ห่มรักเคียงดาว
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เมื่อหัวใจกลับบ้าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“คุณธาราครับ”
เสียงคนขับรถเรียกผมจากหน้าห้อง เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ผมต้องย้ายตัวเองออกจากห้องไปขึ้นรถได้แล้ว ผมวางกรอบรูปเล็กๆไว้บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง วันนี้ผมอุตส่าห์ตื่นเช้าลงไปเด็ดกุหลาบที่สวนหลังบ้านมาใส่แจกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ
เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบที่คนในรูปจากไปน่ะสิ…..
2 ปีแล้ว ที่น้องสาวคนสำคัญของผมเสียไป ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมใช้ชีวิต ทำงานท่ามกลางเสือหิวทั้งหลาย ไต่เต้าและต่อสู้มาตามลำพัง ในชีวิตผมไม่เคยมีคำว่าแพ้อยู่ในหัว ไม่ว่าอะไรถ้าผมอยากได้ผมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้มันมา อ่า….แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นอันธพาลไปแย่งใครเขามานะ
แค่ใช้ความสามารถกับลูกบ้าของตัวเองพลิกเกมหลายๆตลบจนคว้ามาได้ต่างหาก หึๆๆ
ถึงสมองจะไม่อัจฉริยะเท่าน้องสาวแต่ลูกบ้าผมรับรองได้ว่าไม่มีใครในตระกูลเทียบผมได้
ร้านผ้าไหมที่ผมกำลังจะไปเยี่ยมชมวันนี้ก็เป็นหนึ่งในความพยายามและลูกบ้าของผมที่สร้างมันขึ้นมาเหมือนกัน
ผมทุ่มเททุกอย่างให้กับธุรกิจนี้สุดๆ เพราะมันเป็นความฝันสุดท้ายที่ผมจำได้
ความฝันของน้องสาวที่อยากจะมีร้านผ้าไหมเป็นของตัวเอง และผมก็จงใจตั้งชื่อให้เหมือนคนที่ฝันอยากสร้างมันขึ้นมา
‘ร้านผ้าไหมเคียงดาว’
“ผ้าไหมพวกนี้เราเพิ่งทอเสร็จ ก็เลยเอามาให้คุณธาราดูค่ะ”
หัวหน้าที่ควบคุมการผลิตนำผ้าไหมหลายผืนมาวางลงกลางโต๊ะตรงหน้าผม ผมมองผ้าไหมสีสันสวยงามไร้ที่ติไปทีละผืน และสะดุดตากับผ้าผืนสุดท้ายที่มีสีน้ำเงินออกเข้มจนแทบเรียกได้ว่ามืดทะมึน ผมมองผืนผ้าที่ดูไม่มีลวดลายอะไรตรงหน้าอย่างชั่งใจ จะบอกว่าไม่มีลวดลายเลยก็ดูจะไม่ใช่ พอมองดูดีๆแล้วเหมือนผมกำลังมองดูท้องฟ้ากลางดึกที่มีดาวเล็กๆประปรายอยู่
“ทำไมผืนนี้ไม่เหมือนผ้าไหมผืนอื่นเลย”
“ผืนนี้ไม่ผ่านคิวซีค่ะ เพราะเด็กชนเผ่าบนเขาที่เรารับเข้ามาใหม่เอายางไม้เข้ามาผสมสีที่เราเตรียมไว้แล้วก็ทอมันขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นแบบนี้ค่ะ เป็นความผิดพลาดของทางเราเองที่ดูแลไม่ดี”
ผมหยิบผ้าไหมผืนนั้นขึ้นมามองระดับสายตา เนื้อสัมผัสไม่เหมือนผ้าไหมทั่วไป ทั้งเบา ทั้งอุ่น และผมก็ชอบมัน
“ผมชอบผ้าผืนนี้”
“คุณธารา”
ทุกคนในห้องประชุมมองผมเป็นตาเดียว คงจะสงสัยว่าทำไมผมถึงชอบของไม่ผ่านคิวซี
