The Hell I Have Become ร่างทรงปิศาจ
-
เขียนโดย VerbaArcana
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.38 น.
4 chapter
0 วิจารณ์
4,349 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 22.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ร่องรอยปิศาจ (The witch interrogation)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความhttps://www.readawrite.com/a/cbf97cba8de4da318fdce3925422618d
ดวงจันทร์ซีดเซียวหายลับไปจากขอบฟ้า ถูกแทนที่ด้วยแสงอาทิตย์สาดส่องลอดเข้ามาถึงยังห้องทึบที่ใช้คุมขังอาชชี่ โคเว่น แม้ภายนอกนั้นจะสว่างสดใสเพียงไร แต่ภายในห้องขังส่วนอื่นที่มิใช่ตรงแท่นม้านั่งหิน กลับยังคงดูมืดขมุกขมัว อาชชี่ โคเว่น ค่อยๆ ลืมตาเมื่อสัมผัสได้ถึงแสงสว่างกระทบใบหน้า ความเจ็บปวดรวดร้าวดูจะทวีขึ้นเป็นเท่าตัว
ระหว่างกำลังขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง เขาพลันได้ยินเสียงไขกุญแจเข้ามา หัวใจของชายหนุ่มร่วงหล่นไปถึงตาตุ่ม ภาวนาให้เป็นเอเดรียน เด็กหนุ่มวัยสิบแปดผู้เป็นมิตร น่าเสียดาย เพราะเมื่อบานประตูเปิดอ้าออก กลับเป็นเจ้าปิศาจชั่วช้าตนเดิมก้าวเข้ามาแทน พร้อมทหารสองสามนายที่หิ้วถังน้ำและเสื้อผ้ามาด้วย
โลเทรค สาดน้ำเข้าใส่ร่างเปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อกั๊กสีเข้มห่มคลุม อาชชี่ โคเว่น เริ่มหนาวสั่น
“ลุกขึ้นแต่งตัว! ได้เวลาแล้ว!” มันสาดน้ำใส่ไม่พอ ยังเดินเข้ามาเตะตรงต้นขาของเขาเสียอีก พลางสังเกตเห็นเสื้อกั๊กของน้องชาย จึงหยิบขึ้นมาดูก่อนเขวี้ยงทิ้ง
“คุยกันถูกคอนักนี่ ไงล่ะ น้องชายข้าเพ้อเจ้อดีใช่ไหม” มันยิ้ม
อาชชี่ โคเว่น ไม่ตอบ ทำเพียงส่งสายตาเคืองแค้นกลับ โลเทรคสำรวจดูร่องรอยที่มันย่ำยีเขาเมื่อคืน ก่อนพบว่ายังมีคราบเลือดติดอยู่
“ข้าบอกให้ทำความสะอาดตัวเองไง! ”
มันกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนสั่งทหารให้ลากตัวเขาออกมาจากมุมห้อง ชายหนุ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขาขืนร่าง พยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดต้านทานพวกมันไว้แม้ไม่เป็นผล
“เฮอะ! ถึงกับกลัวจนไม่อยากให้ใครแตะต้องตัวเลยรึ จะบอกให้นะ สิ่งที่เจ้าเจอน่ะ....” โลเทรค หยุดสูดหายใจ ก่อนก้าวเข้ามาประจันหน้ากันกับเขาที่แทบจะไร้แรงยืนหากไม่มีทหารสองคนคอยหิ้วปีกอยู่ข้างๆ
“มันเล็กน้อยมาก....” เจ้าปิศาจหรี่ตา
เพียงเสี้ยววินาที แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่อาชชี่ โคเว่น สังเกตเห็นริมฝีปากบางสีระเรื่อของมันสั่นเบาๆ ขณะพยายามเหยียดรอยยิ้มเย้ยหยันกลบเกลื่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาติดใจอะไร เพราะความชิงชังเคียดแค้นได้ครอบคลุมเคลือบไปทั่วทั้งความคิดของเขาแล้ว
ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเจ้าปิศาจเล็กน้อย เนื้อตัวแข็งแรง แต่บอบช้ำ อ่อนล้า ถ่มน้ำลายปนเลือดใส่หน้า แล้วพ่นภาษาโบราณประหลาดๆ
“Damnatio mortis oriuntur venire. (แดมนาทิโอ มอร์ทิส ออริอันตูร์ เวนีร์) Qui tibi a nocere nobis condemnentur (กีย์ ทิบี อา โนเชเร โนบีส์ คอนเดมเอนเตอร์) Carnes et sanguinem oblatum optimum est. (คาร์นส์ เอท์ แซงกิเนม โอบลาทัม ออพติมัม เอสท์) Animus torqueri recrit. (อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี) ”
แม้จะฟังไม่ออก แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามิใช่คำสรรเสริญ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ค่อยๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำลายเปื้อนเลือดมาป้ายที่ริมฝีปากตน ก่อนเอื้อมไปกดนิ้วหัวแม่มือข้างเดิมลงบนริมฝีปากของอาชชี่ โคเว่น แล้วสอดเข้าไปกวาดกระพุ้งแก้มของชายหนุ่ม
“จนตรอกถึงกับยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกพ่อมดหมอผีแล้วสินะ” มันยิ้มอย่างพึงใจ จ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังกลอกดวงตามองมือของมันในปาก
“ในเมื่อไม่ยอมทำความสะอาดตัวเองให้หมดจด ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะทำให้เอง” ชายหนุ่มผมทองกล่าว ก่อนขอผ้าชุบน้ำจากทหารทางด้านหลัง เมื่อรับมา เจ้าปิศาจจึงใช้ผ้าเปียกชุ่มน้ำผืนนั้นฟาดใบหน้าของอาชชี่ โคเว่น อย่างเต็มแรง แล้วสั่งทหารให้จับเขาหันหลังกดตัวเข้ากับผนังห้อง
“จะเล่าอะไรสนุกๆ ให้ฟังอย่าง...” มันประชิดตัวแนบร่างเปลือยเปล่าของอาชชี่ โคเว่น พลางกระซิบข้างหู
“ครั้งแรกน่ะ มันจะเจ็บเช่นนี้ล่ะ แต่พอครั้งถัดไป เจ้าจะไม่เจ็บแล้ว…”
ชายหนุ่มอดีตขุนนางงามสง่าถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี กัดฟัน เหลือบตามองเพดานเงียบๆ ระหว่างปล่อยให้เจ้าปิศาจรุกล้ำร่างกายเขาอีกครั้ง ต่อหน้าทหารหลายนาย ปากก็เริ่มพูดพร่ำเป็นภาษาโบราณซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเจ็บแค้นและเสียใจ
“คาร์นส์ เอท์ แซงกิเนม โอบลาทัม ออพติมัม เอสท์, อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี....”
“อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี...”
ไม่ว่าจะเหตุบังเอิญหรือจงใจ แต่ท้องฟ้ายามสายแสนอบอุ่นสดใส กลับเริ่มมีเค้าลางเมฆครึ้มฝน ยินเสียงอีกาหลายตัวบินแหวกฟ้าร้องวนไปมาใกล้ๆ ทั้งที่ปกติจะอยู่กันแถบแนวป่าหรือกระจายไปรอบๆ ตัวเมืองตามกองขยะ
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ มีอาการกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงสวดนั้นซ้ำๆ ขณะกดศีรษะของอาชชี่ โคเว่น แนบติดกับผนัง โดยที่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเขามากไปกว่าเอาผ้าเช็ดรอยเลือดตรงหว่างขา
“หุบปาก…”
ระหว่างกระตุก มันเห็นภาพชายคนหนึ่งกำลังทรมานจากการถูกเผาทั้งเป็น ภาพสงครามที่มีเงาทะมึนใหญ่ ภาพของชายคนเดิมถือดาบเล่มโต กระโจนเข้าฟาดฟันกับอสุรกายที่ไม่อาจระบุได้ว่ารูปร่างเป็นเช่นไร ท่ามกลางสมรภูมิรบยุคโบราณอันดุเดือด
อาชชี่ โคเว่น ยังคงพร่ำประโยคเดิมต่อ ด้วยเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ
“อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี...อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี...”
“ข้าบอกให้หุบปากไง! ” มันเขวี้ยงร่างเขาจนล้มกลิ้งไปกับพื้นราวกับตุ๊กตาโทรมๆ อาชชี่ โคเว่น ยังคงพร่ำพูดไม่หยุด แม้ตอนพยายามยันร่างขึ้น พลางส่งสายตามองมันราวสัตว์ร้ายจ้องขย้ำเหยื่อ
โลเทรค ปรี่เข้าไปเตะใบหน้าและลำตัวของร่างนั้นจนกระเด็นติดผนังห้องอีกด้านทันที อาชชี่ โคเว่น กระอักเลือด แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขาหยุดพูดข้อความในหนังสือได้
“เมื่อล่วงเข้าสู่แม่น้ำแห่งความตาย วิญญาณจักทำสัญญากับปิศาจซึ่งยืนรออยู่ ณ อีกฟากฝั่งหนึ่ง” ชายหนุ่มผมดำกล่าว ด้วยประโยคคล้ายกันกับที่โลเทรคเคยได้ยินจากปากของเอเดรียน เมื่อนานมาแล้ว
“ยังไม่หยุดอีกใช่มั้ย! ” โลเทรค ไม่ลดละ ตรงเข้าไปจิกผมชายหนุ่มขึ้นแล้วง้างหมัด
“คนตาย….จะฟื้นคืน….ในฐานะร่างทรงอสุรกาย...เพื่อทวงคืนสิ่งที่เขาพึงได้รับก่อนชีพวายน์....”
สิ้นประโยคจากปากเลอะเลือดของชายหนุ่มตระกูลโคเว่น โลเทรคจึงคลายมือออกจากผมของเขา แล้วผลุนผลันเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจบ่งบอกได้ว่าโกรธ โมโห หรือตื่นตระหนก
อาชชี่ โคเว่น ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นตรงมุมห้อง พ่นลมหายใจหอบถี่ เขาค่อยๆ เงยหน้าส่งสายตาดุดันลอดปอยผมยุ่งเหยิงไปยังทหารอาร์ชิบอลด์ที่กำลังเข้ามาใกล้ พวกนั้นมีอาการชะงักงันเล็กน้อยด้วยความหวั่นกลัว
“รูปกายของอสูรนั้น มีปีกคล้ายกับค้างคาวขนาดใหญ่ แผ่สยายครอบคลุมเต็มผืนฟ้า มันมิใช่ทั้งมังกรหรือตัวกริฟฟอน หากแต่มีรูปลักษณ์ดั่งมนุษย์อัปลักษณ์ร่างใหญ่แข็งแรงเหมือนกับยักษ์โกไลแอท แต่ขนาดมหึมายิ่งกว่า มันเข้าจู่โจมฉีกกระชากศัตรูด้วยกรงเล็บสีดำเมี่ยมราวกับกรงเล็บของอีกา ไม่แค่ฉีกกินเปล่าๆ แต่มันยังสวาปามเลือดและเนื้อสดๆ ของเหยื่อทั้งที่ยังเป็นๆ อีกด้วย”
ระหว่างรอการมาถึงของนักโทษ ชาวเมืองคอร์วัสและคนจากเมืองอื่น ต่างมายืนชมการแสดงตำนานอสุรกายแห่งโคเว่น ซึ่งจัดแสดงอยู่บนเวทีที่จะใช้ทำการไต่สวน มีกางเขนดำที่ถูกฝังลงไปในพื้นดินของจัตุรัส ตีล้อมด้วยไม้ระแนงล้อมกรอบอีกที เป็นฉากหลัง
หลายคนสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการแสดง แต่หลายคนกลับเศร้าโศกเสียใจ เพราะนอกจากจะร่ำไห้ให้กับเจ้าเมืองแล้ว ในบรรดาบ่าวรับใช้ที่ตายกันอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ตระกูลโคเว่นนั้น มีลูกหลานเครือญาติของพวกเขาอยู่ จึงสร้างความไม่พอใจให้กับคนบางส่วนเป็นอย่างมาก
“แต่แล้ว ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเรากำลังสิ้นหวัง ได้มีชายลึกลับผู้หนึ่งปรากฏกาย เข้าต่อกรกับเจ้าอสุรกายด้วยดาบฆ่ามังกรเล่มใหญ่ เวทมนตร์ปะทะเวทมนตร์ เลือดเนื้อปะทะเลือดเนื้อ สงครามระหว่างตระกูลโคเว่นผู้ครอบครองพลังแห่งเทพเจ้ากับตัวแทนของตระกูลอาร์ชิบอลด์ ซึ่งเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา ดำเนินไปอย่างดุเดือด อสุรกายแห่งโคเว่นได้บันดาลให้เกิดฟ้าฝนแปรปรวน จนแม้ไฟบรรลัยกัลป์ก็มิอาจทำอะไรมันได้ ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ชายลึกลับจากแดนไกลหวั่นเกรง เขากลับมุ่งหน้าฝ่าเงามืดทะมึนนั้นเข้าไปถึงใจกลางของอสุรกาย และสังหารมันได้ในที่สุด วิญญาณถูกผนึกด้วยโซ่ตรวน บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ และอาณาจักรของเราจึงได้ทำสนธิสัญญา ตระกูลโคเว่นให้สัตย์สาบานว่า จักไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยเวทมนตร์ดำอีก จักไม่มีการอัญเชิญวิญญาณใดมายังโลกนี้ กางเขนดำจึงถูกนำไปเก็บไว้ใต้ปราสาทคอร์วินัส และบัดนี้มันได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว”
