The Hell I Have Become ร่างทรงปิศาจ
เขียนโดย VerbaArcana
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.38 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 22.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) กางเขนดำ (The Darkened Cross)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความhttps://www.readawrite.com/a/cbf97cba8de4da318fdce3925422618d
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เหล่าทหารอาร์ชิบอลด์นับร้อยคนจึงสามารถดับไฟที่ลุกไหม้ปราสาทคอร์วินัสได้ในที่สุด แม้จะทุลักทุเลบ้างด้วยความที่ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินค่อนข้างสูง เป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงน้ำ ยังดีที่มีลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยผ่านแนวป่าทางด้านหลัง การหาแหล่งน้ำมาดับไฟจึงมิใช่ปัญหา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวปราสาทก่อขึ้นมาจากอิฐที่มีความหนาและแข็งราวกับหิน จึงไม่อาจติดไฟได้โดยง่าย ดังนั้นส่วนที่เสียหายจึงเป็นข้าวของเครื่องใช้ภายในเสียมากกว่า
“โธ่เอ๊ย…ใครสั่งให้เผาปราสาทกัน ไม่ได้บอกสักนิด” ชายวัยกลางคนผมสีบลอนด์อ่อนจนดูราวกับเป็นสีเงิน แต่งกายภูมิฐานด้วยเสื้อกั๊กและสูทผ้าไหมตัวยาวสีน้ำเงินปักลวดลายใบไม้สีเงินเรียบหรู กล่าวขึ้น ขณะมองดูทหารอาร์ชิบอลด์ช่วยกันลำเลียงถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่หลายใบที่มีการตอกฝาปิดแน่นหนาเป็นพิเศษพร้อมเสียบสายชนวนซึ่งบรรทุกอยู่บนรถม้า มาติดตั้งลงตรงจุดที่พวกเขาคำนวณแล้วว่าจะเป็นจุดที่กางเขนดำประจำตระกูลโคเว่นตั้งอยู่
“เจ้าโลเทรคมันทำงานไม่เคยเรียบร้อยเลย ให้ตายสิ ต้องให้ข้ามาคุมเองอยู่เรื่อย” ชายผู้มีท่าทางเคร่งขรึมคนเดิม บ่นพึมพำให้ชายร่างผอมบาง ที่ยืนถือสมุดจดบันทึกเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ฟัง ก่อนเหลือบไปเห็นถุงกระสอบป่านจำนวนหลายใบที่กองซ้อนกันอยู่บนรถม้าบรรทุกของ
“นั่นอะไร” ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปดู
“โอ้ ระวังขอรับ!" ชายร่างบาง ผู้มีผมยาวสีเข้มแต่เบาบางจนเห็นผิวกลางกระหม่อม สวมแว่นตาหนารีบร้องบอก
"ท่านนักบวชเตือนว่า มันค่อนข้างอันตราย”
“อย่างงั้นเหรอ…” เขาหันมามอง “ขอดูหน่อย เจ้าเปิดดูซิ”
“เอ่อ…” ชายร่างบางทำท่าอึกอัก
“เร็วๆ สิ เปิดดู”
“เดี๋ยวข้าเปิดให้ขอรับ…”
เสียงทุ้ม แหบ เยือกเย็น ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ชายวัยกลางคนที่กำลังสนใจกับของในกองกระสอบนั้น จึงค่อยๆ เหลียวไปมอง พบนักบวชร่างใหญ่สวมชุดบาทหลวงโบราณสมัยยุคกลางทำด้วยผ้าหนังกลับสีน้ำตาลตุ่น หนาหนัก เดินสวบสาบเข้ามาราวกับตัวเขานั้นมีเหล็กถ่วงอยู่ข้างใน เขามีหมวกผ้าซึ่งติดมากับชุด คลุมศีรษะอยู่ จึงไม่อาจเห็นใบหน้าได้นัก นอกจากส่วนตั้งแต่โหนกแก้มจนถึงคาง
“เอ่อ ขออนุญาตแนะนำ นี่คือ ท่านนักบวชซีนีส (Senese) ขอรับ เผอิญท่านเพิ่งมาถึงวันนี้ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุจากศาสนจักร ท่านนักบวชซีนีส นี่คือ ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค อาร์ชิบอลด์” ชายร่างเล็กผอมบางรีบแนะนำ
