ห่มรักเคียงดาว
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) อยู่ด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ฉันไปไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันก็กลับมาอยู่กับพี่แล้ว โอเค๊”
“เหงา”
“โอ๋ๆ กอดๆนะคนเก่ง”
มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่มันก็ผ่านไปเร็วราวกับพายุ
เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้กลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะคิดว่ายังมีเวลาอีกมาก แต่เปล่าเลย
ผมคิดผิดถนัด
มันอาจจะเป็นความผิดพลาดของผม
เป็นความผิดของผมที่ไม่รู้จักรักษาเวลาที่มีจนต้องสูญเสียสิ่งสำคัญ ถึงตอนนี้จะเรียกกลับมาก็คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
…….
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนอนของคอนโด เมื่อคืนผมหลับไปตอนไหนกันนะ
ผมดีดตัวลุกขึ้นสะบัดความมึนงงออกพอลวกๆก่อนจะลุกเดินออกมาจากห้องนอน และผมก็ชะงักยืนอยู่กับที่เมื่อเจอภูผานั่งอยู่โซฟาในห้องนั่งเล่นที่ถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับหมอนี่ดี เรื่องเมื่อคืนเหรอ ถ้าผมพูดออกไปผมนี่แหละที่จะอายจนหาแผ่นดินมุดหนีไม่ทัน
ผมเดินออกไปตรงไปที่ห้องครัวเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อคืนผมคงไม่ได้นอนเบียดคุณเกินไปใช่ไหม”
จู่ๆภูผาก็พูดออกมา ผมแทบสำลักน้ำที่เพิ่งกระดกเข้าปาก ผมไม่พูดอะไรอีกและเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าภูผา
“มาตกลงกันหน่อยไหมคุณตำรวจ”
“หืม”
“ฉันไม่รู้ว่านายเป็นมายังไงแต่ว่า ตั้งแต่วันนี้ไปนายคือผู้เช่าคอนโดของฉัน ฉันจะให้นายอยู่ที่นี่จนกว่าจะหมดสัญญาเช่า และพอครบกำหนดแล้วก็ช่วยย้ายออกไปให้ตรงเวลาด้วย โอเค๊”
เรื่องทำสัญญาหรือข้อตกลงอะไรเทือกนั้นผมชำนาญจนท่องปากเปล่าได้เป็นฉบับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
ภูผายังนั่งอยู่ที่โซฟาและเงยหน้ามองผมเงียบๆ
“มองอะไร”
“เหมือนกันจริงๆนะ”
“เมื่อคืนก็พูดหนหนึ่งแล้ว ฉันไปมีหน้าตาคล้ายกับคนที่นายตามหา โอเคตรงนั้นเข้าใจ แต่ขอโทษนะ ฉันไม่ใช่คนคนนั้น”
“ไม่ใช่แต่อาจจะเกี่ยวข้อง”
“พูดเรื่องอะไร”
แล้วภูผาก็หลับตาถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามายืนประจันหน้าผมตรงๆ
“วันนี้ยังพูดมากไม่ได้ เอาไว้วันหลังจะบอกก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้มาเป็นเพื่อนกันเถอะ ธารา จริงสิ คุณอายุมากกว่าผม งั้นผมขอเรียกคุณว่าพี่ก็แล้วกัน”
แล้วภูผาก็ยื่นมือมาต่อหน้าผม คิ้วผมกระตุกไปทีหนึ่ง ตลอดชีวิตการทำธุรกิจของผมแน่นอนว่าน้อยมากจะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมโดยไม่มีผลประโยชน์ ผมมีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ผมกอดอกและมองหน้าภูผาเงียบๆ แสดงออกชัดเจนว่าผมไม่ต้องการผูกมิตรกับเขา
