เจ้า...เจ้ากล้าดี...” พระนางกลั่นกรองนุชบวรวิจิตโสภณกล่าวเสียงสั่น หน้าแดงคล้ำดวงตาไม่เปลี่ยนแปลงประกาศิตประกาศิตด้วยไฟโทสะอย่างยิ่ง พระนางกล่าวยังไม่ทันจบกลับถูกชายชรากล่าวแทรกว่า
“กล้าดีอย่างไรมาสวมบทตุลาการตัดสิน ทั้งยังริอ่านหาญกล้าใช้กฎทัพมาลงโทษราชกุมารวัย ๑๒ ปี หรือเห็นว่าเด็กไม่มีแม่จะรังแกเช่นไรก็ไร้คนคุ้มศีรษะแล้วกระมัง”
สีพระพักตร์พระเจ้าพังคราชพลันซีดในบัดดล
พระชายาปิยนุชบวรวิจิตโสภณโมโหโกรธจนกล่าววาจาใดไม่ออก
คำว่ากล่าวนี้ไม่เพียงกระทบเหล่าพระชายา ทั้งยังกระทบพระเจ้าพังคราชด้วย การว่ากล้าเช่นนี้ไม่ใช่ว่ากล่าวพระเจ้าพังคราชที่ไม่คุ้มครองปกป้องโอรสตนหลอกหรือ ไม่ใช่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวก็ไร้ปัญญาปกป้องหลอกหรือ
“นี้เป็นเรื่องภายในบ้าน ท่านทูตโปรดอย่า...” อำมาตย์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นแต่พลันถูกขัดว่า
“เรื่องภายในบ้านยังเหลวแหลกถึงเพียงนี้ หากปล่อยนานจะฟอนเฟะ เน่าในได้ ...ข้ารับพระบัญชามาจากองค์พ่ออยู่หัวพระเจ้ามหาทิวาธีรภพ” ชายชรายกมือพนมเทิดศีรษะหนักอึ้งหนึ่งแลกล่าวต่อว่า “เป็นผู้แทนพระองค์ เมื่อเห็นว่าหลานพระองค์ถูกแม่เลี้ยงข่มเหงรังแกยืมไม้ตีคนจะให้ทำหูหนวกตาบอดเช่นขุนนางหุ่นเชิดได้เยี่ยงกลั่นกรอง”
“สามหาวยิ่งนัก” อำมาตย์อีกท่านเอ่ย
ชายชราหัวเราะในลำคอ “เพื่อความเป็นธรรม ขอพระเจ้าแผ่นดิน ได้โปรดประทานความเป็นธรรม เพื่อมิตรไมตรีสองแคว้นตราบกาลนานด้วยเทิด” ชายชราพูดเสียงดังกึกก้องทั่วท้องพระโรง
ครานี้ชายชราผู้นี้จะยืมมือผู้เป็นพระสวามีลงโทษพระชายาตนเองบ้างแล้ว
พระเจ้าพังคราชที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น “ท่านทูตประสงค์ให้คืนความเป็นธรรมเยี่ยงไร”
“ผู้ชราเคยได้ยินว่าครั้นลงโทษสตรีไม่เน้นความรุนแรง ผู้ชราขอหยิบยกบทลงโทษที่พระราชธิดาสุรนารีมณีบวรเคยได้รับเมื่อกาลอดีตมาเป็นบทลงโทษ พระชายาผู้นี้แล้วกัน ขอพระเจ้าแผ่นดินทรงให้ความเป็นธรรม”
เสียงเหล่าบรรดาขุนนางอำมาตย์ดังขึ้น
เมื่อครั้งพระราชธิดาสุรนารีมณีบวรอายุได้๗พระชันษาได้ไปเด็ดดอกไม้ในสวนพระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีดอกหนึ่ง พระนางถึงกลับลงโทษให้พระราชธิดาสุรนารีมณีบวรเดินรอบพระนครหลวงพลางกล่าวไปด้วยว่า “หนูเป็นเด็กขี้ขโมย”