“โอ้…” ชายวัยกลางคนสำรวจดูรูปร่างลักษณะท่าทางแข็งแรงใหญ่โตราวนักรบโบราณของนักบวชแล้วก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าวิลเลี่ยม อาร์ชิบอลด์ ท่านไม่เหมือนกับนักบวชเลย ดูราวกับนักรบ”
ทั้งสองจับมือกัน นักบวชกล่าวทักทายตอบ ชายร่างเล็กยิ้มภาคภูมิในความสำเร็จ
“นี่เองผู้วิเศษที่โรเบิร์ต เลขาของข้า ติดต่อไปเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน”
“ขอรับ” นักบวชซีนีส น้อมศีรษะ
“ว่าแต่ เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรหรือท่าน”
“เดี๋ยวข้าจะเปิดให้ชม” นักบวชซีนีส หยิบมีดพกขึ้นมา
“อูวๆๆๆ ไหนท่านว่ามันอันตราย” โรเบิร์ต เลขาของลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค ยกมือไม้ห้ามอย่างหวั่นกลัว นักบวชในชุดโบราณกรีดยิ้มเย็น
“มันไม่อันตรายขอรับ ถ้าไม่ได้อัดแน่น และไม่ได้โดนความร้อนจัด” เขากรีดกระสอบป่านให้พอเปิดอ้าออก แล้วกอบเอาผงสีขาวลักษณะคล้ายเกลือมาให้ชายวัยกลางคนดู
“เพียงแค่ท่านต้องเก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวัง”
เซอร์วิลเลี่ยม โลเทรค เมียงมองด้วยความสนใจ
“เหมือนเกลือเลย” เขาทำจมูกฟุดฟิด “หืมมม ไม่มีกลิ่น”
นักบวชโบราณยิ้ม “ขอรับ แม้ข้าจะสกัดมันมาได้จากกระบวนการหมักปุ๋ย”
“แปลกจริงเชียว” ชายวัยกลางคนมองหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “ไหนขอชมหน่อยซิ”
สิ้นประโยคทั้งสามจึงหันไปมองยังกองถังไม้โอ๊คใหญ่ ขนาดประมาณถังหมักไวน์เห็นจะได้ ที่ถูกเรียงรายอยู่ตรงกลางปราสาทคอร์วินัส ซึ่งแม้จะถูกไฟเผา แต่ก็ยังเสียหายไม่มาก ตัวโครงสร้าง หลังคาต่างๆ ยังอยู่ดี
หลังจากสาดน้ำมันใส่แล้ว ทหารอาร์ชิบอลด์ จึงไล่สายชนวนที่ต่อจากปากถังไม้โอ๊คใบหนึ่งมาทางนักบวชโบราณ เขาบอกให้ทุกคนเดินหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจากจุดนี้มันจะอันตรายมาก
ทุกคนเฝ้ารอเหตุการณ์อย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนักบวชร่างใหญ่เดินถือคบเพลิงเข้าไปจรดลงกับปลายสายชนวนอย่างใจเย็น
ไม่ช้าทุกคนที่ทำงานอยู่บริเวณซากปราสาทคอร์วินัส ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเครื่องมือการก่อสร้างและขนย้ายมากมาย จึงได้ตื่นตะลึงกับภาพและเสียงของระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหว พื้นผนังหินหนาเริ่มทรุดกร่อน เช่นเดียวกับเพดานปราสาท ส่วนเพดานชั้นใต้ดินยิ่งได้รับผลกระทบหนัก เศษฝุ่นผงหลุดร่วงกราวเหนือกางเขนดำที่ตระหง่านอยู่ข้างใต้ คานโค้งที่ทำด้วยหินยึดเกี่ยวกันด้วยการเข้าสลักค้ำยันซึ่งกันและกันเพื่อรับน้ำหนักเพดาน เริ่มสั่นคลอน
เสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่นไปจนถึงผู้คนที่อยู่บนคฤหาสน์อลิสัน และมันไม่ได้ดังแค่ครั้งเดียว
โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ผลุนผลันเดินตัดห้องนั่งเล่น ระหว่างทุกคนในบ้านยกเว้นบิดาและเอเดรียนน้องชายคนที่สาม กำลังทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ตามประสาหน้าเตาผิงขนาดใหญ่ ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยตะเกียงโคมไฟประดับหลายดวง บางคนเอนกายอ่านหนังสือบนโซฟายาวบุด้วยผ้านวมอย่างดี บ้างก็นั่งเล่นตุ๊กตา บ้างก็เล่นฟันดาบตามประสาเด็ก ส่วนมารดาของเขา เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ (Madeleine Celeste) กำลังนั่งปักผ้าอยู่ข้างหน้าต่างกับกลุ่มสาวใช้ พลางมองไปยังเนินปราสาทคอร์วินัสด้วยสายตาวิตกกังวล
“จะออกไปอีกรึ…” นางเอ่ยถามบุตรชาย เขาซึ่งกำลังจะเปิดประตู ถึงกับหยุดหันมามอง
“ขอรับ ข้าลืมไปว่าท่านพ่อให้ข้าไปดูเรื่องการขนย้ายกางเขนดำ”
“พักก่อนดีไหม” หญิงวัยกลางคน รูปร่างหน้าตางามสง่า สวมอาภรณ์เรียบง่ายสีเข้มวางงานปักผ้าในมือลงบนตัก
“เจ้าทำงานทั้งวันเลยวันนี้ ดูสิ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด พ่อของเจ้ามีคนมากมายคอยรับใช้ ไม่ต้องห่วงเขานักหรอก”
โลเทรค กวาดสายตามองน้องชายคนรอง น้องชายคนเล็กสองคน และน้องสาวคนสุดท้อง ที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่ตามมุมห้อง ด้วยความเบื่อหน่าย พวกนั้นไม่ได้ใส่ใจเขานัก โดยเฉพาะน้องชายคนรองวัยยี่สิบ ที่ดูจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
“ก็ถ้าไอ้คนที่ชื่อ เอเบล มันจะใส่ใจเรื่องในบ้านบ้างก็คงจะดี” เขากระทบกระเทียบน้องชายคนรอง นามเอเบล ซาร์เวียร์ เซเลสต์ (Abel Xavier Celeste) ซึ่งกำลังนอนพลิกหนังสือที่มีภาพลามกจกเปรตประกอบอยู่ไปมา เขาสะบัดหน้า ลุกขึ้นมองโลเทรคในทันที พี่ชายคนโตส่งสายตาเหยียดหยันให้เล็กน้อยก่อนหันมาค้อมศีรษะให้ผู้เป็นมารดาแล้วเดินจากไป
“ไอ้เวรเอ้ย ข้าอยู่ของข้าดีๆ แท้ๆ จะพูดจากวนประสาททำไม! ” เขาปาหนังสือไล่หลัง น้องชายวัยไล่เลี่ยกันสองคนที่กำลังเล่นอัศวินฟันดาบอยู่ วิ่งเข้าไปแย่งกันดูหนังสือนั้น พลางหัวเราะคิกคัก
“เดี๋ยวเถอะ เอเบล พูดจาอย่างนั้นกับพี่ชายเจ้าได้อย่างไร! ” เลดี้มาเดอลีนผลุนผลันเดินตรงมาทางเขา
“ท่านแม่ก็บอกให้มันหยุดกวนประสาทข้าเสียทีสิ มันน่ะ เหมือนพวกสติไม่ดีตั้งแต่เริ่มไปทำสงคราม ข้าไม่อยากเป็นอย่างมันหรอก สู้ทำงานสบายๆ เป็นนายกองตรวจเอกสารดีกว่า” เอเบลว่า พลางเดินไปหยิบหนังสือมาคืน แล้วสบถใส่น้องชายทั้งสองไปหนึ่งดอก
“ไอ้พวกโง่! เดี๋ยวปั๊ดทุบหน้าแหก”
เด็กสองคนทำค่อย่นหลบเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหัวเราะใส่กัน “ฮะๆๆๆ อะไรคือพวกโง่...ฮ่าๆ ”
“เอเบล! ” เลดี้มาเดอลีนดุเสียงเข้ม
“ไล่มันไปเลยนะ ให้มันไปทำสงครามที่ไหนก็ไป ข้าอึดอัดจะแย่เวลามีมันอยู่ อยากจะขย้อนของที่กินไปออกมาคืน” เด็กหนุ่มทิ้งท้าย “ไปนอนดีกว่า น่าเบื่อ! ”
ระหว่างเดินหายลับ ยังเอามือกวาดของใกล้ตัวจนตกลงมาแตกกระจัดกระจายอีกต่างหาก
เลดี้มาเดอลีน เซเลสต์ สะดุ้งเล็กน้อย นางได้แต่นิ่งเงียบ สายตามองตามพฤติกรรมนั้นด้วยความขุ่นเคืองใจ ปล่อยให้เด็กชายวัยราวสิบกว่าขวบสองคนวิ่งเล่นกันสนุกสนานทั้งปีนป่ายไปตามโซฟา และกระโดดมุดไปหลบตามใต้โต๊ะ หญิงวัยกลางคนต้นแบบเค้าความงามของบุตรชายคนโตถึงกับสูดหายใจลึกจนสุดปอด เพื่อสะกดกลั้นความโกรธไว้