การแสดงยังคงดำเนินต่อไป ทว่าระหว่างทำการแสดงอยู่นั้น พวกชาวบ้านบางส่วนได้ตรงเข้าไปทำร้ายทหารอาร์ชิบอลด์จนเกิดการปะทะกัน คราวนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องราวบนเวทีแล้ว ทุกคนเริ่มหันมามุงดูเหตุการณ์ด้านล่างแทน ทหารอาร์ชิบอลด์จ่อปืนเข้าหากลุ่มชาวบ้านซึ่งเป็นญาติของผู้สูญเสียพลางข่มขู่ไม่ให้พวกเขาเข้ามา
จากเสียงวุ่นวายด้านล่างหน้าปะรำพิธี ทำให้ลอร์ดวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ และภรรยา เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ รวมถึงแขกเหรื่อที่เป็นชนชั้นสูงคนอื่นๆ ในห้องของอาคารสูงสามชั้นฝั่งตรงข้าม ถึงกับหันไปมองยังนอกหน้าต่าง ชาวบ้านบางส่วนเริ่มก่อจลาจล ทหารอาร์ชิบอลด์เริ่มลงมือทุบทำร้าย เกิดการต่อสู้ปะทะกันจนวุ่นวายไปหมด
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แล้วเจ้าโลเทรคเมื่อไหร่มันจะโผล่หัวมาซะที มัวเล่นสนุกกับนักโทษอยู่ได้” ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค บ่นอุบ พลางเหลือบสายตามองไปยังบีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงชุดโซฟาแถวมุมห้อง โดยมีสาวใช้อุ้มบุตรชายของอาชชี่ โคเว่น นั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งหญิงสาวสวยภรรยาของศัตรูและชายสูงวัยในชุดทหารเต็มยศ ต่างสบตากันราวกับรู้อะไรบางอย่าง ก่อนที่ลอร์ดวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ จะยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างหันซ้ายแลขวาหาบุตรชายตน ไม่ช้าจึงเห็นโลเทรค อาร์ชิบอลด์ บุตรชายคนโตสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนตัดด้วยสีขาวสะอาดตาและรองเท้าบูตพับใต้เข่าสีน้ำตาล ควบม้าสีดำปลอดลอดซุ้มโค้งใต้อาคารซึ่งเป็นทางเข้าจัตุรัสจากเส้นทางนอกเมือง ฝ่าเข้ามากลางฝูงชน พร้อมยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการข่มขู่
ไม่ไกลจากด้านหลังของเขา คือขบวนรถม้าของศาสนจักร ต่อด้วยขบวนรถม้าบรรทุกกรงขังนักโทษพร้อมทหารกลุ่มใหญ่ขี่ม้าขนาบข้าง
“ใครมีปัญหากับตระกูลอาร์ชิบอลด์และกลุ่มตุลาการศาล ข้าจะจับขึ้นไปแขวนคอเสียบนปะรำพิธีนั่น ไหน...ยังมีใครหน้าไหนที่ทำงานให้กับตระกูลโคเว่นอีกมั้ย! ” โลเทรคชักดาบขึ้นมากวาดไปรอบๆ กลุ่มชาวบ้าน
“หากยินดีที่จะรับใช้ตระกูลพ่อมดแม่มดนั้นต่อ ข้าจะถือว่าเจ้าตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับบ้านเมือง และจะต้องได้รับโทษตายตกไปตามกัน! ”
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มก่อจลาจลเริ่มนิ่งสงบ ทำได้เพียงส่งเสียงกระซิบกระซาบคุยกันเบาๆ ส่วนชาวบ้านอื่นๆ ที่ไม่ได้มีลูกหลานทำงานรับใช้ตระกูลโคเว่นต่างค่อยๆ แยกตัวออกมาเพื่อเป็นผู้สังเกตการณ์
โลเทรค กวาดสายตามองให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแข็งขืนจนทำให้พิธีการไต่สวนวันนี้วุ่นวายอีก จึงลดดาบลง ระหว่างนั้น อยู่ๆ กลับมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งแย่งปืนของทหารอาร์ชิบอลด์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วยกขึ้นหวังเหนี่ยวไกใส่ชายหนุ่มผมทองบนหลังม้า โลเทรค รีบหันไป ควงดาบขึ้นแล้วปาเข้าใส่ต่างหอก ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าเสียบกลางอกชาวบ้านหนุ่มจนล้มลง แต่มิได้ตายทันที ฝูงชาวบ้านแตกตื่น ส่งเสียงอื้ออึง มีหญิงสาวกรีดร้องรีบวิ่งฝ่าเข้ามาทรุดลงร่ำไห้ข้างๆ ร่างนั้น
“...การกระทำของพวกเจ้า...จะต้องได้รับการชดใช้...พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด...” ชายคนนั้นกล่าว แม้เลือดจะทะลักออกทั้งปากและจมูก รวมถึงไหลซึมออกมาจากกลางอก เขายังพยายามลุกขึ้น ทหารอาร์ชิบอลด์รีบยึดปืนกลับคืน หญิงสาวกอดร่างชายคนดังกล่าวแน่น
เมื่อเห็นดังนั้น โลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงก้าวลงจากหลังม้า บุ้ยใบ้ให้ลูกน้องดึงตัวผู้หญิงออก แล้วควักปืนพกที่ห้อยอยู่ตรงซองปืนใต้เสื้อคลุมสีเหลืองนวลออกมา จ่อยิงอัดกะโหลกจนชายผู้นั้นนิ่งสนิท หญิงสาวกรีดร้องเป็นลมล้มพับไป พวกชาวบ้านคราวนี้ยิ่งถอยกรูด แตกฮือด้วยความตื่นกลัว เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์บางส่วนชักดาบออกมาเช่นกัน ส่วนอีกหลายนายกระจายตัวไป ยกปืนขึ้นจ่อใส่ชาวบ้าน บรรยากาศตึงเครียด ซ้ำยังมีอีกามาบินวนรอบจัตุรัสเสียอีกราวกับมารอกินซากศพ
“ข้าไม่อยากให้มีการสูญเสียเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงอยู่ในความสงบและให้ความร่วมมือกับเรา ตระกูลอาร์ชิบอลด์ ด้วย เพราะหากพวกเจ้าทำร้ายเรา ก็เท่ากับทำร้ายตัวแทนของอาณาจักร มีความผิด รับโทษถึงตาย เจ้าเข้าใจหรือไม่! เลือกเอาว่าจะภักดีกับเรา หรืออยากตามไปนรกพร้อมกับนายของเจ้า ข้าจักได้ช่วยสงเคราะห์ เพราะข้ามีอำนาจเต็มในการพิพากษาเช่นกันในวันนี้” โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ประกาศด้วยน้ำเสียงดุดัน กอปรกับทหารอาวุธครบมือ จึงทำให้ฝูงชนสงบลง โดยไม่มีใครกล้าท้วงติงอะไรอีก