แต่เปล่าเลย นี่แหละของหายาก
ผมมองเห็นดวงดาวนับพันบนท้องฟ้ายามดึก บนผ้าผืนนี้จริงๆ และต่อไปนี้มันก็จะเป็นสมบัติของผม
ผืนผ้าเล็กเกินกว่าจะแขวนโชว์ไว้ในกรอบ ผมก็เลยทำเป็นผ้าคลุมไหล่พกติดตัวไปทุกที่
ทุกคนคงจะแปลกใจว่าทำไมผู้ชายอย่างผมถึงได้ใช้ผ้าคลุมไหล่เหมือนผู้หญิง นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม แต่เป็นปัญหาของพวกเขาต่างหาก
จะมองยังไงก็ปล่อยไปสิ เรื่องอะไรที่ผมต้องคิดมาก
ยังมีเรื่องท้าทายให้ผมไปสะสางอีกเยอะ
การกว้านซื้อที่ดิน ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทุกอย่างอยู่ในลิสต์ความท้าทายของผมทั้งหมด เพราะผมบ้าเกินควบคุม ทุกอย่างที่ผมเข้าไปจับจึงน้อยมากที่จะหลุดมือ ผมได้ทุกอย่างตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่บางครั้งมันก็สร้างศัตรูเอาไว้มากเหมือนกัน
“ได้ยินมาว่าเจ้าของไร่ทางเหนือติดชายแดนกำลังเล็งที่ดินแปลงเดียวกับเราครับนาย ช่วงนี้ต้องระวังตัวเป็นพิเศษนะครับ”
“อืม…..”
ผมตอบรับไปส่งๆเอนตัวพิงเบาะด้านหลังคนขับก่อนจะหลับตาลงพักสายตาตัวเอง หลังจากที่กรำศึกหนักในห้องประชุมมาทั้งวัน
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนเกลียดขี้หน้าผม เพราะหลายครั้งที่ผมถูกลอบทำร้าย แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง และผมก็ไม่ใช่คนที่ยอมความกับใครเขาง่ายๆซะด้วย จะว่าไปคนที่ต้องมาตามมาจ่ายค่าเสียหายให้ผมก็หนีไม่พ้นทนายส่วนตัวที่เป็นเพื่อนสนิทผม
เพราะอะไรน่ะเหรอ…หึ!
“วันนี้คุณธาราจะไปไหนต่อเหรอครับ”
“ฉันจะขับรถชมวิวหน่อย นายน่ะ กลับไปหาลูกเมียได้แล้ว”
“แต่ว่า”
“ฉันขับรถเป็น มีใบขับขี่”
“คือ….”
คนขับรถแสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วง ก็แน่สิ ทุกครั้งที่ผมขับรถไม่รถก็ผมจะต้องพังไปข้าง
ผมถอนหายใจและลืมตาสบตากับคนขับรถที่มองผมจากกระจกมองหลัง
“สัญญาว่าจะรีบกลับบ้าน พอใจไหม”
“ให้ผมไปส่งดีไหมครับ”
“ฉันจะไปผับ อยากให้เมียของนายไล่กระทืบรึไง แม่ลูกอ่อนดุนะจะบอกให้”
ผมงัดเอาไม้ตายของคนขับรถมาต่อรอง และมันก็ได้ผล
ผมได้กุญแจรถและขับรถไปตามทางที่เริ่มจะมีรถวิ่งน้อย ผมไม่กลัวหลงทาง ไม่กลัวรถเสีย แค่อยากคิดอะไร ไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้ไปผับอย่างที่อ้างกับคนขับรถ แต่แค่หาที่นั่งเงียบๆมองวิวไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง ตอนนี้ผม อยู่ทางเหนือ ความวุ่นวายเหมือนตอนที่อยู่กรุงเทพก็เลยไม่ค่อยได้เห็น บางทีผมก็แอบคิดว่าอาจจะมาใช้ชีวิตที่นี่ถาวรไปเลยดีรึเปล่า