“พวกเจ้าก็ไปนอนได้แล้ว! ” นางตวาด เด็กสองคนถึงกับสะดุ้งหยุดทุกกิจกรรมที่ทำอยู่ พี่เลี้ยงเด็กรีบเข้ามาพาทั้งสองออกไป
ผู้เป็นแม่เดินกลับไปทิ้งตัวลงยังเก้าอี้มีพนักวางแขนบุผ้าปักหนานุ่ม ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นมานวดวนแถวหว่างคิ้วเพื่อผ่อนคลาย พลันสัมผัสได้ถึงแรงกระตุกตรงแขนเสื้อ นางค่อยๆ ลืมตา
“อ้อ เจ้าเองหรอกเหรอ มารีย์ เซเลสต์” นางหันไปลูบศีรษะบุตรสาว เด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบใช้ดวงตาสีฟ้าใสแป๋วจ้องตรงมายังนาง ราวกับมีเรื่องสำคัญยิ่ง
“เมื่อวันก่อน ข้าเห็นโลเทรค พาพวกทหารเอาสีมาป้ายหน้าเป็นขีดๆ แบบนี้” เด็กหญิงเอานิ้วปาดๆ ที่แก้มให้มารดาของนางดู ขณะกระซิบกระซาบที่ข้างหู
วันก่อนออกศึกบุกยึดตระกูลโคเว่น โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ได้นั่งลงรอบกองไฟ รายล้อมด้วยทหารคนสนิทไม่กี่สิบคน อยู่บริเวณสวนหลังคฤหาสน์ พวกเขาถอดเสื้อแล้วเริ่มเต้นท่าทางประหลาดไปรอบๆ กองไฟนั้นด้วยหน้าตาถมึงทึง ดูน่าขนลุก ประกอบกับเสียงร้องและท่วงทำนองเครื่องเคาะ เสริมให้มารีย์ เซเลสต์ ยิ่งขนลุกเกรียว ระหว่างอธิบายให้เลดี้มาเดอลีน ฟัง
“พอแล้ว…” ผู้เป็นแม่หลับตา
“มันน่ากลัวจริงๆ นะคะท่านแม่” สาวน้อยละล่ำละลักบอก
ผู้เป็นแม่หันมาใช้นิ้วชี้นาบริมฝีปากของนาง
“เจ้า อย่าเที่ยวไปบอกใครเรื่องนี้เชียว มิเช่นนั้น พรุ่งนี้ไม่ต้องกินอาหารเลยสักมื้อ! ” หญิงสูงวัยข่มขู่
มารีย์ เซเลสต์ ตัวน้อยร่างสั่นเทิ้ม ก่อนเดินกอดตุ๊กตาวิ่งจากไป เลดี้มาเดอลีน เอนกายพิงพนักเก้าอี้นวม สองมือทิ้งลงบนตัก ส่งสายตาว่างเปล่าทอดยาวออกไปนอกหน้าต่าง
“กางเขนดำทำจากต้นแอชซึ่งตระกูลคอร์วินีตามหามานาน มันคือต้นแอชที่กล่าวกันว่า เป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกนี้กับอีกโลกหนึ่ง….”
“เสียงอะไร…” อาชชี่ โคเว่น ส่งเสียงแทรกจากหลังแท่นหิน หลังยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเช่นกันที่คุกใต้ดิน
เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ ซึ่งนั่งอ่านหนังสือตำนานประจำตระกูลโคเว่นตรงบันไดทางเข้าห้องขัง เงยหน้ามอง เขาเปิดประตูห้องคาไว้อย่างนั้น
“สะ...เสียงอะไรรึขอรับ” เขาทำหน้าเลิ่กลั่ก
“เสียงระเบิดเมื่อครู่นี้ไง เจ้าไม่ได้ยินรึ…” ชายหนุ่มผมดำว่า น้ำเสียงสดใสขึ้นเล็กน้อย แม้ร่างกายจะบอบช้ำ
“อ๋อ…” เอเดรียนนั่งนึก อาชชี่ โคเว่นถอนหายใจ
“เจ้ามีสมาธิสูงมากจริงๆ กับการอ่านหนังสือ...เอเดรียน” ชายหนุ่มกล่าว รอยยิ้มบางปรากฎขึ้นบนใบหน้าซีดเซียว
“เข้ามานั่งใกล้ๆ ก็ได้นะ…”
“ได้รึขอรับ…” เอเดรียนขยับตัวด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มนักโทษพยักหน้าเป็นคำตอบ
จากนั้นเอเดรียนจึงขอเลื่อนตัวเข้าไปนั่งให้ใกล้ขึ้น
“ข้านึกว่าท่านจะรำคาญเสียอีก เห็นนิ่งฟังไม่ว่ากระไรตั้งแต่เมื่อครู่” เขากระหยิ่มยิ้มด้วยความยินดี
อาชชี่ โคเว่น เงยหน้ามองแสงจันทร์ซึ่งคล้อยต่ำเข้ากลีบเมฆ
“ข้ามีสิทธิ์ห้ามเจ้าหรือ...”