และเหมือนภูผาก็ไม่ใช่คนที่รออะไรนานๆหรือตื๊อง้อคนอื่น เขาชักมือกลับไปและกอดอกมองมาที่ผมเหมือนกัน
“เอาล่ะ ฉันรับเงื่อนไขนั้นก็แล้วกัน”
เรื่องของผมกับภูผาก็น่าจะจบลงด้วยดี
ไทด์กลับมาขับรถให้ผมแต่เช้า และดูท่าทางแล้วคงไม่ยอมให้ผมได้จับกุญแจรถไปอีกนาน
“วันนี้ต้องขึ้นไปบนดอยดูที่ดินแปลงใหม่นะครับ”
“อืม…”
ผมรับคำในคอ สายตายังจดจ่ออยู่กับเอกสารในมือ ที่ดินผืนงามที่ผมประมูลมาได้อย่างเฉียดฉิว วันนี้ผมต้องไปเชยชมมันด้วยตัวเอง
ทางขึ้นเขาถูกพัฒนาไปมากแต่ก็ยังลาดชันและเต็มไปด้วยโค้งหักศอกหลายสิบโค้ง แต่เพราะไทด์เป็นคนขับรถระวังสุดๆบวกกับมีคนนำทางให้ผมก็เลยวางใจและจดจ่ออยู่กับเอกสารได้เป็นชั่วโมง
“ถึงแล้วครับคุณธารา ที่นี่แหละครับ”
ผมก้าวลงจากรถ สิ่งแรกที่เข้ามาปะทะหน้าของผมก็คือสายลมบริสุทธิ์เย็นๆกับความชื้นของไอหมอก ช่วงนี้เป็นหน้าฝนไม่แปลกทีเมฆจะลอยต่ำ ผมมองที่ดินที่เป็นไร่ชาติดกับภูเขาและหมู่บ้านชนเผ่าเล็กๆที่ทำการเกษตรอยู่กระจัดกระจาย
“เป็นที่ดินที่สวยมากๆเลยนะครับ ถ้าจะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวรับรองว่าทำกำไรมหาศาล”
นายหน้าค้าที่ดินเข้ามาพูดคุยกับผมอย่างเอาอกเอาใจ ไม่นานนักผู้ใหญ่บ้านกับเจ้าของที่ดินตัวจริงหลายสิบชีวิตก็เดินเข้ามาหาผม มีทั้งคนที่ยินดีกับคนที่ไม่ยินดีจะรู้จักผม มันเป็นเรื่องปกติ
การเจรจาผ่านไปเป็นชั่วโมง ผมนั่งฟังชาวบ้านและนายหน้าพูดคุยกันและสุดท้ายพวกเขาก็ให้ผมเป็นคนสรุป
“คุณธาราจะว่าอย่างไรครับ”
“ตกลงผมจะซื้อ”
ทันทีที่ผมพูดออกไปมีชาวบ้านเจ้าของที่ดินหลายคนหน้าซีดบ้างก็สิ้นหวัง เหมือนกับว่าสิ่งที่ต่อสู้มาสุดท้ายก็แพ้นายทุน ผมหยิบปากกาขึ้นมาและมองหน้าผู้ใหญ่บ้านที่พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงยอมรับให้ผมทำตามที่ตั้งใจ ผมเซ็นเอกสารและส่งมอบให้ผู้ใหญ่บ้านต่อหน้าชาวบ้านและนายหน้าที่กำลังงุนงง
“ที่ดินผืนนี้เป็นของนายธาราร่วมกับชาวบ้านตามสัญญา และพวกชาวบ้านเจ้าของที่ก็จะมีที่ดินเป็นของตัวเองตามเดิม แต่มีข้อแม้ว่าไม่สามารถขายให้ใครได้อีก”
ผู้ใหญ่บ้านประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ผมมองเห็นชาวบ้านหลายต่อหลายมีคนมีสีหน้าดีอกดีใจ บ้างก็ร้องไห้ออกมากันยกใหญ่ แต่คนที่เสียหน้าที่สุดคงจะเป็นนายหน้าค้าที่ดิน ที่ตอนแรกข่มขู่ชาวบ้านไว้ซะมากมาย
ผมประมูลที่ดินผืนนี้มาเพราะเห็นว่ามันสวย และมันคงไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าผมจะเอาคอนกรีตมาเททับดินที่อุดมสมบูรณ์พวกนี้
“เป็นที่ดินที่สวยมากเลยนะครับ ชาวบ้านก็ดูท่าทางจะชอบคุณ”
“อืม…..”