พ่อกับแม่ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่อเมริกาและทิ้งธุรกิจทุกอย่างให้ผมดูแล แน่ล่ะ เพราะความบ้าของผมทำให้ท่านทั้งสองไว้ใจว่าผมจะรักษามันอยู่ แถมงอกเงยขึ้นมาหลายสิบเท่าเสียด้วย
แน่นอนว่าต่างคนต่างไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน พ่อกับแม่ไม่เคยพูดกับผมเรื่องผู้หญิงและไม่เร่งเร้าผมให้แต่งงาน พวกท่านให้อิสระผมเต็มที่ และไม่ว่าผมจะเลือกใครพวกท่านทั้งสองก็เห็นดีด้วยอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า
ถ้าเป็นคนดี ไม่มาล้างผลาญตระกูลเราก็พอแล้ว…
เหตุผลแสนง่าย แต่มันก็ไม่ง่ายเลยสำหรับผม เพราะแต่ละคนที่เข้ามาก็ล้วนแต่จะเป็นเสือหิวจนออกนอกหน้านอกตา ผมไม่เคยให้โอกาสเธอเหล่านั้นตั้งแต่แรกและผมก็ชัดเจนจนไม่มีใครได้เข้าใกล้ผมด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เรื่องบนเตียงเลย แม้แต่ควงออกงานผมก็ไม่เคยทำกับใคร
ผมเป็นอิสระ และผมก็ชินกับชีวิตอิสระแบบนี้มานานแล้ว……
ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งอยู่ที่จุดชมวิวของไร่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก่อนจะกลับมาที่รถและขับลงจากเขากลับคอนโดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ผมขับรถมาเรื่อยๆก็เจอกับซอยแคบและสิ่งที่ขวางทางผมอยากลุ่มวัยรุ่นสามสี่คน ดูท่าจะเป็นเจ้าถิ่นแถวนี้
ก๊อกๆๆ
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
ผมเลื่อนกระจกไปคุยกับหนึ่งในวัยรุ่นที่เข้ามาเคาะกระจกรถ
“นี่ พี่ชาย รถพวกเราเสีย ขอเงินไปซ่อมรถหน่อยสิ”
ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมาให้ได้ เด็กหนอเด็ก ลูกไม้เดิมๆตั้งแต่ชาติปางก่อนมันยังเอาออกมาใช้ได้ ท่าทางจะไม่ใช่พวกตบทรัพย์มืออาชีพ
“อ่า….ขอโทษนะ มีแค่นี้เอง”
ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้วัยรุ่นพวกนั้น แต่ดูท่าทางไม่ได้พอใจกันสักเท่าไหร่
“ล้อกันเล่นป่าวเนี่ย แค่นี้ไม่พอว่ะพี่”
“เห้ย! นาฬิกามันดูท่ามีราคาว่ะ”
“ถอดมา ไม่งั้นเจ็บตัว”
ผมทำตามที่พวกมันบอก ถอดนาฬิกากับแหวนให้ก่อนที่พวกมันจะตาโตทันทีที่มองเห็นนาฬิกาฝังเพชรของผม
“ไปเว้ย!”
ได้ของก็ทิ้งกับเลย ง่ายไปไหมเจ้าพวกอ่อนหัด
ปึง!
ผมลงจากรถเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้าง ก่อนจะมองพวกมันเดินกลับไปที่รถ
“เห้ย ลืมของแน่ะ”
และทันทีที่พวกมันหันกลับมา ผมก็ก้าวยาวๆตรงเข้าไปและสวนหมัดหนึ่งอัดเข้าที่ท้องพวกมันไปทีหนึ่ง
ปึก!
“อั่ก!”
ดูท่าจะแรงไปหน่อย หรือเพราะมันเล่นยาจนเหลือแต่กระดูก แต่ก็ช่างมันเถอะ
จิ๊กโก๋คนหนึ่งถูกผมอัดจนกระเด็นไปติดกำแพง
“ไอ้เวรนี่ มึงจะเอาใช่ไหม!”
ผลัวะ!!!”