เด็กหนุ่มเหลือบมองด้วยสีหน้าเซื่องซึม
“เอ่อ...ข้า...”
ลึกๆ เอเดรียน อาร์ชิบอลด์ เอง ก็คงมีความเอาแต่ใจไม่ต่างกับพี่ชายของเขา
"พวกเจ้าคล้ายกันนะ”
เด็กหนุ่มมือสั่น ก้มหน้างุดด้วยความเสียใจ อาชชี่ โคเว่น เหลือบมองร่างบางนั้นสักพักจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ปิดประตูทีสิ ข้าไม่อยากเห็นทหารพวกนั้น"
เอเดรียน ยืดตัวขึ้น สีหน้าสดใส แล้วรีบคลานไปงับประตูปิด ก่อนจะกุลีกุจอคลานกลับมานั่งที่เดิม
“อ่านต่อสิ” ชายนักโทษกล่าว
เอเดรียนขยับตัวไปนั่งตรงกลางห้อง ไกลจากแท่นหินที่อาชชี่ โคเว่น นั่งหลบซ่อนตัวอยู่ แต่ก็ใกล้กว่าเดิมมาก แสงจันทร์สาดส่องใบหน้าเขา เห็นร่องรอยฟกช้ำอย่างชัดเจน
เด็กหนุ่มเผลอปิดหนังสือจึงต้องไล่หาหน้าใหม่
“ถึงบทกางเขนดำ” อาชชี่ โคเว่น บอก
“อะ...ออ ขอรับ โทษที” เด็กหนุ่มเกาหัวแก้เก้อ แล้วเริ่มตั้งต้นอ่าน
“เจ้าอายุเท่าไหร่” ชายผมดำถามแทรก ขณะเอเดรียนเริ่มอ้าปาก
“สิบแปดขอรับ ไล่เลี่ยกับน้องสาวของท่านเลย…” เด็กหนุ่มเผลอตัวพูดก่อนนึกได้ “ขออภัยจริงๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร” อาชชี่ โคเว่น โบกมือ
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบงันสักพัก ก่อนที่ชายหนุ่มผมดำ จะขำคิกขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึดอัด
“เจ้าเหยียบเท้านาง ฮะๆๆ ” เขานึกไปถึงงานวันเกิดน้องสาว ที่จัดขึ้นอย่างเป็นกันเองสนุกสนาน ตามแบบอย่างชาวไอริช มีการเต้นคล้องแขนกระโดดไปมา พร้อมเครื่องเป่า และเครื่องเคาะ
“เอ่อ มันกะทันหัน ข้าไม่ทันตั้งตัว และน้องสาวของท่าน คาเธรีน่า ก็ไม่โกรธข้าด้วยนะ นางยังทำท่าร้องโอ๊ยๆ แล้วแกล้งเดินเป๋ไป เป๋มา อยู่เลย ข้าจำได้”
“ใช่ๆ ยัยตัวแสบ ซนอย่างกับอะไรดี” พี่ชายของเด็กสาวที่ถูกพูดถึงกล่าวเสริม สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่แล้วท่าทางของเขาก็เริ่มเปลี่ยน รอยยิ้มเริ่มเหือดหาย
เอเดรียนสังเกตเห็นน้ำตาหยาดหยดลงมาตามร่องแก้มชายหนุ่มอีกครั้ง บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์เริ่มทำตัวไม่ถูก นอกจากชวนคุยต่อ
“ทำไมพวกท่านยึดธรรมเนียมชาวไอริชล่ะขอรับ ข้าอ่านในหนังสือหลายรอบ ในนี้เขียนว่า พวกท่านสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงชาวโรมัน” เด็กหนุ่มถามด้วยความใคร่รู้ อาชชี่ โคเว่น กลืนน้ำลายให้คอโล่งขึ้น ก่อนตอบ
“เพราะแม่ของข้าเป็นชาวไอริชน่ะสิ และพวกเราก็ได้เลือกที่จะนับถือพระเจ้าองค์เดียวกับพวกเจ้าแล้ว ตระกูลของข้าจึงไม่ได้มีธรรมเนียมนอกรีตอีก” อาชชี่ โคเว่น ทำทีเอานิ้วปัดป้ายใต้ตาตนไปมา แต่เอเดรียนรู้ว่า เขากำลังพยายามเช็ดน้ำตาอยู่
“อ๋อ ขอรับ ในนี้ เขาบันทึกไว้ว่า ที่กางเขนจากต้นแอชเป็นสีดำ ก็เพราะว่ามันดื่มเลือดเข้าไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนลำต้นของมันเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีน้ำตาลตามปกติกลายเป็นสีแดง และเข้มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผันผ่าน”
