ห่มรักเคียงดาว

-

เขียนโดย zusuran

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,937 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) แรกพบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เด็กพวกนี้ทำอะไรผิดมา”

“อ๋อ…ขู่ชิงทรัพย์ครับผู้กอง”

“ยังเด็กอยู่เลย ริอาจเป็นโจรแล้วเหรอ แล้วยังยับเยินขนาดนี้ นี่เหรอโจร”

“พอดีเจ้าทรัพย์เขาไม่ใช่คนธรรมดาเท่าไหร่นะครับ เพิ่งให้ทนายมาเสียค่าปรับข้อหาทำร้ายร่างกายแล้วก็ออกไปเมื่อกี้นี้เอง”

“ปล้นไม่ดูตาม้าตาเรือก็เป็นแบบนี้ สมควรแล้วละนะ”

ตุ้บ!

แฟ้มรายงานถูกวางลงบนโต๊ะอย่างขอไปที ก่อนที่ร่างสูงจะคว้าแจ๊คเก็ตตัวเก่งขึ้นมาพาดบ่า

“ผู้กองจะกลับแล้วเหรอครับ”

“ฮื่อ”

ตอบไปส่งๆก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานชั่วคราวไปอย่างไม่แคร์สายตาใคร

“ผู้กองภูผาคนนี้ดูท่าทางจะหยิ่งน่าดู”

“อย่าเอะไปเชียว ว่ากันว่าเขาเป็นหน่วยสวาทฝีมือดีมากเลยนะ”

“ฝีมือดีเหรอ ก็หน้าตาดีไปงั้นละวะ!”

กึก!

ปลายเท้าหยุดชะงักตรงกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดิมที่ยังรอการประกันตัว สายตาคมกริบเหลือบมองใบหน้ายับเยินนั้นอย่างประเมินค่า และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้คนทั้งสน.อึ้งจนพูดไม่ออก

โครม!

 “อ้าว โทษที นึกว่ายุงรำคาญ”

วัยรุ่นจอมซ่าสามคนถูกเตะอัดผนังทั้งเก้าอี้อย่างหน้าตาเฉย

เป็นพละกำลังเกินบรรยายจริงๆ

“ต่อไปจะตีหมาก็ดูซะบ้างว่าหมามันดุขนาดไหน จำไว้นะไอ้น้อง…ไม่ต้องให้ประกันตัวจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้”

“ครับผม”

ร่างสูงเดินอาดๆออกจากห้องไป

เพราะต้องแฝงตัวสืบคดีใหญ่ ภูผาจึงต้องกลับมาจากอเมริกาตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หน้าที่ของเขาคือแฝงตัวและกลมกลืนไปกับองค์กรต่างๆ และนี่เป็นหนึ่งในภารกิจเหมือนกัน เขาไม่มีหน้าที่มารายงานว่าตัวเองเป็นใครกับคนที่นี่ และไม่ได้มีหน้าที่มาจัดการกับคดีเล็กๆ แต่จนแล้วจนรอดก็อยากคลายเครียดด้วยการเล่นกับพวกเด็กๆบ้างเป็นบางครั้ง จนตอนนี้เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนเขาก็มีทั้งมิตรและศัตรูพอๆกัน

“อ้ายภู สิปิ๊กเฮือนแล้วก๋า”

ผู้ต้องหาคนหนึ่งกำลังถูกคุมตัวขึ้นโรงพักทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง

“เออ ไปทำอะไรมาอีกล่ะ”

“เปิ้นขับรถตีลังกา แหะๆ รถเมียล้อชี้ฟ้าอยู่โน่น”

โน่นของมันคงจะแถวๆผับ ไม่ก็ร้านเหล้า นี่ก็เป็นหนึ่งในมิตรของภูผาตั้งแต่มาที่นี่ชื่อเจ้าเบิ้ม ถึงจะเป็นวัยรุ่นอยู่แต่ก็มีครอบครัวแล้ว ขี้เมาชอบชวนเขาก๊งเหล้าตลอด

“เออๆ”

ภูผาส่ายหัวโบกมือลาหย็อยๆ เขาเองก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสักเท่าไหร่ ในเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว ภารกิจของเขาสำคัญที่สุด

ตึก!!!