เท้างามๆของผมสวนเข้าที่ชายโครงของพวกมันอีกคนจนล้มพับสำรอกของเก่าออกมา
“อ่อก! แค่กๆๆ!!!....”
“ระวังปากหน่อยไอ้หนู กูจะเป็นพ่อมึงอยู่ละ”
สายตาผมตวัดมองจิ๊กโก๋อีกคนที่มีของของผมอยู่ในมือ ดูท่าเจ้าเด็กนี่จะอ่อนกว่าสองคนแรก ผมยื่นมือออกไปกระดิกนิ้วให้มันเข้ามาหา และมันก็ว่าง่ายเกินคาด
สุดท้ายผมก็ได้ของของผมคืน พร้อมกับข้อหาทำร้ายร่างกายอีกหนึ่งกระทง
“มีคนมาแจ้งว่าคุณได้ไปทำร้ายร่างกายเด็กทั้งสามคนนี้ บลาๆๆๆๆๆๆ….”
ตอนนี้ผมนั่งฟังข้อกล่าวหาจากตำรวจ โดยที่มีทนายความสาวคนเก่งเพื่อนเลิฟสุดสนิทของผมที่ต้องแหกตาตื่นมาโรงพักทั้งที่นางเพิ่งจะล้างเครื่องสำอางออกไป
ทุกอย่างจบลงด้วยการเสียค่าปรับ แต่พวกจิ๊กโก๋ที่เหลือก็ต้องนอนคุกเพราะข้อหาอื่นอยู่ดี
“อีกแล้วนะธารา อีตาบ้า หาเรื่องได้กระทั่งเด็ก ยังต้องมาเดือดร้อนฉันแหกตาตื่นมาประกันตัวนายถึงโรงพัก ฮึ่ย!!!!”
ผมนั่งฟังไซรีนเทศนาผมมาได้สิบนาทีแล้ว แต่ถึงเธอจะว่าผมยังไงในหัวผมก็ว่างเปล่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว ยายแม่ลูกอ่อนคนนี้คือทนายประจำตระกูลผมและเธอก็เป็นเพื่อนสนิทของผมแค่คนเดียวที่มาทำงานใกล้กับผม
“ฉันก็กำชับพี่ไทด์แล้วว่าอย่าปล่อยให้นายขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว แล้วนี่อะไร!”
พี่ไทด์ก็คือคนขับรถผมนั่นแหละ
“เฮ้อ เอาน่า เดี๋ยวจะขึ้นค่าแรงให้”
“อย่ามาแก้ปัญหาด้วยเงินกับฉันนะยะ ถ้าลูกฉันตื่นขึ้นมาร้องหิวนมสิบล้านก็ไม่พอย่ะ! โธ่เอ๊ย ธารา เมื่อไหร่นายจะลดความบ้าไม่ยอมคนลงบ้างนะ เป็นแบบนี้แล้วใครจะอยู่ใกล้นายได้”
“ก็เธอไง”
“ซึ้งตายล่ะ แล้วนี่จะกลับยังไงฉันไปส่งไหม”
“ไม่ต้อง เธอรีบกลับบ้านเถอะ ลูกตื่นขึ้นมาร้องไห้ลั่นบ้านแล้วมั้ง”
“ฮึ่ม! เพราะใครล่ะยะ”
“ถามจริง เธอโกรธฉันเป็นฟืนเป็นไฟเนี่ย เพราะกลัวลูกหิวนมหรือเพราะเธอต้องออกมานอกแบบหน้าสดกันละเนี่ย จะว่าไป คิ้วหายไปไหน”
“ธารา!”
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมกวนโมโหได้คนเดียวคือไซรีน เพราะนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครกล้ามาต่อปากต่อคำกับผมแล้ว
ก็คนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วนี่นะ
ตึกตักๆๆๆ….
พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมาแปลกๆจนผมต้องยกมือขึ้นนวดหน้าอกตัวเอง
กึก!
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“….!!!”
ตึกตักๆๆๆๆ……
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