“ฮะๆ ไร้สาระ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็อย่าไปเชื่อมากนักล่ะ อ่านเอาสนุกพอ”
“ตะ...แต่ว่า…”
อาชชี่ โคเว่น เลิกคิ้วเล็กน้อย “นี่เจ้า เจ้าเชื่อจริงๆ รึ ฮ่าๆๆ เอาเถิด ข้าฝากเจ้าไปเขียนเป็นนิยายด้วยละกันคงจะสนุกน่าดู” เขาอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติในตำนานนี้อย่างจริงจังของเด็กหนุ่ม
ทว่าเอเดรียน ไม่ได้รู้สึกขำขันไปด้วย
“เขาบอกว่า ด้วยการทำสนธิสัญญากับวิญญาณไร้พ่าย อนิมัส อินวิคตัส (Animus Invictus) ที่เวียนว่ายอยู่ในดินแดนโกลาหล (Chaos Realm) ซึ่งตอบรับเสียงเพรียกของตระกูล ทำให้พวกท่านสามารถอัญเชิญปิศาจมายังโลกนี้ได้ ผ่านทางร่างทรงของตระกูลคอร์วินี บรรพบุรุษของท่านซึ่งเป็นนักพยากรณ์ และมันทำให้เขาฟื้นคืนชีพ โดยตั้งอยู่บนเงื่อนไขหนึ่งก็คือ ร่างทรงจะต้องอยู่ในสภาวะล่วงเข้าสู่แม่น้ำแห่งความตาย และจะฟื้นคืนได้ด้วยแรงขับดันบางอย่างที่รุนแรง”
“พอเถอะ…” อาชชี่ โคเว่นตัดบท “ข้าไปสงครามมาก็มาก พบเห็นความตายมาก็เยอะ ตัวข้าเองก็เฉียดความตายมานับครั้งไม่ถ้วน แผลข้ารึก็ไม่ได้หายเอง ความรู้ทางการแพทย์ทั้งนั้นที่ทำให้ข้าหายจากอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่แบบที่หนังสือเล่มนี้บอก”
“ถ้าท่านไม่เชื่อ...มีอีกวิธีที่จะทำให้ท่านกลับมาชำระแค้นตระกูลของข้าได้…” เอเดรียน ขยับตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง จนเขารู้สึกหวาดหวั่น
“ให้ข้าช่วยท่านหนีไปจากที่นี่…” บุตรแห่งอาร์ชิบอลด์กระซิบ
“ว่าไงนะ…” อดีตผู้นำตระกูลโคเว่น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เด็กหนุ่มยิ่งกระเถิบร่างเข้าใกล้ อาชชี่ โคเว่น ยิ่งดันตัวติดผนัง
“ยะ...หยุดอยู่แค่ตรงนั้นได้ไหม” เขายกมือห้ามสะกิดให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว เมื่อนึกได้จึงถอยร่นออกมาเล็กน้อย
“ข้าจะช่วยท่านออกไปจากที่นี่เอง ข้ารู้ทางออก ข้ามาเดินเล่นกับโลวิลประจำ”
“โลวิล? …” หนุ่มผมดำเอียงคอฉงน
“อ่ะ โทษที ข้าหมายถึงโลเทรค..."
อาชชี่ โคเว่น กระแทกลมหายใจ ขบกรามแน่น "อย่าพูดชื่อนั้น"
"ขออภัยขอรับ" เด็กหนุ่มหน้าเศร้า
“แล้วถ้าเจ้าช่วยข้า เจ้าจะไม่ลำบากหรือ” อาชชี่ โคเว่น ยังถามต่อถึงแผนการ
“ไม่หรอกขอรับ โลวิล...เอ๊ย! พี่ชายของข้าเขาไม่ฆ่าข้าหรอก อย่างดีก็คงชกตาแตก และข้าก็จะสู้กลับ”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจ ไม่ได้ดูความแข็งแรงของร่างกายเลยว่าต่างกันแค่ไหนระหว่างเขากับพี่ชาย
“มันก็ใช่หรอกที่พี่ชายเจ้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ที่ข้าหมายถึงคือคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้า อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรหรือคนของศาสนจักร พวกเขาจะตามล่าเจ้า และลากตัวเจ้ามารับโทษ พวกเราจะต้องหนีไปตลอดชีวิต เจ้ารับไหวรึ" ชายหนุ่มสาธยายถึงความจริงในโลกอันเจ็บปวด
"อีกอย่าง ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว เจ้าจะให้ข้าหนีไปไหน...”