“ดี…” เมื่อเห็นว่าควบคุมฝูงชนได้แล้ว ชายหนุ่มผมทองจึงกลับไปขึ้นหลังม้าแล้วควบตรงไปทางปะรำพิธี
“โอ ตายๆ เสียบรรยากาศหมด” บาทหลวงร่างท้วมในชุดประกอบพิธี ผู้มีผมสีขาวยาวระต้นคอ ม้วนตัวหยิกเป็นลอน ตัวแทนจากศาสนจักร ค่อยๆ ผละมือจากม่านผ้าปิดหน้าต่างรถม้า หลังจากแง้มเปิดออกเพื่อดูสถานการณ์ภายนอก ขณะรถเทียมม้าขนาดสี่ตัวสีดำทะมึนฉลุลายสีทองสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่เขาโดยสาร แล่นเข้ามาจอดหน้าบันไดทางขึ้นปะรำพิธี
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่แล้วคุกเข่าจูบแหวนของบาทหลวงร่างท้วมนั้นทันทีที่เขาก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะพาขึ้นไปส่งบนเวทีที่มีกางเขนดำตั้งตระหง่าน เพชฌฆาตจากเมืองหลวงที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ไต่สวน ตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างประจำตำแหน่งของตนระหว่างรอให้ขบวนนักโทษมาถึง
ไม่ช้าขบวนนักโทษจึงมาหยุดอยู่ตรงบริเวณปากทางเข้าจัตุรัส ทหารอาร์ชิบอลด์นำตัวอาชชี่ โคเว่น ที่นั่งพิงลูกกรงอย่างอ่อนล้าลงมาจากกรงขังรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ แล้วพาตัวเขาเดินแหวกฝูงชนเข้ามา
อดีตขุนนางหนุ่ม สภาพสะบักสะบอม สวมเพียงแค่เชิ้ตคอปกแขนยาวชายรุ่ยสีขาว และกางเกงรัดใต้เข่าสีดำ เดินเท้าเปล่าเข้ามายังลานทำพิธีอย่างสงบ ตรงข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างถูกล็อกและล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน เขาพยายามอดทนไม่แสดงอาการบาดเจ็บใดๆ ตลอดทางที่เดินผ่านชาวเมือง หลายคนเศร้าโศกกับความสูญเสียในครั้งนี้ และแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อเขา หลายคนก็แค่ยินดีกับการจากไป ทั้งคนที่รักและเกลียดต่างมารวมตัวกันในลานทำพิธีเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งการสิ้นสุดของตระกูลโคเว่น ในวันนี้
ชายหนุ่มแม้จะฝืนร่างอ่อนล้าเพื่อไปให้ถึงยังปะรำพิธี แต่สายตาก็ไม่ลืมกวาดมองดูห้องหับตามอาคารด้วยหวังจะได้พบหน้าลูกเมีย
บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ ค่อยๆ ลุกขึ้นไปชะเง้อมองดูสามีเป็นครั้งสุดท้ายตรงหน้าต่าง โดยมีสาวใช้อุ้มหนูน้อยแมกจิโอ อาช ตามไปด้วย จวบจนกระทั่งสามีของนางเดินเฉียดเข้าใกล้ หญิงสาวจึงรีบหลบกลับเข้ามาไม่ให้เขาเห็น แต่อาชชี่ โคเว่น สายตาไวพอจะเห็นทั้งสองทัน
แม้เพียงแว่บเดียวเท่านั้น แต่ก็เพียงพอจะหล่อเลี้ยงหัวใจอันอ่อนแรงของเขาให้ชุ่มชื่นขึ้น ชายหนุ่มผมดำอมยิ้มน้อยๆ ด้วยความยินดี จนรู้สึกมีเรี่ยวแรงพอที่จะย่างก้าวต่อไปสู่ความตายได้อย่างเป็นสุข
ทว่าความสุขเล็กๆ ของเขากลับถูกขัดจังหวะด้วยหัวกะหล่ำที่ถูกขว้างมาจากในกลุ่มฝูงชน ชาวบ้านแถบนั้นเลิ่กลั่กมองหน้ากัน อาชชี่ โคเว่น สะดุ้งตกใจเล็กน้อย พลางเหลือบไปเห็น ชายร่างผอมบาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมชุดเก่าๆ กำลังเที่ยวหยิบผักผลไม้ในตะกร้าคนอื่นมาปาใส่เขาอีกด้วยความสนุกสนานและความสะใจ
“เฮ้ย! ลอร์ดโคเว่น จำข้าได้มั้ย ข้า แจ็ค โรเบิร์ตสัน ไง! ” ชายผอมบางแนะนำตัว ดูท่าจะสติสตางค์ไม่ค่อยดี แต่อาชชี่ โคเว่น ที่หันไปมองกลับไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ เพียงส่งสายตาว่างเปล่าตอบเท่านั้นก่อนเดินต่อไปเงียบๆ
แม้จะมีชาวเมืองคอร์วัสเกลียดตระกูลโคเว่นบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็มิได้เคืองแค้นเดือดดาลอะไรถึงขั้นต้องลงมือลงไม้ พวกเขาเพียงกระซิบกระซาบ หัวเราะหัวใคร่ หรือไล่เลี่ยเก็บเงินที่พนันกันไว้ว่าตระกูลอาร์ชิบอลด์จะสามารถลากตัวผู้นำโคเว่นมาได้หรือไม่เท่านั้น มีเพียงนายแจ็ค โรเบิร์ตสัน ที่ดูจะเกลียดชังอาชชี่ โคเว่น เป็นพิเศษ และเขารู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรงที่ไม่ได้รับความสนใจจากอดีตเจ้าเมือง
“นี่! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ ไอ้ลอร์ดโคเว่นสันดานเสีย! ไอ้ลูกกะหรี่เล่นของ! ยัง...ยังจะกล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นอีก! ” เขาร้องโวยวาย พลางกระหน่ำปาผักผลไม้ไล่หลัง โดนบ้างไม่โดนบ้าง ที่สำคัญดันไปโดนชายคนหนึ่งซึ่งก้าวเข้ามาบังแทน
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมของนายแจ็คตั้งแต่เมื่อครู่ เขาไม่ว่ากล่าวกระไร แค่ชกเปรี้ยงเข้าให้เสียทีหนึ่ง จนเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง คราวนี้ชาวบ้านส่งเสียงร้องเชียร์วุ่นวายไปหมด
“บรรยากาศไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ต้องขออภัยด้วยนะคะ” เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ ที่ยืนสะบัดพัดเบาๆ พอให้มีลมเย็นๆ หันมากล่าวกับขุนนางหนุ่มยศสูงข้างๆ ระหว่างมองลอดหน้าต่างบานใหญ่ไปยังลานทำพิธีไต่สวนตรงหน้า
“เป็นธรรมดา ท่านหญิงคงไม่คุ้นชินกับการไต่สวนใช่ไหมขอรับ” ขุนนางหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนหันไปมองยังแท่นทำพิธี เห็นชายร่างสูงท่าทางอ่อนล้ากำลังก้าวเดินขึ้นมา
“โอ มานั่นแล้ว อาชชี่ โคเว่น...อดีตผู้บัญชาการกองทหารม้าที่สิบสาม ผู้นำกำลังคนเข้าบุกยึดฐานที่มั่นของชนพื้นเมืองที่ดุร้ายได้สำเร็จนั่นเอง เขายังคงดูงามสง่าอยู่เลยนะขอรับ” ขุนนางหนุ่มกล่าวชื่นชม เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ ยิ้มรับ
“แต่บุตรชายของข้า โลเทรค ก็สามารถเอาชนะเขาได้จากการสู้รบเมื่อคืนวานนะคะ” นางยกยอบุตรชายตนเองให้ฟังบ้าง
“เรื่องนั้นแน่นอนขอรับท่านหญิง บุตรชายของท่านชื่อเสียงดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ หันมาจับงานด้านค้าขายก็ไม่แพ้ตระกูลโคเว่นเลย ท่านเลี้ยงดูเขามาดีจริงๆ ขอรับ”
“หามิได้ค่ะ ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมวิลเลี่ยมด้วยที่เคี่ยวเข็ญเขาจนได้ดี” หญิงวัยกลางคนหน้าบานไม่หุบ พลางส่งสายตามองสามีที่ดูแข็งแรงเกินกว่าคนวัยเดียวกัน กำลังวุ่นวายกับการรับรองแขกผู้มีเกียรติจากเมืองหลวง และเมืองใกล้เคียง
เลดี้มาเดอลีน ถือโอกาสเลื่อนสายตาผ่านเลยไปยังบีอาทริเช่ และสาวใช้กับลูกของนางที่นั่งเงียบๆ กันอยู่ตรงมุมห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลงจนกลายกลับเป็นบึ้งตึง
ขณะเดียวกัน ในตัวอาคารด้านหลังปะรำพิธี แม้จะอยู่ใกล้กับเวทีมากกว่า แต่กลับถูกกางเขนยักษ์กับส่วนยกพื้นบังความเป็นไปของการไต่สวน ห้องหับในอาคารนี้ถูกใช้เป็นที่รับรองลูกหลานของเหล่าแขกผู้มาเยือน เพียบพร้อมด้วยขนม ของว่าง และบ่าวรับใช้ เด็กๆ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ พูดคุย วิ่งเล่นกันวุ่นวายไปหมด และเมื่ออาชชี่ โคเว่น มาถึง ทุกคนก็ดูจะตื่นเต้นกันถึงขั้นกรูไปเกาะที่หน้าต่าง ชะเง้อชะแง้มอง ยกเว้น เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้บุผ้านวม ห่างออกมาจากหน้าต่างเล็กน้อยเท่านั้น ที่นั่งจดอะไรยุกยิกมือเป็นระวิง ไม่สนใจจะวิ่งไปมุงดูการประหารเช่นเด็กคนอื่นๆ
“โห อาชชี่ โคเว่น เยินเลยแฮะ ฮ่าๆ ” เอเบล ซาเวียร์ กล่าวขึ้นพลางหัวเราะกับน้องชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“เจ้าโลเทรคนี่โหดจริง เล่นฆ่าล้างทั้งโคตรเลย” เขากล่าวต่อ
“ทั้งโคตรเหรอ...ทั้งโคตร? ” น้องชายตัวเล็กยกมือเกาหัวหยิกหย่อยสีน้ำตาลทองอ่อน เอเบล ถอนหายใจแรง
“โอย โง่จริงเลย มาร์เซล ฆ่าทั้งครอบครัวไง เข้าใจไหม” เขาอธิบาย
เด็กน้อยเอียงคอฉงน ระหว่างนั้น น้องชายคนโตกว่าซึ่งพอจะพูดรู้เรื่องบ้างก็แทรกขึ้น
“ไม่เห็นจะฆ่าทั้งครอบครัวเลย ก็ยังเห็นเจ้าแมก...แมก...อะไรสักอย่างนั่นน่ะ กับเมียของมันอยู่เลย จะฆ่าทั้งที ก็ฆ่าให้หมดไปเล้ย! ”
เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ได้ยินดังนั้น ถึงกับหยุดเขียนหนังสือ แล้วเงยหน้ามองไปยังพี่น้องด้วยแววตาตื่นตระหนก
“รำคาญเวลามันร้อง เอ๊บ คิดเหมือนข้าไหม” เสียงเล็กๆ ใกล้แตกหนุ่มกล่าวต่อ
“นั่นสิ ไอ้เด็กแมกๆ ไรนั่น เป็นข้าจะเอาโยนทิ้งบ่อ ฮะๆๆ ”
ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักกันสองคน เอเดรียน เดินเข้ามาโอบไหล่พี่และน้องทั้งสองจนทั้งคู่สะดุ้ง
“เอ่อ...หวัดดี เอ๊บ หวัดดี เคล…” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น พยายามฝืนทักทาย
เอเบล และเคลเมนต์ มองตากันปะหลับปะเหลือก
“หวัดดี...เอ่อ...เอเดรียน ผีพวกโคเว่นเข้าสิงอีกแล้วเหรอ...สายแล้วเพิ่งมาทักทายทำไมกัน” เอเบลกล่าว เอเดรียนผละมือจากไหล่ของเคลเมนต์ก่อนหันมาเผชิญหน้าอย่างเต็มรูปแบบกับเอเบล
“เมื่อกี้ เจ้าว่าจะเอาอะไรทิ้งลงบ่อนะ” เขาหรี่ตามองพี่ชายคนรอง เอเบลผงะเล็กน้อย
“จะเอาลูกของอาชชี่ โคเว่น ทิ้งบ่อไง ไอ้แมกอะไรนั่นน่ะ”
“แมกจิโอ...แมกจิโอ อาช” เอเดรียนบอกด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เออ นั่นแหละ แมกจิโอ…”
“ทำไม” เอเดรียน กอดอก เอียงคอคาดคั้นเอาคำตอบ เอเบลเริ่มไม่สบอารมณ์
“ก็แล้วทำไมข้าต้องอธิบายให้ฟังด้วยล่ะ ข้าน่ะ จะเอาทั้งแม่ทั้งลูกไปทิ้งบ่อทั้งคู่นั่นแหละ”
เอเดรียนกำสมุดแน่น “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว”
เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม เอเบลส่งสายตามองตามด้วยความไม่พอใจ
“ชิ ไอ้ตัวประหลาด อยู่ๆ อารมณ์ขึ้นมาจากไหนของมันเนี่ย นี่ก็อีกคน เสียสติเหมือนกับโลเทรค” เอเบลกล่าวส่อเสียดเสียงดัง แต่เอเดรียนเลิกสนใจเขาแล้ว