“แน่ใจแล้วเหรอครับว่าจะไม่ทำอะไรกับที่ดิน”
“แน่ใจ”
ผมหลับตาลงพักสายตา ในขณะที่ไทด์กำลังขับรถลงจากเขา ฝนตกเพิ่งหยุดการขับรถก็เลยต้องระวังเป็นพิเศษ ไทด์เบรกรถหลายครั้งจนผมไม่เป็นอันนอน
“มีอะไรเหรอ”
“ถนนลื่นนะครับคุณธารา”
“ขับช้าๆหน่อยก็แล้วกัน…”
เปรี้ยง!!!!!
เอี๊ยดดดดดดดดดดดด!!!!!
“เห้ย!!! ระวัง!!!!!”
จู่ๆสายฟ้าก็ฟาดลงมากลางต้นไม้ริมถนนจนหักโค่นลงมาทับรถของผมที่เสียหลัก
โครมมมม!!!!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมมึนงง และสลบไปทันทีที่มีบางอย่างเข้ามากระแทกศีรษะ
ผมเจ็บไปทั้งตัว เจ็บแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ร่างกายผมโดนอัดห้อยหัวโตงเตง
ติ๋ง….
ผมปรือตามองดูเลือดที่ไหลออกจากแผลบนศีรษะของผมลงไปกองรวมกันอยู่บนเบาะรถ ใช่…..ตอนนี้รถของผมกำลังหงายท้องล้อชี้ฟ้าอยู่ ต้องขอบคุณเข็มขัดนิรภัยที่ทำให้ผมไม่กระแทกไปตามแรงรถมากนัก ผมมองไปที่นั่งคนขับ ตัวรถเข้ามาบดร่างของคนขับจนไม่เหลือสภาพ
“ไทด์…..”
เสียงผมแห้งผากเรียกชื่อคนขับรถ ผมมองเห็นแค่มือที่ห้อยพ้นเบาะออกมาให้เห็น เลือดอาบไปทั่ว ผมภาวนาว่าอย่าให้เขาเป็นอะไรเลย แค่ภาวนาและสุดท้ายผมก็หลับไปทั้งอย่างนั้นท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกลงมาอีกครั้ง
…..
…………..
“ธารา ทำใจดีๆไว้ธารา!!!”
เสียงนี้มัน…..ใครกัน
ผมปรือตาเห็นแค่เพดานสีขาว กับแสงไฟที่วิ่งผ่านตาผมไป สีหน้าตระหนกของหมอกับพยาบาล แล้วก็…
“ธารา!”
ภูผา….
“ญาติรอข้างนอกนะคะ!”
สิ้นเสียงพยาบาลสติผมก็หลุดลอย เหลือแค่ความมืด และความหนาว
“อะไรกัน ขี้เซาจังเลยพี่ชายฉัน”
เสียงยายน้องสาวตัวดี
“ตื่นสิธารา”
เสียงนั้นรบเร้าให้ผมตื่น ตื่นก็ได้วะ
ผมลืมตาตื่น และสิ่งแรกที่มองเห็นคือสีหน้าตลกที่สุดในสามโลกของไซรีน
“ธารา…ธารา!”
ติ๊ดๆๆๆๆ…..
เสียงเครื่องมือทางการแพทย์ที่ระโยงรยางค์บนตัวผมผสมกับเสียงแหลมๆของไซรีนทำให้ผมต้องนิ่วหน้า
“ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว เรียกหมอเร็ว!”
ไซรีนหันไปสั่งคนติดตามก่อนจะหันมามองผมอย่างโล่งอก
“ไม่เป็นไรนะ จำได้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
ผมกะพริบตาช้าๆก่อนจะแค่นเสียงที่มีตอบคำถามเฉพาะตัวออกไป
“ยายขี้เหร่”
“ย่ะ! ฉันเอง!”