“ที่ไหนก็ได้ขอรับ รักษาตัวให้หายแล้วกลับมาแก้แค้น” เอเดรียนเสนออย่างกระตือรือร้น ราวกับกำลังจะได้ออกผจญภัย
อาชชี่ โคเว่น นิ่งมองด้วยรู้สึกขบขัน
“ถ้าพี่ชายเจ้าจะบ่นว่าเจ้าเป็นคนเพ้อเจ้อ ข้าก็จะไม่แปลกใจเลย เอเดรียน”
เด็กหนุ่ม นั่งหน้าเศร้าทำคอตก
“ไม่มีวิธีไหนเลยรึ...ท่านจะฆ่าข้าก็ได้นะ มันอาจจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น”
“ฮะๆๆ ฆ่าเจ้าแล้วได้อะไร...”
ชายหนุ่มมองหน้าเอเดรียนที่กำลังก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดวิธีต่างๆ เขาค่อยๆ เอื้อมมือสั่นเทาไปยังร่างนั้นอย่างช้าๆ มีอาการชะงักนิดหน่อยบ้างเพราะยังหวั่นเกรงกับการสัมผัสร่างกายผู้อื่นอยู่ โดยเฉพาะผู้ชาย
“ไม่ต้องคิดมาก...ข้าก็อยากให้เรื่องการฟื้นคืนนั้นเป็นจริง แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ทำได้เพียงยอมรับมัน”
อาชชี่ โคเว่น ฝืนใจจับไหล่เอเดรียน อาร์ชิบอลด์
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าช่วยข้าได้"
ชายหนุ่มหยุดสูดหายใจ เอเดรียนรีบเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง รอฟังคำพูดนั้นอย่างตั้งใจ
"แมกจิโอ อาช ลูกชายของข้า ช่วยดูแลเขาได้ไหม ข้าบอกพี่ชายเจ้าไปแล้ว แต่ข้าไม่ไว้ใจว่ามันจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ เพราะเหมือนรับปากเอาส่งๆ "
เอเดรียน จ้องหน้าอาชชี่ โคเว่น
"อย่างน้อยๆ ก่อนที่ข้าจะไป ข้าอยากแน่ใจว่าเขาจะได้รับการดูแล เพราะข้าไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเติบโตแล้ว" ชายผมดำกล่าว แววตาวูบไหวด้วยน้ำตารื่นล้นเต็มขอบ
เด็กหนุ่มเอื้อมไปกอดกุมมือที่จับไหล่ของตนแน่น
“ข้าสัญญาขอรับ ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี”
“เยี่ยม…” อาชชี่ โคเว่น ยิ้ม “ถ้ามีโอกาสได้กลับมา ขอแค่หัวของพี่ชายเจ้าก็พอ เจ้ารับได้มั้ย”
เอเดรียนนิ่งอึ้ง
“ข้าล้อเล่น ฮ่าๆ ” อาชชี่ โคเว่น หัวเราะร่วน ก่อนจะตบไหล่เอเดรียนเบาๆ
“ไปนอนเถิด เวลาล่วงเลยมามากแล้ว เจ้าควรพักผ่อน ขอบใจมาก”
อาชชี่ โคเว่น ค่อยๆ ถัดตัวกลับไปนั่งคุดคู้พิงผนังชื้นเย็นนั้นเหมือนเดิม เขามีท่าทางเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดแม้เขยื้อนตัวเพียงเล็กน้อย ขาของเขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจขยับได้ เอเดรียนรีบโผเข้ามาช่วย
“อย่าแตะต้องตัวข้า” อาชชี่ โคเว่น ปัดมือเด็กหนุ่มออก จนเขาผงะถอย
“ขอโทษด้วยขอรับ ขอโทษจริงๆ ” เด็กหนุ่มละล่ำละลักลนลาน
“เจ้าไปซะ ข้าของีบหน่อย”
อาชชี่ โคเว่น กลับมามีอาการนิ่งเย็นชาใส่ เอเดรียนรู้สึกเศร้าใจเหลือคณา พลางเหลือบสายตามองเขาอีกครั้ง เห็นชายหนุ่มฟุบหน้าลงกับแท่นหิน หลับพับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวยังคงมีร่องรอยคราบเลือด โดยเฉพาะบริเวณหว่างขา ให้รู้สึกน่าฉงนยิ่งนัก
“อยากจะทำแผลให้ท่านเสียจริงๆ แต่ท่านไม่ยอมให้แตะตัว ทำไมกันนะ”
เด็กหนุ่มค่อยๆ ถอดเสื้อกั๊กของตนออกมาคลุมให้ร่างนั้น แล้วจากไป
ด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงถึงสองครั้งจากนวัตกรรมผงระเบิดปริศนาที่ถูกคิดค้นและสรรค์สร้างโดยนักบวชโบราณนามซีนีส ทำให้ตอนนี้พื้นของปราสาทคอร์วินัสเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่พอที่จะนำเอาไม้กางเขนยักษ์ผ่านขึ้นมาได้ แรงระเบิดมหาศาลยิ่งกว่าดินประสิวธรรมดา ทำให้ตัวโครงสร้างปราสาทและหลังคาทั้งหมดพังถล่มทลาย