พิธีไต่สวนได้เริ่มขึ้น เมื่ออาชชี่ โคเว่น เดินขึ้นมาหยุดยืนต่อหน้าบาทหลวงผู้ทำพิธี เขาได้ให้ชายหนุ่มกล่าวสัตย์สาบานต่อเบื้องบน ผ่านกางเขนตรงคอของเขา โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ยืนอยู่เยื้องไปไม่ไกลจากบาทหลวงทางด้านหลัง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ คอยดูแลความสงบ เรียบร้อย
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสาบาน บาทหลวงจึงสั่งให้เพชฌฆาตถอดเสื้อผ้าของอาชชี่ โคเว่น ออก เป็นอีกครั้งที่เขาต้องพานพบกับความอัปยศอดสู หยาดน้ำตาค่อยๆ ร่วงหล่น ต้องจำทนโดนฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนเหลือเพียงร่างเปล่าเปลือยต่อหน้าธารกำนัล เขาพยายามปกปิดร่างกายเท่าที่จะทำได้
บาทหลวงสวมถุงมือแล้วสัมผัสไปทั่วร่างไร้อาภรณ์นั้น นอกจากรอยช้ำแล้ว ยังพบรอยแดงเป็นจ้ำตามหน้าอกและลำคอราวกับรอยจุมพิต โลเทรค อาร์ชิบอลด์ มีอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย ขณะบาทหลวงเอามือไปสัมผัสผิวบริเวณต่ำกว่าใต้สะดือของนักโทษ ชายวัยกลางคนร่างท้วมเหลือบมองบุตรแห่งอาร์ชิบอลด์ ก่อนจะสั่งให้เพชฌฆาตจับอาชชี่ โคเว่น หันออกไปเผชิญหน้ากับฝูงชน แล้วเริ่มไล่ปลายนิ้วตรวจดูตั้งแต่หลังท้ายทอย ไปจนถึงกลางแผ่นหลัง พบรอยแดงเป็นจ้ำมากมาย ยิ่งในส่วนบั้นท้ายนั้นดูจะช้ำแดงกว่าจุดอื่น
ไม่รอช้า บาทหลวงจึงจัดการสอดสองนิ้วเข้าไปในร่องรู เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาอย่างง่ายดาย อาชชี่ โคเว่น หลับตาร่ำไห้เงียบๆ ด้วยความเจ็บปวด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ภาพที่เขาถูกกระทำทารุณกรรมอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนวานหวนกลับมาตามหลอกหลอน เช่นเดียวกัน โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เอง ก็นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเข้าครอบงำจนเลยเถิด
ไม่ช้า บาทหลวงจึงชูสองนิ้วเปรอะเลือดให้กับชาวบ้านได้ประจัก คนทั้งเมืองตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก จากที่อื้ออึงอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นความบอบช้ำบนร่างกายของอดีตผู้ปกครองเมืองแห่งนี้
"แหวะจะอ้วก..." เอเบล ซาร์เวียร์ ทำท่าโก่งคอเหมือนจะขย้อนของเก่าออกมา เจ้าเคลเมนต์ น้องชายตัวเล็กกว่า ทำท่าล้อเลียน หัวเราะตาม เอเดรียนจิกปากกาแน่นจนกระดาษแทบทะลุ
“นี่คือ เครื่องบ่งชี้ว่า อาชชี่ ซัลวาตอเร แมคเดอมอทท์ ดา โคเว่น ได้พลีกายถวายจิตวิญญาณด้วยพิธีกรรมวิปริตกับปิศาจที่ตระกูลของมันได้ทำสัญญาไว้ และนี่คือสัญญาณแรกของการละเมิดสนธิสัญญาซึ่งตระกูลโคเว่นเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไสยเวทต่ำตมใดๆ อีก…” บาทหลวงเริ่มสาธยายถึงความเลวร้ายของมนตร์ดำที่ตระกูลโคเว่นเคยใช้งาน
“กว่าแปดร้อยปีที่บรรพบุรุษของตระกูลโคเว่นได้ให้สัตย์สาบานไว้ว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนตร์ดำที่เคยทำร้าย ทำลาย บรรพบุรุษของพวกเรา พวกเจ้ารู้ดีถึงความน่ากลัว สยดสยองของอสุรกายที่พวกโคเว่นครอบครอง มาบัดนี้ บุคคลผู้นี้พยายามจะนำมันกลับมาสู่โลกใบนี้ ด้วยพิธีกรรมโบราณที่น่าสะอิดสะเอียน ไร้เกียรติ ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แล้วพวกท่านจะยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งหรือ! ”
ชาวเมืองคอร์วัสนิ่งฟังด้วยความตื่นตระหนก ทั้งจัตุรัสเงียบงันจนได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามมาแต่ไกลอย่างชัดเจน สายลมพายพัดโชยอ่อนในยามเช้าแสนอบอุ่นก่อนหน้านั้น เริ่มกระโชกแรงขึ้น ดวงอาทิตย์หลบลี้หายเข้ากลีบเมฆ หนูน้อยที่มายืนชมการไต่สวน กระตุกชายกระโปรงผู้เป็นแม่ ก่อนชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเขียวคล้ำ พบฝูงอีกากำลังรวมกลุ่มกันบินวนรอบจตุรัสจนเป็นฝูงใหญ่ ส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
หญิงสาวผู้เป็นแม่ตกตะลึงกับภาพนั้นไม่ต่างกับชาวเมืองคนอื่นๆ ก่อนหันมาร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“เราไม่ยอม! เผาอาชชี่ โคเว่นเสีย ไม่เอาปิศาจ! ”
จากเสียงร้องเพียงหนึ่ง เพิ่มขึ้นเป็นสอง สาม และสี่ จนดังรวมกันเป็นหลายสิบ สนั่นลั่นลานจัตุรัส
เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ถึงกับทิ้งสมุดปากกาไว้ที่เก้าอี้ แล้วถลาร่างมาแหงนมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่าง
“อนิมัส อินวิคตัส” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ
ขณะทุกคนกำลังตื่นตระหนก มีเพียงเอเดรียน เท่านั้นที่ยิ้มรับความวิปริตบนฟากฟ้า โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ผู้พี่ ก็เงยหน้ามองปรากฏการณ์นี้เช่นกัน เขานึกถึงประโยคที่อาชชี่ โคเว่น พ่นพล่าม จนเผลอพูดตาม