ไซรีนตอบรับแบบกระแทกหน่อยๆแต่สีหน้าเธอดูดีกว่าตอนแรกมาก
หมอเข้ามาดูอาการผมอย่างละเอียด สรุปแล้วแขนผมหัก ซี่โครงร้าวและบาดเจ็บที่ศีรษะ แต่ก็ถือว่าโชคดีมากที่ไม่สาหัสไปมากกว่านี้
“ไซรีน…”
“อะไร”
“ไทด์…ล่ะ”
ผมถามถึงคนขับรถ เพราะภาพสุดท้ายที่ผมเห็นมีแค่มือที่อาบไปด้วยเลือดเท่านั่น
สีหน้าไซรีนนิ่งสนิทก่อนจะยิ้มจาง
“เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…..”
“อะไร”
“อาการของเขาสาหัสมากและต้องพักรักษาตัวยาว คงจะขับรถให้นายต่อไปไม่ไหว”
ความหมายของไซรีนมันสื่อไปมากกว่านั้น ผมมองเพดานหักห้ามเจ้าน้ำใสๆที่มันปริ่มขอบตา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังล้นออกมาตรงหางตาผมอยู่
“…….งั้นเหรอ ดีแล้ว….ดีแล้วที่เขาไม่ตาย”
“ธารา…..”
“จัดการดูแลค่ารักษาของเขาและครอบครัวของเขาให้ดีที่สุด อย่าให้ขาดตกบกพร่อง จนกว่าเขาจะหายดี”
“เข้าใจแล้ว”
ผมหลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะถอดเครื่องช่วยหายใจออก
“ทำอะไร”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นน่า พรุ่งนี้ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ฉันที”
“แต่ว่า”
“ฉันไม่เป็นไร”
“คอนโดของนายถูกคนเช่าไปแล้ว นายจะอยู่โรงแรมรึไง มันไม่ค่อยสะดวกนะ ถ้ายังไงให้ฉันทำเรื่องย้ายโรงพยาบาลไปกรุงเทพให้นายเอาไหม”
“ไม่ต้อง แค่แขนหัก ฉันไม่เป็นไร”
“ตาบ้านี่!”
แกร๊ก!!!
เสียงประตูห้องเปิดเข้ามาก่อนที่ไซรีนจะระเบิดลงหัวผม
“ผมจะดูแลเขาเอง”
“ภูผา!”
ผมมองแขกมาใหม่ที่ยังยืนกอดอกพิงประตูห้อง อย่างเท่ล่ะคุณตำรวจเอ๊ย
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“แค่มารับคนกลับบ้านน่ะ”
“นายกับธารารู้จักกันเหรอ”
“ฉันต่างหากที่ควรถามเธอ ไซรีน เธอไปรู้จักหมอนั่นได้ยังไง”
ผมแทรกเข้าไปอย่างหงุดหงิด และไซรีนก็หันมาตอบคำถามผมทันควัน
“ภูผาเป็นน้องชายของเพื่อนฉันเอง ตั้งแต่เขาย้ายไปอยู่อเมริกาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยนะสิ แล้วก็…..เขานี่แหละที่เป็นคนพานายกับไทด์ส่งโรงพยาบาล”
แสดงว่าผมไม่ได้ตาฝาดสินะ คนที่เรียกสติผมมาตลอดทาง ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
“ว่าแต่ภูผา ที่นายบอกว่าจะมารับธารา”
“ฟังไม่ผิดหรอก ผมเช่าคอนโดของเขาอยู่ แล้วเราก็เคยพักอยู่ด้วยกันก่อนหน้านั้นแล้วด้วย เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม”
“ที่แท้ก็รู้จักกันมาก่อนนี่เอง ค่อยวางใจหน่อย”
“วางใจกับผีนะสิ ไซรีน เธอทำเรื่องย้ายโรงพยาบาลให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“เอางั้นเหรอ”
ไซรีนหันมามองผมด้วยสายตาสงสัย แต่ภูผาเขากลับมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ผมมองผู้ชายคนนี้ไม่ออกเลยจริงๆ
“ไซรีน ฉันต้องการวันนี้! อึก!”