“โอย หมดกัน ป้อมปราการของข้า” ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค ยกมือขึ้นกุมขมับ พลางจ้องมองดูพวกกลุ่มทหารช่วยกันไสเครนยกของขนาดยักษ์ขึ้นไปจ่อตรงปากหลุม ทหารอาร์ชิบอลด์ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งโรยตัวนำลงไปก่อนเพื่อจัดการแซะฐานของกางเขนดำ น่าแปลกที่มันมีลักษณะเหมือนรากไม้สั้นๆ ชุ่มของเหลวสีเข้มคล้ำ ขณะถูกยกขึ้นด้วยตัวหนีบของเครนที่ได้รับการติดตั้งจนเข้าที่เรียบร้อย โดยทหารอาร์ชิบอลด์สองสามนายที่ห้อยตัวลอยรออยู่แล้วกลางอากาศ
ข้างบนปากหลุมนั้น มีทหารอีกกลุ่มกำลังหมุนกงล้อขนาดใหญ่ของเครนเพื่อชักรอกขึ้น ต้องใช้คนถึงสี่คนเลยทีเดียวกว่าจะนำออกมาได้
ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค มองดูกางเขนสีดำทะมึนเหลือบแดงเมื่อต้องแสงไฟ อย่างไม่อาจละสายตาเพราะความแปลกประหลาดของมัน
“เป็นกางเขนที่ดูนอกรีตดีแท้ ราวกับไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสร้างขึ้นมาได้ เสร็จจากนี้ข้าจะส่งไปให้พิพิธภัณฑ์ที่เมืองหลวงตรวจสอบ”
ระหว่างนั้น จึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค หันไป พบว่าเป็นบุตรชายของตนนั่นเองกำลังรีบก้าวลงจากหลังม้า แล้วทำความเคารพบิดา
“ขออภัยขอรับท่านพ่อ มีปัญหาเรื่องนักโทษนิดหน่อย”
“ทำไม มันสู้รึ…”
“ขอรับ” โลเทรค พยักหน้า
ลอร์ดวิลเลี่ยม มองดูบุตรชายอย่างไม่สบอารมณ์สักพักจึงโบกมือไล่
“ไปคุมทหารขนย้ายกางเขนไปที่จัตุรัสกลางเมืองไป ทางนี้เรียบร้อยแล้ว พอดีได้ท่านนักบวชซีนีส มาช่วย งานจึงเสร็จเร็ว” ชายวัยกลางคนบุ้ยหน้าไปทางนักบวชในชุดโบราณร่างยักษ์ สูงราวเกือบสองเมตรเห็นจะได้ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ส่งสายตามองตามด้วยความขุ่นเคือง นักบวชลึกลับเพียงยิ้มตอบกลับมา
“เมื่อติดตั้งกางเขนเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ไปพักได้ พรุ่งนี้เจ้าต้องอยู่ร่วมบนพิธีไต่สวน คอยคุมนักโทษ” เขากล่าว
“อย่าให้เกิดเรื่องล่ะ” ผู้เป็นบิดาทิ้งท้ายด้วยท่าทีดุดัน แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ไม่ไกล
โลเทรค ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาผู้เป็นพ่ออยู่เช่นนั้น รอให้รถม้าเริ่มแล่นจึงเงยหน้าขึ้น ปะเข้ากับร่างของนักบวชซีนีสพอดี แม้ว่าชายหนุ่มผมบลอนด์งดงามผู้นี้ จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างสูงราวร้อยแปดสิบเซนติเมตร และแข็งแรงด้วยความเป็นทหารฝึกหนัก ทว่านักบวชที่กำลังยืนประชิดตรงหน้านี้กลับสูงใหญ่ ล่ำหนา ยิ่งกว่าเขา จนศีรษะของชายหนุ่มอยู่สูงเพียงระดับอก
“สวัสดี ข้าชื่อซีนีสขอรับ” นักบวชยิ้มเย็น พลางแนะนำตัว
ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ชอบใจนัก
"โลเทรค...โลเทรค อาร์ชิบอลด์”
เขาตอบ ก่อนสะบัดหน้าหนีขึ้นไปบนหลังม้า ไม่แม้แต่จะจับมือทักทาย
ริมฝีปากบางซีดเซียวของนักบวชลึกลับยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น แม้โลเทรค จะควบม้านำขบวนขนย้ายจากไปไกล
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