แต่ครั้งนี้ย่อมแตกต่างกัน หากเด็กอายุ๗ขวบเดินกล่าวเช่นนั้น ชาวบ้านเห็นต่างคงว่าบุตรหลานบ้านใครน่ารักน่าเอ็นดู
แต่ถ้าพระชายาไปเดินทั่วเมือง...เช่นนั้นเท่ากับประจานแล้ว พระนางปิยนุชบวรวิจิตโสภณพาลมองถลึงตาไปยังพระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวี เป็นว่าสิ่งที่พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีทำกับพระราชธิดาสุรนารีมณีบวรกลายเป็นโทษทัณฑ์นั้นต้องมาลงที่ตน
พระมเหสียุวดีอาศีวิษะเทวีถึงกับก้มหน้าคอตกมองเท้าตนไม่กล้าเงยหน้า
พระเจ้าพังคราชนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
“ข้าเป็นลูกพระเจ้าสิงหนติ เจ้าครองแคว้น...” พระนางปิยนุชบวรวิจิตโสภณกล่าววาจายังไม่ทันจบพลันถูกเฒ่าชราผู้นั้นกล่าววาจาขัดขึ้น
“พระเจ้าสิงหนติเป็นน้องร่วมสาบานกับพ่อเจ้าอยู่หัวของเรา พระนางว่า พระองค์จะทรงเห็นแก่ลูกหรือเห็นแก่พี่ร่วมสาบานเล่า” ชายชรากล่าวเสียงกังวาน
กิติศักดิ์ร่ำลือว่าพระเจ้าสิงหนติแลพระเจ้ามหาทิวาธีรภพเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่รักใคร่สนิทสนมกันมากหาใดเปรียบ ถึงขั้นยอมตายแทนกันได้ตั้งแต่ครั้งเมื่อทั้งสองยังเป็นราชกุมาร
ในท้องพระโรงนิ่งเงียบไปโดยพลัน อันที่จริงแล้วการที่ราชทูตต่างแคว้นมาสอดมือเรื่องราวภายในราชวงศ์เช่นนี้เหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์แม่ทัพขุนนางอยู่ในท้องพระโรงมันต้องไม่พอใจเป็นแน่แท้ แต่ชายชราวาจาดุดันผู้นี้มาในฐานะตัวแทนพระเจ้ามหาทิวาธีรภพ ผู้มีศักดิ์เป็นพระสสุระขององค์เหนือหัว กล่าววาจาใดก็ล้วนเป็นดังคนในครอบครัวพูดคุยกัน พวกเหล่าข้าราชบริพารเหล่านั้นยิ่งไม่กล้าสอดมือด้วยเพราะสมเหตุสมผลยิ่งที่ทูตผู้นี้จะว่ากล่าว ทั้งพวกมันยังต้องไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดอีกด้วยเพราะพวกมันกลายเป็นคนนอกไปเสียแล้ว
ทั้งยังแอบลอบดีใจก็ไม่ปานที่เหล่าสตรีอสรพิษร้ายพวกนี้จะถูกกำหลายปราบลงเสียบ้าง เพราะจะให้พระเจ้าพังคราชลงมาเกลือกกลั้วครั้วน้ำครำสั่งสอนหญิงร้อยมารยาเหล่านี้ก็กระไรอยู่ ราชกิจก็หนักหนาทุกวันคืนกว่าพระองค์จะได้บรรทมหลับพักผ่อนก็ล่วงยามสามเข้าไปแล้ว
“ท่านทูตมาในองค์แทนพระสสุระ หากนี้เป็นพระประสงค์ของพระสสุระ...”