“อนิมุส ทอร์เกอริ รีครี…”
ท่ามกลางความวิปริต ผิดธรรมชาติ ไม่มีใครสังเกตเลยว่า ความอดทนอดกลั้นของอาชชี่ โคเว่น ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ชายหนุ่มฝืนความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายและล่วงละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี ใช้โซ่ตรวนที่ล่ามสองมือของเขานั้น เข้ารัดคอบาทหลวงจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถีบร่างบาทหลวงจนเสียหลัก แล้วกระโดดขึ้นคร่อม
นักบวชร่างท้วมล้มลงหน้าคะมำ อาชชี่ โคเว่น ไม่รอช้าจิกหัวร่างนั้นกระแทกเข้ากับพื้นปะรำพิธีหลายครั้งหลายคราวราวกับคนเสียสติ เลือดทะลักออกทางปากและจมูก น่าอดสู ผู้คนด้านล่างส่งเสียงร้องตกใจอื้ออึง ทหารอาร์ชิบอลด์ต่างรีบแทรกตัวเข้ามาดูสถานการณ์
“คำก็ไสยเวท! สองคำก็ไสยเวท! หากข้ามีพลังนั้นจริง พวกสารเลวเช่นเจ้าคงมิมีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องตัวข้าเยี่ยงนี้! ข้าเบื่อเต็มทนกับความเชื่องี่เง่านี้แล้ว! ข้าพยายามจะเป็นผู้มีศาสนาที่ดี แต่นี่หรือคือสิ่งที่พวกเจ้าตอบแทน! จงตาย! ตายไปซะพร้อมกับความเชื่อโสมมของเจ้า! ” ชายหนุ่มอดีตเจ้าเมืองคอร์วัส คำรามร้องด้วยเสียสติไปแล้วอย่างสมบูรณ์
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหลุดจากภวังค์ความคิด เพียงแค่เริ่มขยับตัว เพชฌฆาตจากเมืองหลวงที่ตั้งสติได้ก่อน ก็พุ่งไปเข้าหยุดยั้งอาชชี่ โคเว่น ด้วยหมุดเหล็กแหลมในมือ แต่ชายหนุ่มผมดำเอี้ยวตัวหลบทัน แล้วหันไปงับท่อนแขนจนจมเขี้ยว เหวี่ยงร่างนั้นกระเด็นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล โลเทรค พลันชักดาบออกมา เหลือบมองร่างบาทหลวงตัวแทนแห่งศาสนจักรกำลังนอนเลือดอาบ ส่วนเพชฌฆาตก็นอนร้องโอดโอย
ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค เห็นว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบหยิบปืนแล้ววิ่งออกไปจากห้องรับรอง
“วิลเลี่ยม จะไปไหน! ” ผู้เป็นภรรยาได้แต่ร้องเรียก แขกเหรื่อทุกคนแตกตื่น
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ พุ่งเข้าใส่ อาชชี่ โคเว่น แต่ชายหนุ่มผมดำบ้าคลั่งกลับกระชากคอบาทหลวงที่นอนหมดสภาพขึ้นมาบังร่างตน บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก ขณะเห็นใบดาบของตนกำลังเฉียดเข้าใกล้ร่างบาทหลวง ที่ร้องเสียงหลงแทบสิ้นสติ ใบหน้าเหยเกด้วยความกลัวสุดขีด
อาชชี่ โคเว่น ยิ้มกริ่มสะใจ ด้วยดวงตาว่างเปล่า สิ้นหวัง
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นและความตายนั้น ทุกคนจึงได้ยินเสียงลั่นไกดัง ‘เปรี้ยง! ’ ขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของอาคารที่ล้อมรอบตัวจัตุรัส อดีตเจ้าเมืองผู้น่าเวทนา กระเด็นล้มลงพร้อมกับเลือดพุ่งสาดเป็นสายออกมาจากขมับ โซ่ตรวนที่เกี่ยวคล้องคอบาทหลวงไว้ พาตัวแทนแห่งศาสนจักรหลบพ้นคมดาบของโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ได้อย่างหวุดหวิด
ชายหนุ่มผมทองถึงกับสำลักหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือหนึ่งเอาดาบค้ำยันตนเองไว้ ส่วนบาทหลวงรีบคลานออกไปจากอ้อมแขนมรณะของอาชชี่ โคเว่น ที่แน่นิ่งไปแล้ว
บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์ ไล่สายตามองไปด้านหลังตนตามวิถีกระสุน เห็นลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค บิดาของตนยืนอยู่ตรงหน้าต่างของตึกฝั่งด้านข้างปะรำพิธี กำลังลดปืนลง เขาส่ายหน้าช้าๆ ให้กับความไม่เอาไหนของบุตรชายก่อนถอนหายใจแล้วเดินจากไป
โลเทรค หันหน้ากลับมามองร่างอาบเลือดท่วมศีรษะของ อาชชี่ โคเว่น ก่อนเอาสองนิ้วจับชีพจรใต้คางแล้วไม่รู้สึกถึงร่องรอยของการเคลื่อนไหวใดๆ ใต้ผิวหนังอุ่นๆ นั้น
“ตายแล้วสินะ” ชายหนุ่มกล่าวเบาๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ทันใดนั้น อาชชี่ โคเว่น กลับลืมตาโพลง เอื้อมสองมือคว้าคอของโลเทรค อาร์ชิบอลด์
“คนตาย….จะฟื้นคืน….! ” ร่างอาบเลือดนั้นคำรามเค้นน้ำเสียงลอดลำคอด้วยความเคียดแค้นที่สุดเท่าที่เขาจะเคยได้ยินมา ท้องฟ้าซึ่งมืดอยู่ก่อนแล้ว กลับยิ่งทะมึนหนักอึ้งด้วยกลุ่มเมฆฝนสีเขียวคล้ำลอยต่ำ ลมพายุพายพัดกระโชกแรงพร้อมจะหมุนวนลงเป็นงวงได้ทุกเวลาหากสัมผัสพื้น ฝูงอีกายิ่งบินวนรอบ ประสานเสียงร้องบ้าคลั่งกระตุ้นความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ประจักษ์ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ
“เพื่อทวงคืนสิ่งที่เขาพึงได้รับก่อนชีพวายน์....! ” ร่างไร้สติ คำรามก้อง ดวงตาเบิกโพลงแข็งค้างด้วยความอาฆาตแค้น
โลเทรค ไม่นึกฝันว่า สำนึกสุดท้ายก่อนตายของคนเราจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงเพียงนี้ แรงบีบนั้นทำเอาชายหนุ่มแทบหายใจไม่ออก ต้องฝืนง้างดาบขึ้น “ทำไมเจ้า…”
เขาเสียบใบดาบมิดลงกลางอกของอดีตเจ้าเมืองคอร์วัส แล้วกระชากออก
“ไม่รู้จักตายซะที!! ”
เลือดพุ่งสาดเป็นสาย อาชชี่ โคเว่น กระอักเลือดเฮือกสุดท้าย สองมือร่วงตกลงข้างตัว สิ้นชีวาแล้วแน่นอนทั้งที่ตายังเหลือกค้าง โลเทรค เขวี้ยงดาบทิ้ง หายใจหอบถี่ พลางทำมือแตะที่หน้าผาก กลางอก และใหล่ซ้ายขวา แสดงสัญลักษณ์เคารพพระเป็นเจ้า ก่อนจับใบหน้าซีดเซียวหันไปมา ดูให้แน่ใจว่าคงไม่ลุกขึ้นมาอีก เมื่อมั่นใจแล้ว เขาจึงแสดงความเมตตาแก่เหยื่อเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการลูบปิดตาให้กับร่างไร้วิญญาณนั้น
ท้องฟ้าเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่เมฆดำหนายังคงเลื่อนลอยต่ำ ก่อนค่อยๆ กลั่นตัวเป็นสายฝนปรายโปรย ฝูงอีกาคลายความบ้าคลั่งและเริ่มสลายตัวไปเกาะกลุ่มตามชายป่ากับกองขยะตามตรอกดังเดิม ชาวเมืองคอร์วัสและแขกเหรื่อ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างแหงนมอง สำรวจทั่วท้องฟ้า ด้วยความโล่งอก
“เป็นเรื่องจริงหรือนี่…” เสียงๆ หนึ่งพูดขึ้น เช่นเดียวกันกับอีกหลายเสียงที่พูดคุยกันอื้ออึง หลายคนพาลูกหลานวิ่งกลับเข้าบ้านเพื่อหลบฝน แต่หลายคนยังคงอยู่เพื่อดูพิธีต่อให้จบ
‘ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ได้หายไปพร้อมๆ กับลมหายใจสุดท้ายของ ลอร์ด อาชชี่ ซัลวาตอเร แมคเดอมอทท์ ดา โคเว่น เขาสิ้นชีวิตลงบนลานประหารด้วยวัยเพียงสามสิบปี ตลอดเวลานับตั้งแต่เริ่มมีการบุกจับกุมและคุมขัง ชายผู้นี้ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนและครอบครัวจนวินาทีสุดท้าย แม้จะถูกย่ำยีจนสูญสิ้นความเป็นคน น่าเสียดายที่ไสยเวทซึ่งพวกเราใช้กล่าวหาเขานั้น ไม่อาจยื้อชีวิตเขาไว้ได้ ปาฏิหาริย์ในตำนานไม่มีจริง’
เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ก้มหน้าก้มตาจดบันทึกเหตุการณ์ลงสมุดบันทึกอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้มือจะสั่นเทาจนตัวอักษรเริ่มกระหวัดโย้ไปมา หยาดน้ำร่วงผล่อยลงบนหน้ากระดาษจนหมึกเลอะซึม ทั้งที่พยายามปาดป้ายออก
“...ให้ตาย...สมุดเลอะหมดเลย... ” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงสั่นเครือ พลางถอดแว่น ยกมือเช็ดน้ำตา
ระหว่างนั้นเอง เอเบลได้เดินเข้ามาสะกิดเขา ให้หันกลับไปมองที่หน้าต่าง
“ดูนั่นสิ...มันยังไม่จบนะ เดี๋ยวจดบันทึกไม่ครบเหตุการณ์ล่ะแย่เลย” เอเบลยิ้ม เอเดรียนจำใจมองตาม เห็นร่างอาชชี่ โคเว่น กำลังถูกมัดติดกับกางเขน เพรฌฆาตเริ่มตอกลิ่มไล่จากข้อมือทั้งสองข้างของเขา และเท้าตามลำดับ
“ทำไมล่ะ เขาตายแล้วนะ เราไม่ควรจะไปยุ่งกับศพของเขาอีก! ” เด็กหนุ่มร้อง
“จดลงไปด้วยละกัน” เอเบลว่าพลางยิ้มเย้ยหยัน เอเดรียนยังคงนิ่งมองภาพนั้นด้วยความขมขื่น
ที่ด้านล่าง บนปะรำพิธี บาทหลวงตัวแทนแห่งศาสนจักรผู้ถูกส่งมาทำหน้าที่ไต่สวน เดินงุ่นง่านไปมา พลางเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกตนที่มีเลือดไหลไปด้วย
“ตอกศพมันเข้าไป แล้วทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ จะได้สะกดวิญญาณมัน ประจานไว้อย่างนั้น อย่าเพิ่งเผา บังอาจทำร้ายข้าซะเสียโฉม ไอ้ปิศาจ! ”
ระหว่างตกอยู่ในอารมณ์โมโหเคืองแค้น เขาก็เกิดอาการเซเพราะบาดแผลที่หัว โลเทรค ตรงเข้าไปพยุง แต่บาทหลวงกลับสะบัดออกอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้า! มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ให้ข้ากลับที่พักก่อนเถอะ เราจะไปคุยกันที่นั่น”
แล้วบาทหลวงก็เดินลงไปจากปะรำพิธี เพื่อขึ้นรถม้า ออกเดินทางกลับไปยังที่พำนัก ซึ่งก็คือคฤหาสน์อลิสัน โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ได้แต่มองตามพลางถอนหายใจ ก่อนเงยหน้ามองศพของ อาชชี่ โคเว่น ที่โดนตอกตรึงกางเขนอยู่เหนือหัว เฝ้าครุ่นคิดถึงประโยคภาษาโบราณและคำสาปแช่งนั้นที่ชายหนุ่มผมดำพูดซ้ำๆ ก่อนตาย พลันเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นเหมือนกับร่างนั้นกำลังลืมตามองเขาอยู่ด้วยความอาฆาตแค้น บุตรชายแห่งตระกูลผู้เป็นเจ้าของตำนานนักปราบปิศาจถึงกับผงะถอยออกมาด้วยความตระหนก หัวใจเต้นสั่นระรัว เขาหลับตาสะบัดศีรษะ ก่อนลืมตาขึ้น ลองจ้องมองศพอีกที ก็พบว่า ร่างไร้ลมหายใจนั้นยังคงคอตกอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบเดินลงไปจากปะรำพิธีเช่นกัน
‘ปรากฏการณ์นี้ได้รับการโจษจันไปทั่วว่าเป็นสัญญาณแรกแห่งการติดต่อกับโลกวิญญาณได้สำเร็จอีกครั้งของพวกโคเว่น ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ แล้วเรากำลังจะเผชิญกับสิ่งใด เพราะจนล่วงเลยเข้ายามราตรี ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงบ’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