จู่ๆหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหันจนชายหนุ่มต้องยกมือกุมอกซ้ายและบีบเคล้นมันแรงๆ

มาเป็นอะไรเอาป่านนี้ นี่ก็ผ่านาสองปีแล้วน่าจะไม่มีผลข้างเคียงอะไรแล้วนี่นา

ร่างสูงเดินช้าๆพยายามหายใจปรับสมดุลให้ตัวเอง จนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นและยืดตัวยืนได้เต็มความสูง และระหว่างนั้นเองก็ได้พบกับคนที่นั่งกุมหน้าอกตัวเองอยู่ที่ม้านั่งข้างลานจดรถ

จะเพราะความสงสัยหรือเพราะอะไรบางอย่างทำให้ภูผาเดินเข้าไปหาและทักทายกับคนคนนั้น ในขณะที่หัวใจยังเต้นแรงและเร็วขึ้นจนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

ตึกตักๆๆๆๆๆ…..

หัวใจเต้นแรงขึ้นและเร็วขึ้นเหมือนกับว่ามันอยากทะลวงอกของเขาออกมารับอากาศภายนอกยังไงอย่างนั้น

และเมื่อเจ้าของร่างนั้นหันมาภูผาก็เป็นอันชะงักไปครู่ใหญ่

ตึกตักๆๆ…..

ใจเย็นภูผา คนคนนั้นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อ……

 

 

ตึกตักๆๆๆๆๆ…..

“แฮ่กๆๆ….”

“ผมว่าคุณต่างหากที่เป็นอะไรรึเปล่า”

เจ้าของใบหน้าคุ้นเคยนั้นถามกลับมา ภูผาเริ่มหายใจติดขัด อกข้างซ้ายของเขามันเจ็บร้าวเหมือนถูกทุบแรงๆ และไม่นานภาพเบื้องหน้าของภูผาก็เอียงกะเท่เร่ก่อนที่มันจะวูบดับลง

ตุ้บ!

………………………..

ประเสริฐมาก เป็นฝ่ายเข้ามาถามเขาแต่ก็ล้มลงไปซะเอง

ตอนนี้ผมกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินหลังจากที่พาเจ้าของร่างสูงกว่าผมนิดหน่อยมาส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ

ไม่นานหมอก็ออกมาและเรียกหาญาติ

“คุณเป็นญาติของเขารึเปล่าครับ”

“เปล่า ผมแค่เจอเขาหมดสติไปก็เลยพามาส่งโรงพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ คนไข้ได้สติแล้ว คุณจะเข้าไปหาเขาหน่อยไหมครับ เขาคงอยากขอบคุณคุณมาก”

“ไม่จำเป็น ผมจะกลับแล้ว”

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน แต่เสียงทุ้มด้านหลังก็ทัดทานผมเอาไว้ก่อน

“ขอบคุณที่พาผมมาส่งโรงพยาบาล”

กึก!....

ผมหยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับไปเพียงเสี้ยวหน้าและเดินต่อไปเงียบๆ คนแปลกหน้าที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อกันสำหรับผมแล้วพบเจอครั้งเดียวก็เพียงพอ

วันนี้เป็นวันอะไรสำหรับผมกันนะ มีแต่เรื่อง

ผมขับรถกลับคอนโดที่พัก ดึกดื่นค่อนคืนแล้วไม่ค่อยเห็นคนเหมือนในกรุงเทพ ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงัด มีแค่แสงไฟจากเสาไฟกลางแจ้งประดับทางเดินเท่านั้น

ผมเดินเข้าลิฟต์และกดชั้นที่จะไป แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิด มือของใครอีกคนก็เข้ามากั้นเอาไว้

ปึก!

“ขอโทษครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นและชะงักไปครู่หนึ่งพอๆกับคนตรงหน้าที่อึ้งไปพักใหญ่

“คุณ/คุณ”

เราพูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ที่แท้คุณก็พักที่นี่เอง”

“คุณก็ด้วยเหรอครับ”

ผมถามกลับไปอย่างขอไปที ผมไม่มีอะไรจะแสดงออกไปนอกจากใบหน้าที่เรียบเฉย และก้าวถอยหลังให้พื้นที่คนตรงหน้าได้ร่วมทางไปด้วย และพอผมมองไปที่ปุ่มลิฟต์ก็ไม่เห็นเขากดชั้นไหนเลย

“อยู่ชั้นไหนเหรอครับ”

ปกติผมจะไม่พูดกับใครมากความ แต่เพราะสถานการณ์ที่ผมต้องระวังตัวอยู่ตลอดผมก็อดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าจะคิดมิดีมิร้ายกับผมรึเปล่า

“ชั้นยี่สิบครับ”

คนตรงหน้าผมตอบกลับมาเรียบๆและมองตัวเลขที่กำลังเลื่อนต่อไปบนจอเล็กๆของลิฟต์

มันจะบังเอิญอะไรขนาดนี้นะ เขาพักอยู่ชั้นเดียวกับผมด้วย เราออกจากลิฟต์และเดินไปยังห้องพัก แต่ผมก็ยังแปลกใจไม่หายเพราะจนแล้วจนรอดคนตรงหน้าผมก็ยังเดินไปทางเดียวกับผม แถมตอนนี้ยังเดินนำหน้าผมไปด้วย และไม่กี่นาทีต่อมามันก็ยิ่งทำให้คิ้วผมกระตุกแทบจะชนกัน

เพราะห้องที่เขากำลังไขกุญแจเข้าไปมันคือห้องผม

“ขอโทษนะ”

“ครับ?”

“นั่นห้องของผม”

ผมเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาตงิดๆมองคนตรงหน้าแบบไม่พอใจนิดๆ เขาไม่แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากมองคีย์การ์ดของตัวเองสลับกับใบหน้าของผม

“ห้องคุณเหรอ นี่ห้องที่ผมจองไว้ต่างหาก”

“ว่าไงนะ”

“นี่ไง”

แล้วเขาก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย ผมมองคีย์การ์ดในมือเขาก่อนจะเอาคีย์การ์ดของตัวเองออกมาเทียบกัน และผมก็อึ้งจนไปต่อไม่ถูกหลายนาที เพราะคีย์การ์ดของเราเป็นเลขเดียวกัน

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

“ผมเองก็อยากถามเหมือนกัน เมื่อเช้าผมเพิ่งเอาของมาเก็บไว้แล้วก็ออกไป”

“คุณเอาของมาเก็บไว้แล้วงั้นเหรอ”

“ใช่ ผมทำสัญญาเช่าห้องนี้ไปแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นเวลาสามเดือน”

“ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ ผมยังไม่เคยปล่อยเช่าคอนโดตัวเองเลยนะ”

“คุณเป็นเจ้าของห้องนี้งั้นเหรอ”

“ก็ใช่สิ”

“เฮ้อ…เอาไงดีละเนี่ย ค่าเช่า ค่ามัดจำ ผมจ่ายไปหมดแล้ว”

คนตรงหน้าผมเริ่มทำหน้ายุ่งยากเกาหัวแรงๆ ผมเองก็สับสนไปหมดแล้วตอนนี้

และสุดท้ายเราก็เข้ามานั่งคุยกันในห้องเพื่อหาข้อสรุป

“สรุปแล้วคุณเป็นเจ้าของห้องนี้สินะครับ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ ห้องนี้เป็นของน้องสาวผม ผมจะมาพักที่นี่ทุกครั้งที่ขึ้นมาตรวจงานทางเหนือ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนปล่อยเช่า”