พระเจ้าพังคราชกล่าวพลางลอบมองไปยังพระชายาตน
ชายชราเห็นสีพระพักตร์พระเจ้าพังคราชไม่สู้ดีนัก เพราะหากพระชายาพระเจ้าพังคราชไปเดินประจานตัวกลางพระนครแล้วเจ้าครองแคว้นนั้นคงจะไม่รู้เอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่เมื่อรอบคิดว่ากษัตริย์ผู้นี้แม้ลูกตนยังปกป้องไม่ได้ปล่อยให้แม่เลี้ยงใจร้ายเหล่านี้ข่มเหงรังแกก็มีโทสะขึ้นอีก ก็ลอบถอนหายใจกล่าววาจาเข้าเรื่องที่ตนดั้นด้นเดินทางแรมเดือนมายังพระนครว่า
“เรื่องนี้พ่ออยู่หัวยังไม่ทราบความ แต่ข้าผู้ชราได้ส่งม้าเร็วไม่แจ้งแล้ว พ่ออยู่หัวจะทรงมีรับสั่งมาอีกทีหนึ่ง ที่ข้ารอนแรมมาไกลราวพันโยชน์นี้ (1 โยชน์คือ16กิโลเมตร) เพราะว่าพระเจ้ามหาทิวาธีรภพใคร่อยากให้พระราชนัดดาทั้งสองไปอยู่ด้วยกับพระองค์เสียสักระยะหนึ่ง ไม่ทราบพระองค์จะทรงเห็นแกมิตรไมตรีระหว่างสองแคว้นให้พระราชนัดดาทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนนครสุวรรณไกรสรได้หรือไม่”
“เป็นพระประสงค์ของพระสสุระ (พ่อตา) หรือ” พระเจ้าพังคราชกล่าว
“เป็นพระประสงค์ขององค์เหนือหัว” ชายชราผู้นั้นกล่าวพลางพนมมือเทิดศีรษะ
พระเจ้าพังคราชสีพระพักตร์หม่นหมองอีกครานิ่งไปครูหนึ่งจึงพลันกล่าวว่า “เพลานี้วาตะอาการยังไม่ทุเลาดี รอให้ผ่านงานฉลองวันพระราชสมภพของเราก่อนเถิดค่อยออกเดินทาง”
“เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว” ชายชรากล่าวเสียงดังกังวาน
“ท่านทูตเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยขอเชิญพักที่เรือนรับรองก่อนเถิด” พระเจ้าพังคราชกล่าว
“ขอบพระทัยพ่ออยู่หัว” ชายชราผู้นั้นกล่าวพลางคุกเข่าถวายบังคมแล้วลุกเดินจากไป
...
“ท่านอาข้ายิ่งฟังท่านยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่อยากให้ข้าไปหาท่านตา” วาตะนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ชานระเบียงหันหน้าไปหาชายหนุ่มด้วยแววตาประหลาดใจ
“เจ้ายังเด็กอยู่มาก มีหลายเรื่องบนโลกที่เจ้ายังไม่เข้าใจ และมีหลายเรื่องที่เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจตลอดกาล...”
“เจ้าทิดเหม็น เจ้าหนอนตำราเน่า เจ้ากล่าววาจาใดกับพระนัดดาพ่ออยู่หัว” เสียงดังกังวานสายหนึ่งแทรกผ่านกลางสวนไผ่แหวกอาการพุ่งมาพร้อมกับร่างคน เป็นราชทูตผู้มีวาจาปราดเปรื่องผู้นั้นเอง
“ท่านทูต” ทิดหนุ่มกล่าวขึ้น
“ทิดเหม็นหรือ ท่านทูตหรือ” วาตะกล่าว
ชายชราผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าวาตะก็ถวายบังคมวาตะอย่างนอบน้อม ด้านหลังมันมีองครักษ์อีกสี่คนแต่งตัวคล้ายกับทิดหนุ่มทุกประการ
“พระนัดดา กระหม่อมมีนามว่า ทีฆายุ เป็นราชทูตจากแคว้นสุวรรณไกรสร มาเพื่อรับพระองค์แลพระนัดดาสุรนารีฯ เสด็จกลับไปยังพระนคร คนเหล่านี้คือหน่วยเสือดำ เป็นหน่วยที่พระอัยกาของพระองค์จัดตั้งขึ้นให้คุ้มครองพระชนนีของพระองค์เมื่อครั้งที่องค์หญิงอภิเษกกับพระเจ้าพังคราชพระเจ้าค่ะ”
วาตะรีบค้อมคารวะราชทูตผู้นั้น แลเหลือบมองไปยังท่านอาทิดพลางกล่าวว่า “บุรุษทั้งหน้านี้เป็นหน่วยที่ท่านตาให้มาคุ้มครองเสด็จแม่หรือ แล้วไหนข้าไม่เคยพบเลยเล่า”
ชายชรานั่งที่ระเบียงทางเดินแทนที่ทิดหนุ่มแล้วกล่าวขึ้นว่า “เสือดำเหล่านี้เชี่ยวชาญชำนาญหนักหนาเรื่องการอำพรางตัว ยิ่งกว่าการอำพรางตัวแล้วมันเหล่านี้ชำนาญช่ำชองในการบั่นคอผู้คนยิ่ง ข้าผู้น้อยคิดว่าพระนัดดาคงทดลองดูแล้วกระมัง” ชายชรายิ้มร่าแล้วกล่าวต่อว่า “เหล่าคนพวกนี้จะคุ้มครองพระองค์แลเสด็จพี่หญิงพระองค์จนกว่าจะเสด็จกลับแคว้นสุวรรณไกรสร กระหม่อมคิดว่า คงอีกราวสองเดือนกว่าจะได้ออกเดินทาง กระหม่อมยินมาว่าพระองค์เชี่ยวชาญชมชอบเพลงทวนแลการดนตรียิ่งไม่ทราบว่า...” ชายชรายังกล่าวไม่จบแต่พลันถูกวาตะขัดขึ้นก่อน ในชีวิตมันน้อยคนนักที่จะขัดสิ่งที่มันพูดได้ แต่ครานี้มันกลับชื่นชมยินดี
“ท่านทูตข้าใคร่ถาม...” วาตะกล่าวยังไม่ทันจบก็ถูกชายชรากล่าวแทรกว่า
“พระนัดดาเรียกกระหม่อมว่า ลุงยุธก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” ชายชรากล่าว
“ท่านลุงยุธ เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้ข้ากับพี่หญิงไปหาท่านตาแล้วหรือ” วาตะถามตาเป็นประกาย
“แม้เสด็จพ่อพระองค์จะทรงอนุญาตแล้ว แต่ผู้ชราเห็นว่าโดยนัยยังไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่๗ส่วน ต้องมีเหตุบางประการเป็นชนวนเสด็จพ่อพระองค์ถึงจะปล่อยพระหัตถ์อย่างแท้จริง”
“เหตุบางประการ เป็นเหตุใด พี่หญิงคงไม่ต้องเดือดร้อนกระมัง”
“พระนัดดาวางพระทัยเหตุนี้ไม่เพียงทั้งสองพระองค์จะปลอดภัย แลจะรื่นเริงปรีดาอย่างยิ่ง แต่ข้าผู้ชราเกรงว่า ต้องใช้เวลากว่าพระองค์จะได้เชยชม ยามนี้พระองค์ทรงพักฟื้นพระวรกายให้สำราญเถิด ปล่อยเป็นหน้าที่กระหม่อมเอง”
“ท่านลุงยุธข้าใครถามท่านตาเป็นคนอย่างไร”
ชายชราผู้นั้น หรี่ตาลงน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางกล่าวว่า “เสด็จตาพระองค์พระทัยกว้างขวางน่าเคารพนับถือเปิดเผยเถรตรงถือสัจวาจาเป็นเอก เชี่ยวชาญรอบรู้ศาสตร์หลายแขนง ทั้งยังช่ำชองเจนศึกชาญสมรภูมิอีกด้วย”