ผมกระตุกตัวงอเมื่อความเจ็บแล่นผ่านไปทั่วร่างกายผม
“อย่าใช้อารมณ์ได้ไหม นายเจ็บอยู่นะ”
ไซรีนเข้ามาประคองผมให้เอนตัวพิงเตียงที่ปรับให้นั่ง ผมเจ็บจนต้องตะแคงตัวและพยายามหายใจทีละน้อยเพื่อบรรเทา
“ดีขึ้นไหม”
“แฮ่กๆๆ..อืม”
“นายน่ะพักผ่อนไปเลย ตอนนี้ถึงเป็นหมอก็คงไม่ยอมให้นายย้ายง่ายๆแน่ เดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องที่เหลือเอง นายพักผ่อนก่อนเถอะ เอาไว้เจอกันใหม่นะภูผา”
“ครับ”
ไซรีนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับผู้ติดตามของเธอ ผมกึ่งนอนกึ่งนั่งตะแคงอยู่บนเตียง ภูผาปิดประตูและเดินเข้ามาลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงใกล้ๆผม
“ยังดีที่พี่ไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้”
“หึ กลัวจะได้เก็บศพรึไงคุณตำรวจ”
ผมไม่วายจะประชดออกไป สีหน้าภูผากลับนิ่งเฉยและมองผมด้วยสายตาคมกริบราวกับจะเฉือนทุกอย่างให้ขาดสะบั้น
“ถึงยังไงตอนนี้พี่ต้องอยู่กับผม จนกว่าคดีจะคลี่คลาย”
“มันเป็นแค่อุบัติเหตุ นายจะมาเอาอะไรกับฟ้าฝนกันเล่า”
“ถ้ามันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุล่ะ”
กึก!...
ผมนิ่งสนิทมองหน้าเรียบเฉยของภูผา
“ผมจะไม่พูดมากไปกว่านี้ แต่ผมจะพาพี่ไปจากที่นี่ เร็วที่สุด และพี่ต้องอยู่กับผมจนกว่าพี่จะหายดี”
“นายจะบอกว่าให้ฉันจ้างนายมาเป็นบอดี้การ์ดงั้นสิ แล้วขอโทษเถอะ”
“ผมไม่ได้อยากได้เงินของพี่หรอก”
“แล้วทำเพื่ออะไรล่ะ ฉันกับนายก็ไม่ได้รู้จักกันมากมาย นายจะมาห่วงอะไร”
“………..ตอบแทนบุญคุณ”
“ตอบแทน?”
“เดี๋ยวพี่ก็จะรู้เอง”
ภูผาพูดให้ผมงงจับต้นชนปลายไม่ถูกและลุกเดินออกไป ผมไม่สนใจหรอก ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คิดไปแบบนั้นแล้วผมก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา
กุกกักๆๆ…
เสียงกุกกักทำให้ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก ผมยังนอนนิ่งลืมตาท่ามกลางความมืดสลัว มองเงาเงาหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้เตียงของผมเรื่อยๆ แสงแวบแรกที่ผมมองเห็นแวววาวสะท้อนกับแสงไฟที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มันคือมีด!
เอาไงดี เวลาแบบนี้คงจะเหมาะที่สุดที่จะจัดการผมงั้นสิ
แต่ผมไม่ได้ป้อแป้ขนาดจะให้มันมาเล่นผมได้ฝ่ายเดียวหรอกนะ ผมมองมีดเล่มนั้นที่มันกำลังพุ่งลงมาก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียง
ฟึ่บ!
เสียงมีดเสียบทะลุหมอนดังน่าขนลุก และเมื่อคนร้ายรู้ตัวว่าพลาดเป้ามันก็เริ่มรนราน ผมนี่สิเจ็บจนต้องชะงักอยู่กับที่
คราวนี้ถ้ามันจะเล่นผมคงง่ายแล้ว
ผมเจ็บจนน้ำตาเล็ด มองปลายเท้าของคนร้ายที่กำลังเดินอ้อมเตียงคนไข้มายังฝั่งที่ผมนั่งอยู่
ตายหยังเขียดแน่ธาราเอ๊ย
แต่ในระหว่างที่ปลายมีดนั้นจะเงื้อขึ้นมากระซวกพุงผม ไฟในห้องก็เปิดสว่างขึ้นมาพร้อมกับตำรวจสองสามนายพุ่งเข้ามารวบคนร้าย
พรึ่บ!