ใช่แล้ว ห้องนี้เป็นของน้องสาวผมที่ซื้อเอาไว้ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต คอนโดหรูใจกลางเมืองทำเลดีขนาดนี้นอกจากคนที่มีเงินจริงๆแล้วก็ไม่มีใครกล้าแตะ

“ไหนๆก็ดึกมากแล้ว จะลำบากเปล่าๆถ้าคุณจะออกไปหาที่พักใหม่ ถ้าไงก็พักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ผู้ชายตรงหน้าผมพูดสรุปออกมาง่ายๆก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาดูจะสูงกว่าผมไม่กี่เซ็นแต่ก็ดูจะแข็งแรงมากกว่าผมหลายเท่า ผมถอนหายใจและจำยอมไปแบบนั้นและลุกขึ้นยืนเหมือนกัน พรุ่งนี้คงต้องเก็บของออกไป คิดแล้วก็น่าอายเหลือคณา เก็บของออกจากบ้านตัวเองให้คนอื่นอยู่ต่อ…..เฮ้อ

ผมลุกขึ้นยืน และเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ยืนนิ่งหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา และก่อนที่ผมจะอ้าปากถามเขาก็กระโจนเข้ามารวบผมเอาไว้ทั้งตัว

ฟึ่บ!

“อ่ะ!

เพล้ง!!!!

เสียงกระจกแตกดังแสบแก้วหู ผมล้มกลิ้งไปบนพื้นพร้อมๆกับผู้ชายที่เข้ามาตะคลุบผมไว้ทั้งตัว เรากลิ้งไปตามพื้นหลายตลบ

“อะ อะไร!”

ผมเองก็มีสกิลการป้องกันตัวพอสมควร แต่คนตรงหน้าผมนั้นดูท่าจะเหนือกว่าผมมาก เราสองคนลุกขึ้นอย่างไวและมองไปที่ต้นตอของเสียง กระจกตรงระเบียงแตกละเอียดเข้ามาในห้อง และแสงสีแดงเส้นหนึ่งยังส่องไปมาเหมือนหาเป้าหมาย

พวกซุ่มยิงเหรอ!

“ชู่ว….”

“ทั้งผมกับคนตรงหน้าไม่พูดไม่ส่งเสียงและเร้นตัวในความมืดของห้อง สักพักเจ้าแสงสีแดงนั่นก็หายไป นานหลายนาทีก่อนที่เราทั้งคู่จะออกมาจากที่ซ่อน

ผมรีบเดินไปปิดผ้าม่านสีทึบเอาไว้ก่อนที่ไฟทั้งห้องจะเปิดสว่างให้มองเห็นความพินาศในห้อง เรามองหน้ากัน ผมไม่รู้ว่าเจ้ามือซุ่มยิงนั่นต้องการจะเอาชีวิตใคร ระหว่างผมหรือคนแปลกหน้าตรงหน้าผม

“ผมว่าเราต้องคุยกันยาวแล้วล่ะ”

“นั่นสินะ”

“ผมภูผา”

“ธารา”

“โอเค ธารา คุณมีเรื่องบาดหมางกับใครขนาดจะมีคนมาเก็บคุณรึเปล่า”

ภูผาถามผมทันที และมันก็แน่อยู่แล้ว ผมไม่โกหก

“มีสิ เยอะเลยแหละ ถ้านายอยู่ที่นี่ต่อไม่แน่อาจจะถูกลูกหลงก็ได้ ภูผา”

ผมตอบไปกึ่งจริงแกมประชด ก็มันจริงนี่ ผมไม่ได้ใสซื่อขนาดมีแต่คนรักหรอกนะ

“หึๆๆ เหมือนกันเลยนะ”

ภูผาหัวเราะเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ

“ฉันเองก็ไม่ได้ใสซื่อขนาดจะไม่มีศัตรู เอาเป็นว่าเราเท่าเทียมกัน”

“เท่าเทียมเหรอ ฮึ!”