วาตะฟังคล้ายไม่อยากเชื่อราวกับคนผู้นี้ท่องจำ แต่เห็นสีหน้าแววตาที่จริงจังของคนผู้นี้กลับยากที่จะไม่เชื่อ เพราะชายชราผู้นี้น้ำเสียงแฝงด้วยความเคารพอย่างชัดเจน กล่าววาจาหนักแน่นจริงจังไม่เหมือนดังที่มันเอื้อนเอ่ยที่แล้วมาลื่นไหลคล้ายไม่ได้คุ้นคิดแต่ออกมาจากจิตใจ แต่ถ้อยคำนี้กลับไม่เหมือนกัน ราวกับมันไปกลั่นกรองผ่านสมองส่วนลึกบรรจงเรียบเรียงอย่างละเอียดอ่อนแล้วค่อยเอื้อนเอ่ยออกมา
วาตะจึงกล่าวว่า “ข้าใคร่อยากพบท่านตาแล้ว”
ชายชราผู้นั้นกล่าวว่า “พระนัดดา เสด็จตาพระองค์นั้นชมชอบคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา รังเกียจผู้ที่เสแสร้งแกล้งทำทั้งมวล ตัวตนที่พระองค์สวมใส่อยู่ในวังแห่งนี้ ในเมืองหลวงแห่งนี้ พระองค์ทิ้งไว้ที่นี้เถิด ทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้กับพวกกระหม่อมด้วย”
วาตะตาเบิกกว้าง ถลึงตาจ้องชายชราผู้นั้นราวกับเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากำลังโป้ปดหลอกลวง
ตลอดเวลานับตั้งแต่มันรู้ความดี ตอนนั้นมันอายุได้๗ขวบ มันก็ไม่เคยไว้ใจผู้ใดอีกนอกจากพี่หญิงของมัน สำหรับเสด็จพ่อ เหมือนประหนึ่งห่างไกลเกินคำว่าพ่อลูก สำหรับมันเสด็จพ่อคือผู้ปกครองคนหนึ่ง หากจะเรียกว่าคนในครอบครัวก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปาก หากจะเรียกคนนอกครอบครัวก็ค้านอยู่ที่เลือดในกายมันครึ่งหนึ่งเป็นของคนผู้นั้น
เหล่าราชกุมารแม้มีสายเลือดเดียวกับมันก็คล้ายเพื่อนร่วมเรียนไป พี่รองของมันเมื่อยังเด็กก็ราวกับพี่ชายแท้ๆ เป็นห่วงมัน ดูแลมัน แต่พอแม่มันตาย เสด็จพี่รองก็เริ่มเหินห่างจากมันโดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคนไป พี่๓ก็เช่นกัน
ราวกับว่าเมื่อผู้คนเติบโตขึ้นมาจะมีบางสิ่งอย่างมาฉาบทาชุบย้อมดวงใจของคนเหล่านั้นให้แปรเปลี่ยนไป ผู้ที่เคยยิ้มอย่าอ่อนโยน บริสุทธิ์ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดให้กังวลแล้วใบหน้านั้นก็จะไม่เป็นพิษภัยกับผู้ใดแน่ กลับเปลี่ยนไป แม้ใบหน้านั้นยังยิ้มเช่นเดิม แต่กลับกลายเป็นปากยิ้มตาไม่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยคมดาบ หากผู้ใดพลาดท่าเสียทีเพลี่ยงพล้ำแล้วไซร้ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั้นจะเปลี่ยนกลายเป็นเพชฌฆาต คร่าชีวิตปริวิญญาณในบัดดล
นับตั้งแต่มันรู้ความ มันก็เริ่มสร้างเกราะป้องกันตัวที่มองไม่เห็นขึ้นเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของมัน แลเพื่อป้องกันตัวมันเองแลคนที่มันห่วงใยมากที่สุดด้วย มันพยายามฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตนเองเเข็งแกร่ง เพื่อที่มันจะปกป้องคนที่มันรักได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