โครม!!!
เสียงตึงตังดังขึ้นไม่นานก่อนจะจบลงด้วยการล็อกตัวคนร้ายได้คาหนังคาเขา
แต่ผมเจ็บจนน้ำตาไหล พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงนั่งท่าเดิม สายน้ำเกลือหลุดจนเลือดไหลย้อนออกมาเปื้อนชุดที่ผมใส่
หมับ!
มือหนาของคนที่ซ้อนทับด้านหลังช้อนตัวผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง และผมก็เพิ่งได้มองเห็นว่าคนที่ช่วยผมคือภูผา
“ไม่เป็นไรนะ”
“คิดว่าไงล่ะ”
ผมตอบกลับไป ตอนนี้ผมเหลือมือข้างเดียว จะห้ามเลือดก็ไม่ได้ก็เลยต้องปล่อยมันเลยตามเลย ภูผาคว้าผ้ามากดห้ามเลือดให้ผม การกระทำของคนตรงหน้าดูใส่ใจและอ่อนโยนไม่เหมือนหน้าตา
“เจ็บตรงไหนอีก”
ผมส่ายหน้า อันที่จริงผมก็เสียขวัญพอสมควรแต่ก็ทำได้แค่ตีหน้านิ่ง แต่แล้วจู่ๆภูผาก็รั้งตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ โดยไม่พูดอะไร
ผมไม่ได้ดึงดันไม่ได้ผลักไสเจ้าของอ้อมกอดนี้ออก ภูผากอดผมด้วยมือข้างเดียว ตบไหล่ผมเหมือนกำลังปลอบประโลม เป็นเวลานานกว่าที่หมอกับพยาบาลจะจัดการกับอาการฟกช้ำและจัดห้องใหม่ให้ผมได้พักผ่อน ภูผายังยืนชิดขอบเตียงคอยจับมือผมเอาไว้
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะมารับกลับบ้าน”
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ทันทีที่หัวถึงหมอนผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีก
ภูผามารับผมออกจากโรงพยาบาลตามที่พูด ถึงหมอจะคัดค้านยังไงแต่ไซรีนก็จัดการจนผมได้ออกจากโรงพยาบาลสำเร็จ
ภูผาพาผมกลับมาที่คอนโด แขนผมใช้งานได้แค่ข้างเดียว และตอนนี้อาการปวดระบมก็ทำให้ผมขยับเขยื้อนตัวลำบาก พอถึงโซฟาผมก็นั่งจมปุกเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
โชคดีที่คอนโดมีสองห้องนอน ก็เลยไม่ต้องลำบากถ้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าผมจะหายดี
“เรามาตั้งเงื่อนไขกันหน่อยดีไหม”
“อะไร”
“นายเป็นคนเช่า แต่ฉันเป็นเจ้าของ ห้องนอนคนละห้อง ส่วนห้องนั่งเล่น….”
“ไม่เอา เงื่อนไข ตกลงอะไรกัน น่ารำคาญ”
“ว่าไงนะ”
“อยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไข เพราะถึงยังไงตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะดูแลพี่เอง”
“หึ อะไรเนี่ย บ้าไปแล้ว”
“ไม่บ้าหรอก ส่วนเรื่องห้องนอน พี่กับผมจะนอนด้วยกันก็ไม่แปลกตรงไหน”
“หา?”
“ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาตอนกลางคืนใครจะเห็น”
“ฉันไม่ได้ง่อย”
“นั่นแหละที่อันตราย”
แล้วภูผาก็โน้มตัวเข้ามากางแขนกักขังผมไว้กับโซฟา ใบหน้าของเราห่างกันไม่กี่คืบ
“มีสิทธิ์อะไร”
“สิทธิ์ที่ตอนนี้ผมเป็นผู้ดูแลพี่ไง ธารา ระหว่างผมกับพี่ ไม่มีเงื่อนไข และไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น โอเค๊”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