ผมแค่นหัวเราะแบบขอไปที

“แล้วจะยังไง นายกับฉันต่างก็มีศัตรูอยากจะเอาชีวิต จะให้ฉันอยู่กับนายงั้นสิ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจะว่ายังไงล่ะ”

“อะไรนะ”

“ฉันสามารถปกป้องนายได้”

“อยากจะบ้า”

“จะลองดูก็ได้นะ ระหว่างที่นายอยู่ที่นี่ ฉันจะคุ้มกันนายเอง ธารา”

“อย่ามาตลก นายเป็นใครถึงจะมาคุ้มกันฉัน”

พรึ่บ!

แจ๊คเก็ตของภูผาถูกถอดออกและโยนลงบนโซฟาและผมก็ได้เห็นตราของตำรวจสากลที่ติดอยู่บนอกเสื้อตัวในของเขา

ที่แท้เขาก็คือตำรวจมือปราบสากล

แต่จะจริงจะเท็จก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้วนี่นา ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาคุ้มกันผมอยู่แล้ว

“ขอบใจสำหรับความหวังดี แต่ว่า…ฉันไม่ต้องการ ขอตัวนะ”

ผมเปลี่ยนใจจะไม่พักที่นี่ และเดินเข้าห้องเพื่อจะเก็บของออกจากตู้ ยังไงตอนนี้ก็ใกล้จะเช้าแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมง ขับรถขึ้นดอยไปที่ไร่ก็น่าจะสว่างพอดี

“ไหนๆนายก็เช่าที่นี่แล้ว งั้นต่อไปฉันจะไม่มาที่นี่จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาการเช่าของนายก็แล้วกัน เชิญอยู่ได้ตามสบาย พรุ่งนี้จะสั่งให้ช่างมาเปลี่ยนกระจกให้”

ผมเข้ามาในห้องนอนตั้งใจจะเก็บของเท่าที่จะเป็นต้องใช้ เพราะถึงยังไงผมก็อยู่ที่เหนืออีกไม่กี่วัน และในระหว่างที่ผมกำลังหยิบเสื้อออกมา ภูผาก็เดินเข้ามาในห้อง

“นายเหมือนคนที่ฉันกำลังตามหาอยู่มาก”

กึก!

ผมหยุดการกระทำทั้งหมดและหันกลับไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาประชิดผม

“เหมือนมากจริงๆ”

และสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ภูผาเข้ามาประชิดตัวผม

พรึ่บ!

เสื้อในมือผมหล่นลงไปกองกับพื้น สติผมตะลึงพรึงเพริดไปไกลก่อนที่มันจะกลับมาและสะกิดให้ผมยกมือดันอดกำยำนั้นออกให้ห่างตัว ทว่า ทั้งที่ผมมั่นใจว่าตัวเองก็แข็งแรงแต่ตอนนี้ผมกลับสู้แรงคนตรงหน้าไม่ได้

ตึกตักๆๆๆๆๆ…

ผมสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจทั้งจากของผมและของภูผา มันทั้งแรงและเร็ว

ผมรีบชักมือกลับทำให้อกของภูผาแนบชิดกับอกของผมไปโดยปริยาย

หน้าอกของเราทั้งคู่ชนกันต่างฝ่ายต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย

“โอ๊ะ! โทษที”

ภูผารีบผละจากผมและเดินออกไปจากห้องทันที ขาสองข้างของผมอ่อนระทวยจนผมต้องใช้มือค้ำตู้เสื้อผ้าเอาไว้กันไม่ให้ตัวเองล้มพับลงไป

เมื่อกี้มันอะไรกัน หัวใจของผมเต้นรัว ตกใจเหรอ ไม่น่าใช่ ผมไม่ใช่คนขวัญอ่อนขนาดนั้น

ผมยกมือลูบหน้าอกของตัวเองเพื่อปลอบประโลมให้หัวใจมันสงบลงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะก้มเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นใส่กระเป๋าและเดินออกไปจากห้อง

ผมมองหาภูผาแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา หรือว่าจะออกไปข้างนอกกันนะ ช่างเถอะ ไหนๆเขาก็เป็นคนเช่าที่นี่แล้ว ผมจะอยู่ที่นี่ต่อก็กระไรอยู่

ผมหิ้วกระเป๋าลงมาที่รถและติดต่อจองโรงแรมใกล้ที่สุดทันที แต่ความอับโชคของผมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นนี่สิ

(ขออภัยค่ะคุณลูกค้า ตอนนี้ทางโรงแรมของเราไม่มีห้องว่างเหลืออยู่เลยค่ะ)

นี่คือเสียงปลายสายครั้งที่สิบที่บอกผมมาด้วยประโยคเดิมๆ

อะไรจะมาเต็มเอาตอนนี้นะ แล้วนี่จะทำไงดีล่ะเนี่ย

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะกระจกรถเรียกผมตื่นจากภวังค์ และเมื่อผมเงยหน้าหันไปมองก็พบกับภูผา

ปึ้ง!

ผมลงจากรถไปหาภูผาที่ยืนทิ้งระยะห่างจากผมพอสมควร

“มีอะไรรึเปล่า”

“คืนนี้พักกับผมก่อนดีกว่า”

“ไม่จำเป็น”

“ผมรู้ว่าคุณยังไม่ได้ที่พักใหม่ ถึงจะบอกว่ากำลังหาอยู่ก็เถอะ ดูท่าคืนนี้คงไม่มีห้องไหนว่างสำหรับคุณแล้วล่ะครับ”

ภูผายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างมองผมอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินเข้ามาแย่งกระเป๋าสัมภาระไปจากผมและเดินกลับเข้าไปในคอนโด จนผมต้องเดินตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุปคืนนี้ผมก็ต้องค้างคืนกับคนแปลกหน้าจนได้

“คุณจะนอนฝั่งไหนก็ตามสบายเลย”

ภูผาบอกผม

“ไม่เป็นไร แค่โซฟาก็พอ”

“สภาพโซฟาตอนนี้คงไม่เหมาะจะนอนเท่าไหร่หรอก”

ผมมองโซฟาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยศษกระจกแตกละเอียดและเศษผ้าที่ขาดกระจุย ผลจากการถูกลอบยิงเมื่อครู่ที่ผ่านมา

“ไม่ต้องห่วง เตียงมันกว้างพอจะให้นอนได้สองคนอยู่แล้วล่ะ”

พอเห็นสภาพแล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากถอนหายใจ สุดท้ายผมก็ต้องนอนเตียงเดียวกับภูผาจนได้

ถึงจะนอนคนละฝั่งแต่ผมผู้ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับคนอื่นมาก่อนก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี

ความเงียบเข้ามาโอบล้อมตัวผม ผมพลิกตัวหันกลับไปมองอีกฝั่งและต้องตกตะลึงแทบจะตกเตียงเมื่อแก้มของผมสัมผัสเข้ากับปลายจมูกของคนที่นอนหันหน้ามา

ผมรีบโยกศีรษะออกห่างใบหน้าของคนที่หลับสนิทนั้นอย่างใจหาย เดชะบุญเขาไม่ตื่นขึ้นมา

ไม่คิดเลยว่าภูผาจะขยับเข้ามานอนซ้อนหลังผมใกล้ขนาดนี้ แถมยังหลับสนิทและเงียบมาก

“ใกล้ขนาดนี้ไม่กอดฉันเลยล่ะ”

ฟึ่บ!

ไวเท่าใจคิด ไอ้บ้าเอ๊ย!

แค่ประชดประชันเฉยๆทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย

ตอนนี้ผมไม่ต่างจากหมอนข้างถูกกอดก่ายจนไม่เหลือพื้นที่ให้ขยับไปไหนเลย

อยากถีบเจ้าบ้านี่ลงจากเตียงชะมัด!

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา